• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Prichas

#3521


จากข้อมูลของกรมศุลกากร การส่งออกข้าวในช่วง 7 เดือนแรกของปี (ม.ค.-ก.ค. 2564) มีปริมาณ 2,587,170 ตัน  ลดลง 22.4%เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีการส่งออกปริมาณ 3,332,200 ตัน ด้านมูลค่า 48,973 ล้านบาท  หรือ 1,608.4 ล้านดอลลาร์  ลดลง 30.1% เทียบดับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี มูลค่า 70,031.4 ล้านบาท  หรือ 2,240.4 ล้านดอลลาร์  


รังสรรค์ สบายเมือง นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคาข้า่วมีแนวโน้มทรงตัวหลังจากก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงประมาณ 20% เทียบจากช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา หรือ ราคาลดลงจากเฉลี่ยราคาข้าวเปลือกเจ้า ที่ตันละ 10,000 -10,500 บาท มาอยู่ที่ 7,000-8,000บาท  

สาเหตุสำคัญมาจากไทยผลิตข้าวได้มากกว่าปริมาณความต้องการบริโภคในประเทศเท่าตัวทำให้การส่งออกเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศที่ก่อนหน้านี้ ราคาข้าวไทยสูงเมื่อเทียบกับผู้ส่งออกข้าวจากประเทศอื่นๆทำให้แข่งขันไม่ได้ ปริมาณการส่งออกจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อราคาภายในประเทศ ประกอบกับช่วงนี้เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวออกสู่ตลาดมาก 

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันยังพบปัจจัยที่เอื้อต่อการส่งออกในขณะนี้คือ เงินบาทอ่อนค่า และราคาข้าวไทยที่อ่อนตัวลงทำให้ปัจจุบันสามาถแข่งขันได้และพบว่าไทยมีคำสั่งซื้อข้าวมากขึ้นเพราะมีศักยภาพในการส่งออกที่ดีอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ราคาข้าวที่ลดลงอย่างมากแม้ไม่กระทบต่อชาวนาโดยตรงเพราะมีโครงการประกันรายได้ซึ่งกำหนดรายได้ชาวนาจากการขายข้าวไว้ที่ ตันละ 10,000 บาท (ข้าวเปลือกเจ้า)ทำให้ชาวนาสามารถได้รับส่วนต่างจากราคาตลาดกับราคาประกันจากรัฐบาลได้ทำให้ผลกระทบไม่สูงมากแม้ปีนี้ชาวนาจะเผชิญกับปัญหาปัจจัยการผลิตที่สูงขึ้นตามทิศทางราคาโลก ทั้ง ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช และปัจจัยอื่น 


จากสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกลดลงขณะนี้ ทำให้ภาครัฐต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในโครงการประกันรายได้ที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยโครงการประกันรายได้ปีนี้  คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ(นบข.) ที่ีมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน กำหนดงบประมาณไว้ที่ 89,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาข้าว พร้อมช่วยปัจจัยการผลิตให้ชาวนา ที่ไร่ละ 1,000 บาท จำนวน 20 ไร่ ต่อ 1 ครัวเรือน คิดเป็นเงินประมา 59,000 ล้านบาท 

เบื้องต้นปีนี้เชื่อว่าจะมีปริมาณข้าวออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา จากจำนวนชาวนาและพื้นที่ปลูกข้าวที่มากขึ้น ประมาณ 4.6 ล้านครัวเรือน ในพื้นที่รวมประมาณ 60 ล้านไร่  แต่ปริมาณน้ำฝนที่ค่อนข้างมากในขณะนี้ก็เป็นอีกหัวเลี้ยวหัวต่อว่า หากน้ำฝนมากเกินไปก็อาจทำให้น้ำท่วมนาข้าวจนผลผลิตไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ดังนั้น สถานการณ์ราคาข้าวจึงยังมีความผันผวนได้อีกจากนี้ 

รายงานข่าวจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุว่า การส่งออกข้าวในเดือนก.ค. 2564 มีปริมาณ 419,578 ตัน มูลค่า 7,466 ล้านบาท โดยปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 7.6% และ 4.9% เมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย. 2564 ที่มีการส่งออกปริมาณ 389,331 ตัน มูลค่า 7,115 ล้านบาท        เนื่องจากในช่วงนี้ราคาข้าวของไทยปรับลดลงตามภาวะตลาดและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญโดยเฉพาะอินเดียได้ ส่งผลให้การส่งออกข้าวนึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากจากเดือนก่อน 

โดยในเดือนก.ค. 2564 มีการส่งออกข้าวนึ่งปริมาณ 175,522 ตัน เพิ่มขึ้น 107.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ส่วนใหญ่ส่งไปยังตลาดหลัก เช่น แอฟริกาใต้ เยเมน เบนิน ไนเจอร์ แคเมอรูน เป็นต้น อย่างไรก็ตามในส่วนของข้าวขาวมีการส่งออกลดลง 33.7% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยมีปริมาณ 136,501 ตัน ส่วนใหญ่ส่งไปประเทศจีน ญี่ปุ่น แองโกล่า แคเมอรูน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ขณะที่การส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) มีปริมาณ 74,850 ตัน เพิ่มขึ้น 21.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยส่งไปยังตลาดหลักคือ สหรัฐฯ ฮ่องกง แคนาดา ฝรั่งเศส สิงคโปร์ จีน เป็นต้น

สมาคมฯคาดว่าในเดือนส.ค. 2564 ปริมาณส่งออกข้าวจะมีมากกว่า 600,000 ตัน เนื่องจากราคาข้าวของไทยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่ห่างจากคู่แข่งมากนัก ขณะที่ความต้องการข้าวในตลาดต่างประเทศ ทั้งที่แอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังคงมีปัญหาด้านลอจิสติกส์อยู่บ้างในบางเส้นทางเดินเรือ เช่น อเมริกา และยุโรป ที่ค่าระวางเรือยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้คาดว่าการส่งออกข้าวขาวและข้าวนึ่งจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ปริมาณส่งออกจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 600,000-700,000 ตัน ซึ่งจะทำให้ในปีนี้ประเทศไทยสามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่ 6 ล้านตัน

ด้านราคาข้าวในช่วงนี้ข้าวขาว 5% ของไทยราคาอยู่ที่ 409 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน อยู่ที่ 398-402, 368-372 และ 353-357 ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ ส่วนข้าวนึ่งของไทยราคาอยู่ที่ 415 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวนึ่ง ของอินเดีย และปากีสถาน อยู่ที่ 348-352 และ 396-400 ดอลลาร์ต่อตัน ตามลำดับ
#3522


สายการบินไทยสมายล์  ประกาศตารางบินทั่วไทย 11 เส้นทาง ช่วง 1-30 ก.ย. พร้อมบริการฟูลเซอร์วิส  ฟรี น้ำหนัก20 กก. ,เลือกที่นั่ง ,อาหาร เครื่องดื่ม

สายการบินไทยสมายล์ ประกาศพร้อมเปิดให้บริการเส้นทางในประเทศ โดยมีตารางบินตั้งแต่วันที่ 1-30  ก.ย.2564 จำนวน 11 เส้นทาง พร้อ การให้บริการแบบ ฟูลเซอร์วิส ด้วยรอยยิ้มทุกเที่ยวบิน
ฟรี เลือกที่นั่งได้ ไม่เสียค่าธรรมเนียมฟรี น้ำหนักสัมภาระ 20 ก.ก. ฟรี บริการอาหารว่างและเครื่องดื่มฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต

โดย 11 เส้นทางประกอบด้วย 1. กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 2. กรุงเทพฯ-เชียงราย 3. กรุงเทพฯ-ขอนแก่น 4. กรุงเทพฯ-อุดรธานี 5. กรุงเทพฯ -อุบลราชธานี 6. กรุงเทพฯ-ภูเก็ต

7.กรุงเทพฯ-กระบี่ 8.กรุงเทพฯ-สุราษฎร์ธานี 9. กรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช 10.กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ 11. กรุงเทพฯ-นราธิวาส

โดยสามารถตรวจสอบเที่ยวบินของท่านได้ที่ เว็บไซต์ www.thaismileair.com
หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Smile Call Center โทร 1181 หรือ 02-118-8888
#3523
ศูนย์ภาษาแคลิฟอร์เนีย California Language Center (CLC) 
ตั้งอยู่ที่ อาคาร 6 คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 
เป็นโครงการความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างมหาวิทยาลัยขอนแก่นกับ University of California Riverside , USA ดำเนินการเปิดสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียน นักศึกษาและบุคคลทั่วไป เป็นระยะนานกว่า 20 ปีศูนย์ภาษาแคลิฟอร์เนียประกอบด้วยบุคลากรที่มีประสบการณ์ทางด้านการศึกษาทั้งในและต่างประเทศโดยได้รับความร่วมมือทางวิชาการจาก University of California Riverside ในการจัดหลักสูตรและจัดหาอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิให้แก่ CLC การดำเนินการนี้เป็นการพัฒนาระบบการศึกษาภาษาอังกฤษของไทยให้มีความเป็นสากลมากขึ้น และเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้มีโอกาสได้รับ
การศึกษาอบรมที่ดี มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานและสถาบันต่างๆทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างคุณภาพให้แก่ทรัพยากรมนุษย์และการแลกเปลี่ยนความรู้ ความสามารถ และความคิดเห็นระหว่างนักศึกษาไทยและอาจารย์ชาวต่างชาติ เพื่อเปิดโลกทัศน์ของเยาวชนเหล่านี้ให้กว้างไกล และเสริมทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ตามวัตถุประสงค์ของความร่วมมือระหว่างสองสถาบัน

โทร .043-203703,084-4048784, 096-8839339
อีเมล์ : californiakku@gmail.com
FB : California Language Center
Id Line : californiakku 
เว็บไซต์ : http://www.clckhonkaen.com/


หลักสูตรที่เปิดสอนมีดังนี้
1. ภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก 4-15 ปี 
2. Phonics for Kids (4-10 ปี)
3. Grammar ประถม (ป.4-6)
4. Grammar+Vocab ม.ต้น (ม.1-3)
5. Grammar+Vocab ม.ปลาย (ม.4-6)
6. ภาษาอังกฤษสำหรับ นักศึกษา และวัยทำงาน 
-Grammar + Basic Conversation
-I Can Speak 
-Intensive Conversation
7. Basic Writing การเขียนขั้นพื้นฐาน การเขียนเรียงความ บทความต่างๆ
8. Private English Lessons เรียนตัวต่อตัว (1-4 คน)

Tags :: เรียนภาษาอังกฤษขอนแก่นกับศูนย์ภาษาแคลิฟอร์เนีย(CLC),เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับชาวต่างชาติ,เรียนภาษาขอนแก่น












#3524


ผลการศึกษาที่ชื่อ Mega Sales & Holiday 2021 จาก Facebook IQ เผยให้เห็นถึง 4 เทรนด์สำคัญสำหรับการชอปปิงช่วงปลายปีนี้ในประเทศไทยประกอบด้วย

