• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Hanako5

#10651


สเตฟานอส ซิตซิปาส นักเทนนิสมือ 3 ของโลกจากกรีซ กลายเป็นสตาร์ระดับท็อปฝ่ายชายที่ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้าน หลังแพ้ให้กับนักหวดดาวรุ่งจากสเปน ตกรอบสามศึก แกรนด์ สแลม ยูเอส โอเพน คืนวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา

แมตช์รอบสามของ แกรนด์ สแลม ลำดับสุดท้ายของปีที่สหรัฐอเมริกา ซิตซิปาส เต็ง 3 ของทัวร์นาเมนต์ เจอกับ คาร์ลอส อัลคาราซ มือ 55 ของโลกจากสเปน โดยปรากฏว่าต้องสู้กันอย่างดุเดือดถึง 5 เซต เพื่อหาคนเข้ารอบต่อไป

แล้วเป็นเซอร์ไพรส์เมื่อ อัลคาราซ โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมหวดขึ้นนำมือท็อปอย่าง ซิตซิปาส ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ก่อนที่เซตตัดสิน จะรวบรวมพลังสู้กับรุ่นพี่จนถึงไทเบรค แล้วปิดบัญชีชนะไป 3-2 เซต 6-3, 4-6, 7-6 (7/2), 0-6, 7-6 (7/5)

อัลคาราซ วัย 18 ปี กลายเป็นนักหวดอายุน้อยสุดคนแรกในรอบ 32 ปี ที่ผ่านเข้ารอบ 16 คนสุดท้ายที่ ยูเอส โอเพน โดยจะไปดวลกับ ปีเตอร์ โกยอฟซิค มือควอลิฟายจากเยอรมนี เพื่อโอกาสเข้าไปเล่นสัปดาห์ที่สอง

'มันน่าทึ่งเหลือเกิน เป็นความรู้สึกของผมที่เกิดขึ้นตอนนี้ ชัยชนะนี้มีความหมายกับผมมาก นี่คือชัยชนะที่ดีที่สุดของผมเลย การเอาชนะ ซิตซิปาส คือฝันที่เป็นจริง และมันทำให้ทุกสิ่งดูพิเศษมากยิ่งขึ้นสำหรับผม' อัลคาราซ กล่าวอย่างดีใจ
#10652


ส่องภารกิจ 'ดนันท์ สุภัทรพันธุ์' กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท)คนใหม่ นับตั้งแต่วันรับตำแหน่ง เมื่อ 17 พ.ค.2564 กับความท้าทายท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ต้องบริหารงานให้สามารถทำงานได้แบบไม่สะดุดเพื่อบริการทั้งประชาชนและตอบสนองการทำงานกับหน่วยงานรัฐในฐานะรัฐวิสาหกิจของไทยรวมถึงโรดแมปในการบริหารงานเพื่อนำพาไปรษณีย์ไทยก้าวสู่องค์กรดิจิทัล

***ก้าวไปพร้อมกันกับพนักงานและสหภาพฯ
​แม้ว่าก่อนการเข้ารับตำแหน่งของ 'ดนันท์ สุภัทรพันธุ์' นั้นเขาได้รับแรงต้านจากพนักงานและสหภาพแรงงานบ้างไม่มากก็น้อยในข้อสงสัยถึงตัวผู้บริหารที่มาจากคนนอก ทั้งที่จริงแล้วเขาเองไม่ได้ข้ามห้วยมาจากที่อื่นแต่อย่างใด หากเขาเป็นผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดจากบริษัท กสท โทรคมนาคมจำกัด (มหาชน) ซึ่งล่าสุดได้ควบรวมกับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)เป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT จึงนับว่าเขาเป็นผู้บริหารที่อยู่ใกล้ชิดกับไปรษณีย์มานาน และไม่ใช่คนอื่นไกลแต่อย่างใด

​'ผมกับสหภาพฯและพนักงานทำงานและมีความเข้าใจกันอย่างดี' ดนันท์ อธิบายพร้อมกล่าวเสริมว่า มีการสื่อสารกับคนไปรษณีย์ไทยผ่านช่องทางการสื่อสารภายใน ทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับนโยบายและทิศทางการดำเนินงานขององค์กร เพื่อสร้างการรับรู้ ทำความเข้าใจร่วมกันและพร้อมก้าวเดินไปพร้อมกัน

​รวมทั้งเปิดกว้างในการรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพที่สุด มีการพูดคุยแบบ Liveสด ผ่านช่องทาง Facebook ภายใน โดยเฉพาะกับสหภาพฯนั้น มีการทำงานร่วมกันตลอดทุกหัวข้อ อาทิ ระบบงานการให้บริการ การพัฒนาระบบไอที การดูแลสวัสดิการและขวัญกำลังใจของบุคลากรโดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมมือกันในการขับเคลื่อนงานให้มีประสิทธิภาพสนับสนุนการเติบโตก้าวหน้าของไปรษณีย์ไทย
***การบริหารความท้าทายช่วงโควิด-19 สู่ความเป็นที่ 1 



​'ดนันท์' ยอมรับว่าในช่วงเวลา 100 วันนับจากที่เขาได้รับตำแหน่งนั้น มีความท้าทายที่ต้องเผชิญเฉกเช่นกับองค์กรอื่นๆ นั่นคือ การบริหารงานภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากไปรษณีย์ไทยเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ดังนั้นในฐานะหน่วยงานการสื่อสารและขนส่งของชาติ จึงต้องมีแผนงานการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการกับลูกค้าและประชาชนได้อย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ โดยไปรษณีย์ไทยมุ่งเน้นดูแลลูกค้าและสนับสนุนให้สังคมไทยได้เติบโตขึ้นได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นปัจจุบัน จึงได้พยายามพัฒนาบริการต่างๆให้มีคุณภาพดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมและดีที่สุดซึ่งหากทำสำเร็จ รายได้การเติบโตรวมถึงการเป็นอันดับหนึ่งในตลาดจะตามมาเอง

​ดังนั้น สิ่งที่ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกคือความปลอดภัยของคนไปรษณีย์ เพราะนั่นคือความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้บริการด้วย หากที่ทำการไปรษณีย์ใดพบเจ้าหน้าที่ติดเชื้อ จะพิจารณาปิดบริการชั่วคราวตามความจำเป็นเพื่อทำความสะอาดพื้นที่ปฏิบัติงานและจัดเจ้าหน้าที่ชุดใหม่มาปฏิบัติงานแทนพร้อมทั้งกำชับให้เจ้าหน้าที่เว้นระยะห่างแยกกันรับประทานอาหาร ห้ามจับกลุ่มคุยกันอย่างใกล้ชิด

