• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - kaidee20

#9556
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#9558


มีข่าวดีอีกคู่แล้วจ้า สำหรับ "หมอเก่ง นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง" หรือ "หมอเก่ง เดอะสตาร์ 6" ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ที่ล่าสุด ได้เซอร์ไพรส์แฟนสาว "เกรซ เกวลิน พูลภีไกร" หรือ "เกรซ เดอะสตาร์11" ขอแต่งงานสุดเรียบง่าย หลังคบหาดูใจกันมานานถึง 5 ปี

โดย หมอเก่ง ได้เผยข่าวดีผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมภาพฝ่ายหญิงสวมแหวนเพชรที่นิ้วนางข้างซ้าย พร้อมข้อความสุดซึ้ง

"Move on to the next chapter of life. ^^

ขอบพระคุณพี่ @peachabelle ที่ช่วยมาเป็นหน้าม้า ซ่อนแหวน ถ่ายรูป ถ่ายคลิปให้ในวันนี้ เสียดายที่เพื่อน ๆ หลายคนติดงานอยู่ตจว.เลยทำให้ไม่ค่อยคึกคักนัก แต่ก็ถือว่าลดจำนวนคนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ฯ ครับ

ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่ช่วยกันหาแหวนตามสเปกและทุนทรัพย์กันอย่างยากลำบาก

ขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ช่วยให้คำปรึกษาและสนับสนุนให้กล้าเดินต่อสู่บทถัดไปของชีวิต
.
และท้ายที่สุด ขอบคุณน้องเกรซ @gracekewalin ที่สนับสนุน อดทน และเป็นกำลังใจให้ตลอดมา แม้ในวันที่ผิดพลาด ล้มเหลว และยากลำบาก"
 
#9559
ขายดาวน์  215,800 ( กค 2564 ) ห้อง 812
#9560


ผลการแข่งขันกอล์ฟยกทีมชิงถ้วยเกียรติยศ"ไรเดอร์คัพ"ครั้งที่ 43  ประจำปี   2563  หรือ  2020  ที่เลื่อนมาแข่งขันในปีนี้ 2021 เพราะปัญหาไวรัสโควิดระบาดในปีที่แล้ว   ที่สนามกอล์ฟวิสลิ่ง สเตรทส์  เมืองฮาเว่น ในรัฐวิสคอนซินสหรัฐอเมริกา ในวันแรก  เมื่อวันศุกร์ที่  24 กันยายน  2564  ปรากฎว่า ทีมสหรัฐอเมริกา  ใต้การนำของกัปตันทีมคนใหม่คือสตีฟ สตริคเกอร์ ทำสกอร์ออกนำทีมยุโรปแชมป์ครั้งที่ 42  ใต้การนำของกัปตันคือ เปแดร็ค  แฮริงตัน  ถึง 6-2 คะแนนสำหรับสถิติที่ผ่านมา 42 ครั้งนั้น  ฝั่งสหรัฐอเมริกาชนะ 26  ครั้งยุโรปชนะ14 ครั้งและเสมอกัน 2 ครั้ง  สำหรับผลการแข่งขันในวันแรกในประเภททีม2 คนแมตซ์เพลย์โฟร์ซั่มและโฟร์.ล์มีรายละเอียดแต่ละคู่คือ  
ภาคเช้า โฟร์ซั่ม  
จอน ราห์มกับเซร์คิโอ  การ์เซีย (ยุโรป) ชนะจอร์แดน  สปีธกับจัสติน โธมัส (สหรัฐ) 3 และ 1
ดัสติน จอห์นสันกับโคลิน โมริกาวะ (สหรัฐ)ชนะปอล เคย์ซี่กับวิคเตอร์ ฮอฟลันด์ (ยุโรป) 3 และ 2 
แดเนี่ยล แบร์เกอร์กับบรูค โคปค่า (สหรัฐ) ชนะลี เวสต์วู้ดกับแมตต์  ฟิตซ์แพททริค (ยุโรป) 2และ1 
แพททริค แคนท์เลย์กับซานเดอร์  ชอฟเฟเล่ (สหรัฐ)ชนะรอรี่ย์  แม็คอิลรอยกับเอียน โพลเตอร์(ยุโรป) 5และ 3 
ภาคบ่าย โฟร์.
ดัสติน  จอห์นสันกับซานเดอร์ ชอฟเฟเล่ (สหรัฐ)ชนะปอล เคย์ซี่กับเบิรนด์  วิสเบอร์เกอร์(ยุโรป)  2และ1
ไบรสัน เดอชอมป์โบรกับสก๊อตตี้  เชฟเฟลอร์(สหรัฐ)เสมอจอน ราห์มกับไทเรลล์ แฮตตัน(ยุโรป)
โทนี่  ฟิเนากับแฮริส   อิงลิช (สหรัฐ)ชนะรอรี่ย์ แม็คอิลรอยกับเชน ลอรี่ย์ (ยุโรป) 4 และ 3  
จัสติน โธมัสกับแพททริค แคนลี่ย์(สหรัฐ)เสมอกับทอมมี่  ฟลีตวู้ดกับวิคเตอร์ ฮอฟลันด์(ยุโรป)
#9561

กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อ "รัฐบาลลุง" งัดวิชาก้นหีบผ่าทางตันด้วยการปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ของจีดีพี ทำให้ก่อหนี้เพิ่มได้อีก 1.2 ล้านล้านบาท เพื่อบูทเศรษฐกิจให้ฟื้น หลังรีดภาษีรายได้ไม่เข้าเป้า สะท้อนฝีมือบริหารสยามประเทศแบบข้ามาคนเดียวในยามวิกฤตของ "นายกฯลุง" ที่นับวันมีแต่เสื่อมถอยลง  

วิกฤตหนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องปิดห้องคุยลับกับ "คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ"  ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนจะนำมาซึ่งมติขยายสัดส่วนเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากที่กำหนดไว้เดิมอยู่ที่ 60% ต่อจีดีพี

ประเด็นที่ "นายกฯ ลุง" ต้องนัดคณะกรรมการฯ มาถกกันคร่ำเคร่งเนื่องจาก "พื้นที่การคลัง (Fiscal Space)" ของประเทศเหลืออยู่จำกัดมาก หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การก่อหนี้สาธารณะเพิ่มของรัฐบาลจะทำได้น้อยมาก หลังจากรัฐบาลได้กู้เงินตามพระราชกำหนดให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม หรือ พ.ร.ก.กู้เงินโควิดฯ รวม 2 ฉบับ วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท

ว่ากันตามสภาพความสุ่มเสี่ยง หากไม่เคาะเพิ่มกรอบกู้หนี้สาธารณะ นอกจากรัฐบาลลุงจะกระเป๋าแฟ่บหมดตูด ส่งผลกระทบกับโครงการลงทุนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจซึ่งรัฐบาลต้องเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้ อีกทั้งไม่มีเม็ดเงินบูทเศรษฐกิจสู้วิกฤตโควิด-19 แล้ว ยังเสี่ยงต่อการทำผิด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งรัฐบาลลุงประกาศใช้บังคับเพื่อยกระดับวินัยการเงินการคลังของรัฐบาลให้มั่นคงแข็งแกร่ง โดยกำหนดกรอบเพดานเงินกู้ไม่ให้เกิน 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี

 ดูจากตัวเลขที่กระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 (กันยายน 2564) สัดส่วนหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ระดับ 58.96% นั่นหมายถึงแม้สัดส่วนยังต่ำกว่า 60% ของจีดีพี แต่ก็ใกล้ปริ่มน้ำเต็มที เมื่อคิดถึงว่าในปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลยังต้องกู้เงินตามพ.ร.บ.โควิด เพิ่มเติม ที่ยังเหลือวงเงินอีก 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อถึงเวลากู้เงินในส่วนนี้จะทำให้หนี้สาธารณะของประเทศไทยพุ่งเกิน 60% ของจีดีพี หลุดกรอบจากที่กำหนดไว้ 

 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้คำอธิบายว่า เหตุผลที่ต้องเพิ่มเพดานเงินกู้สาธารณะเพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการคลังให้กับรัฐบาล และไม่เป็นอุปสรรคหากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง โดยความสามารถในการชำระหนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และถือเป็นการทบทวนกรอบสัดส่วนการบริหารหนี้สาธารณะตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐฯ ที่กำหนดให้ทบทวนสัดส่วนต่างๆ อย่างน้อยทุก 3 ปี

เช่นเดียวกับ  นายเมธี สุภาพงษ์  รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เห็นความจำเป็นในการปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินมาตรการของภาครัฐรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยประเมินว่าความเสี่ยงต่างๆ ยังต่ำ ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐควรเน้นโครงการที่มีประสิทธิผลสูงและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว เช่น มาตรการรัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายอย่างโครงการคนละครึ่ง มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ ค้ำประกันการจ้างงาน และจะต้องเร่งลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้กลับมาที่ 60% ให้ได้ในระยะต่อไปเพื่อรักษาวินัย

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม บันทึกประเทศไทย ต้องจดจารเอาไว้ว่า หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 จนถึงปัจจุบัน หนี้สาธารณะของไทยไม่เคยเกิน 60% ต่อจีดีพี โดยปี 2542 อยู่ที่ 59.22% ต่อจีดีพี จากนั้นสัดส่วนลดลงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ กระทั่งถึงวิกฤตโควิด-19 นอกจากรัฐบาลลุงต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อนำเงินมาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ตาม พ.ร.ก.กู้เงินโควิด 2 ฉบับ รวมวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาทแล้ว มูลค่าจีดีพีในประเทศยังลดลงตามภาวะเศรษฐกิจด้วย ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะพุ่งเกือบชนเพดานแล้ว โดยที่ยังมองไม่เห็นหนทางในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

 การขยายเพดานเงินกู้บวกับผลงานการกู้แหลกในช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีอายุร่วม 7 ปี ทำให้นายกฯลุง ได้ฉายาจากสื่อว่าเป็น "จอมกู้แห่งลุ่มเจ้าพระยา" ไปแล้วนั้น รัฐบาลมีหนี้เงินกู้สาธารณะเกือบเต็มแมคอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท บวกกับเงินกู้สู้โควิดอีก 1 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา และอีก 5 แสนล้านบาทเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้วงเงินกู้ที่นายกฯลุง ก่อหนี้ไว้มากมายถึง 4.6 ล้านล้านบาท เป็นมรดกหนี้ให้คนรุ่นต่อไปที่ดูทรงแล้วไม่ค่อยรักนายกฯ ลุงสักเท่าไหร่ 