1. เหล่านักช้อปให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวก่อนช้อปในเทศกาล Mega Sales Day เป็นอย่างมาก เหล่านักช้อปจะเตรียมตัวสำหรับ Mega Sales Day ล่วงหน้าประมาณ 2-3 สัปดาห์ 

โดย 75% ของนักนักช้อปชาวไทยบอกว่าพวกเขาจะวางแผนสิ่งที่ต้องการจะซื้อล่วงหน้า โดยเดือนธันวาคมจัดเป็นช่วงเดือนที่นักช้อปมีการวางแผนมากที่สุด สะท้อนให้เห็นจากร้อยละ 54 ของนักช้อปชาวไทยบอกว่ามีการวางแผนช่วงนี้

นอกจากนี้ Mega Sales Day ยังเป็นช่วงที่การค้นหาสินค้านอกเหนือจากหมวดที่ได้รับความนิยมอย่าง เสื้อผ้า แฟชั่น และอาหาร เกิดขึ้นมาก โดยล 76% ของนักช้อปชาวไทยกล่าวว่าในช่วง Mega Sales Day พวกเขาซื้อสินค้าในหลากหลายหมวดหมู่มากกว่าช่วงปกติ และ 93% กล่าวว่าพวกเขาเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ไม่เคยซื้อมาก่อน 

แบรนด์ที่ถูกค้นพบในช่วงของ Mega Sales Day นี้มีแนวโน้มที่จะได้ลูกค้าใหม่ๆ ที่มีความรักในแบรนด์เพิ่มขึ้นด้วย 75% ของนักช้อปในประเทศไทยที่ซื้อของในช่วง Mega Sales Day นั้นมีแนวโน้มที่จะใช้และซื้อสินค้าที่พวกเขาค้นพบในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง มากกว่าที่จะกลับไปใช้แบรนด์เดิมๆ

2. แบรนด์ที่สามารถสร้างประสบการณ์การชอปปิงแบบไร้รอยต่อได้ จะมีความได้เปรียบ นักช้อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าเมื่อพวกเขามีความมั่นใจในคุณภาพ และรู้ว่ามีช่องทางติดต่อกับร้านค้า 

โดยจะชอบมากหากสินค้าได้รับการรีวิว (92%) มีรูปภาพคุณภาพสูงหรือวีดิโอที่มีคุณภาพสูง (88%) และความง่ายในการติดต่อสื่อสารกับแบรนด์ (91%) ที่น่าสนใจกลุ่ม Gen X นั้น คาดหวังที่จะได้รับความสะดวกที่มากขึ้นไปอีก โดยพวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่สามารถติดต่อผ่านการส่งข้อความได้มากกว่า

3. การค้าขายข้ามพรมแดนจะเข้ามาชดเชยรายได้ที่หายไปจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อการเดินทางข้ามประเทศยังถูกจำกัดด้วยโรคระบาด เหล่านักช้อปในช่วง Mega Sales Day จึงหันมาซื้อของข้ามพรมแดนมากขึ้น เพราะว่าตอบโจทย์ในเรื่องความแปลกใหม่ และมีคุณค่าในตัวของมันเอง 

การที่พวกเขาสามารถค้นพบและเข้าถึงแบรนด์จากอีกมุมโลกได้ ทำให้การซื้อสินค้าข้ามพรมแดนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว โดยมีนักช้อปช่วง Mega Sales Day กว่า 55% ทำการซื้อสินค้าจากต่างประเทศอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงวันหยุด โดยยอดขายนั้นส่วนใหญ่มาจากกลุ่ม Millennials และเสื้อผ้าเป็นกลุ่มที่มียอดขายสูงสุดสำหรับหมวดสินค้าต่างประเทศ

4. นักช้อปให้ความสำคัญกับความจริงใจของแบรนด์ ความเชื่อมั่นในแบรนด์เป็นปัจจัยหลักที่มีส่วนในการตัดสินใจซื้อในช่วง Mega Sales Day โดยลูกค้าต้องการประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อและปลอดภัย 

โดย 88% ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของแบรนด์และสินค้า ขณะที่  81% บอกว่าพวกเขาเชื่อเนื้อหาที่มีคนจริงๆ อยู่ในนั้น ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ สามารถเข้าถึงนักช้อปและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ด้วยการร่วมมือกับเหล่าครีเอเตอร์ เพื่อช่วยบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ในแบบที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในช่วง Mega Sales Day

แพร ดํารงค์มงคลกุล Country Director ของ Facebook ประเทศไทย กล่าวว่า ก้าวเข้ามาสู่ช่วงครึ่งปีหลังแล้ว และผู้คนจำนวนมากก็ยังคงใช้ช่องทางออนไลน์เป็นตัวเลือกหลักในการชอปปิง ดังนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากที่แบรนด์ต่างๆ ควรประเมินว่าจะสร้าง engagement หรือปฏิสัมพันธ์กับเหล่านักช้อปอย่างไร 

โดยเฉพาะในเรื่องของการมอบประสบการณ์ที่เหนือกว่าและมีความสามารถในการตอบโจทย์ตรงความต้องการเฉพาะส่วนบุคคลของผู้บริโภคในรูปแบบที่ดึงดูดและสร้างการมีส่วนร่วมที่ดีกับตัวแบรนด์ด้วย เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่กำลังจะมาถึงในช่วงเทศกาลนี้
#3525


หุ้นไทยพุ่งทะลุ 1,600 จุดได้อีกครั้ง โดยต่างชาติแห่ซื้อหุ้น EA กว่า 435 ล้านบาท หลังเดินหน้าลุยธุรกิจ New S-Curve เต็มรูปแบบ ล่าสุดประกาศข่าวดีพร้อมคิกออฟโครงการแบตเตอรี่ลิเทียมเฟสแรกในไตรมาส 3 นี้ ป้อนรถบัสไฟฟ้าที่ประกอบเสร็จกว่า 100 คัน

ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา (23-27 ส.ค.) มีมูลค่าการซื้อขายรวม 484,907.61 ล้านบาท โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดการซื้อขายปลายสัปดาห์ที่ 1,611.20 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.73% จากระดับปิดของสัปดาห์ก่อนที่ 1,553.18 จุด

โดยนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 13,405.07 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 2,568.00 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 8,070.18 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนรายย่อยในประเทศที่ขายสุทธิ 24,043.25 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากพิจารณาการซื้อขายของบัญชี "เอ็นวีดีอาร์" (NVDR) ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศในการซื้อหุ้นไทย ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 27 ส.ค. พบว่า

10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสูงสุด ได้แก่

EA มูลค่าซื้อสุทธิ 435.09 ล้านบาท   

ADVERTISEMENT


ADVANC มูลค่าซื้อสุทธิ 271.24 ล้านบาท   

JMART มูลค่าซื้อสุทธิ 258.74 ล้านบาท   

PTTGC มูลค่าซื้อสุทธิ 239.34 ล้านบาท   

SCB มูลค่าซื้อสุทธิ 226.19 ล้านบาท   

TISCO มูลค่าซื้อสุทธิ 193.43 ล้านบาท   

BBL มูลค่าซื้อสุทธิ 175.87 ล้านบาท   

IRPC มูลค่าซื้อสุทธิ 162.95 ล้านบาท   

KTC มูลค่าซื้อสุทธิ 118.55 ล้านบาท          

TRUE มูลค่าซื้อสุทธิ 109.72 ล้านบาท   

และ 10 อันดับหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสูงสุด ได้แก่

PSL มูลค่าขายสุทธิ 578.32 ล้านบาท

CPALL มูลค่าขายสุทธิ 240.77 ล้านบาท    

GUNKUL มูลค่าขายสุทธิ 209.35 ล้านบาท

KCE มูลค่าขายสุทธิ 203.39 ล้านบาท

KBANK มูลค่าขายสุทธิ 122.71 ล้านบาท   

GULF มูลค่าขายสุทธิ 118.59 ล้านบาท

TU มูลค่าขายสุทธิ 101.88 ล้านบาท

INTUCH มูลค่าขายสุทธิ 70.50 ล้านบาท   

CBG มูลค่าขายสุทธิ 68.94 ล้านบาท

HMPRO มูลค่าขายสุทธิ 57.13 ล้านบาท
#3526


นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นการเร่งพัฒนายกระดับเอสเอ็มอีไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างขีดความสามารถทางทำธุรกิจในระดับสากลมาก ซึ่งกลุ่มเอสเอ็มอีนับเป็นฐานเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศที่ทาง สสว. ให้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดได้จัดกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Digital Content ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์เอสเอ็มอีประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 

โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยศิลปากร เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของการรวมกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่ม ดิจิทัล คอนเทนท์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอร์สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยฝีมือและผลงานคุณภาพระดับสากลของผู้ประกอบการไทยกลุ่มดิจิทัล คอนเทนท์ทำให้สามารถสร้างเม็ดเงินในอุตสาหกรรมฯ ได้ปีละหลายหมื่นล้านบาท

อ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจและคาดการณ์ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลกับสถาบันไอเอ็มซีมีการคาดการณ์ว่าในปี 2565 มูลค่าอุตสาหกรรม อยู่ที่ 45,094 ล้านบาทและเติบโต 15% ซึ่งมีการเติบโตทั้งในส่วนแอนิเมชั่น เกมและคาแรคเตอร์


"การพัฒนาดิจิทัล คอนเทนท์ คลัสเตอร์และเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เข้มแข็ง มุ่งให้เกิดการขยายสัดส่วนมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมของเอสเอ็มอีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ดังนั้นการสร้างกลุ่มหรือคลัสเตอร์ทำให้เกิดความเข้มแข็งและอยู่รอดได้"

สำหรับการจัดกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ดังกล่าว  ภายใต้โครงการสนับสนุนและพัฒนาคลัสเตอร์เอสเอ็มอีปี 2564 ถือเป็นโอกาสสำคัญอีกครั้งหนึ่ง ในการสร้างความร่วมมือของหน่วยงานรัฐสองหน่วยงาน ระหว่าง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กับ มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมถึงการไปร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก

อาทิ สมาคมดิจิทัลคอนเทนท์ไทย (DCAT) สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) รวมทั้งพันธมิตรในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ได้นำผลงานของผู้ประกอบการในเครือข่ายดิจิทัลคอนเทนต์ไปต่อยอด ทั้งด้านการผลิต และการจัดจำหน่ายอี-คอมเมิร์ซ 

โดยในการพัฒนาศักยภาพเอสเอ็มอีและคลัสเตอร์ดิจิทัล คอนเทนท์ให้มีความเข้มแข็งจะต้องอาศัยการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานภาคีต่างๆ หลายหน่วยงาน

ที่ผ่านมากิจกรรมนี้ได้สนับสนุนให้ประกอบการในคลัสเตอร์ดิจิทัล คอนเทนท์ ได้มีเวทีและโอกาสในการนำเสนอผลงานต่อนักลงทุน สื่อ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายผู้ประกอบการในคลัสเตอร์อื่น รวมทั้งกลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่กิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยสามารถกระตุ้นและต่อยอดให้เกิดมูลค่าในอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
#3527