​นอกจากนี้ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งจะให้บริการเจลล้างมือแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่าง เคาน์เตอร์มีการทำความสะอาดจุดสัมผัสทุก 20 นาทีเจ้าหน้าที่ต้องสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ตลอดเวลาระหว่างให้บริการ ศูนย์ไปรษณีย์มีการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อบนรถขนส่งและพัสดุทุกชิ้น และสำหรับผู้ใช้บริการที่ไม่ต้องการลงนามรับสิ่งของ สามารถแจ้งให้บุรุษไปรษณีย์บันทึกชื่อ-นามสกุล แทนการลงนามได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ

*** เปิดผลงาน 3 เดือน มุ่งบริการสังคม



สำหรับผลงาน 3 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่งนั้นเพราะในช่วงโควิด-19 จึงได้เห็นผลงานในการช่วยเหลือสังคมเป็นหลักได้แก่ 1.การลดค่าส่ง EMSเพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ พิกัดน้ำหนักตั้งแต่เกิน 2 กิโลกรัมขึ้นไป 2.ส่งผลไม้ราคาเหมาเพื่อลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ส่งผลไม้สดถึงบ้านในราคาเหมาด้วยบริการ EMS เริ่มที่น้ำหนักไม่เกิน 3 กิโลกรัมในราคา 50 บาทสูงสุดได้ถึง 20 กิโลกรัม 3.การส่งเสริมให้สินค้าชุมชนและผลไม้ขายออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ให้วิสาหกิจชุมชน เกษตรกร และพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปผ่านเว็บไซต์ thailandpostmart.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ รวบรวมสินค้าเกษตรและวิสาหกิจชุมชนที่ใหญ่ที่สุด มีสินค้ามากกว่า 17,000 รายการจากทุกภูมิภาคมีผู้ประกอบการกว่า 6,500 รายที่เข้าร่วมขายสินค้า

​4. การสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมของสินค้าและบริการโดยร่วมกับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.) ยกระดับคุณภาพบรรจุภัณฑ์ตอบโจทย์ยุคโควิด-19 ลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมสภาพของสิ่งของที่บรรจุอยู่ภายในด้วยราคาที่คุ้มค่า คุ้มต้นทุน ช่วยให้ธุรกิจของผู้ประกอบการSMEs ร้านค้าออนไลน์ได้เติบโตขึ้น 5.การผนึกกับ Amazon เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศ ผ่านโครงการ 'เคียงคู่ผู้ลงมือทำ 2021'เพื่อส่งเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการทุกธุรกิจ โดยนำความแข็งแกร่งด้านการขนส่งระดับชาติ มาผนึกกำลังกับแพลตฟอร์มการซื้อขายระดับโลกที่พร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยอย่างAmazon Global Selling Thailand เริ่มต้นจากกิจกรรมการสัมมนาในหัวข้อ 'Made in Thailand สร้างแบรนด์ไทย ส่งไกล ทั่วโลก' เพื่อเพิ่มทักษะให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้สามารถเติบโตได้ในระดับโลกมากขึ้น และเตรียมขยายกิจกรรมเพิ่มเติมอื่นๆ ในระยะยาวต่อไป

​6.การต่อยอดธุรกิจด้วยเครือข่ายให้บริการที่เข้าถึงทุกครัวเรือน ร่วมกับบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน)หรือ AIS ในการเพิ่มช่องทางให้บริการและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเติมเงินได้ถึงหน้าบ้านผ่านเครือข่ายบุรุษไปรษณีย์ เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือออกไปในพื้นที่ชุมชนได้และ 7.การร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุขในการช่วยเหลือสังคม จัดตั้ง 'ศูนย์พักคอย' รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่เขตหลักสี่กรุงเทพมหานครเพื่อลดวิกฤตเตียงขาดแคลนจากปัญหาผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นจนโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามไม่สามารถรองรับได้ทัน อีกทั้งยังสนับสนุนการขนส่งสิ่งของจำเป็นทางการแพทย์ให้กับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

***กะเทาะโรดแมปการทำงานกจญ.คนใหม่



​ส่วนโรดแมปหรือแผนการทำงานของกจญ.คนใหม่นี้ 'ดนันท์' เล่าว่า จะเน้นการนำไปรษณีย์ไทยไปสู่รูปแบบดิจิทัล(Tech Post)โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานให้มากขึ้นซึ่งจะสามารถลดเวลาของงานที่ไม่จำเป็นออกไปได้ระบบไอทีจะช่วยสนับสนุนการทำงานต่างๆ เพื่อรวมรวมข้อมูลสำหรับใช้ในการศึกษา พัฒนา และสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าประทับใจ มีการบอกต่อในทางที่ดี ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีกับองค์กรต่อไป

​สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนไปรษณีย์ไทยคือ การยึดหลัก Customer Centric หมายถึงความเข้าใจลูกค้า พัฒนาการให้บริการช่องทางและสินค้าต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงความต้องการและพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคเป็นสำคัญอีกทั้งยังต้องรักษาคุณภาพบริการให้ดีอย่างสม่ำเสมอ หากสามารถส่งมอบบริการที่ดีได้จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ เกิดการใช้ซ้ำและบอกต่อบริการของไปรษณีย์ไทย

​นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยได้เตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงช่องทางการส่งเอกสารที่สะดวกรวดเร็วซึ่งจะมาทดแทนการใช้บริการไปรษณีย์แบบดั้งเดิมจาก Physical mail ไปสู่ Digital Mail โดยมีการพัฒนาระบบ TDH (Total Document Handling - TDH) โดยไปรษณีย์ไทยจะเป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจและภาคประชาชนที่เป็นมาตรฐานมีระบบพิสูจน์ยืนยันตัวตน เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นอีเมลตัวจริงและสามารถกำหนดที่อยู่ที่ต้องการให้จัดส่งเอกสารได้