แต่ก็อย่างว่ารัฐบาลจะไม่หาเม็ดเงินใหม่เข้ามาก็ไม่ได้ เพราะการจัดเก็บภาษีรายได้ของแผ่นดิน ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563-กรกฎาคม 2564) ตามรายงานของกระทรวงการคลัง พลาดเป้าอย่างแรง โดยรัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.91 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 216,878 ล้านบาท หรือต่ำกว่า 10.2% โดยการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร 142,767 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 9% กรมสรรพสามิต 67,595 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 12.9% และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ 24,282 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 16.5% เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ขณะที่กรมศุลกากร มีแนวโน้มจัดเก็บรายได้ดีขึ้นจากการส่งออกและนำเข้าที่ขยายตัว

อย่างไรก็ตาม การก่อหนี้ฯ ย่อมมีทั้งฝ่ายหนุนและเชียร์ขึ้นอยู่กับว่าจะมองจากมุมไหน บทวิเคราะห์จาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  มองบวกว่า หลายประเทศทั่วโลกมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน แทบทุกประเทศทั่วโลกมีการอัดฉีดมาตรการการคลังเยียวยาประชากรและกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น จะเห็นยอดหนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

 สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนนำมาสู่การขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะของไทย ศูนย์กสิกรไทย มองว่า จะไม่กระทบเสถียรภาพทางการคลังในระยะสั้น รัฐบาลยังสามารถชำระหนี้ที่ครบกำหนดได้ เนื่องจากโครงสร้างหนี้สาธารณะของไทยส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนในประเทศและเป็นหนี้ระยะยาว ดังนั้น ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการ roll over หนี้ที่ครบกำหนดไม่ทันจึงมีอยู่จำกัด นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำมากเอื้อให้ต้นทุนภาระหนี้ในระยะสั้นยังอยู่ในระดับต่ำ  

จุดเน้นสำคัญนั้น อยู่ที่การบริหารจัดการการคลังในระยะกลางถึงยาวต้องมีแผนจัดหารายได้ภาครัฐเพิ่มเติมเพื่อลดการขาดดุลทางการคลังในอนาคต ระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นจะมีความเสี่ยงมากหรือน้อยอยู่ที่ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หากขยายตัวดีก็ไม่น่ากังวลเท่ากับเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเติบโตต่ำ บทสรุปสุดท้ายจึงอยู่ที่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ทางด้าน  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่าการขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ในขณะนี้ถือว่าเหมาะสม เพราะตัวเลขหนี้สาธารณะในระดับ 60% ถือว่าคาบเส้นมากเกินไป โดยที่ผ่านมาตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ลดลงจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้เพดานหนี้ต่อ GDP จะแคบลงอีก นอกจากนี้ การขยายเพดานการกู้สามารถทำได้จากหลายสาเหตุ เช่น ตัวเลขหนี้ภาครัฐของไทยใช้นิยามที่มาตรฐานสูงกว่าสากล โดยรวมหนี้รัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีจำนวนกว่า 8 แสนล้านบาท เข้าไปด้วย ทำให้ตัวเลขโดยรวมสูงกว่าปกติถ้าวัดตามมาตรฐานสากล

เช่นเดียวกันกับ หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต่างออกมาหนุนรัฐบาลขยายเพดานหนี้สาธารณะ ตามข้อเสนอของภาคเอกชน โดย  นายสนั่น อังอุบลกุล  ประธานสภาหอการค้าไทย เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจ่ายหนี้ได้ และไม่กระทบต่อระบบการคลัง ดูจากช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่กู้เงินไอเอ็มเอฟก็มีเสียงคัดค้านจะไม่มีเงินจ่ายหนี้แต่สุดท้ายก็จ่ายจนหมด ขณะนี้จำเป็นต้องมีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ เยียวยาธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยเม็ดเงินที่จะกู้เพิ่มต้องเตรียมนำมากระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายที่กิจกรรมเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาเพราะมีการฉีดวัคซีนกันมากขึ้น

ขณะที่  นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สนับสนุนการอัดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 และการล็อกดาวน์ที่ผ่านมาให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีและประชาชน ที่ต้องเร่งกระตุ้นกำลังซื้อในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องวางไว้ในการขับเคลื่อนให้ต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าหากสิ้นปีนี้การฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนครบ 70% พร้อมกับการเปิดประเทศจะทำให้เศรษฐกิจปี 2565 จะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

สำหรับพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกัน อย่าง นายเกียรติ สิทธิอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ออกหน้ารับว่าเป็นไปตามคาด หนีไม่พ้นต้องกู้เพิ่ม อย่าตื่นตระหนกหรือดรามา สำคัญอยู่ที่กู้มาแล้วเอาไปทำอะไร เงินถึงมือประชาชนหรือไม่ นี่คือคำถามที่ประชาชนอยากรู้อย่างที่เคยพูดในสภาฯ ตั้งแต่ปีที่แล้วว่า การจัดสรรงบในภาวะวิกฤตนั้น กระสุนมีจำกัด ทุกนัดต้องเข้าเป้า ไม่ใช่ว่าไฟไหม้บ้านอยู่ แต่กลับเอางบไปจัดสวน