เพชรบุรี – รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ เดินเท้าถามไถ่ทุกข์สุขชาวบ้านโป่งลึก บางกลอย ตรวจเยี่ยมคุณภาพชีวิต น้ำสะอาดจากระบบประปาบาดาล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อมชมแปลงสาธิตการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน และแสดงความยินดีที่ พื้นที่แก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

วันนี้ (29 ส.ค. ) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ลงพื้นที่บ้านโป่งลึก บางกลอย อำเภอแก่งกระจาน ซึ่งห่างไกลจากตัวจังหวัดเพชรบุรี ใช้เวลาเดินทางไปกลับกว่าสี่ชั่วโมง โดยมีนายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และหัวหน้าส่วนราชการให้การต้อนรับ พร้อมร่วมติดตามการตรวจเยี่ยมให้กำลังใจประชาชน

นายวราวุธ กล่าว แสดงความยินดี ที่พื้นที่แก่งกระจานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การลงพื้นที่เพื่อติดตามผลความคืบหน้าโครงการฯ ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนยังมีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไขอีกหรือไม่ รัฐบาลมีความเป็นห่วงทุกด้าน เพื่อความอยู่ดีมีสุขของพี่น้องประชาชน ว่ายังขาดอะไรอยู่บ้างและสิ่งที่ขาดจะต้องเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว ต้องเร่งดำเนินการให้เรียบร้อย ตรงไหนที่ดีอยู่แล้วต้องเร่งพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับพื้นที่ที่เป็นมรดกโลกด้วย

โดยแสดงความห่วงใยวิถีคุณภาพชีวิตตรวจมาตรฐาน โครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล ส่งเสริมการดำเนินงาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ พร้อมยืนยันว่า ชาวบ้านมีน้ำสำหรับบริโภคเพียงพอ เป็นแหล่งน้ำดื่มสะอาดที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง และมีการติดตั้งระบบในการกระจายน้ำให้ทุกหมู่บ้าน ระบบสูบน้ำบาดาลด้วยพลังแสงอาทิตย์ หลังจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกเดินเยี่ยม สนทนา ไต่ถามทุกข์สุขของชาวบ้าน รอบหมู่บ้าน เยี่ยมครัวเรือน พร้อมมอบสิ่งของจำเป็น ข้าวสาร น้ำปลา แอลกอฮอล์ โดยมีนายนิรันดร์ พงษ์เทพ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านบางกลอย เป็นตัวแทนรับมอบที่จะส่งให้ถึงมือชาวบ้านทุกครอบครัว

ต่อจากนั้นร่วมชมแปลงสาธิตการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน ตำบลห้วยแม่เพรียง พร้อมมอบต้นพันธ์กล้าไม้ มะนาว ไผ่ซางหม่น ทุเรียน ขนุน มังคุด มะม่วง ฯลฯ ให้ชาวบ้านไว้ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชาวบ้านโป่งลึก บางกลอย อย่างมั่นคงต่อไป
#3528


 จากข้อมูลวิจัยบริษัทไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เผยว่า ตลาดคอนโดช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ยังคงหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลัง 2563  ผลกระทบของโควิด-19 ยังคงแผ่ขยายอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งแรกของปี 2564  ตลอดจนการติดเชื้อที่แพร่ระบาดจากคลื่นลูกใหม่ของโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่งผลให้กำลังซื้อคอนโดมิเนียมจากผู้ซื้อชาวไทยยังคงลดลงและกำลังซื้อจากชาวต่างชาติยังคงไม่กลับมา 
ผู้พัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ต้องเลื่อนหรือชะลอการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เป็นไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ขณะที่หันมาเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อรองรับกลุ่มผู้ซื้อที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย


• อุปทานสะสมของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ อยู่ที่ 652,081 หน่วย  ช่วงครึ่งปีแรก 2564  โดยมี 6,293 หน่วย ที่มาจาก 20 โครงการที่เปิดตัวในครึ่งปีแรก 2564  โดยอุปทานใหม่ในครึ่งปีแรก 2564 ลดลง 38.7% เมื่อเทียบกับอุปทานใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563

• จำนวนคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในเขตชานเมืองกรุงเทพฯ คิดเป็น 66% ของอุปทานใหม่ทั้งหมดที่เปิดตัวในครึ่งแรกของปี 2564 ขณะที่พื้นที่รอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) คิดเป็น 29% และพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจคิดเป็น 5%

• จากจำนวน 6,293 หน่วยของอุปทานใหม่ มีเพียง 2,333 หน่วยที่ขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ คิดเป็นอัตราการขายที่ 37.1% ซึ่งสะท้อนถึงอัตราการขายที่เพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 • ราคาเสนอขายคอนโดมิเนียมย่านศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ 240,609 บาทต่อตร.ม. ลดลง 4.3% จากครึ่งปีหลัง 2563 คอนโดมิเนียมย่านรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) อยู่ที่ 116,225 บาทต่อตร.ม. ลดลง 5.9 % จากครึ่งปีหลัง 2563  และคอนโดมิเนียมย่านชานเมืองกรุงเทพฯ อยู่ที่ 64,390 บาทต่อตร.ม. ลดลง 6.6% จากครึ่งปีหลัง 2563 


ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้หันไปเน้นการพัฒนาตลาดแนวราบสำหรับบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ แม้ว่าตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯจะมีผลประกอบการที่ลดลงอย่างรวดเร็ว แนวโน้มการทำงานจากที่บ้าน (work from home) ได้รับแรงผลักดันจากความจำเป็นที่เกิดขึ้น  โควิด-19 ได้เปลี่ยนความคาดหวังของผู้ซื้อมาเป็นความต้องการบ้านขนาดใหญ่หรือมีจำนวนห้องเพิ่มเพื่อใช้เป็นพื้นที่สำหรับทำงาน ซึ่งยังช่วยผลักดันให้เกิดความความต้องการบ้านในพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯ ซึ่งมีราคาถูกกว่า


• ตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปถือเป็นตลาดบ้านระดับลักชัวรี ซึ่งยังคงเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเล็กและมีความต้องการจำกัด

• ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินสำหรับบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีทั้งสิ้น 578 หน่วย

• มีโครงการบ้านจัดสรรพร้อมขายจำนวน 224 โครงการ โครงการเหล่านี้มีหน่วยทั้งหมดรวมกัน 20,018 หน่วย โดยขายได้แล้วที่ประมาณ 13,276 หน่วย จาก 20,018 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ 66%

 • หากจำแนกตามระดับราคา พบว่าบ้านที่มีความต้องการสูงที่สุดมีราคาขายระหว่าง 10 ถึง 20 ล้านบาท โดยมียอดขายสะสม 7,218 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ 61% ส่วนบ้านราคาขายระหว่าง 21 ถึง 30 ล้านบาท และ 31 ถึง 40 ล้านบาท มีความต้องการอยู่ที่ 2,612 หน่วย และ 1,871 หน่วย ตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการขายที่ 77% และ 73% ตามลำดับ 

• หน่วยขายได้ใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก 2564 มีจำนวน 1,610 หน่วย แสดงให้เห็นว่ามีจำนวนหน่วยขายใหม่ที่ขายได้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่มีจำนวนหน่วยใหม่ที่ขายได้เฉลี่ยเพียง 2,500 หน่วยต่อปีเท่านั้น
#3529


นางสุภาพร  ลีนะบรรจง  กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า "ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว แต่การเติบโตที่สูงในปีนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อน หากพ้นจากช่วงที่เศรษฐกิจโลกได้รับประโยชน์จากฐานต่ำไปแล้ว  เศรษฐกิจอาจมีการเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงและมีแนวโน้มที่จะอยู่ในช่วงโตต่ำ นักลงทุนจึงต้องมองหาทางเลือกการลงทุนที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้กับพอร์ตการลงทุน"

"หุ้นเติบโตสูงถือเป็นธีมการลงทุนที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก และมีแนวโน้มเติบโตได้อีกหลายเท่าจากปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีโกล.โกรท (KFGG) ที่ลงทุนในกองทุนหลักคือ Baillie Gifford Worldwide Long Term Global Growth Fund และได้รับ Morningstar Rating 5 ดาว*"

"กองทุนหลักมีผลงานที่โดดเด่นมาก ด้วยการบริหารสไตล์ Baillie Gifford ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใช้มุมมองการลงทุนที่แตกต่างโดยเน้นการลงทุนระยะยาว เลือกลงทุนเพียงไม่กี่หลักทรัพย์ที่เชื่อมั่นในศักยภาพและจะเป็นตัวขับเคลื่อนผลตอบแทนของตลาดในระยะยาว และไม่เน้นการซื้อขายตามตลาด โดยปัจจุบันถือการลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์เฉลี่ย 9 ปี"

"หัวใจสำคัญคือกระบวนการคัดสรรหุ้น ซึ่งจะไม่ยึดติดกับภูมิภาค อุตสาหกรรม และดัชนีชี้วัด กรอบการเลือกก็อย่างเช่น รายได้ของธุรกิจนั้นสามารถปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าภายใน 5 ปีข้างหน้าหรือไม่ อะไรคือความได้เปรียบในการแข่งขัน การบริหารจัดการเงินทุนเป็นอย่างไร รวมถึงอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ระดับราคามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 เท่าหรือมากกว่านั้น เป็นต้น ทำให้หุ้นที่ผู้จัดการกองทุนคัดสรรเข้ามาในพอร์ตนั้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นเหนือคู่แข่ง   และเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากแรงขับเคลื่อนของกระแสโลกาภิวัฒน์และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น ธีม E-commerce ธีมเกี่ยวกับสื่อออนไลน์   ธีมรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ  และ ธีมนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ "

"ตัวอย่างหลักทรัพย์ที่กองทุนหลักลงทุนเช่น Netflix เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง ที่สมาชิกสามารถรับชมซีรีย์โทรทัศน์  สารคดี และภาพยนตร์ต่างๆ ได้หลากหลายประเภท และหลากหลายภาษา  Coupang บริษัทด้าน E-commerce ที่มีสมญานามว่าเป็น Amazon แห่งเกาหลีใต้  Adyen แพลตฟอร์มที่ช่วยให้การชำระเงินเป็นเรื่องง่ายและสร้างการเติบโตทั่วโลก  เป็นต้น"

"กองทุน KFGG เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างความเติบโตให้กับพอร์ตการลงทุนระยะยาวผ่านการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นเติบโตสูงทั่วโลก สามารถรับความผันผวนในระยะสั้นได้ และมีระยะเวลาการลงทุนในระยะกลางถึงยาวเพื่อให้หลักทรัพย์ในพอร์ตมีเวลาสร้างการเติบโตได้เป็นไปตามเป้าหมาย" นางสุภาพร กล่าว
URL
 11
 
#3530


'ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มีสารปนเปื้อน เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะผู้สูงอายุในชุมชน ดังนั้น อสม. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชาชน จึงถือเป็นด่านหน้า ในการสกัด ตรวจสอบ แจ้งข้อมูล เฝ้าระวังสินค้าดังกล่าวเพื่อไม่ให้คนในชุมชนตกเป็นเหยื่อ