​รวมถึงการให้บริการ Pick-up service อำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ต้องการส่งสิ่งของโดยไปรับถึงบ้านผ่านทางไลน์ออฟฟิเชียล@ThailandPostโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมขณะเดียวกันก็ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ thailandpostmart อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ให้วิสาหกิจชุมชนและเกษตรกร และแผนงานอีกชิ้นที่สำคัญคือการบริหารคลังสินค้าให้ครบวงจรตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ การจัดเก็บสินค้าในคลังสินค้า การหยิบและแพ็กสินค้า การจัดส่งและเก็บเงินปลายทาง(COD)ซึ่งลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ปัจจุบันได้เปิดคลังสินค้าครบวงจรในพื้นที่ภูมิภาคแล้ว 2 แห่งในพื้นที่อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และราชบุรีโดยมีแผนจะเปิดให้ครบทั้ง7แห่งภายในปี 2564

***จับมือเอกชนตั้งบริษัทรุกขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ

​อีกแผนงานหนึ่งที่สำคัญคือการหาพันธมิตรเพื่อมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งได้เริ่มต้นดำเนินการแล้วคือการลงนามร่วมกับ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด(มหาชน)และบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัดเปิดบริการ 'ฟิ้วซ์โพสต์' (FUZE POST) เพื่อรุกธุรกิจขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วน (Cold Chain Express) ซึ่งตลาดนี้มีมูลค่าตลาดในปี2564 ประมาณ 34,000 ล้านบาทเติบโตปีละ 8% หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% ของตลาดโลจิสติกส์ทั้งหมดและคาดการณ์ว่าการเติบโตของธุรกิจขนส่งรูปแบบนี้จะมีการเติบโตถึง 8-10% ในปี 2565จึงนับเป็นตลาดที่น่าสนใจไม่น้อย

​สำหรับบริการนี้พร้อมให้บริการ 1 ก.ย. 2564 โดยในระยะแรกจะเน้นให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและ 6 เส้นทางภูมิภาคคือ หนองคาย เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตราด และบางละมุงเป็นหลักก่อนเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ารูปแบบ B2B B2CและC2C ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเดิมของทั้ง 3 บริษัทอยู่แล้วสำหรับลูกค้าใหม่จะเน้นการให้บริการแบบ Direct Pick-up เป็นหลักโดยเรียกใช้บริการผ่าน www.fuzepost.co.th และมีแผนจะเปิดให้บริการจุดรับฝาก (Drop off) ขยายเส้นทางขนส่งระหว่างภูมิภาคในเดือนมกราคม 2565 ด้วยการทำงานในรูปแบบบริษัทร่วมทุนกันของทั้ง 3 บริษัทในสัดส่วนถือหุ้นเท่าๆกันซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างแผนธุรกิจจึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยเป้าหมายสำคัญในการทำงานร่วมกันนอกจากการรุกตลาดในประเทศไทยแล้วก็จะรุกตลาดประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้ด้วย
#10653


เข้าสู่วงการไม้ด่างแบบจริงจังอีกหนึ่งคน สำหรับนักร้องวัย 36 ปี 'ก้อง ห้วยไร่' (วีระเดช ยอดจำปา)

โดยล่าสุดเจ้าตัวก็ทำเอาในกลุ่มคนเล่นไม้ด่างฮือฮาไม่น้อยหลังมีข่าวเมาท์มอยกันว่าเจ้าตัวเปิดประมูลราคา 'กล้วยแดงอินโด" ก่อนจะมีคนซื้อไปในราคาที่สูงถึง 1 ล้านบาทเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ไม่มีการยืนยันว่าราคาดังกล่าวนั้นเป็นความจริงหรือไม่? เนื่องจากโพสต์ดังกล่าวได้ถูกลบไปแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นราคาที่ว่าก็ใกล้เคียงกับราคาที่แฟนเพจ 'สวนอีหลีน่า' ซึ่งเป็นแฟนเพจซื้อขายพันธุ์ไม้ของเจ้าตัวที่ได้มีการโพสต์เผยราคาต้นไม้ต้นเดียวกันเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมาที่ 800,000 บาท

ขณะที่นักเล่นไม้ด่างหลายคนได้แสดงความเห็นว่าราคาล้านหรือเฉียดล้านดังกล่าวนั้นถือว่าสมเหตุสมผล เพราะนอกจากในช่วงนี้ราคาไม้ด่างจะมาแรงแล้วกล้วยแดงอินโดของนักร้องดังยังมีหน่ออีกสามหน่อติดไปด้วย

ทั้งนี้นอกจากกล้วยแดงอินโดแล้วทางด้านของนักร้องดังยังสามารถปิดราคา 'ก้านส้มด่าง' ได้อีกถึง 2 แสนห้าหมื่นบาท เรียกว่ารับเงินเข้ากระเป๋าขั้นต่ำมีล้านกว่าๆ แน่นอน

ปัจจุบันด้วยกระแสความนิยมต่อไม้ด่างที่นอกจากจะแปลกตาแล้วยังมีราคาดีทำให้มีคนในวงการบันเทิงให้ความสนใจหันมาซื้อขายหลายคน อาทิ อาร์ต พศุตม์ บานแย้ม, นีโน่ เมทนี บุรณศิริ, นาวิน ต้าร์ (นาวิน เยาวพลกุล), มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ ฯ

รวมถึงลูกทุ่งลิเกคนดัง 'กุ้ง สุทธิราช วงศ์เทวัญ' ที่ว่ากันว่าเจ้าตัวหาซื้อไม้ด่างมาเก็บสะสมไว้ที่บ้านไม่น้อยทีเดียว...
#10654
สนใจติดต่อคุณเป้ง  087-347-6299
บริษัท  สบายใจการบัญชี  จำกัด

