• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Prichas

#3561


ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผันผวนในเช้าวันนี้ โดยบางส่วนได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากข่าวความคืบหน้าในการผลักดันร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,446.78 จุด ลดลง 17.51 จุด หรือ -0.50%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,580.03 จุด ลดลง 200.99 จุด หรือ -0.72% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,289.06 จุด เพิ่มขึ้น 53.26 จุด หรือ +0.20%

นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ขณะที่ภาครัฐและเอกชนของสหรัฐฯ ได้ประกาศกฎระเบียบใหม่ในการควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้พนักงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยแม้ว่าจะได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ตาม และมีบริษัทหลายแห่งออกกฎบังคับให้พนักงานต้องฉีดวัคซีนก่อนที่จะเข้ามาทำงานในออฟฟิศ

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) ซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 59.5 ในเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 60.9 หลังจากแตะระดับ 60.6 ในเดือน มิ.ย. โดยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่

นักลงทุนจับตาการผลักดันร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคของสหรัฐฯ โดยรายงานล่าสุดระบุว่า วุฒิสภาสหรัฐฯ กำลังผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งมีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนเชื่อมั่นว่า โครงการดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผน American Jobs Plan จะช่วยสร้างงานหลายล้านตำแหน่งในสหรัฐฯ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจและความเคลื่อนไหวของประเทศเอเชียในวันนี้ ซึ่งรวมถึงการเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ค.ของเกาหลีใต้ และธนาคารกลางออสเตรเลียประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075732
#3562


การระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากจะเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนในยุคนี้แล้ว ยังทำให้บริษัทต่างๆในทุกภาคอุตสาหกรรมปรับตัว ปรับรูปแบบบในการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ การทำงานทางออนไลน์ข้ามพรมแดนจึงเพิ่มขึ้นถึง 30% หรือมีมนุษย์เงินเดือนทำงานทางไกลทั่วโลกประมาณ 600 ล้านคน

"ริชาร์ด บัลด์วิน" นักเศรษศาสตร์ระหว่างประเทศระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่การทำงานทางไกลจะกลายเป็นการทำงานกระแสหลักในตลาดแรงงานโลกและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ทั้งหลายทั้ง อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศต่างมีส่วนช่วยเสริมให้แนวโน้มนี้เติบโตมากขึ้น

มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ระบุว่า ในปี 2563 แรงงานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ทำงานทางไกลหรือทำงานทางออนไลน์มีสัดส่วน 82% เป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยจ้างแรงงานรายชั่วโมงโดยเฉลี่ย 10 ดอลลาร์เทียบกับในสหรัฐที่ 33 ดอลลาร์

ด้านองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ไอแอลโอ) ยังคงมีความเห็นว่า งานหลายประเภทสามารถทำทางออนไลน์ได้ดี ให้ผลผลิตและผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจแก่เจ้าของกิจการ

ไอแอลโอประเมินว่า หนึ่งในหกของแรงงานทั้งโลก รวมถึงวิศวกรเทคโนโลยีสารสนเทศและเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน สามารถทำงานทางไกลได้ หมายความว่ามีแรงงานทั่วโลกที่สามารถทำงานทางไกลได้ 600 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ อย่างญี่ปุ่น ยังคงล้าหลังเกี่ยวกับแนวโน้มในเรื่องนี้ และอาจจะได้เห็นญี่ปุ่นแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้เลย หากไม่เร่งเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้แก่ทรัพยากรบุคคลในประเทศ

แรงงานทั่วโลกที่ลงทะเบียนกับฟรีแลนเซอร์ เว็บไซต์จัดหางานชั้นนำของออสเตรเลีย ที่ทำหน้าที่นำผู้ต้องการหางานและผู้ต้องการพนักงานทางออนไลน์มาพบกัน มีจำนวน 50.8 ล้านคนในช่วงปลายปี 2563 เพิ่มขึ้น 8.9 ล้านคนจากปีก่อนหน้านี้ และภายในเดือนมิ.ย.จำนวนแรงงานที่ลงทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 53.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นเกือบ 30% จากช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโรคโควิด-19

ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและที่อื่นๆบ่งชี้ว่าการเสนอตำแหน่งงานผ่านทางโบรกเกอร์หางานออนไลน์มีฐานดำเนินงานในอังกฤษในช่วงเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 30% จากช่วง2ปีก่อนหน้านี้

นอกจากมาตรการเข้มงวดด้านการเดินทางเข้า-ออกข้ามพรมแดนเพราะการระบาดของโรคโควิด-19 แล้ว นโยบาย"อเมริกันต้องมาก่อน"ของนายโดนัลด์ ทรัม์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ส่งผลต่อแรงงานในระบบ โดยสหรัฐออกวีซ่าสำหรับคนทำงานลดลงอย่างมากในปีงบประมาณ 2563 นับจนถึงเดือนก.ย.ปี 2563 สหรัฐออกวีซ่าประเทศH-1B แก่ผู้มาขอจำนวน124,983 คน โดยวีซ่านี้อนุญาตให้เจ้าของบริษัทว่าจ้างแรงงานต่างชาติในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล และอาชีพอื่นๆ ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้

ประมาณกลางปี2563 ทรัมป์ลงนามคำสั่งพิเศษของประธานาธิบดีห้ามไม่ให้มีการอพยพถิ่นฐานเข้าสู่สหรัฐเป็นการชั่วคราวด้วยความหวังว่าจะปกป้องตำแหน่งงานให้กับชาวอเมริกันที่ตกงานในช่วงเวลาที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ความเข้มงวดในการออกวีซ่าทำงานของรัฐบาลสหรัฐ ส่งผลกระทบอย่างมากแก่บรรดาบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ส่งวิศวกรจำนวนมากไปอเมริกาเหนือ อาทิ อินโฟซิส ของอินเดีย และทาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส แต่ถึงแม้จะเจอปัญหาเรื่องวีซ่าทำงานแต่บริษัทเหล่านี้ยังคงทำรายได้ในตลาดอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น โดยอินโฟซิส มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในปีงบการเงิน ซึ่งสิ้นสุดในเดือนมี.ค. เป็น 8,300 ล้านดอลลาร์

บรรดาบริษัทไอทีทั้งหลายที่เจอข้อจำกัดต่างๆรวมทั้งการออกวีซ่าทำงาน พยายามรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ หนึ่งในนั้นคือว่าจ้างพนักงานในท้องถิ่นเพิ่ม ขณะเดียวกันก็ดำเนินนโยบายให้พนักงานทำงานจากที่บ้านหรือที่อื่นโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ

" เวนกาทาระมาน รามากฤษณันท์" อดีตประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของบริษัททาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส มีความเห็นว่า การทำงานทางไกลช่วยให้บริษัทสามารถจัดสรรตำแหน่งงานให้เหมาะสมกับสถานที่ต่างๆและวีซ่าการทำงานของพนักงานคนนั้นๆได้ ทั้งยังลดความเสี่ยงในการให้บริการด้านต่างๆของบริษัทด้วย

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952270
#3563
ป้ายไฟวิ่ง LED เปลี่ยนข้อความผ่านมือถือ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ทนแดด ทนฝน

ป้ายไฟวิ่งLED เปลี่ยนข้อความผ่านappมือถือ(เชื่อต่อทางwi-fi) หรือส่งผ่านระบบLAN  ขนาดป้าย 105x25cm ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ทนแดด ทนฝน มีให้เลือก 4สี แดง,เขียว,น้ำเงิน ราคา 2,900บาท และFull colors  ราคา4,200 บาท ใส่คำ,ข้อความ,วันที่,เวลา,รูปภาพต่างๆได้ ป้ายติดตั้งง่าย โครงสร้างแข็งแรงทนทาน

ทางร้านลงคำให้ฟรีในครั้งแรกและสอนวิธีการใช้งานให้ลูกค้าสามารถลงข้อมูลได้ด้วยตัวเอง แถมขายึดป้ายฟรี