แต่ลูกพรรคประชาธิปัตย์ก็มีแซะในส่วนของพ.ร.ก.เงินกู้ 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 ที่นายเกียรติ บอกว่ายังดีที่มีคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร คอยตรวจสอบการใช้เงิน แต่ดูแล้วทุกอย่างยังเป็นราชการ เบิกจ่ายช้า ขาดความยืดหยุ่น ส่วนเงินกู้ซอฟท์โลนของแบงก์ชาติ ผู้ประกอบการที่เครดิตไม่ดีเพราะพิษโควิดก็เข้าไม่ถึง จนน่าห่วงว่าเงินที่กู้มาแก้ปัญหาจนหนี้สาธารณะแตะเพดาน 60% นั้นไม่ตอบโจทย์

ข้อสังเกตของนายเกียรติ เข้าทางพรรคฝ่ายค้าน ตามถ้อยแถลง  นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล  รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และกมธ.ตรวจสอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน ที่ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งช้า ทั้งชุ่ย ที่ช้าเพราะเม็ดเงินใน 5 แสนล้าน ลงสู่ระบบเพียง 5 หมื่นกว่าล้าน ขณะที่เศรษฐกิจเสียหายจากล็อกดาวน์เข้มข้นเดือนละ 1.5-2.5 แสนล้านบาท เมื่อเงินที่อัดฉีดเข้าระบบน้อยกว่าเงินที่หายไปถึง 15 เท่า แบบนี้เศรษฐกิจเดินต่อไม่ได้ อีกทั้งแผนงานในวงเงินกู้ส่วนใหญ่เป็นโครงการจ่ายทิ้ง ใช้แล้วหมดไปมองไม่เห็นการเอาไปสร้างอนาคตประเทศ

ในทางการเมืองฝ่ายค้านก็ตรวจสอบรัฐบาลกันไป ส่วนรัฐบาลก็เดินหน้าบริหารประเทศแก้ไขวิกฤตกันไป โดยล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติเห็นชอบกรอบแผนงานหรือโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา โดย นางสาวรัชดา ธนาดิเรก  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า โครงการภายใต้แผนฟื้นฟูฯ (แผนงานที่ 3) วงเงิน 170,000 ล้านบาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ฯ มีกลุ่มเป้าหมายคือ สถานประกอบการเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการทั่วไป แรงงานในระบบ ประชาชนทั่วไป เกษตรกร สถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ว่างงานและวัยแรงงานที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน
#9562


มหาสารคาม-หมอลำชื่อดัง 5 คณะจังหวัดมหาสารคาม รวมพลังร่วมจัดคอนเสิร์ตออนไลน์ พร้อมตั้งกองทุน หวังช่วยและให้กำลังใจหมอลำรุ่นเก่า ที่ได้รบผลกระทบโควิด-19 หนักรายได้ทรุดฮวบ เข้าถึงโลกออนไลน์ มีรายได้ประคองตัวช่วงลำบาก

หลังสถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น ยอดผู้ติดเชื้อรายวันลดน้อยลง ทำให้รัฐมีมาตรการผ่อนคลายในหลายๆเรื่อง ก็เป็นโอกาสของวงดนตรีหมอลำในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ได้ร่วมมือกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม จัดโครงการมหกรรมหมอลำออนไลน์จังหวัดมหาสารคาม ประจำปี 2564 เพื่อเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับศิลปินหมอลำพื้นบ้านในจังหวัดมหาสารคาม



ใช้พื้นที่บ้านของนายภู่กัน ปุริสาย หรือบอย ศิริชัย คณะหมอลำใจเกินร้อย เป็นเวทีไลฟ์สด มีการจัดคิวการแสดงแบบคอนเสิร์ต จัดให้ชมกันฟรีผ่านเพจสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม โดยมีคนเข้ามาดูและกดไลท์กดแชร์เป็นจำนวนมาก โดยมีการแสดงของศิลปินหมอลำพื้นบ้าน เช่นหมอลำคณะบัวริมบึง, หมอลำคณะทิดสาวาทะศิลป์, หมอลำคณะไพบูลย์ เสียงทอง, หมอลำคณะสาวน้อยเพชรบ้านแพง และหมอลำคณะใจเกินร้อย บอยศิริชัย

นอกจากนี้ยังมีศิลปินหมอลำพื้นบ้านมาร่วมการแสดงอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งแม่เดือนเพ็ญ อำนวยพร หมอลำชื่อดัง ที่มาพร้อมกับบทเพลง เมื่อเธอพอฉันจะรออยู่ตรงนี้ ทำให้หลายๆ คนหายคิดถึงไปได้บ้าง

นายชูชาติ ราชจันทร์ วัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่าโครงการมหกรรมหมดลำออนไลน์จังหวัดมหาสารคาม จัดขึ้นเพื่อเป็นการเยียวยาและสร้างขวัญกำลังใจให้กับศิลปินหมอลำพื้นบ้านในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ต้องทำการแสดงในรูปแบบออนไลน์ ไลฟ์สดผ่านเพจสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม ให้คณะหมอลำที่เป็นหมอลำคนรุ่นใหม่ เช่นหมอลำคณะบอยศิริชัย ใจเกินร้อย, คณะหมอลำสาวน้อยเพชรบ้านแพง, คณะไพบูลย์ เสียงทอง ที่มีการออนไลน์อยู่แล้ว