สำนักงานบัญชีนนทบุรี  สำนักงานบัญชีบางกรวย  สำนักงานบัญชีบางใหญ่  สำนักงานบัญชีบางบัวทอง  สำนักงานบัญชีไทรน้อย  สำนักงานบัญชีปากเกร็ด  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีพิมลราช  สำนักงานบัญชีบางคูรัด  สำนักงานบัญชีบางรักพัฒนา  สำนักงานบัญชีบางแม่นาง  สำนักงานบัญชีบางกร่าง  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีตลาดขวัญ  สำนักงานบัญชีบางตะไนย์  สำนักงานบัญชีบางพลับ  สำนักงานบัญชีบางรักน้อย  สำนักงานบัญชีมหาสวัสดิ์  สำนักงานบัญชีศาลากลางนนทบุรี  สำนักงานบัญชีอ้อมเกร็ด  สำนักงานบัญชีแจ้งวัฒนะ  สำนักงานบัญชีถนนกาญจนาภิเษกนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนจงถนอม-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีถนนชัยพฤกษ์  สำนักงานบัญชีถนนติวานนท์  สำนักงานบัญชีถนนทวีวัฒนา  สำนักงานบัญชีถนนเทศบาลจังหวัดนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนเทิดพระเกียรติ  สำนักงานบัญชีท่าอิฐ  สำนักงานบัญชีถนนนครอินทร์  สำนักงานบัญชีบางม่วง  สำนักงานบัญชีบางกรวย-จงถนอม  สำนักงานบัญชีถนนบางไกรใน  สำนักงานบัญชีบางกรวย-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีบางคูเวียง  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีถนนวัดโบสถ์ดอนพรหม  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีถนนพิบูลสงคราม  สำนักงานบัญชีถนนราชพฤกษ์  สำนักงานบัญชีตลิ่งชัน  สำนักงานบัญชีถนนเรวดี  สำนักงานบัญชีถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนศรีสมาน  รับทำบัญชี
#10655
สถาบันเพิ่มผลผลิตฯ จับมือ มจธ.จัดตั้งศูนย์พัฒนาขีดความสามารถ

เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ จัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันแห่งชาติ (National Institute of Competitiveness Enhancement หรือ NICE) โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพองค์กรแบบ End-to-End ซัพพลายเชนในระดับประเทศ (National Benchmarking) และพัฒนาศักยภาพองค์กรสู่การดำเนินงานที่เป็นเลิศ

ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เปิดเผยว่า "การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในครั้งนี้ นับเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญ ที่ทำให้สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติได้มีโอกาสนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่มีอยู่มาหลอมรวมให้เกิดเป็นก้าวแห่งการพัฒนาด้านวิชาการ ทั้ง การจัดการ นวัตกรรม การถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขัน ควบคู่กับแก้ไขปัญหาด้านอุตสาหกรรมแก่ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยจะเริ่มดำเนินงานจาก การพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพองค์กรแบบ End-to-End ซัพพลายเชนในระดับประเทศ (National Benchmarking) ร่วมกับ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศ (Excellence Center) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติในด้านการจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชน สู่การเป็นเสาหลักของผู้ประกอบการ ทำหน้าที่ส่งมอบองค์ความรู้ ผ่านการฝึกอบรม งานวิจัย และงานบริการให้คำปรึกษาแบบเบ็ดเสร็จ พร้อมเป็นศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและประชาชนที่สนใจ ในรูปแบบของการเป็นเพื่อนร่วมเดินทางในการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริม และสร้างความเข้มแข็งให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน"

ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อำนวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ

รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวว่า "มจธ.เป็นองค์กรที่ตื่นตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคมเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เราเป็นสถาบันการศึกษาที่สร้างผลงานวิชาการทั้งในด้านการวิจัยการผลิตบัณฑิต การให้คำปรึกษา และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ STECO จะทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ในมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรมผ่านโครงการจัดตั้งศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันแห่งชาติ ในช่วงสภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดข้อจำกัดในการใช้ชีวิตของประชาชนทั่วไปและผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการต่างๆ ที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ความสามารถในการสร้างรายได้ลดลง เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มีสัญญาณที่ดีในการที่กิจกรรมทางธุรกิจจะกลับเข้าสู่ความปกติใหม่ จึงได้เกิดศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันแห่งชาติ (National Institute of Competitiveness Enhancement หรือ NICE) ภายใต้ความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงาน โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพองค์กรแบบ End-to-End ซัพพลายเชนในระดับประเทศ (National Benchmarking) และพัฒนาศักยภาพองค์กรสู่การดำเนินงานที่เป็นเลิศ"

รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

ดร.วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มจธ. กล่าวว่า "ปัจจุบันธุรกิจต่างเผชิญสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นประกอบกับความไม่แน่นอนต่างๆ ที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงหลายๆ ปัจจัย ทั้งจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่ทำให้การดำเนินงานต่างๆ ภายในองค์กรและซัพพลายเชนปรับเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนมากกว่ากำไร" ทั้งนี้ เพื่อยกระดับความสามารถภาคอุตสาหกรรมของประเทศ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติจึงร่วมมือกับศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร หรือ STECO ในการขับเคลื่อนการทำงานของศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันแห่งชาติ National Institute of Competitiveness Enhancement หรือ NICE) โดยจะมุ่งเน้นการพัฒนาตัวชี้วัดประสิทธิภาพองค์กรแบบ End-to-End ซัพพลายเชนในระดับประเทศ (National Benchmarking) และพัฒนาศักยภาพองค์กรสู่การดำเนินงานที่เป็นเลิศ ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้และความเข้าใจในการบริหารและจัดการธุรกิจภาคอุตสาหกรรมทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม ที่จะให้คำปรึกษาในการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน แก้ปัญหาหรือต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้ประสบความสำเร็จ นำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน

ดร. วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มจธ.
ดร. วัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ ผู้อำนวยการศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) มจธ.

ศูนย์กลยุทธ์และความสามารถทางการแข่งขันองค์กร (STECO) ดำเนินงานภายใต้ภารกิจหลัก ได้แก่ การวิจัยสร้างองค์ความรู้ด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขัน อาทิ การพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขัน การให้คำปรึกษาทางด้านการสร้างความสามารถทางการแข่งขัน อาทิ การพลิกฟื้นธุรกิจสู่ความยั่งยืน การพัฒนาบุคลากรของภาครัฐและภาคเอกชนให้สามารถสร้างและขับเคลื่อนปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถทางการแข่งขันองค์กรได้ และการรับรองสมรรถนะบุคคล นอกจากนี้ STECO ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ความรู้เพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรม โดยในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดโควิดที่ผ่านมา STECO ได้ดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน การเผยแพร่คู่มือสร้างรากฐานธุรกิจ SME สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน และกิจกรรม STECO Online Forum ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำระดับประเทศ คณาจารย์ และผู้เข้าร่วมกิจกรรม ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://steco.kmutt.ac.th
#10657


อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ กับ แอชลีห์ บาร์ตี สองนักเทนนิสซูเปอร์สตาร์ ควงแขนกันผ่านเข้ารอบสามศึก แกรนด์ สแลม ยูเอส โอเพน แบบไม่มีอะไรน่าห่วงแม้มีพายุฝนและน้ำท่วมรอบๆ สังเวียนการแข่งขัน