อ.ประจักษศิลปาคม จ.อุดรธานี เป็นอำเภอเล็กๆ ห่างจากอุดรธานี 30 กม. มีประชากร 25,572 คน 41 หมู่บ้าน 5,597 หลังคาเรือน อสม. 515 คน คิดเป็น 1 : 11 หลังคาเรือน วัด 43 แห่ง โบสถ์คริสต์ 1 แห่ง  รพ.1 แห่ง สถานีอนามัย 1 แห่ง รพสต. 3 แห่ง 


ทั้งนี้ ในพื้นที่มีสถานประกอบการ ได้แก่ โรงงานผลิตน้ำดื่ม 6 แห่ง โรงงานปลาร้า 2 แห่ง คือ เทพธิดา และ นางฟ้า ที่ส่งขายต่างประเทศหลายประเทศ โรงงานน้ำจิ้มไก่ 1 แห่ง ร้านอาหาร 7 ร้าน ร้านขายของชำ 141 ร้าน ตลาดสด 2 แห่ง ตลาดนัด 9 แห่ง แผงลอยจำหน่ายอาหาร 54 ร้าน (ข้อมูล ณ 1 ส.ค. 64) 


มีการดำเนินงานของงานคุ้มครองผู้บริโภคและวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน มาต่อเนื่องกว่า 10 ปี โดยมีการจัดตั้ง ศูนย์แจ้งเตือนภัย เฝ้าระวัง และรับเรื่องร้องเรียนปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน และ พัฒนา อสม.นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ในการติดตาม เฝ้าระวัง สามารถใช้แบบทดสอบอย่างง่าย เพื่อทดสอบสารปนเปื้อนในยา อาหาร เครื่องสำอาง ที่น่าสงสัย รวมถึงแจ้งเตือนแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ความรู้แก่ประชาชน

ADVERTISEMENT





ปัญหารถเร่ ยาโบราณ ฯลฯ 

"ศิริชัย สายอ่อน" สาธารณสุขอำเภอประจักษ์ศิลปาคม สำนักงานสาธารณสุขอำเภอประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี กล่าวในการประชุมวิชาการ วิทยาศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 29 "วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 64 จัดโดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยระบุว่า อ.ประจักษศิลปาคม จ.อุดรธานี ตอนนี้เข้าสู่สังคมสูงวัย มีผู้สูงอายุกว่า 14.8% ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะยาแผนโบราณ ปัญหาที่เกิดขึ้นมากกว่า 10 ปีก่อน คือ ผู้ประกอบการไม่ว่าจะขายตรง รถเร่ นำผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะยาแผนโบราณจะเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ผู้สูงวัยได้รับผลจากยาสเตรียรอยด์เป็นจำนวนมาก



พัฒนาศักยภาพ อสม. เฝ้าระวัง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ที่ผ่านมา มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต อ.ประจักษ์ศิลปาคม ในการขับเคลื่อนงาน มีคณะอนุกรรมการฯ ในการดูแลรับผิดชอบและมีผู้ประกอบการร่วมด้วย โดยเป้าหมาย คือ การมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน เป็นหัวใจที่สำคัญในการขับเคลื่อนงาน ซึ่งมีศูนย์แจ้งเตือนภัย เฝ้าระวัง และรับเรื่องร้องเรียนปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน

เพื่อเฝ้าระวังค้นหาสารปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น อาหาร ยา และเครื่องสำอาง โดยการมีส่วนร่วมทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคีเครือข่าย การกำหนดมาตรการทางสังคม การสร้างความเข้มแข็งระดับชุมชน โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ ให้ประชาชน มีความปลอดภัยจากผลิตภัณฑ์ส่งต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี


สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

จุดเริ่มต้นในปี 2554
ในปี 2554 มีการพูดคุยกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ได้ทำอบรมหลักสูตร อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ในการพัฒนาศักยภาพ เริ่มที่ ตัวแทนอสม. ต.นาม่วง หมู่บ้านละ 2 คน โดยสอน อสม. ใช้ชุดทดสอบหาสารปนเปื้อนแบบง่าย


ปี 2555 ขยายเครือข่าย ต.อุ่มจาน และ ต.ห้วยสามพาด 27 หมู่บ้าน อสม. หมู่บ้านละ 1 คน  


ปี 2556 มีคณะกรรมการพัฒนาสุขภาพระดับอำเภอ (DHS) พร้อมกับโครงการ อำเภอต้นแบบงานคุ้มครองผู้บริโภค และวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน พัฒนาศักยภาพ อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน 41 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 2 คน รวม 84 คน




ตั้งศูนย์เตือนภัย ร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ
ปี 2557 มีการจัดเวทีประชาคม สมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น พร้อมกำหนดมาตรการสังคมร่วม ได้แก่

ระบบส่งตัวอย่างจากศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ ถึงศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 8 อุดรธานี
จัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนภัย เฝ้าระวัง และรับเรื่องร้องเรียนปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน
ไม่ให้มีรถเร่ , รถหนังฉายยา รถฉายซีดี หรือ กลุ่มธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะยา ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต้องแจ้งขออนุญาตกำนัน/ ผู้ใหญ่บ้าน ตรวจหาสารปนเปื้อนผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยอสม. วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนก่อน จึงจำหน่ายได้
หมู่บ้านไม่ต้อนรับ รถเร่ รถหนังฉายยา รถฉายซีดี หรือกลุ่มธุรกิจขายตรงยา และเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย
หากกลุ่มดังกล่าวฝ่าฝืนมีโทษทั้งปรับและจำคุก


ในปี 2558 มีการ คิกออฟ โครงการ หน้าต่างเตือนภัยสุขภาพและอสม.วิทยาศาสตร์ชุมชน พร้อมกันนี้ ในปีดังกล่าว สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้อนุมัติ 2 ล้านบาท โครงการพัฒนางานคุ้มครองผู้บริโภคและวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนต้นแบบ ของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และสถานีอนามัยพระราชทานนามทั้ง 90 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ระหว่าง ปี 2558 – 2560 มีการขยายผล ดังนี้

ชุมชนต้นแบบเพิ่มขึ้น 90 แห่ง  
ศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ 173 แห่ง
คัดกรองผลิตภัณฑ์สุขภาพ 2,514 ตัวอย่าง พบสารอันตราย 263 ตัวอย่าง คิดเป็น 10.5% แบ่งเป็น ในอาหาร 82 ตัวอย่าง ในยา 75 ตัวอย่าง ในเครื่องสำอาง 106 ตัวอย่าง
และมีการแจ้งเตือนภัยทางหน้าต่างเตือนภัยสุขภาพ "กรมวิทย์ with you"
ปี 2562 ต.นาม่วง มีชมรนักวิทย์ชุมชน เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค 14 ชุมชน และได้รับการรับแจ้งสถานนะเป็นองค์กรของผู้บริโภค ตาม พ.ร.บ.การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 จากนายทะเบียนกลาง สำนักนายกรัฐมนตรี 12 ชมรม

ปี 2564 ชมรมฯ ที่ผ่านการรับรองสมัครเป็นสมาชิกสภาพองค์กรของผู้บริโภค



หน้าที่ของศูนย์แจ้งภัยฯ
1. ตรวจสอบสารสเตียรอยด์ในยาแผนโบราณ และสารปนเปื้อนในเครื่องสำอาง

2. ประชาสัมพันธ์และเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพ

3. รับเรื่องร้องเรียนปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน

4. ให้คำปรึกษาสิทธิของผู้บริโภค

5. แหล่งเรียนรู้งานคุ้มครองผู้บริโภคและวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน

6. ส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

7. ติดตามเยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบจากผลิตภัณฑ์สุขภาพ

           

"ทั้งนี้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ปี 2554 – 2564 การดำเนินงานเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพชุมชน พบว่า สารปนเปื้อนในอาหาร และเครื่องสำอางลดลง แต่ยังพบมีการปนเปื้อนของสเตียรอยในยาน้ำสมุนไพร" ศิริชัย กล่าว 

'เยียวยาประกันสังคมมาตรา 40' เช็คโอนพร้อมเพย์-ทบทวนสิทธิ์ ยังไม่ได้เงินทำไง?
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยังตายสูง! พบเสียชีวิต 292 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 17,984 ราย ไม่รวม ATK อีก 2,535 ราย
เตรียมตัวให้พร้อม "ร้านนวด-เสริมสวย" คลายล็อก 1 ก.ย. นี้


บทบาท อสม. วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน
เป็นหูเป็นตา

เฝ้าระวังการกระทำที่เป็นความเสี่ยงชุมชน เช่น ขอตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ที่เชื่อว่าไม่ปลอดภัย ตรวจสอบฉลากและแหล่งที่มี หากพบสิ่งผิดปกติ จะรีบรายงานเจ้าหน้าที่ รพสต.ทันที
เป็นปากเป็นเสียง

จัดตั้งศูนย์เตือนภัย เฝ้าระวังและรับข้อร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ  
เตือนภัยในชุมชนหากพบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัย
บอกเรื่องดีดี มีประโยชน์ให้กับชุมชน
เป็นแขนเป็นขา

ใช้เครื่องมือหรือชุดทดสอบอย่างง่าย ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่น่าสงสัย และส่งตรวจยืนยันที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์

นอกจากนี้ การปฏิบัติงานในตลาด อสม. มีการลงพื้นที่ตรวจสารปนเปื้อนในอาหารของร้านค้าก่อนจำหน่าย และจะมีป้ายให้ผู้ประกอบการได้รับความมั่นใจ เกิดผลดีทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ในส่วนของชุดทดสอบ ผู้ประกอกบการยังให้ความร่วมมือในการจัดหามาให้ อสม. อีกด้วย

 

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ
1. คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต (พชอ.)