มาช่วยพ่อครู แม่ครู หมอลำรุ่นเก่าๆที่ไม่มีช่องทางออนไลน์ ไม่เชี่ยวชาญด้านโซเชียลได้กลับมาจับไมค์ร้องเพลง พบปะเพื่อนๆศิลปินอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีการตั้งกองทุนสนับสนุนสมาคมหมอลำจังหวัดมหาสารคาม เพื่อช่วยเหลือศิลปินหมอลำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นจากสถานการณ์โควิด หรือหากมีใครเจ็บไข้ได้ป่วย กองทุนนี้ก็จะไปช่วยเหลือ





ด้านนายภู่กัน ปุริสาย หรือบอยศิริชัย คณะหมอลำใจเกินร้อย กล่าวว่าตั้งแต่โควิดมาในระลอกแรก จนมาถึงระลอกล่าสุด เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ทำให้ต้องมีการปรับตัวในทุกเรื่อง รถยนต์ เครื่องเสียงที่เคยออกการแสดงก็ถูกจอดไว้กับที่ เพราะไม่มีงานแสดง เจ้าภาพยกเลิกการแสดงทั้งหมด หากจะนับเป็นรายได้ถือว่ามากพอสมควร ศิลปินหมอลำเป็นอาชีพแรกๆที่ได้รับผลกระทบ ต้องหยุดการแสดงก่อนอาชีพอื่น ซึ่งการเปิดการแสดงต้องพบปะผู้คนจำนวนมากเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

ที่ผ่านมาเมื่อไม่มีงานแสดง เงินก็ไม่เข้า ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดง เป็นรูปแบบออนไลน์ไลฟ์สด ทำยูทูป ทำเพจ มีการรับมาลัยออนไลน์ ก็มีแฟนคลับคอยสนับสนุนมาตลอด 2 ปีทำให้พอมีรายได้ ซึ่งคณะหมอลำของตนเป็นลำเรื่องต่อกลอน มีสมาชิกกว่า 300 คน โควิดมาก็ต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่คนที่ยังอยู่กับตนก็ต้องดูแล ทั้งค่ากินค่าอยู่ ค่าน้ำค่าไฟ ตกเดือนละกว่า 200,000 บาท ก็พอได้น้ำใจจากแฟนคลับที่สนับสนุนให้สามารถอยู่ได้





แต่หากเป็นรุ่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่เล่นโซเชียลไม่เป็นก็จะลำบาก ทางสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดมหาสารคาม กับสมาคมหมอลำ จึงได้ปรึกษากัน จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือศิลปินหมอลำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และจัดงานมหกรรมหมอลำออนไลน์ขึ้น เพื่อให้ศิลปินหมอลำในจังหวัดมหาสารคามได้มาพบปะกัน ได้ยินเสียงดนตรี เสียงลำ จะได้ช่วยเยียวยาจิตใจได้บ้าง ตอนนี้ไม่อยากเรียกร้องอะไรจากรัฐบาลแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ได้ขอให้ควบคุมสถานการณ์โควิดได้ เราไม่อยากได้เงินเยียวยา แต่เราอยากทำงาน
 
#9569

"จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์" หุ้นที่ร้อนแรงสุดแห่งปี 2564 จากการประกาศแผนลงทุนตั้งเหมืองขุด Bitcoin ดันราคาหุ้นขยับพรวดจากราคาไม่ถึง 2 บาทเมื่อต้นปี กลายเป็น 55.50 บาทในปัจจุบัน คาดอนาคตหากทำได้ตามเป้าทะยานต่อ ขณะผลงานเก่ายังคาใจนักลงทุน โบรกฯ มองราคาพุ่งสูงไร้ปัจจัยพื้นฐานหนุน ราคาหุ้นควรอยู่ที่ 12-13 บาทต่อหุ้น

นับวันการลงทุนรูปแบบใหม่ๆ ยิ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ แต่หากพิจารณาในแง่ผลตอบแทนที่เย้ายวนใจ ก็ไม่น่าแปลกใจที่เครื่องมือการลงทุนแบบใหม่นี้ จะได้รับความสนใจซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมาย โดยเฉพาะ Cryptocurrency ที่ปัจจุบันถือเป็นเครื่องมือยอดนิยมในการแสวงหาความเป็นอิสระทางการเงิน ชนิดที่เชื่อว่า "รวยเร็ว รวยไว"

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลปัจจุบันมีมูลค่าทั่วโลก มีมูลค่าตามมาร์เก็ตแคป (Market cap.) ประมาณ 2.34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยสำคัญมาจาก การเติบโตของบิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันประมาณ 136.68 พันล้านเหรียญ ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัล สามารถให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเทียบกับหลักทรัพย์ทองคำและน้ำมัน โดยยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอีกในอนาคต และมูลค่าการซื้อขายของเหรียญต่าง ๆ จะเริ่มมีการกระจายมากขึ้นจากการเติบโตของเหรียญสกุลอื่น ๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจ สำหรับตลาดหุ้นไทย กับ ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในห่วงเวลานี้ คือ การที่หนึ่งในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หันมาเบนเข็มธุรกิจมุ่งหน้าสู่การทำฟาร์มเหมืองดิจิทัล จนทำให้ราคาหุ้นในระยะเวลาเพียง 1 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2,231% นั่นคือ บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) (JTS)