มหานครนิวยอร์ก ตอนนี้กำลังเจอปัญหาพายุไอด้าพัดเข้าประเทศ จนทำให้มีหลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมขังและการจราจรมีปัญหา แม้แต่แฟนเทนนิสที่ซื้อตั๋วมาชม ยูเอส โอเพน ก็มากันน้อยเพราะฝ่าพายุออกมาไม่ไหว

กระนั้น ยูเอส โอเพน ก็ยังแข่งตามปกติ ซึ่งฝ่ายชาย อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ มือ 3 ของโลกจากเยอรมนี ลงสนามเจอกับ อัลเบิร์ต รามอส-บิโนลาส สิงห์มือซ้ายจากสเปน ก่อนชนะไป 3-0 เซต 6-1, 6-0, 6-3

ซเวเรฟ ที่มีดีกรีเป็นรองแชมป์ปีที่แล้ว จะไปรอเจอผู้ชนะระหว่าง แจ๊ค ซ็อค มือหวดเจ้าบ้าน หรือ อเล็กซานเดอร์ บูบลิค จากคาซัคสถาน เพื่อลุ้นผ่านเข้ารอบ 16 คนสุดท้ายต่อไป

ส่วนฝ่ายหญิง แอชลีห์ บาร์ตี มือ 1 โลกจากออสเตรเลีย ที่ลงเปิดสนามประจำวัน เอาชนะ คลาร่า เทาสัน ดาวรุ่งจากเดนมาร์ก 2-0 เซต 6-1, 7-5 รอบถัดไปเจอกับ เชลบี โรเจอร์ส เจ้าบ้านหรือ โซราน่า เคิร์สเตีย จากโรมาเนีย
#10658


TM ขยายช่องทางการขายอุปกรณ์การแพทย์ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ปูพรมสินค้าการแพทย์-ป้องกันโควิด ตอบรับความต้องการเติบโต

นางสุนทรี จรรโลงบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เทคโนเมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ TM เปิดเผยว่าบริษัทขยายตลาดจากการขายอุปกรณ์และเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและร้านขายเวชภัณฑ์ มาสู่การขายสินค้าให้กับผู้บริโภครายย่อย โดยการเปิดร้านค้าออนไลน์โดยใช้ชื่อแพลทฟอร์มว่า "TM CARE Ruay SHOP" ผ่านช่องทาง  facebook  และ Line@ : @tmcareshop 

โดยตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมายอดขายผ่านแพลทฟอร์ม "TM CARE SHOP" ได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะลูกค้าได้รับความสะดวกสบายจากการขนส่งที่บริษัท เนื่องจากในช่วงที่คนส่วนใหญ่ในสังคมได้ให้ความสำคัญกับการดูแลและป้องกันตัวเองจากโรคระบาดโควิด-19 การซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพผ่านทางออนไลน์ได้สนับสนุนให้ตลาดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นางสุนทรี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า บริษัทได้จัดแคมเปญพิเศษและโปรโมชั่นลดราคาทุกเดือน โดยเฉพาะสินค้าต้านโควิด-19 ที่ได้จัดแพ็คลดราคาซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถซื้อได้ในราคาถูกลงเช่น เจลฆ่าเชื้อ หน้ากากอนามัย น้ำยาฆ่าเชื้อ นอกจากนี้แล้ว ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อผู้ป่วยและผู้สูงอายุให้เลือกซื้อมากกว่า 50 รายการ เช่น  ผ้าอ้อมผู้สูงอายุ เตียงนอนผู้ป่วย รถเข็นสำหรับผู้ป่วย เครื่องวัดความดัน และอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการดูแลผู้ป่วย
#10659
สนใจติดต่อคุณเป้ง  087-347-6299
บริษัท  สบายใจการบัญชี  จำกัด

สำนักงานบัญชีนนทบุรี  สำนักงานบัญชีบางกรวย  สำนักงานบัญชีบางใหญ่  สำนักงานบัญชีบางบัวทอง  สำนักงานบัญชีไทรน้อย  สำนักงานบัญชีปากเกร็ด  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีพิมลราช  สำนักงานบัญชีบางคูรัด  สำนักงานบัญชีบางรักพัฒนา  สำนักงานบัญชีบางแม่นาง  สำนักงานบัญชีบางกร่าง  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีตลาดขวัญ  สำนักงานบัญชีบางตะไนย์  สำนักงานบัญชีบางพลับ  สำนักงานบัญชีบางรักน้อย  สำนักงานบัญชีมหาสวัสดิ์  สำนักงานบัญชีศาลากลางนนทบุรี  สำนักงานบัญชีอ้อมเกร็ด  สำนักงานบัญชีแจ้งวัฒนะ  สำนักงานบัญชีถนนกาญจนาภิเษกนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนจงถนอม-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีถนนชัยพฤกษ์  สำนักงานบัญชีถนนติวานนท์  สำนักงานบัญชีถนนทวีวัฒนา  สำนักงานบัญชีถนนเทศบาลจังหวัดนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนเทิดพระเกียรติ  สำนักงานบัญชีท่าอิฐ  สำนักงานบัญชีถนนนครอินทร์  สำนักงานบัญชีบางม่วง  สำนักงานบัญชีบางกรวย-จงถนอม  สำนักงานบัญชีถนนบางไกรใน  สำนักงานบัญชีบางกรวย-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีบางคูเวียง  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีถนนวัดโบสถ์ดอนพรหม  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีถนนพิบูลสงคราม  สำนักงานบัญชีถนนราชพฤกษ์  สำนักงานบัญชีตลิ่งชัน  สำนักงานบัญชีถนนเรวดี  สำนักงานบัญชีถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนศรีสมาน  รับทำบัญชี
#10660


JKN ปิดดีลซื้อหุ้น 51% HIGH Shopping ชูกลยุทธ์ Synergy ทางการตลาด จำหน่ายสินค้าตรงถึงผู้บริโภค คาดจะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพการดำเนินกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ชของ JKN ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกล. มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า ด้วยแผนยุทธศาสตร์ของ JKN ที่มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ช เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวสู่การเป็น Content Commerce Company บริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ จำกัด (JKN Best Life) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย 100% ของ JKN ได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ไฮช็อปปิ้ง จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับทีวีโฮมช้อปปิ้งที่เผยแพร่ผ่านช่อง HIGH Shopping ทาง PSI ช่อง ช่อง 46/ GMMZ ช่อง 43/ INFOSAT ช่อง 46 / DTV ช่อง 37 / เจริญเคเบิ้ล ช่อง 9 / TOT IPTV ช่อง 38 / AIS Play ช่อง 800 / 3BB TV ช่อง 88 และ LOOX TV Application เพื่อเข้าถือหุ้น 51% ใน 'ไฮช็อปปิ้ง' ภายหลังกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม เพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทเป็น 533 ล้านบาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพการดำเนินกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ชของ JKN ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น