2. สถานบริการสาธารณสุข เป็นพี่เลี้ยง อสม.วิทย์ฯ

3. ชมรม อสม.วิทย์ฯ มีความเข้มแข็ง

4. อปท.ให้ความร่วมมือและสนับสนุนงบประมาร

5. ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมและให้การสนับสนุน


ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา
ความมั่นคงของระบบงานคุ้มครองผู้บริโภค คือ กฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้หน่วยงานราชการที่ตรวจพบสินค้าไม่ปลอดภัยต้องแจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด เช่น กรมวิทย์ with you ของ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

และ Oryor smart application ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งเป็นระบบที่ให้ข้อมูลสินค้าที่ไม่ปลอดภัยทั้งคู่ ควรรวมเป็นระบบเดียวแบบ One stop Service และขยายให้ครอบคลุมสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
#3531


แคสเปอร์สกี้เผยโมบายมัลแวร์คุกคามองค์กรและพนักงานเพิ่มสูง รับกระแส Remote working ยอดโจมตีไทยพุ่งขึ้นอันดับสองของอาเซียน

ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังเผชิญสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 พนักงานจำนวนมากจึงต้องจัดสภาพแวดล้อมสำหรับการทำงานจากระยะไกล แนวโน้มนี้ช่วยให้ประชากรมีความปลอดภัยทางกายภาพมากขึ้น แต่ก็เป็นการเปิดช่องโหว่องค์กรทางออนไลน์ด้วยเช่นกัน

แคสเปอร์สกี้ บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก ได้ตรวจพบและบล็อกการโจมตีผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านมือถือจำนวน 382,578 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2021 เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมี 336,680 ครั้ง

แม้ว่าการนำอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในการทำงานหรือ BYOD จะเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์โรคระบาด แต่การใช้งานก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2020 เนื่องจากบริษัทต่างๆ ได้ปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเพื่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้พนักงานมีบาทบาทในการรักษาความปลอดภัยเน็ตเวิร์กของบริษัทเพิ่มขึ้นเช่นกัน

การสำรวจเรื่อง "How COVID-19 changed the way people work" ของแคสเปอร์สกี้เมื่อปีที่แล้วเปิดเผยว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากกว่าสองในสามกำลังใช้อุปกรณ์ส่วนตัวเพื่อทำงานจากที่บ้าน นอกจากนี้พนักงานยังใช้อุปกรณ์ในการทำงานเพื่อทำกิจกรรมส่วนตัว เช่น ดูวิดีโอและเนื้อหาเพื่อการศึกษา อ่านข่าว และเล่นวิดีโอเกม


ที่น่าสนใจที่สุดคือพนักงาน 33% จาก 6,017 คนที่ตอบแบบสอบถามจากทั่วโลกยอมรับว่าใช้อุปกรณ์สำนักงานเพื่อดูเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นเนื้อหาประเภทหนึ่งที่มักตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์


นายเซียง เทียง โยว ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า "คอมพิวเตอร์หรือแล็ปท็อปเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการทำงาน แต่อุปกรณ์พกพาอย่างสมาร์ทโฟนก็ยังใช้เพื่อเข้าถึงอีเมลสำนักงานและระบบที่เกี่ยวข้องกับงานตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาด การใช้อุปกรณ์การทำงานสำหรับเรื่องส่วนตัวและเข้าถึงความบันเทิงที่อันตราย ถือเป็นวิธีปฏิบัติที่เสี่ยงต่อภัยออนไลน์ ด้วยแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นในสภาพแวดล้อมโฮมออฟฟิศเสมือนจริงนี้ บริษัทต่างๆ ควรทบทวนนโยบาย สิทธิ์การเข้าถึง และการตั้งค่าความปลอดภัยเพื่อบล็อกอาชญากรไซเบอร์ไม่ให้เข้าสู่เน็ตเวิร์กองค์กรผ่านอุปกรณ์ที่ติดมัลแวร์"

มัลแวร์บนมือถือ หรือโมบายมัลแวร์ (mobile malware) หมายถึงซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตรายซึ่งกำหนดเป้าหมายไปยังอุปกรณ์พกพาโดยเฉพาะ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และสมาร์ทแกดเจ็ตอื่นๆ แม้ว่ามัลแวร์บนอุปกรณ์พกพาจะไม่เทียบเท่าคอมพิวเตอร์ในแง่ของปริมาณหรือความซับซ้อน แต่ผู้เชี่ยวชาญก็พบมัลแวร์ที่ออกแบบเพื่อใช้กับฟีเจอร์ของสมาร์ทโฟนหรือช่องโหว่ของแท็บเล็ต

โดยเฉพาะ ในยุคของการทำงานจากระยะไกลอย่างต่อเนื่อง มัลแวร์บนอุปกรณ์พกพาสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้แต่ละคน และยังเป็นจุดเริ่มสำหรับการโจมตีแบบกำหนดเป้าหมายต่อนายจ้างของผู้ใช้ได้อีกด้วย

ตั้งแต่ปี 2020 แคสเปอร์สกี้ได้เฝ้าติดตามและบล็อกการโจมตีของมัลแวร์บนอุปกรณ์พกพามากกว่าหนึ่งแสนรายการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อหนึ่งไตรมาส โดยในไตรมาสแรกของปี 2021 มีตัวเลขสูงสุดโดยตรวจพบเหตุการณ์การพยายามโจมตี 205,995 ครั้ง

อินโดนีเซียมีสถิติการโจมตีผ่านมือถือสูงสุดในภูมิภาคช่วงเดือนมกราคม 2020 ถึงมิถุนายน 2021 ตามมาด้วย "ไทย" และ "มาเลเซีย" โดยอินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลกที่ตรวจพบมัลแวร์บนมือถือมากที่สุดในไตรมาสที่สองของปีนี้ รัสเซียและยูเครนอยู่ในอันดับที่หนึ่งและสองตามลำดับ อินเดียอยู่ในอันดับที่ 4 และตุรกีอยู่ในอันดับที่ 5

สำหรับตัวเลขเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ถูกโจมตีโดยมัลแวร์มือถือ ผู้ใช้ 4.42% ในมาเลเซียตกเป็นเป้าหมายในช่วงครึ่งแรกของปี ตามด้วยประเทศไทย (4.26%) และอินโดนีเซีย (2.95%) สิงคโปร์มีตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน โดยมีผู้ใช้มือถือ 2.83% ที่เกือบติดเชื้อจากภัยคุกคามประเภทนี้ ฟิลิปปินส์ (2.27%) และเวียดนาม (1.13%) มีตัวเลขต่ำสุด

ภัยคุกคามทางมือถือที่พบบ่อยที่สุด 3 รายการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีดังนี้

• Trojan – โทรจันคือโปรแกรมที่เป็นอันตรายซึ่งดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ โทรจันจะลบ บล็อก แก้ไข คัดลอกข้อมูล และขัดขวางประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์หรือเน็ตเวิร์กคอมพิวเตอร์

• Trojan-Downloader – ดาวน์โหลดและติดตั้งเวอร์ชันใหม่ของโปรแกรมที่เป็นอันตราย รวมทั้งโทรจันและ AdWare บนคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ เมื่อดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตแล้ว โปรแกรมจะเปิดทำงานหรือรวมอยู่ในรายการโปรแกรมที่จะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อระบบปฏิบัติการเริ่มทำงาน

• Trojan-Dropper – โปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อแอบติดตั้งโปรแกรมที่เป็นอันตรายซึ่งสร้างไว้ในรหัสไปยังคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ โปรแกรมที่เป็นอันตรายประเภทนี้มักจะบันทึกไฟล์ช่วงหนึ่งไปยังไดรฟ์ของเหยื่อ และเปิดใช้งานโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ (หรือการแจ้งเตือนปลอมเกี่ยวกับข้อผิดพลาดในการเก็บ เวอร์ชันระบบปฏิบัติการที่ล้าสมัย ฯลฯ)

'เยียวยาประกันสังคมมาตรา 40' เช็คโอนพร้อมเพย์-ทบทวนสิทธิ์ ยังไม่ได้เงินทำไง?
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยังตายสูง! พบเสียชีวิต 292 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 17,984 ราย ไม่รวม ATK อีก 2,535 ราย
เตรียมตัวให้พร้อม "ร้านนวด-เสริมสวย" คลายล็อก 1 ก.ย. นี้
นายเซียง เทียง โยว กล่าวเสริมว่า ทั้งพนักงานและ CIO ในภูมิภาคนี้ต่างยอมรับประโยชน์จากการทำงานจากระยะไกลในปัจจุบันและสภาพแวดล้อมแบบไฮบริดในอนาคต แต่บริษัทควรพิจารณาประเด็นช่องโหว่ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยเช่นกัน

"เทรนด์ BYOD นั้นจะอยู่กับเราอีกนาน บริษัทควรดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเพิ่มการป้องกัน สิ่งสำคัญคือต้องฝึกอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ แจ้งเรื่องภัยคุกคามทางออนไลน์ล่าสุด และจัดหาเครื่องมือ เช่น อุปกรณ์ที่เข้ารหัส การป้องกันเครื่องเอ็นด์พอยต์และ VPN สิ่งสำคัญที่สุดคือ สร้างวัฒนธรรมความไว้วางใจและความรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความปลอดภัยขององค์กร"

เคล็ดลับป้องกันเน็ตเวิร์คและอุปกรณ์ จากอาชญากรไซเบอร์ มีดังต่อไปนี้

• ตรวจสอบว่าพนักงานมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงานจากที่บ้านอย่างปลอดภัย และให้ข้อมูลว่าต้องติดต่อใครหากต้องเผชิญกับปัญหาด้านไอทีหรือความปลอดภัย

• จัดกำหนดการการฝึกอบรมความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐานสำหรับพนักงาน ซึ่งสามารถทำได้ทางออนไลน์ให้ครอบคลุมแนวทางปฏิบัติที่จำเป็น เช่น การจัดการบัญชีออนไลน์และรหัสผ่าน การรักษาความปลอดภัยของอีเมล การรักษาความปลอดภัยปลายทาง และการท่องเว็บ โดยแคสเปอร์สกี้ และ Area9 Lyceum ได้เตรียมหลักสูตรฟรีเพื่อช่วยให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้อย่างปลอดภัย 

• ใช้มาตรการป้องกันข้อมูลที่สำคัญ รวมถึงการเปิดใช้การป้องกันด้วยรหัสผ่าน การเข้ารหัสอุปกรณ์ที่ทำงาน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้สำรองข้อมูลไว้เรียบร้อย

• ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ ซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน และบริการต่างๆ ได้รับการอัปเดตด้วยแพตช์ล่าสุด

• ติดตั้งซอฟต์แวร์การป้องกันที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เช่น Kaspersky Endpoint Security Cloud บนเครื่องเอ็นด์พอยต์ปลายทางทั้งหมด รวมถึงอุปกรณ์พกพา และเปิดไฟร์วอลล์

• สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลภัยคุกคามล่าสุด (threat intelligence) เพื่อสนับสนุนโซลูชันการป้องกันเพื่อความปลอดภัย

• ตรวจสอบการป้องกันบนอุปกรณ์มือถืออีกครั้ง ตัวอย่างเช่น ควรเปิดใช้ฟีเจอร์การป้องกันการโจรกรรม เช่น ตำแหน่งของอุปกรณ์ระยะไกล การล็อกและการล้างข้อมูล การล็อกหน้าจอ รหัสผ่าน และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยแบบไบโอเมตริก เช่น Face ID หรือ Touch ID ตลอดจนเปิดใช้การควบคุมแอปพลิเคชันเพื่อให้พนักงานใช้เฉพาะแอปพลิเคชันที่ได้รับอนุมัติเท่านั้น

เคล็ดลับสำหรับผู้ใช้และพนักงานในช่วงเวลาที่อยู่บ้าน เพื่ออุดช่องโหว่การโจมตี มีดังต่อไปนี้

• ตรวจสอบว่าเราเตอร์รองรับและทำงานได้อย่างราบรื่นเมื่อส่ง Wi-Fi ไปยังอุปกรณ์หลายเครื่องพร้อมกัน แม้ว่าพนักงานหลายคนจะออนไลน์และมีทราฟฟิกหนาแน่น (เช่นกรณีเมื่อใช้การประชุมทางวิดีโอ)

• อัปเดตเราเตอร์เป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น

• ตั้งรหัสผ่านที่รัดกุมสำหรับเราเตอร์และเน็ตเวิร์ก Wi-Fi 

• หากทำได้ ให้ทำงานบนอุปกรณ์ที่นายจ้างให้มาเท่านั้น การใส่ข้อมูลบริษัทลงในอุปกรณ์ส่วนตัวอาจนำไปสู่ปัญหาด้านความปลอดภัยและการรักษาความลับที่อาจเกิดขึ้น