ต้องยอมรับว่าจากต้นปี2564 ซึ่งราคาหุ้น JTS อยู่ที่ระดับ 1.77 บาทต่อหุ้น (4ม.ค.) แต่จากนั้นราคาเริ่มไต่ระดับเพดานบินอย่างต่อเนื่อง จนสามารถทำจุดสูงสุดที่ระดับ 67.00 บาทต่อหุ้น (20ก.ค.) และที่ระดับ 62.00 บาทต่อหุ้น (27ส.ค.) จึงเริ่มอ่อนตัวลงมาต่อเนื่องจนถึงระดับ 55.50 บาทต่อหุ้นในปัจจุบัน (17ก.ย.) นำไปสู่คำถามว่าราคาหุ้น JTS ยังสามารถไต่ระดับเพดานบินขึ้นไปได้อีกมากน้อยเพียงใด หรือกำลังเข้าสู่ทิศทางขาลงแล้ว

บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS เดิมทีดำเนินธุรกิจหลักคือการจัดหา ออกแบบติดตั้ง และทดสอบระบบสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร (Total ICT Solution) เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ของ "กลุ่มโพธารามิก" ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ใน JTS ด้วยสัดส่วน 32.80% โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2549 ในราคา IPO ในราคา 3.20 บาทต่อหุ้น

ที่ผ่านมา ในแง่ผลประกอบการในช่วงปี2560 -2562 พบว่าเติบโตไม่มากสูงสุด 142.58 ล้านบาท (ปี2561) โดยมีกำไรสุทธิ 15.15 ล้านบาท แต่พอเข้าสู่ปี 2563 ทิศทางธุรกิจของบริษัทเริ่มดูดีขึ้น เมื่อมีการลงนามในสัญญา 'Strategic Collaboration Agreement' กับ KT Corporation จากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินธุรกิจ Hyperscale Data Center และ Cloud Service ซึ่ง JTS เคยชี้แจง ว่า ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการเปิดตลาดคลาวด์โซลูชันอย่างครบวงจรในประเทศไทย เพื่อต่อยอดการให้บริการอื่นๆ ซึ่งรวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์ การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และการให้บริการวงจรเช่าระหว่างประเทศ (IPLC)

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือดังกล่าวพบว่า ในภาพรวมยังอยู่ในขั้นต้นเท่านั้น เพราะบริษัทรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ฯ ว่า ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการลงทุนใน Hyperscale Data Center, Cloud & AI และ ICT & Security Solution ร่วมกับพันธมิตรจากเกาหลีใต้ หรือกล่าวคือยังไม่มีการลงทุนอย่างจริงจังเกิดขึ้น แต่ทำไมราคาหุ้น JTS นับตั้งแต่นั้นถึงขยับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เริ่มเกิดคำถาม อะไรเป็นสาเหตุสำคัญให้ราคาหุ้นเกิดการเปลี่ยนแปลง? 

สิ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ บริษัทออกมายืนยันว่า การร่วมลงทุนกับพันธมิตรเกาหลี ยังอยู่แค่ขั้นตอนการศึกษา พร้อมออกมายอมรับว่า มีความสนใจและศึกษาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่สามารถต่อยอดทางด้านการเงินจากเครื่องมือทางการเงิน และเทคโนโลยีดังกล่าวได้ แต่ในช่วงเวลานั้นยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้

ต่อมา ทุกอย่างก็แจ่มแจ้งขึ้นอีก เมื่อ JTS รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า การประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 6/2564 ที่ประชุมมีมติเห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ และแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 3. ของบริษัท เพื่อรองรับการประกอบธุรกิจในอนาคต โดยเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ จำนวน 1 ข้อ
นั่นคือ ข้อ 83. ประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ศูนย์ซื้อขายโทเคนดิจิทัล นายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล ผู้ค้าคริปโทเคอร์เรนซี ผู้ค้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการธุรกิจหรือบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินสกุลดิจิทัลหรือขายเงินสกุลเงินดิจิทัล ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงแต่ไม่จำกัด เพียงการขุด ซื้อขาย แลกเปลี่ยน สินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการลงทุนหรือให้บริการด้านอื่นๆเกี่ยวกับธุรกรรมคริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัล (เมื่อได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว กรณีที่เป็นกิจกรรมที่ต้องได้รับอนุญาต) ให้บริการเก็บข้อมูล ประมวลผล ตรวจสอบ และยืนยันข้อมูลบนระบบโครงข่ายกระจายศูนย์กลาง ของการทำรายการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์แบบบล็อกเชน และดำเนินการค้นคว้า วิจัย พัฒนา และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกิจการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (INFORMATION TECHNOLOGY) ในการเพิ่มพูนความรู้ ความชำนาญ ความเชี่ยวชาญในด้านวิชาการและเทคโนโลยี

พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทเห็นควรให้เปลี่ยนชื่อและตราประทับของบริษัทฯ เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของบริษัทเป็นชื่อภาษาไทย "บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)" และ ชื่อภาษาอังกฤษ "Jasmine Technology Solution Public Company Limited" โดยจะเตรียมนำเสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2564

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น JTS ที่ผ่านมานั้น หนีไม่พ้นแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ "สินทรัพย์ดิจิทัล" นั่นเอง ขณะที่งบไตรมาส 2/64 พบว่า หลังเข้าดำเนินการซื้อหุ้นใน บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด (JASTEL) ในอัตรา 99.99% บริษัทมีกำไรสุทธิ 37.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.47 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 321.69% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