สำหรับการเข้าทำธุรกรรมในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้กำหนดกรอบวงเงินลงทุนไม่เกิน 50 ล้านบาท แบ่งเป็น การเข้าซื้อหุ้น 51% HIGH Shopping จาก บริษัท อินทัช มีเดีย จำกัด และจะร่วมมือกับบริษัท ฮุนได โฮมช็อปปิ้ง เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น ประเทศเกาหลี ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นเป็นอันดับ 2 เพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท ไฮ ช็อปปิ้ง จำกัด อีกประมาณ 48.73 ล้านบาท โดย JKN Best Life จะใช้เงินเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น หรือประมาณ 24.9 ล้านบาท และจะให้กู้ยืมเงิน 10 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ และสนับสนุนทางการเงินโดยให้วงเงินการกู้ยืมอีก 15 ล้านบาท รองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต

ทั้งนี้ HIGH Shopping เป็นหนึ่งช่องทีวีโฮมช้อปปิ้งที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าในระดับเกรดพรีเมียม มากกว่า 2,500 รายการ ที่ครอบกลุ่มทุกประเภททั้ง แฟชั่น ความงาม สินค้าในครัวเรือน เครื่องออกกำลังกาย เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคให้มากกว่าการช้อปปิ้งแบบเดิมๆ ด้วยสินค้าที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงทีมบุคลากรที่มีประสบการณ์ความชำนาญในธุรกิจและมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการทำธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้ง ทั้งระบบ Software ทีม Call Center แบบ Inbound สามารถรองรับคำสั่งซื้อสินค้า และ Outbound ที่โทรไปนำเสนอสินค้าแก่ผู้บริโภค ด้วยฐานลูกค้าในมือมากกว่า 1 ล้านราย และมีการคำสั่งซื้อสินค้าเฉลี่ย 20,000-40,000 รายการต่อเดือน และใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายการอยู่ที่ 1,000 บาท

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ JKN กล่าวว่า บริษัทฯ จะดำเนินกลยุทธ์ Synergy ผสานจุดแข็งจากกลุ่ม JKN ที่มีความชำนาญในการทำตลาด ตลอดจนการบริหารจัดการด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกมิติ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัท เจเคเอ็น เบสท์ ไลฟ์ (JKN Best Life) โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มสุขภาพและความงาม สินค้าอุปโภคบริโภค และผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกกว่า 2,500 รายการของ HIGH Shopping ให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง (D2C) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผนึกกำลังการกระจายและแนะนำสินค้าผ่านช่องทีวีดิจิทัล JKN18 และทีวีช่องทีวีดาวเทียม (PSI) ในช่องที่เป็นทีวีโฮมช้อปปิ้งของ HIGH Shopping เพื่อให้ครอบคลุมถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินงานและสร้างการเติบโตไปด้วยกัน โดยประเมินว่า การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ ส่งผลดีต่อการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ชได้ทันทีภายในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 500 ล้านบาทในปีถัดไป
 
#10661


เอ็นบีซีนิวส์รายงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.สหรัฐทิ้งวัคซีนป้องกันโควิดไปแล้วอย่างน้อย 15.1 ล้านโดส มากกว่าที่เคยรับรู้กันและเป็นไปได้ว่ายังต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะที่หลายประเทศยังไม่ได้ฉีด ที่ฉีดก็น้อยมาก
ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (ซีดีซี) พบว่า บริษัทวาลกรีนส์ทิ้งวัคซีนมากที่สุดเกือบ 2.6 ล้านโดสซีวีเอสทิ้ง 2.3 ล้านโดส วอลมาร์ท 1.6 ล้านโดส และไรท์เอด 1.1 ล้านโดส

ข้อมูลนี้ร้านขายยา รัฐ หรือผู้ให้บริการวัคซีนให้รายงานต่อซีดีซีเองจึงยังไม่ครอบคลุม เพราะบางรายก็ไม่ได้รายงาน และไม่แจ้งเหตุผลว่าทำไมถึงต้องทิ้งวัคซีน โดยทั่วไปการที่ศูนย์ฉีดระบุว่าวัคซีนใช้ไม่ได้ อาจมีสาเหตุมาจากขวดแตก เกิดความผิดพลาดขณะเจือจางวัคซีน ตู้แช่ไม่ทำงาน มีวัคซีนในขวดเกินจำนวนคน หรือขวดบรรจุวัคซีนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

ส่วนเดือน มิ.ย.มีวัคซีนไม่ได้ใช้อย่างน้อย 4.4 ล้านโดส ก.ค.4.7 ล้านโดส มากกว่าเดือน มี.ค. เม.ย. และ พ.ค.รวมกัน

ข้อมูลวัคซีนใช้ไม่ได้จากแต่ละรัฐยังไม่มากเท่าที่ร้านขายยารายงาน โดย 4 รัฐที่ทิ้งวัคซีนมากกว่า 200,000 โดส ได้แก่ เท็กซัส 517,746 โดส นอร์ทแคโรไลนา 285,126 โดส เพนซิลเวเนีย 244,214 โดส และโอคลาโฮมา 226,163 โดส

อย่างไรก็ตามวัคซีนที่เสียไปถือว่าเป็นสัดส่วนน้อยนิดเมื่อเทียบกับวัคซีนที่ฉีดไปแล้วในสหรัฐ นับถึงวันที่ 31 ส.ค. สหรัฐแจกจ่ายวัคซีนไปทั่วประเทศแล้วกว่า 438 ล้านโดส และนับถึง 3 ส.ค. แจกจ่ายให้ประเทศอื่นเพิ่มอีก 111.7 ล้านโดส

ข้อมูลวัคซีนใช้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่โควิดสายพันธุ์เดลตากำลังระบาดทั่วสหรัฐ ทำให้ประชาชนต้องเร่งมาฉีดกันมากขึ้น และรัฐบาลมีแผนฉีดเข็ม 3 ให้กับคนที่ฉีดครบแล้ว ขณะที่อีกหลายประเทศทั่วโลกยังไม่ได้ฉีด หรือที่ฉีดแล้วก็ทำได้น้อยมาก