• อย่าเปิดเผยรายละเอียดบัญชีงานแก่ผู้อื่น

• พูดคุยกับทีม IT หรือทีม IT Security ของบริษัทหากมีข้อกังวลหรือปัญหาใดๆ ขณะทำงานจากที่บ้าน

• ปฏิบัติตามกฎของสุขอนามัยทางไซเบอร์ ได้แก่ ใช้รหัสผ่านที่รัดกุมสำหรับทุกบัญชี ห้ามเปิดลิงก์ที่น่าสงสัยจากอีเมลและข้อความ ห้ามติดตั้งซอฟต์แวร์จากตลาดเธิร์ดปาร์ตี้ ตื่นตัวต่อภัยคุกคาม 
#3532


นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ STGT หนึ่งในผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า จากแผนงานของบริษัทฯ ที่มุ่งลงทุนขยายกำลังการผลิตถุงมือยางอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายขยายเป็นมากกว่า 80,000 ล้านชิ้นต่อปี ภายในปี 2567 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 100,000 ล้านชิ้นต่อปี ภายในปี 2569 บริษัทฯ จึงวางแผนขยายธุรกิจเพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการขยายตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตอีกมาก 

ล่าสุด บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ในประเทศสิงคโปร์แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เพื่อจัดจำหน่ายถุงมือยางและบริหารงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทั้งในด้านการผลิตและพัฒนานวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ของกลุ่มบริษัทฯ สู่ระดับสากล และอยู่ระหว่างการศึกษาและเตรียมวางแผนการจัดตั้งบริษัทในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติม เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าตลอดจนทำการตลาด เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์  ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดียิ่งขึ้นและสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน จากปัจจุบันที่บริษัทฯ มีสำนักงานในสหรัฐอเมริกา จีน และไทย และจะใช้โมเดลในประเทศดังกล่าวที่ประสบความสำเร็จด้วยดีเป็นต้นแบบ อีกทั้งยังได้ปรับโลโก้ของบริษัทใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นแบรนด์ระดับสากลมากยิ่งขึ้น 

"จากการวางแผนขยายธุรกิจในต่างประเทศควบคู่กับการลงทุนขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถกระจายและจัดส่งสินค้าในประเทศต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก จากอัตราการบริโภคถุงมือยางที่ยังไม่สูงเท่ากับประเทศในทวีปยุโรป" นางสาวจริญญา กล่าว  
#3533


หากย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน เหล่าบรรดาดาราฮอลลีวูดระดับตัวท็อปของวงการมักจะมั่นใจกับรายได้ของตนเองเมื่อภาพยนตร์ที่พวกเขาแสดงติดอันดับบนบ็อกซ์ออฟฟิศ แต่มาวันนี้เมื่อหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป การวัดความสำเร็จของนักแสดงในปัจจุบันกลับอยู่ที่ยอดวิวใน Netflix หรือข่าวประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ดูหนังทาง HBO Max

การปฏิวัติทางดิจิทัลอาจเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างไปแบบพลิกฝ่ามือ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้กระทบค่าตัวของนักแสดงคนโปรดของคุณเลย เพราะบรรดานักแสดงตัวท็อปยังคงได้รับค่าตอบแทนเป็นตัวเลขงามๆ แถมบางทียังทำรายได้มากกว่าตอนที่ต้องละมือจากจอเงินมาสู่การสตรีมมิ่งทางจอแก้วเสียอีก

ค่าตัวต่อเรื่องราวๆ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เคยเป็นราคามาตรฐานสำหรับนักแสดงระดับตัวท็อปในปี 1996 สมัยที่ "จิม แคร์รีย์" เคยทำให้ฮอลลีวูดต้องตะลึงด้วยรายได้ดังกล่าวจากภาพยนตร์ตลกแนวดาร์กคอมเมดี้เรื่อง The Cable Guy ซึ่งค่าตัวของเขายังกลายเป็นพาดหัวข่าวดังเพื่อใช้เป็นข่าวโปรโมทภาพยนตร์ตอนที่ออกฉายด้วย

ค่าตัวดังกล่าวกลายเป็นมาตรฐานให้กับนักแสดงจากเรื่องอื่นๆ ที่ตามมาหลังจากนั้นทั้ง "แซนดรา บูลล็อก" จาก The Lost City of D ของค่าย Paramount, "แบรด พิตต์" จากเรื่อง Bullet Train ของค่าย Sony และ "คริส เฮมสเวิร์ธ" จากเรื่อง Thor : Love and Thunder ของ Disney

นอกจากนั้นมาตราส่วนของค่าธรรมเนียมก็ยังแตกต่างกันออกไปอย่าง คริส ไพน์ จะได้รับเกือบ 11.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทำภาพยนตร์ภาคต่อซึ่งเป็นความหวังของ Paramount เรื่อง Dungeons and Dragons รวมไปถึง โรเบิร์ต แพตตินสัน ที่โกยเพิ่มไปอีก 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการกลับมารับบทใน The Batman

หากย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน เช็คค่าตัวนักแสดงในวันจ่ายเงินนับเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการบอกถึงอันดับในวงการบันเทิง แต่ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อมีรายใหญ่อย่าง Netflix หรือ Amazon รวมถึง สตรีมเมอร์รายอื่นๆมาเสนอเงินให้ในจำนวนมหาศาล

ตัวอย่างเช่น "แดเนียล เคร็ก" ที่พุ่งสู่จุดสูงสุดด้วยข้อเสนอเป็นเงินถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการแสดงภาคต่อ 2 เรื่องใน Knives Out ผลงานที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษของ ไรอัน จอห์นสัน โดยค่าตัวมหาศาลของแดเนียล เครก มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าทาง Netflix ได้จ่ายเงินเป็นค่าชดเชยให้กับนักแสดง ที่ตามปกติมักจะได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์หลังภาพยนตร์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ งานนี้นักแสดงที่กำลังโบกมือลาบท เจมส์ บอนด์ จึงได้รับไปเต็มๆ กับรายได้ที่เป็นตัวเลขถึง 9 หลัก



สมการตัวเลขใหม่นี้ได้กำหนดเพดานค่าตัวนักแสดงให้ถีบขึ้นไปอีกสูงลิ่ว อย่างเช่น ดเวย์น จอห์นสัน หรือ เดอะร็อก ที่ค่าตัวพุ่งไปที่ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการแสดงในภาพยนตร์คริสต์มาสผจญภัย Red One ของ Amazon Studios ที่คนตั้งตารอชม ซึ่งค่าตัวอาจเพิ่มไปได้ถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากภาพยนตร์ประสบความสำเร็จ ( ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับค่าตัวของ แดเนียล เครก ที่ได้รับในการแสดง Knives Out 2 ตอน )

ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ กับค่าตัว 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับค่าตัว 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเรื่อง Don't Look Up , จูเลีย โรเบิร์ต 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเรื่อง Leave the World Behind ทาง Netflix และ ไรอัน กอสลิง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเรื่อง The Gray Man ทาง Netflix

อย่างไรก็ตามข้อตกลงแบบใหม่นี้นับว่าสร้างความปวดหัวให้กับสตูดิโออย่าง Warner Bros. เป็นอย่างมาก เพราะได้ตัดสินใจที่จะปล่อยภาพยนตร์ทั้งหมดในปี 2021 ทาง HBO Max และในโรงภาพยนตร์ไปพร้อมๆกัน ซึ่งทำให้นักแสดงออกมาปฏิวัติเรียกร้องเรื่องค่าตอบแทนที่ควรจะได้อีกมากมาย

"เดนเซล วอชิงตัน" และ "วิล สมิธ" ได้ค่าตัวกันไปคนละ 40 ล้านเหรียญจากเรื่อง The Little Things และ King Richard ของ Warner Bros. ซึ่งค่าตัวที่ให้ไปได้พิจารณาจากรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศที่ลดลงเพราะมีการเปิดสตรีมมิ่งรอบปฐมทัศน์ด้วย

"คีอานู รีฟส์" มีสิทธิ์ได้รับเงินเพิ่มจากเปอร์เซ็นต์หลังหนังฉาย โดยเขยิบจาก 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นเป็น 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากภาพยนตร์ Matrix4 นอกจากนั้น Amazon Studios ยังฝากเงิน 15 ล้านดอลลาร์ไว้ในบัญชีของ ไมเคิล บี. จอร์แดน หลัง Without Remorse ทำรายได้เล็กน้อยให้ Paramount

ส่วนนักแสดงที่เอ็นจอยที่สุดก็ต้องยกให้ "ทอม ครูส" เพราะเขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยังชอบวิถีแบบเดิมๆ ที่ต้องได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยก่อนจะได้เป็นเปอร์เซ็นต์หลังจากหนังประสบความสำเร็จ

หมายความว่า "ทอม ครูซ" จะได้เงินส่วนแบ่งแน่ๆโดยคิดเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่วันแรกที่หนังเข้าฉายไม่รอให้ค่ายหนังทำรายได้จากบ็อกซ์ออฟฟิศ สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาได้รับโบนัสหลายสิบล้านดอลลาร์มาตลอดสำหรับภาพยนตร์ที่เขาแสดงหลังจากที่หนังทำรายได้ทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศมาแล้วไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง

โดยปีนี้เขาได้รับเงินเต็มๆไปแล้วจากค่าตัวในหนังเรื่อง Top Gun Maverick ถึง 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตัวเลขจะทยานสูงขึ้นหากภาพยนตร์ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉายและได้รับความนิยมจากคนดูจนยอดทะลุบ็อกซ์ออฟฟิศ (ที่มา : From Daniel Craig to Dwayne Johnson, Inside the Biggest Movie Stars' Salaries)
#3534


หลังจาก "แวว" สายสุนีย์ จ๊ะนะ นักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบสาวไทย คว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันกีฬา "พาราลิมปิกเกมส์ 2020" ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม โดยนักดาบสาวไทย เอาชนะ โจว จิ้งจิ้ง นักดาบสาวจีน ในรอบชิงอันดับ 3 ไป 15-8 คะแนน พร้อมกับคว้าเหรียญทองแดง

สายสุนีย์ เปิดเผยว่า ขอบคุณแฟนกีฬาชาวไทยทุกคนที่เป็นกำลังใจให้สายสุนีย์ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ สายสุนีย์ทำเต็มที่แล้ว พยายามสุดๆ พยายามเท่าที่ตัวเองซ้อมมา แต่ต้องขอโทษด้วยที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะได้เหรียญทองแต่ทำไม่ได้ แต่ในส่วนของสายสุนีย์ถือว่า เต็มร้อยจริงๆ แล้ว ทำจนสุดกำลัง ทำจนสุดความสามารถที่ตัวเองซ้อมมา ดีใจที่ได้เหรียญกลับเมืองไทย