สนใจติดต่อ 0945102033
Line :@gentech
หน้าร้านเซียร์รังสิต ชั้น1


#3564
นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet  ชอบหวานน้อย นมเน้นๆ มีแคลเซียม ต้องลอง นมอัดเม็ด milk tablet หลายเจ้าในตลาดมากมาย แต่ทำไมนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletแจ้งเกิดเป็นนมอัดเม็ดดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะ ความนัวนม ย้ำว่านัวนมๆจริง และรสชาติหวานน้อย ที่เอาใจคนที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น รสชาติไม่หวานเลี่ยน การันตีไม่หวานแหลมแสบคอ  นมก็นมแท้ๆแน่นๆ จากนิวซีแลนด์ มี 2 ขนาดให้เลือก 





1.นมอัดเม็ดไทยชอง  milk tablet ขนาด 20 กรัมเป็นรูปซองขวด 1 ซองมี 15 เม็ด ขายปลีกซอง 12 บาท ฮัลโล ไม่แพงน้า รสชาติต้องได้ลอง เลือกคุณภาพ ประโยชน์ และ อร่อยด้วย คุ้มค่า

 

2.นมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet ขนาด 27 กรัม ซองสี่เหลี่ยม ตกซองละ 18 บาท 
จะซื้อแบบกล่อง หรือ ซื้อแบบซองก็ได้ แบบกล่องซื้อไปเป็นของขวัญของใกเก๋ไก๋ ดูดีมีราคา เพราะแพคเกจเค้าน่ารักเว่อร์ 
 


นมอัดเม็ด milk tabletเป็นขนมทีมีประโยชน์นะคะ ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอัดเม็ดไทยชอง milk tabletใช้นมแท้ๆ คุณภาพดีมาเป็นส่วนผสมหลักที่เข้มข้น ทำให้คนทานได้ แคลเซียมและวิตามินบี 2  ใครที่เน้นดูแลเรื่องกระดูกและฟัน และ ลดหวานเพื่อสุขภาพ แนะนำมากๆ กับนมอัดเม็ดไทยชอง milk tablet

สั่งซื้อ คลิกเลย >>> https://lin.ee/sSGXFCK 
 
#3565



"ลลิล พร็อพเพอร์ตี้" เผยแม้โควิด-19 ระลอกใหม่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น แต่ภาคธุรกิจก็ต้องเดินหน้าต่อ พร้อมปรับแผนรับมือด้วยการปูพรมการตลาดดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเสริมความสะดวกแก่กำลังซื้อรองรับความต้องการ เชื่อ 'Work from home Function' ยังเป็นคำตอบที่ใช่ของลูกค้าในปัจจุบันและคาบเกี่ยวสู่อนาคต พัฒนาบริการพิเศษ VIP Video Call & Private Tour ให้ผู้บริโภคสามารถคลิกเข้าชมโครงการได้แบบ 360 องศาผ่านออนไลน์แพลตฟอร์ม

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ "บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี" เปิดเผยว่า กว่า 1 ปีที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งรุนแรงที่สุดจากวิกฤติ COVID-19 ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวเช่นเดียวกับภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทย ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นกันต้องมีการปรับแผนรับมืออย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2564 ถือเป็นโจทย์ที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้เพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนับจากเกิดการแพร่ระบาด บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวิเคราะห์การตลาด การพัฒนาโครงการพร้อมอยู่ที่มีความหลากหลาย ปรับโฉมการออกแบบให้ตอบโจทย์ Work from home Function รวมทั้งรับเทรนด์การประหยัดพลังงานภายในบ้านด้วย Ecosystem เดินหน้าการตลาดเพิ่มการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ตลอดจนพัฒนาการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เอื้อต่อความต้องการและความสะดวกสบายของผู้บริโภคตามสถานการณ์อยู่เสมอ โดยได้นำกลยุทธ์ Data-Driven Marketing มาเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนการทำธุรกิจ เพื่อมอบบ้านที่ตรงตามความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงอย่างเหมาะสม "การตลาดแบบ Data-Driven จะช่วยให้องค์กรสามารถบริหารงบประมาณได้ดีและตรงจุดยิ่งขึ้น ทั้งยังนำข้อมูลที่ได้มาศึกษาถึงความต้องการของตลาด สร้างข้อได้เปรียบทางการตลาดและการขายแบบตรงใจ รวมถึงการเลือกใช้สื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง

สำหรับที่ผ่านมาบริษัทได้นำข้อมูลที่ได้มาปรับกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ออนไลน์ แพลตฟอร์ม และพัฒนารูปแบบบริการที่พร้อมมอบความสะดวกและปลอดภัยผ่านโลกออนไลน์อย่างสมบูรณ์แบบเพื่อให้ลูกค้ายังสามารถเลือกซื้อบ้านได้ผ่าน Private tour แบบ VDO call เพื่อต่อยอดการสร้างโอกาสในการขายอย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์นี้

"COVID-19 สร้างจุดเปลี่ยนที่สำคัญให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยในทุกกลุ่มตลาด เป็นตัวเร่งให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคก้าวสู่การตลาดแบบดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเร็วยิ่งขึ้น จนสร้างประสบการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นกลายเป็น new normal ที่ผู้บริโภคยอมรับและคุ้นเคย ที่สำคัญคือแบรนด์ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ทำอย่างไรให้ลูกค้าเลือกซื้อบ้านได้แม้นั่งอยู่ที่บ้านถือเป็นความท้าทายของธุรกิจอสังหาฯ สิ่งนี้คือโจทย์ที่สำคัญที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมืออย่างเข้มข้นในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะเป็นช่วงที่ส่งผลกระทบในภาพรวมที่หนักที่สุดช่วงนึงจากปัญหา COVID-19"

โดยการพัฒนาบริการพิเศษ VIP Video Call & Private Tour ให้ผู้บริโภคสามารถคลิกเข้าชมโครงการได้แบบ 360 องศาผ่านออนไลน์แพลตฟอร์มของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับการตอบรับอย่างมากในช่วง COVID-19 "บริษัทเปิดให้ลูกค้าสามารถลงทะเบียนล่วงหน้า (Pre-registration) เพื่อเยี่ยมชมโครงการผ่านระบบ VDO Call เพื่อนำชมโครงการตามที่ลูกค้าต้องการ เปิดโอกาสให้ลูกค้าสอบถามข้อสงสัยได้แบบ real time เพียงคลิก https:// www.lalinproperty.com/visit-vip/ เพื่อลงทะเบียน และกดเลือกโครงการที่ต้องการเยี่ยมชม พร้อมระบุวันและเวลาที่สะดวกในการ VDO Call เจ้าหน้าที่โครงการก็จะติดต่อไปตามวันและเวลาที่นัดหมาย เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้นในช่วง COVID-19
#3566



แอลเอ เลเกอร์ส บรรลุข้อตกลงปล่อย ไคล์ คุซมา, มอนเทรเซิล ฮาร์เรลล์, เคนทาเวียส คัลด์เวลล์-โป๊ป และ สิทธิ์ดราฟต์อันดับ 22 แลกกับ รัสเซลล์ เวสต์บรูก การ์ดจ่าย วอชิงตัน วิซาร์ดส ตามรายงานจากแหล่งข่าว "อีเอสพีเอ็น" สื่อของสหรัฐอเมริกา

วิซาร์ดส ส่ง 2 สิทธิ์ดราฟต์รอบ 2 ปี 2024 กับ 2028 ให้ เลเกอร์ส เพื่อให้เงื่อนไขสมบูรณ์

วอชิงตัน รับสิทธิ์อันดับ 22 ส่งต่อให้ อินเดียนา เพเซอร์ส แลกกับ แอรอน ฮอลิเดย์ การ์ดจ่าย และน้องชายของ จรู ขุนพล มิลวอคกี บัคส์ ชุดแชมป์บาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) ปี 2021 ขณะที่ เพเซอร์ส นำไปเลือก ไอเซียห์ แจ็คสัน ฟอร์เวิร์ด มหาวิทยาลัยเคนตัคกี

ฮาร์เรลล์ ยอมรับ เพลเยอร์ อ็อปชัน มูลค่า 9.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 320 ล้านบาท) ฤดูกาล 2021-22 เพื่อผลักดันให้เกิดการเทรด เวสต์บรูก