ข้อมูลใหม่ชี้ด้วยว่า วัคซีนที่สหรัฐทิ้งไปมากเกินกว่าประเทศยากจนบางประเทศใช้ฉีดประชากรทั้งหมดได้ ตัวอย่างเช่น ประเทศจอร์เจียที่โควิดกำลังระบาดหนัก ฉีดวัคซีนไปแค่ 1.1 ล้านโดสจากประชากร 4.9 ล้านคน หรือเนปาล ประชากร 30.4 ล้านคน ฉีดไปแค่ 9.7 ล้านโดส

ชารีฟาห์ เซกาลาลา รองศาสตราจารย์ด้านกฎหมายสุขภาพโลก มหาวิทยาลัยวอร์วิคของอังกฤษ ผู้ศึกษาความเหลื่อมล้ำในโลกติดเชื้อ กล่าวว่า หลายประเทศในซีกโลกใต้ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ในทวีปแอฟริกายังฉีดไม่ถึง 10% ถือเป็นความเหลื่อมล้ำอย่างใหญ่หลวงและเป็นปัญหาอย่างแท้จริง

ความต้องการวัคซีนในสหรัฐพุ่งขึ้นในเดือน ส.ค. เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นมาก

เพราะสายพันธุ์เดลตา แต่สหรัฐยังปล่อยให้มีวัคซีนไม่ได้ใช้อย่างน้อย 3.8 ล้านโดสในเดือน ส.ค.
#10663


ตั้งแต่ต้นปี หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าหลุดจากจอเรดาร์ของตลาดหุ้น เพราะแทบไม่มีความเคลื่อนไหว ราคาหุ้นไม่ขยับไปไหน เพิ่งจะกลับมาสู่ความคึกคักไม่กี่วันที่ผ่านมา เรียกความสนใจของนักลงทุนกลับมาอีกครั้ง

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าดาหน้าขึ้นมาทั้งกลุ่ม ตัวที่โดดเด่นที่สุดคือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เพราะราคาพุ่งทะยานอย่างร้อนแรง และสร้างจุดสูงสุดใหม่ นับจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560

GULF เคยสร้างจุดต่ำสุดในรอบ 12 เดือนที่ราคา 27.50 บาท และแม้จะกระเตื้องขึ้น แต่ยืนทรงตัวในระดับ 30 บาทเศษมานับจากต้นปี โดยการครอบงำกิจการบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ราคาหุ้น GULF ขยับขึ้นมาระดับหนึ่งเท่านั้น

เพิ่งจะพุ่งแรงๆ 2 วันติดในต้นสัปดาห์นี้ จนสร้างจุดสูงสุดใหม่เมื่อวันอังคารที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยปิดที่ 41.75 บาท ขยับขึ้น 1.75 บาท มูลค่าซื้อขายกระโดดขึ้นมา 6,406.65 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่ซื้อขายสูงสุดอันดับ 2 ประจำวัน

GULF ไม่ได้ดึงเฉพาะหุ้นในกลุ่มคือ INTUCH และหุ้นบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC วิ่งตามเท่านั้น แต่ยังจุดพลุหุ้นโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่มขยับขึ้นยกแผง

ถ้าเทียบหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าด้วยกัน GULF มีค่าพี/อี เรโช ในระดับสูงคือ ประมาณ 83 เท่า แต่การทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ INTUCH และถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนกว่า 42.25% ของทุนจดทะเบียน ทำให้คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการจะเติบโตขึ้น

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นก่อนหน้าได้ซึมซับรับข่าวการถือหุ้นใน INTUCH ไปแล้ว ราคาหุ้นที่ร้อนจัดขึ้นมาจึงไม่ใช่ประเด็น INTUCH แต่เกิดจากไหลกลับของเงินทุนต่างชาติ

นักลงทุนต่างชาติยกทัพกลับมาไล่ช้อนเก็บหุ้นตั้งแต่สัปดาห์ก่อน โดยไล่ซื้อหุ้นขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มแบงก์ กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมีหรือบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC จนราคาขยับปรับฐานขึ้นไปแล้ว

สัปดาห์นี้จึงเป็นคิวของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เพราะราคายังไม่ขยับขึ้นเท่าไหร่ โดยอาจมองหุ้น GULF เป็นตัวเด่นในกลุ่ม จึงลุยเคาะซื้อฝุ่นตลบ แม้ราคาจะไม่ถูกนักก็ตาม แต่ในยามที่ต่างชาติต้องการเก็บหุ้นมักจะไม่เกี่ยงราคาซื้อ

ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เมื่อ GULF สร้างจุดสูงสุดใหม่ถือว่าทะลุแนวต้าน ราคาจึงมีโอกาสจะพุ่งต่อไป แต่รอบนี้จะวิ่งไปถึงไหน นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้กำหนด

เพราะถ้ายังขนเงินกลับตลาดหุ้นต่อ GULF และหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าตัวอื่นๆ มีโอกาสขยับไปได้อีก เพราะยังไม่ขึ้นเท่าไหร่ จึงอยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่ต่างชาติจะไล่เก็บ

นานแรมปีแล้วที่นักลงทุนรอคอยการฟื้นคืนสู่ความคึกคักของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และขณะนี้หุ้นโรงไฟฟ้าได้กลับมาเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาดแล้ว โดยมี GULF เป็นหุ้นจ่าฝูง

หลายวันแล้วที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวขึ้นมา โดยสลับกันขึ้น ก่อนจะขึ้นมายกแผงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และไม่สามารถคาดหมายได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นในรอบขาขึ้นของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า หรือช่วงปลายขาขึ้นในรอบนี้

ถ้าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขาขึ้น มีหุ้นไว้ต้องกัดฟันถือต่อ รอจังหวะทำกำไรให้คุ้มกับการรอคอยการกลับมาของหุ้นโรงไฟฟ้า
#10664
สนใจติดต่อคุณเป้ง  087-347-6299
บริษัท  สบายใจการบัญชี  จำกัด