ในอีก 3 ปีข้างหน้า พาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สายสุนีย์ เคยบอกไว้แล้วว่าจะไปแข่งขันอีก จะนำเอาประสบการณ์ที่กรุงโตเกียว นำไปแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง เราว่าเราพยายามสุดๆ แล้ว แต่มันยังไม่ถึง ตอนนี้บอกตัวเองแล้วว่าจะไปปารีส และจะพยายามมากกว่านี้สองเท่า ฝากแฟนกีฬาชาวไทยช่วยส่งกำลังใจให้เพื่อนๆ นักกีฬาพาราลิมปิกไทยที่ยังไม่แข่งด้วย
#3535


ตามที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยเริ่มมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 25-30 ส.ค. 64 จะมีร่องมรสุมเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะได้รับผลกระทบ มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ นั้น

นายจุมภฎ หิมะเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร การไฟฟ้านครหลวง หรือ MEA กล่าวว่า MEA มีความห่วงใยประชาชนให้ระมัดระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดพายุฝนลมแรง โดยขอแนะนำให้ตรวจสอบโครงสร้างป้ายโฆษณาให้อยู่ในสภาพที่แข็งแรงมั่นคงปลอดภัย และตรวจสอบระยะห่างของป้ายโฆษณากับสายไฟฟ้าให้มากขึ้น เพราะอาจส่งผลกระทบกับระบบไฟฟ้าอาจทำให้ไฟฟ้าดับ และขอให้ประชาชนอยู่ห่างจากป้ายโฆษณา ต้นไม้ใหญ่ และสิ่งก่อสร้างที่ไม่แข็งแรงใกล้แนวสายไฟฟ้า เพราะกิ่งไม้อาจหักโค่นจากลมกระโชกแรงและพาดลงมาทำให้เสาไฟฟ้าล้ม หรือสายไฟฟ้าขาด เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งขอแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าหากชำรุดเร่งซ่อมแซมแก้ไข และสำรวจต้นไม้ที่ปลูกในบริเวณบ้านของตนเอง ให้กิ่งไม้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยไม่ระสายไฟฟ้า เพราะอาจทำให้ไฟฟ้าดับ รวมไปถึงอาจจะทำให้มีกระแสไฟฟ้ารั่วมาตามกิ่งไม้ที่เปียกน้ำจากฝนฟ้าคะนองได้ พร้อมทั้งควรติดตามข่าวสารสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านระบบไฟฟ้านั้น MEA ดำเนินการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์โดย จัดเจ้าหน้าที่ดูแลระบบไฟฟ้า และลงพื้นที่บำรุงรักษาระบบจำหน่าย ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้า ตลอดจนมีการติดตั้งระบบไฟฟ้าสำรองในสถานที่สำคัญ เพื่อให้ระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้าของ MEA มีประสิทธิภาพ มั่นคงและปลอดภัยอย่างเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นสายไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าของ MEA ชำรุด หรืออยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย สามารถแจ้งเหตุได้ที่ MEA Smart Life Application ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนระบบ iOS และ Android ของ MEA ดาวน์โหลดฟรี คลิก https://onelink.to/measmartlife หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้แก่ Facebook : การไฟฟ้านครหลวง MEA, Line : MEA Connect, Twitter: @mea_news,Instagram : meafanclub และศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง MEA Call Center 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

#พลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานคร
Energy for city life, Energize smart living
#3536


ดรูว์ บรีส์ ควอเตอร์แบ็ก นิว ออร์ลีนส์ เซ็นต์ส รีไทร์อย่างเป็นทางการ ปลายทางต่อไปของเขา แน่นอนว่าย่อมเป็น "โปร ฟุต. ฮอลล์ ออฟ เฟม" ที่แคนตัน รัฐโอไฮโอ อดีตและความทรงจำเก่าๆ ไม่ได้ช่วยให้แฟรนไชส์ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ยามถึงเวลา ชอน เพย์ตัน เฮดโค้ช ต้องตัดสินใจว่า ใครจะยืนอยู่หลังแนววางลูก ก่อนเปิดฤดูกาลปกติ 2021-22 วันที่ 12 กันยายน

อีกไม่ช้า การแข่งขันสัปดาห์ 1 พบ กรีน เบย์ แพ็คเกอร์ส จะถึงกำหนดคิกออฟ ดังที่เรียนไว้แล้วว่า เพย์ตัน จะต้องตัดสินเลือกควอเตอร์แบ็กตัวจริง ระหว่าง เจมีส วินสตัน ซึ่งย้ายจาก แทมปา เบย์ บัคคาเนียร์ส มาเรียนรู้งานกับ บรีส์ ตลอดซีซันที่แล้ว กับ เทย์ซัม ฮิลล์

พิจารณาผลงานช่วงพรีซีซันของ วินสตัน เกมเอาชนะ แจ็คสันวิลล์ จากัวร์ 23-21 เห็นได้ชัดว่า นี่คือสิ่งที่ควอเตอร์แบ็ก ซึ่งกำลังแย่งชิงตัวจริงต้องพิสูจน์ และมีฝีมือเพียงพอทดแทน บรีส์ จอมทัพผู้รับใช้แฟรนไชส์มายาวนาน 15 ปี (2006-2021) หลังขว้างคอมพลีต 9 จาก 10 ครั้ง ระยะ 123 หลา 2 ทัชดาวน์ เซ็นต์ส ทำสกอร์ 2 จาก 3 ไดรฟ์การบุก ซึ่งเขาถูกส่งลงสนาม

นอกเหนือจากสถิติบน Box Score วินสตัน ทำ 2 ทัชดาวน์ จากการขว้างแนวลึก สกอร์แรก 43 หลา กับ สกอร์ที่สอง 27 หลา ซึ่งเป็นจุดที่กองเชียร์ "นักบุญ" ไม่ได้เห็นบ่อยนัก เนื่องจากพลังแขนของ บรีส์ ถดถอยตามสังขาร ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา จบเกม นัมเบอร์วันดราฟต์ปี 2015 กล่าว "คอมพลีต คือ สิ่งสำคัญสุด แต่คุณไม่สามารถปล่อยโอกาสหลุดลอย เมื่อถึงจังหวะเหมาะสม (มาร์เกวซ) คัลลาเวย์ สร้าง 2 บิ๊กเพลย์ เมื่อโอกาสมาถึง"

ย้อนอดีต วินสตัน วัย 27 ปี สมัยเป็นขุนพล แทมปา เบย์ บัคคาเนียร์ส ซีซันสุดท้าย (2019) มีทั้งสถิติที่ดีและน่าผิดหวัง ขว้าง 33 ทัชดาวน์ เสีย 30 อินเทอร์เซ็ปต์ เป็นเหตุให้ถูก แทมปา เบย์ ปล่อยทิ้ง แล้วดึง ทอม เบรดี ควอเตอร์แบ็กสิงห์เฒ่า มาขับเคลื่อนทีมบุก กระทั่งคว้าแชมป์ ซูเปอร์โบว์ล จากนั้น เซ็นต์ส เป็นทีมที่รับเซ้ง จ่ายค่าจ้าง 1.1 ล้านเหรียญ (ประมาณ 36 ล้านบาท) เพื่อนั่งเฉยๆ แล้วเรียนรู้จาก บรีส์

หาก วินสตัน รักษาความสม่ำเสมอ และความแม่นยำ เขาอาจแสดงให้เห็นถึงฟอร์มระดับรางวัล "ไฮส์แมน โทรฟี" สมัยเล่นให้มหาวิทยาลัย ฟลอริดา สเตท หากล้มเหลว ก็ยังจัดว่าเป็นความเสี่ยงราคาถูก ตามค่าจ้าง 12 ล้านเหรียญ (ราว 390 ล้านบาท) เฉพาะฤดูกาล 2021

ถึงแม้ความจริงว่า ผลงานพรีซีซันกับ จากัวร์ ซึ่งมีสถิติ ชนะ 1 แพ้ 15 ฤดูกาลที่แล้ว ไม่สามารถบ่งชี้อะไรได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มิอาจปฏิเสธได้ว่า วินสตัน ก้าวหน้ากว่าสมัยอยู่ บัคคาเนียร์ส กรณีไม่มีสาเหตุอื่นๆ มันน่าจะถึงบทสรุปของประเด็นถกเถียงว่า ใครคือคนที่ เพย์ตัน ควรมอบตำแหน่งตัวจริง เมื่อเข้าสู่เรกูลาร์ ซีซัน

สัปดาห์แรกของการอุ่นเครื่อง วินสตัน ขว้างคอมพลีต 7 จาก 12 ครั้ง ระยะ 96 หลา 1 ทัชดาวน์ เสีย 1 อินเทอร์เซ็ปต์ พบ บัลติมอร์ เรฟเวนส์ เปิดโอกาสแก่คู่แข่งอย่าง ฮิลล์ ผู้เล่นสารพัดประโยชน์ ซึ่ง เพย์ตัน มักเรียกใช้งาน ในเพลย์ที่คาดไม่ถึง สมัย บรีส์ เป็นตัวจริงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำแดงฝีมือในฐานะควอเตอร์แบ็กบ้าง

อย่างไรก็ตาม ฮิลล์ กลับโชว์ฟอร์มไม่ออก เกมพรีซีซันสัปดาห์ที่ 2 พบ จากัวร์ส ขว้างคอมพลีต 11 จาก 20 ครั้ง ระยะ 138 หลา 1 ทัชดาวน์ ถูกทำโทษข้อหาเจตนาขว้างทิ้ง และเกมบุกดูติดๆ ขัดๆ แม้ว่าจะสร้างเพลย์สวยๆ ช่วงควอเตอร์ 3 ยืนปักหลักขว้างทัชดาวน์เจาะด้านซ้ายอย่างแม่นยำ แต่ไม่น่าจะไม่มีใครตั้งข้อสงสัยว่า ใครโดดเด่นกว่ากัน

ปัจจุบัน วินสตัน คือ ตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า ด้วยการทำหน้าที่ควอเตอร์แบ็กอย่างเป็นธรรมชาติ และเทิร์นโอเวอร์ที่เกิดขึ้น สมัยอยู่ บัคคาเนียร์ส แลกมาด้วยระยะมากกว่า 5,000 หลา และทัชดาวน์ ผิดกับ ฮิลล์ ที่เปรียบเสมือนอาวุธลับของทีมบุก ในการขว้าง, วิง หรือรับ.