เวสต์บรูก วัย 32 ปี จะย้ายมาร่วมงาน เลอบรอน เจมส์ กับ แอนโธนี เดวิส ที่มหานคร แอลเอ ด้วยผลงานเฉลี่ยระดับ ทริปเปิล-ดับเบิล 4 ครั้งตลอดอาชีพ รวมซีซันล่าสุด

ผลผลิตจากมหาวิทยาลัย ยูซีแอลเอ (UCLA) จะรับใช้ เลเกอร์ส เป็นทีมที่ 4 ของอาชีพ และกลายเป็นผู้เล่นระดับ MVP คนที่ 5 ซึ่งเล่นให้ 4 แฟรนไชส์หรือน้อยกว่า ตลอดระยะเวล่า 4 ซีซันหรือน้อยกว่า ต่อจาก บ็อบ แม็คอาดู, ชาคิลล์ โอ'นีล, อัลเลน ไอเวอร์สัน และ เดอร์ริค โรส

เจ้าของรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ปี 2017 ถูก วิซาร์ดส ดึงตัวมาจาก ฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ สวนทางกับ จอห์น วอลล์ แค่ 1 ซีซัน ทำคะแนนเฉลี่ย 22.2 แต้ม 11.5 รีบาวน์ด 11.7 แอสซิสต์

ก่อนดีลการเทรดถูกประกาศอย่างเป็นทางการ วันที่ 6 สิงหาคม (ท้องถิ่น) อดีตผู้เล่น โอกลาโฮมา ซิตี ธันเดอร์ โพสต์ข้อความอำลาแฟนๆ วิซาร์ดส ทาง โซเชียล มีเดีย

"ขอขอบคุณ (วอชิงตัน) ดีซี พวกคุณต้อนรับผมและครอบครัวอย่างอบอุ่นตั้งแต่วันแรก ทุกๆ คนของฝ่ายบริหาร, เพื่อนร่วมทีม และแฟนๆ ผมซาบซึ้งพวกคุณทุกคนที่ให้โอกาสผม และสนับสนุนผมทุกๆ ฝีก้าว"

"ผมมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่มั่นคง มันไม่มีอะไรยุ่งยากเลยที่จะเปรียบ ดีซี เสมือนบ้าน ผมจะซาบซึ้งขจะจดจำช่วงเวลาที่อยู่กับองค์กรแห่งนี้ตลอดกาล ขอบคุณ"

การขับเคลื่อนเกมรุกของ เวสต์บรูก น่าจะยกระดับ เลเกอร์ส ซึ่งรั้งอันดับ 18 ของลีก ด้านคะแนนเฉลี่ยต่อเกม ซึ่งเกิดจากการแอสซิสต์ ฤดูกาลที่แล้ว

เวสต์บรูก ครองแชมป์แอสซิสต์เฉลี่ยต่อเกม 3 จาก 4 ฤดูกาลล่าสุด ยกเว้นปี 2020 ขณะร่วมงาน เจมส์ ฮาร์เดน

https:// m.mgronline.com/sport/detail/9640000074538
#3567



ต้องยอมรับว่าตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบันทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจโลกและการลงทุนยังคงมีความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2564 การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อย่างเดลตาก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดการลงทุนยังคงมีความผันผวน ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการลงทุนทั่วโลก อย่างไรก็ดีในทุกๆสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การที่นักลงทุนจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีการศึกษาข้อมูลและการวางแผนที่ดีควบคู่ไปพร้อมกัน

นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ระบบเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน แต่โลกความเป็นจริงทุกสิ่งก็ต้องยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยเหตุนี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ในฐานะธนาคารชั้นนำระดับโลก จึงได้เผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มการลงทุนครึ่งหลังของปี 2564 ที่จะมาช่วยให้นักลงทุนสามารถเตรียมความพร้อม และเป็นแนวทางก่อนตัดสินใจที่จะลงทุน ประกอบไปด้วย

1.ภาครัฐทั่วโลกยังดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง – ในขณะนี้ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายระดับต่ำต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาผลกระทบของการระบาด อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยจะไม่ต่ำแบบนี้ตลอดไป จะมีสัญญาณการปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงิน หากภาคธุรกิจต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้ใกล้เคียงปกติ และเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