สำนักงานบัญชีนนทบุรี  สำนักงานบัญชีบางกรวย  สำนักงานบัญชีบางใหญ่  สำนักงานบัญชีบางบัวทอง  สำนักงานบัญชีไทรน้อย  สำนักงานบัญชีปากเกร็ด  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีพิมลราช  สำนักงานบัญชีบางคูรัด  สำนักงานบัญชีบางรักพัฒนา  สำนักงานบัญชีบางแม่นาง  สำนักงานบัญชีบางกร่าง  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีตลาดขวัญ  สำนักงานบัญชีบางตะไนย์  สำนักงานบัญชีบางพลับ  สำนักงานบัญชีบางรักน้อย  สำนักงานบัญชีมหาสวัสดิ์  สำนักงานบัญชีศาลากลางนนทบุรี  สำนักงานบัญชีอ้อมเกร็ด  สำนักงานบัญชีแจ้งวัฒนะ  สำนักงานบัญชีถนนกาญจนาภิเษกนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนจงถนอม-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีถนนชัยพฤกษ์  สำนักงานบัญชีถนนติวานนท์  สำนักงานบัญชีถนนทวีวัฒนา  สำนักงานบัญชีถนนเทศบาลจังหวัดนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนเทิดพระเกียรติ  สำนักงานบัญชีท่าอิฐ  สำนักงานบัญชีถนนนครอินทร์  สำนักงานบัญชีบางม่วง  สำนักงานบัญชีบางกรวย-จงถนอม  สำนักงานบัญชีถนนบางไกรใน  สำนักงานบัญชีบางกรวย-ไทรน้อย  สำนักงานบัญชีบางคูเวียง  สำนักงานบัญชีบางศรีเมือง  สำนักงานบัญชีถนนวัดโบสถ์ดอนพรหม  สำนักงานบัญชีไทรม้า  สำนักงานบัญชีถนนพิบูลสงคราม  สำนักงานบัญชีถนนราชพฤกษ์  สำนักงานบัญชีตลิ่งชัน  สำนักงานบัญชีถนนเรวดี  สำนักงานบัญชีถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี  สำนักงานบัญชีถนนศรีสมาน  รับทำบัญชี
#10665


โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ เผยเทรนด์ตลาดบ้านหลังที่สอง หรือฮอลิเดย์โฮม ในเมืองพัทยาดีมานด์ยังดี เนื่องจากระบุเทรนด์การทำงานที่บ้านยาวนานขึ้น ส่งผลผู้ซื้อมองหาที่พักระยะยาวเพื่อพักผ่อน และทำงานพร้อมๆ กัน แจงลูกค้าสนใจ "โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา" ซื้อขายต่อเนื่องในช่วงโควิด-19 พร้อมเปิด 2 มุมมองผู้ซื้อจริง "อยู่เอง" เพื่อการพักผ่อน และ "ลงทุน" เป็นสินทรัพย์ส่งต่อถึงรุ่นลูก เชื่อมั่นศักยภาพเมืองพัทยาจะฟื้นกลับมาได้ในอนาคต

ตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองพัทยายังคงเป็นที่น่าจับตามองแม้ในวิกฤตโควิด-19 ที่กำลังระบาด แม้ว่าโดยรวมจะพบว่าผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ แต่ในขณะเดียวกัน มีกำลังซื้อบางส่วนที่ต้องการหาซื้อบ้านพักตากอากาศหรือบ้านพักหลังที่ 2 ยังมีแนวโน้มยอดขายเติบโตได้ ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สามารถคลี่คลายได้ภายในปีนี้ ตลาดก็มีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ฟื้นตัว เริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติได้ในช่วงปี 65 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดี แม้ในสถานการณ์ของการระบาดโควิด-19 ความต้องการซื้ออสังหาฯ ในเมืองพัทยายังเติบโตได้ดี จากข้อมูลของคอลลิเออร์ส ประเทศไทย ระบุว่า ณ ครึ่งแรกปี 64 อัตราการขายเฉลี่ยในตลาดคอนโดมิเนียมพัทยาปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 69.20% เพิ่มขึ้นประมาณ 1.20% จากในช่วงครึ่งหลังของปี 63 ปัจจัยหลักๆ จากที่ยังไม่มีซัปพลายเติมเข้าสู่ตลาดมากนักจนไม่เกินภาวะล้นเกิน ศักยภาพของเมืองที่แข็งแกร่งจากการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานให้กับเมืองอยู่อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

ในขณะเดียวกัน ได้ส่งผลให้พฤติกรรมคนไทยเปลี่ยนไป ปรับสู่การทำงานที่บ้านมากขึ้น หรือ Work from Home และด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยทำให้คนทำงานยุคใหม่ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะ แต่ปรับวิถีไปเป็น Work from Anywhere มากขึ้นเชื่อว่าจะเป็นเทรนด์ใหม่หลังยุคโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ บ้านตากอากาศ หรือฮอลิเดย์โฮม จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่กำลังมองหาบ้านหลังที่สอง ทั้งเพื่อการพักผ่อน ทำงาน และสร้างมูลค่าจากการลงทุนในอนาคต เทรนด์ Work From Home ยาวขึ้น ส่งผลพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน



นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 63 จนถึงปัจจุบัน เทรนด์การทำงานจากที่บ้านที่ยาวนานขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปและเริ่มมองหาชีวิตที่ยืดหยุ่นได้และมีพื้นที่พักผ่อนมากขึ้น รวมถึงการจำกัดพื้นที่และการเคลื่อนย้ายจากการประกาศล็อกดาวน์เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศ สะท้อนทิศทางที่สอดรับสภาพความเป็นจริงของการขายและการตลาดฮอลิเดย์โฮมในพื้นที่พัทยา 

โดยเฉพาะโครงการของบริษัท "โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน-พัทยา" ได้รับความสนใจจากการซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงโควิด-19 ที่กำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากในประเทศ ที่จะมองว่าพัทยายังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวและการพักผ่อนตากอากาศบ้านหลังที่ 2 บรรยากาศโดยรวมเอื้อต่อการท่องเที่ยว มีกิจกรรมเชิงไลฟ์สไตล์ให้ทุกคนในครอบครัวได้ทำร่วมกัน อีกทั้งใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น

"จากแนวโน้มการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่หรือ New Normal ผู้ประกอบการอสังหาฯ กำลังเผชิญกับรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปสำหรับชีวิตที่ยืดหยุ่นได้และมีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจทำให้เริ่มมีการมองหาที่พักระยะยาว หรือบ้านหลังที่ 2 สำหรับพักผ่อนและทำงานไปพร้อมๆ กัน" นายณพงศ์ กล่าว