สำหรับผลการอุ่นเครื่องกับ จากัวร์ส อาจเกิดคำถามขึ้นว่า วินสตัน คือ จอมทัพคนใหม่ หรือ แค่เจอคู่แข่งด้อยกว่า จะถูกตัดสินด้วยสถิติของ เซ็นต์ส ตลอดฤดูกาลปกติ 2021 ซึ่งจะเริ่มขึ้นวันที่ 12 กันยายน แต่ถ้าจะฟันธงว่า ใครจะเป็นตัวจริงเกมเปิดซีซัน ตอนนี้ก็ต้องเลือก วินสตัน
#3537


นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงานไทยแลนด์โฟกัส 2021 โดยระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตลาดทุนไทยได้พิสูจน์ความคงทนด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการระบาดหลายระลอก แม้ว่าจะมีการระบาดอย่างกว้างขวาง แต่ตลาดหลักทรัพย์ยังสามารถประสบความสำเร็จได้

ตลาดหุ้นไทยมีการระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนมาก โดยในปี 63 ที่ผ่านมา มีมูลค่าของ IPO ทะลุ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้รับการจัดอันดับใน 10 อันดับแรกของโลก ในขณะเดียวกัน ยังเป็น 5 อันดับแรกของเอเชียและเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีการนำเสนอขายหุ้น IPO อย่างคึกคัก โดยมูลค่าหุ้นที่นำออกมาเสนอขายพุ่งขึ้นจนถึงระดับ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีสภาพคล่องสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียน โดยมูลค่าการซื้อขายต่อวันพุ่งขึ้นมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากฐานของผู้ลงทุนที่มีความหลากหลาย และมีการจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นของบริษัทต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ไทยจำนวนมากเป็นผู้นำในการดำเนินนโยบายพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งได้รับรางวัลและคำชมเชยหลากหลาย บริษัทที่จดทะเบียนใน SET ได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นปัจจัยหนึ่งในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) นับเป็นจำนวนสูงสุดในอาเซียน และเมื่อเร็วๆ นี้ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 1 ในอาเซียนที่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs)

นายภากร กล่าวอีกว่า เพื่อให้สามารถก้าวหน้าต่อไปได้อีก ตลท. จึงเน้นไปที่การเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นไปสู่ 'next normal' หรือยุคหลังการระบาดของโควิด-19 โดยการรับเอาเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ เข้ามาใช้ รวมทั้งเปิดให้ผู้ลงทุนสามารถเชื่อมโยงได้กับตลาดทุนระดับโลกต่างๆ มากขึ้น เพื่อสร้างความแข็งแกร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในด้านต่อไปนี้

1.แพลตฟอร์มข้อมูลการพัฒนาแบบยั่งยืน (ESG data platform) ตลท.ได้พัฒนาแพลตฟอร์มการเปิดเผยข้อมูลออนไลน์ ซึ่งมีการจัดสร้างรูปแบบข้อมูลทั้งหลายอยู่เพื่อแสดงและเปรียบเทียบข้อมูลด้านความยั่งยืนสำหรับนักลงทุนและผู้ใช้อื่นๆ อันเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่การเปิดเผยข้อของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

2.แพลตฟอร์ม Golbal Product หรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับตลาดทุนไทย เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงตลาดทุนโลก SET ได้พัฒนาการออกผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มการซื้อขายเพื่อเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนในตลาดนอกประเทศโดยผ่านกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) และตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) แพลตฟอร์มนี้จะทำให้ทั้งตัวกลางและลูกค้าสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศโดยผ่านตลาดภายในประเทศ

3.โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล SET จะเดินหน้าปรับปรุงด้วยการเพิ่มบริการใหม่ๆ โดยร่วมมือกับผู้เล่นรายสำคัญเพื่อสามารถให้บริการได้ดีกว่าเดิมโดยผ่านบริการออนไลน์ อย่างเช่น การประชุมผู้ถือหุ้นผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-AGM) การออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นออนไลน์ (e-proxy voting) และการทำความรู้จักลูกค้าผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ในกระบวนการนี้ SET จะนำเอาแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในปี 65 ซึ่งจะทำให้บรรดาธุรกิจใหม่และนักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนทางเลือกหลากประเภท

'การดำเนินธุรกิจและการลงทุนแบบยั่งยืน การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล และการเชื่อมโยงในประเทศเข้ากับภูมิภาคและระดับโลก เป็น 3 ยุทธศาสตร์หลักที่ ตลท. ใช้เพื่อต่อยอดความสำเร็จของปัจจุบัน' นายภากร กล่าว
#3538


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมมอบนโยบายและติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่า รฟท.รายงานว่าจะมีการทำความตกลงกับบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกเพื่อบริหารทรัพย์สินของ รฟท.เร็วๆ นี้ โดยจะมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงหลักหรือธรรมนูญใหญ่ที่ใช้ในการดำเนินงานระหว่างกัน หรือเรียกว่า "Master Agreement" โดยในข้อตกลงดังกล่าวจะมีการระบุให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด เป็นผู้ทำหน้าที่หลักในการบริหารทรัพย์สินของ รฟท. ซึ่งหมายความรวมถึงการให้สิทธิในการบริหารอสังหาริมทรัพย์หรือที่ดินของ รฟท. โดยที่ดินดังกล่าวมีมูลค่ามหาศาลและมีศักยภาพสูงมาก

การบริหารทรัพย์สินของ รฟท.ที่ดำเนินการโดย บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด จะมีการใช้วิธีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารใหม่ ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในยุคโลกาภิวัตน์

ขณะที่ นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล กรรมการรถไฟฯ และในฐานะกรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ได้มีการดำเนินการเตรียมความพร้อม และการวางแผนการดำเนินงานในหลายเรื่อง เช่น ด้านกระบวนการทางกฎหมายได้มีการขอยกเว้นพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนในด้านการบริหารจัดการและทางด้านธุรกิจ ได้มีการวางแผนในการกำหนดการมอบสิทธิในการบริหารที่ดิน เพื่อให้บริษัทเอสอาร์ที แอสเสท จำกัด เตรียมความพร้อมในการรับมอบสิทธิการบริการที่ดิน

นอกจากนี้ บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ยังได้มีการพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารโครงการใหญ่ๆ โดยดำเนินการในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งไม่ได้ดำเนินการในรูปแบบการให้เช่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น 


ทั้งนี้ การดำเนินการในการบริหารสิทธิในที่ดินต่างๆ คาดว่าจะถูกทำให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนได้ภายในเดือนธันวาค 2564 ซึ่งจากการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงิน คาดว่าบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยได้โดยมีมูลค่าสูงถึง 125,175.44 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี
@เร่งพัฒนาที่แปลงใหญ่ ย่านพระราม 9, คลองตัน, ถ.รัชดา
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติม ได้แก่ 1. รฟท.ยังมีพื้นที่แปลงใหญ่ที่มีศักยภาพ เช่น พื้นที่บริเวณถนนพระราม 9 จากแยกคลองตัน และถนนรัชดาภิเษก จึงควรนำไปพิจารณาเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม โดยในระหว่างนี้ให้เร่งนำพื้นที่แปลงขนาดกลางและขนาดเล็กมาเร่งพัฒนาให้เกิดรายได้ก่อน

2. เปรียบเทียบบริษัทลูกของบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด กับบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด เพิ่มเติม เพื่อสร้างความคล่องตัวและเสริมศักยภาพในการแข่งขัน ทั้งนี้ ให้ความสำคัญต่อหลักธรรมาภิบาล 3. ให้ความสำคัญต่อการสรรหาผู้บริหาร รวมทั้งรายละเอียดของเงื่อนไขการจ้างให้มีความเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล

4. ให้พัฒนาสถานีธนบุรี เป็นต้นแบบ TOD ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม เนื่องจากอยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราช มีระบบรถไฟฟ้าเชื่อมต่อถึง 3 สาย และให้บริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาแบบรอบด้าน และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เข้ามาบูรณาการความร่วมมือด้วย และ 5. ให้บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท เข้าไปพิจารณาความเหมาะสมของการพัฒนาพื้นที่แปลงศูนย์การแพทย์บริเวณสวนจตุจักรด้วย
#3539


บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด (Settrade) เปิดตัว Streaming Fund+ แอปพลิเคชันใหม่ล่าสุดเพื่อผู้ลงทุนในกองทุนรวม เปิดบัญชี ซื้อขาย สร้างและติดตามพอร์ต เพื่อการลงทุนในกองทุนรวมที่สะดวกง่ายดายมากขึ้น พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ ทั้ง iOS และ Android

นายพุฒิพงศ์ สกนธวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จำกัด (Settrade) กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ประชาชนให้ความสนใจในเรื่องการลงทุนเพื่อบริหารผลตอบแทนจากเงินออมเพิ่มมากขึ้น โดยกองทุนรวมนับเป็นทางเลือกให้ผู้สนใจลงทุนและผู้ลงทุนบุคคลใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุน หรือผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาลงทุนด้วยตนเอง Settrade จึงได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อการลงทุนในกองทุนรวมอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดตัว Streaming Fund+ เป็นการพัฒนาแอปพลิเคชันที่เน้นตอบโจทย์ผู้ลงทุนอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเปิดบัญชีกองทุนรวม ซื้อขาย และสร้างแผนการลงทุนและบริหารพอร์ตได้อย่างสะดวกรวดเร็วในแอปเดียว

"Streaming Fund+ เป็นแอปใหม่ที่พัฒนาต่อยอดจาก Streaming for Fund ให้มีฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายและทันสมัยมากขึ้น ประกอบด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ตอบโจทย์ลูกค้าที่สนใจการลงทุนในกองทุนรวม ให้จัดการการลงทุนได้ครบ จบ ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีออนไลน์กับตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน (selling agent) 20 ราย เลือกลงทุนในกองทุนรวมหลากหลายจาก 22 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ชั้นนำ ส่งคำสั่งซื้อ-ขาย และรองรับการลงทุนแบบตั้งลงทุนล่วงหน้า รวมถึงการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ติดตามภาพรวมพอร์ตการลงทุนได้ในหน้าเดียว นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกลงทุนผ่านแผนการลงทุนที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถเลือกแผนลงทุนในระดับความเสี่ยงที่รับได้ โดยจะมีการสรุปผลการลงทุนให้อย่างสม่ำเสมอ และปรับแผนการลงทุนได้ตลอดเวลา Settrade เชื่อว่า Streaming Fund+ จะช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ส่งเสริมการวางแผนการออมการลงทุน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนสำหรับอนาคตอีกด้วย" นายพุฒิพงศ์กล่าว

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอป Streaming Fund+ ได้แล้ววันนี้ ทั้งใน iOS และ Android สำหรับผู้ใช้ Streaming for Fund ปัจจุบัน สามารถดาวน์โหลดและใช้งาน Streaming Fund+ ได้ทันทีด้วย Username และ Password เดิม หรือยังคงใช้งาน Streaming for Fund ได้จนถึงช่วงเดือนมกราคมต้นปีหน้า ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://bit.ly/3gah2JB
#3540
 
 
 
 ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ให้นมลูก
รูปภาพสำหรับข้าวอินทรีย์  นาข้าวอินทรีย์  พันธุ์ข้าวอินทรีย์  หลักปฏิบัติในการผลิตข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค (ข้าวหอมมะลิปลอดสาร)
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ  ข้าวปลอดสารเคมีสุรินทร์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  ข้าวมะลินิลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.   ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.   ข้าวอินทรีย์หอมมะลิ, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิสุขภาพ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ข้าวปะกาอำปึลนิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์กรมการข้าว, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :    ข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ 
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ขายข้าวหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์
3.  ข้าวปะกาอำปึลปลอดสารพิษ   ข้าวผกาอำปึลเกษตรอินทรีย์(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารเคมี จ.สุรินทร์
5. ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิคคือ 6.  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์
7. ข้าวไรซ์เบอรี่ปลอดสารพิษ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์