โดย บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด ได้จัดซื้อเครื่องขุด Bitcoin ไปแล้ว 200 เครื่อง มูลค่า 50.01 ล้านบาท และจะดำเนินการลงทุนในธุรกิจเหมืองขุด Bitcoin ด้วยมูลค่าการลงทุนอีก 156 ล้านบาท จากที่ผ่านมาได้มีการทยอยสั่งซื้อเครื่องขุด Bitcoin อย่างต่อเนื่อง และจะติดตั้งให้แล้วเสร็จจำนวน 500 เครื่องภายในไตรมาสที่ 3/64 เนื่องจากบริษัทได้ศึกษาเรื่อง Bitcoin มาระยะหนึ่งแล้ว มองว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นจังหวะและโอกาสที่ดี โดย Bitcoin ที่ขุดได้จะนำมาจำหน่ายบางส่วน และเก็บไว้บางส่วน ทำให้บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน JTS ยังเตรียมขยายเฟสที่ 2 ด้วยการเสริมกำลังการขุดอีก 5,000 เครื่องในต้นปี2565 โดยเล็งใช้พื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรมด้วยความพร้อมของสถานที่ และโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า พร้อมตั้งเป้าขยายกำลังการขุดเป็น 50,000 เครื่อง ก่อน Bitcoin Next Halving ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2564 ทำให้บริษัทมีกำลังการขุดรวมมากกว่า 5 Exahash/s หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของกำลังการขุดรวมทั่วโลก และจะกลายเป็นศูนย์กลางของ Bitcoin Mining Farm ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia

ส่วนประเด็นทางด้านผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมนั้น บริษัทยืนยันว่า การขุด Bitcoin ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใดเพราะพลังงานหลักที่ใช้ในการขุด Bitcoin คือพลังงานไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากหน่วยงานของรัฐ ที่ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO 14001 นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาในการนำพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานจากโซลาร์เซลล์ และพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ มาใช้ทดแทน ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนและรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมกัน 

และเพื่อยืนยันความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายลงทุน JTS รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามในสัญญาสั่งซื้อเครื่องขุด Antminer S19J Pro ล็อตแรกเป็นจำนวน 1,200 เครื่อง กับทางบริษัท Bitmain Technology Ltd. (Bitmain) ผู้ผลิตเครื่องขุดและออกแบบชิปวงจรรวมเฉพาะแอปพลิเคชัน (ASIC) ที่ใช้สำหรับการขุด Bitcoin ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และครองส่วนแบ่งทางการตลาดของเครื่องขุดมากที่สุด

โดยการจัดซื้อในครั้งนี้จะทำให้ความสามารถในการขุด หรือ Hash Rate ของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก 120 Petahashes ต่อวินาที (PH/s) ซึ่งจะเริ่มทยอยจัดส่งและติดตั้งในช่วงต้นปีหน้า ตามแผนการขยายและเสริมความสามารถในการขุดตามที่ได้มีการประกาศไปก่อนหน้านี้ และด้วยคำสั่งซื้อใหม่นี้ ทำให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการเสริมเครื่องขุดบิตคอยน์ไปถึง 28% จากเป้าหมายที่จะมีการเพิ่มกำลังขุดเป็น 5,000 เครื่องภายในปี 2565 ซึ่งเมื่อติดตั้งและเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ จะทำให้ JTS เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเหมืองขุดบิตคอยน์ที่ใหญ่ และมีความสามารถในการขุดมากที่สุดในประเทศไทย

สำหรับ แผนการทำธุรกิจและการลงทุน JTS ตั้งเป้าขยายกำลังการขุดเป็น 50,000 เครื่อง ก่อน Bitcoin Next Halving ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2567 และด้วยกำลังการขุดนี้จะทำให้ JTS เป็นหนึ่งในเหมืองขุดบิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุด หรือเป็นศูนย์กลางของ Bitcoin Mining Farm ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) 

จากแผนการลงทุนธุรกิจเงินสกุลดิจิทัล " Bitcoin " ของ JTS สามารถประเมินได้ว่าในปี 2567 บริษัทจะมีเครื่องขุดจำนวน 50,000 เครื่อง ทำให้มีกำลังขุดในสัดส่วน 5% ของกำลังขุดทั้งโลก หรือจะขุดได้ปีละประมาณ 16,000 Bitcoin และหากคำนวณจากราคาบิตคอยน์ล่าสุดเหรียญละ 1,056,205 บาท ทำให้ JTS จะมีรายได้เฉพาะการขุด Bitcoin ปีละประมาณ 16,899.28 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปัจจุบันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะปี 2563 บริษัทมีรายได้เพียง 309.94 ล้านบาท แต่รายได้จาก Bitcoin เพียงช่องทางเดียว เท่ากับรายได้รวมของ JTS ประมาณ 50 ปี แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมทำให้นักลงทุนหลายต่อหลายคนวาดฝัน เข้าครอบครองหุ้น JTS เพื่อหวังการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของราคาหุ้นในอนาคต

แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เหตุผลสำคัญหนีไม่พ้น วีรกรรมของกลุ่มจัสมินฯในอดีต โดยเฉพาะการประมูลคลื่น 4G ของ JAS (บริษัทแม่ของ JTS) ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้ชนะประมูล แต่พอถึงวันที่ 21 มี.ค. 2559 เมื่อครบกำหนดชำระเงินงวดแรกให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) จำนวนกว่า 8,000 ล้านบาท ปรากฏว่า JAS กลับเบี้ยวไม่จ่ายเงิน และยอมให้ยึดค่ามัดจำ 644 ล้านบาท

ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ระหว่างการประมูลคลื่น 4G หุ้น JAS เคลื่อนไหวอย่างร้อนแรง นักลงทุนรายย่อยแห่เก็งกำไร เพราะคาดหวังข่าวดีการชนะประมูล และ JAS ก็ชนะจริง แต่ทิ้งการประมูลภายหลัง ทำให้ราคาหุ้นอ่อนปรับตัวลงต่อเนื่อง จากเคยถูกลากขึ้นไปประมาณ 10 บาท ปัจจุบันทรุดลงมาต่ำกว่า 3 บาท

ขณะที่ " นายพิชญ์ โพธารามิก ผู้ถือหุ้นใหญ่ JAS " เคยถูกสำนักงาน ก.ล.ต. ลงโทษปรับ 160 ล้านบาท ในความผิดปั่นหุ้น JAS และหุ้น บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด(มหาชน) หรือ MONO และถูกลงโทษปรับประมาณ 60 ล้านบาท ในความผิดนำข้อมูลภายในใช้แสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น JTS


จึงเป็นที่มาของคำถามว่า การออกข่าวลุยธุรกิจเหมืองขุด Bitcoin จะเป็นการออกข่าว โดยมีวาระเพียงกระตุ้นราคาหุ้นหรือไม่ เพราะ Bitcoin ทั้งโลกมีจำนวนทั้งสิ้น 21 ล้านบิตคอยน์ ถูกขุดขึ้นมาแล้วกว่า 18 ล้าน Bitcoin จึงเหลืออยู่อีก 2 ล้าน Bitcoin เศษ และคำนวณกันว่า จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 100 ปีจึงขุดจนหมด ขณะเดียวกันการขุด Bitcoin ยังมีค่าใช้จ่ายเรื่องต้นทุนค่ากระแสไฟฟ้าที่สูงมาก จึงเป็นที่มาให้เหมืองขุดในจีนมีความได้เปรียบ เพราะทั้งภูมิประเทศที่อุณหภูมิต่ำกว่า จึงช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าลง และค่าไฟเฉลี่ยตกยูนิตละ 1 บาท ขณะที่ค่าไฟฟ้าของไทยประมาณยูนิตละ 4 บาท

ปัจจุบันรัฐบาลจีนมีนโยบายปิดเหมืองขุด Bitcoin จึงทำให้ต้องอพยพ เหมืองทั้งหมดออกนอกประเทศ และกำลังถูกจับตาว่า เหมืองเหล่านี้จะย้ายเหมืองไปประเทศไหน ขณะที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายห้ามตั้งเหมืองขุด ซึ่ง JTS สามารถ ตั้งเหมืองได้ แต่ก็เป็นเพียงการเพิ่มผู้ขุด Bitcoin รายใหม่ขึ้นในโลกที่จะแบ่งสัดส่วน Bitcoin ที่จะขุดจากผู้ขุดรายเก่าเท่านั้น เพราะปริมาณ Bitcoin ที่จะขุดได้ในแต่ละปีนั้นมีจำกัดเท่าเดิม เมื่อมีผู้ขุดรายใหม่ นั่นหมายถึงจะต้องแบ่งสัดส่วนจากผู้ขุดรายอื่นเท่านั้น

หากพิจารณาโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจเหมืองของของ JTS แล้ว คนในแวดวงธุรกิจเงินสกุลดิจิทัล ประเมินว่า ยังมีความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ โดยหากดำเนินการได้จริงย่อมมีผลต่อผลประกอบการและราคาหุ้นของบริษัท เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตของกลุ่ม มาบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อการตัดสินใจลงทุน

ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ราคาหุ้น JTS ในช่วงที่ผ่านมาปรับขึ้นร้อนแรง นั้นมีปัจจัยหนุนจากกระแสข่าวที่บริษัทสนใจลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งตรงกับความสนใจของนักลงทุนในยุคนี้ จึงส่งผลให้เกิดกระแสเข้ามาเก็งกำไรในหุ้น JTS อย่างไรก็ตามเหตุการณ์แบบนี้คล้ายคลึงกับ หุ้นของ บมจ.เจ มาร์ท (JMART) ที่ราคาปรับขึ้นตอบรับข่าวการลงทุนเหรียญดิจิทัล "เจฟิน คอยน์" (JFIN Coin)

ดังนั้น นักลงทุนควรติดตามรายละเอียดและรูปแบบโครงการลงทุนอีกครั้ง นอกจากนี้ ราคาหุ้นปรับขึ้นค่อนข้างมากแล้ว โดยที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) สูงกว่า 600 เท่า อีกทั้งไม่มีการจัดทำบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและราคาเหมาะสมจากนักวิเคราะห์ในตลาด และหากประเมินราคาเหมาะสมจากปัจจัยบวกดังกล่าว  คาดราคาหุ้นควรอยู่ที่ 12-13 บาทต่อหุ้นเท่านั้น