2.ประเทศที่ฟื้นตัวได้เร็วจากโควิด-19 ได้เปรียบ – ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มากขึ้น แรงหนุนจากภาคธุรกิจบางส่วนที่เริ่มกลับมาเปิดใหม่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการคลังที่มีประสิทธิภาพ ภาครัฐที่สนับสนุนการขยายตัวของภาคบริการในวงกว้างมากขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยชีวิตผู้คน สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจในภาคต่างๆกลับมาขับเคลื่อน จะเห็นได้จากตลาดหุ้นทั่วโลกที่นำโดยสหรัฐฯ และจีน เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 รวมถึงมูลค่าหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 10% ในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน



3.ให้น้ำหนักการลงทุนยั่งยืน (ESG) – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ทำให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เริ่มหันมาให้ความสำคัญในการมุ่งสู่โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการลงทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นการคว้าโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเป็นแนวโน้มใหม่ที่น่าสนใจในระยะยาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ในอนาคต ตลอดจนนวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าและประสิทธิภาพของพลังงานทางเลือกมีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมากในไม่กี่ปีข้างหน้า



4.มองบวกลงทุนหุ้นหลากกลุ่มหลายภูมิภาค– แม้ภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายสูงต่อเนื่อง แต่ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้นแนะกระจายการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลากหลาย อาทิ เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัลไลเซชัน และอสังหาริมทรัพย์ โดยให้น้ำหนักในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป ลาตินอเมริกา และสหราชอาณาจักร ที่ยังมีโอกาสเติบโตสูง เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาคอื่น ๆ ตลอดจนกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่เอเชีย ตราสารหนี้ไฮยิลด์ พันธบัตรสหรัฐอเมริกา

5.จับตาสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างใกล้ชิด – แม้นักวิเคราะห์ซิตี้พบว่ามีโอกาสในการลงทุนระยะสั้นในอุตสาหกรรมหลายประเภทที่จะได้รับประโยชน์จากการสิ้นสุดของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 อีกทั้งการลงทุนระยะยาวในอีกหลายอุตสาหกรรมที่จะเร่งตัวขึ้น แต่ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดได้เช่น ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนที่อาจเลวร้ายลง เนื่องจากการแข่งขันทางการค้าที่สำคัญระหว่างสองประเทศที่อาจมีนัยยะและส่งผลกระทบ ตลอดจนการโจมตีทางไซเบอร์บนโครงสร้างพื้นฐานของโลกยังคงเป็นความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนักลงทุนควรจับตาประเด็นสำคัญของสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลประโยชน์พอร์ตลงทุนในระยะยาว
#3568



นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจ LINE for Business ปี 2021-2022 เดินหน้าเป็นแพลตฟอร์มหลักที่ส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตอกย้ำการเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้คนไทย ทั้งการดำเนินชีวิต และการดำเนินธุรกิจ 

พร้อมให้ความรู้พร้อมพัฒนาต่อเนื่องเครื่องมือธุรกิจบนแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นตัวเร่งสำคัญสำหรับการเติบโตและแข่งขันของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนหลังวิกฤติ

โดยเน้นความสำคัญในส่วนกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางวิกฤตินี้ LINE พบว่า อัตราการเติบโตของ LINE OA โดยธุรกิจกลุ่มร้านอาหารมีอัตราการเปิดใช้งาน LINE OA เพิ่มขึ้น (YoY) สูงสุดสุงถึง 212% รองลงมาคือธุรกิจกลุ่มค้าปลีกที่ 191% 

ด้วยเหตุนี้ LINE ประเทศไทยจึงมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มและเครื่องมือเพื่อขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจไทยเหล่านี้โดยเฉพาะ เพื่อยกระดับการใช้งาน LINE จากแค่เครื่องมือในการสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันในโลกยุคหลังโควิดต่อไป   

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เผยว่า กลุ่มธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 คือ ธุรกิจอาหาร โดยลดลงถึง 37% รองลงมาคือ ธุรกิจขนส่ง และค้าปลีก ในอัตราส่วนที่ลดลง 21% และ 3.7% ตามลำดับ


สำหรับ กลุ่มธุรกิจอาหาร ออกแบบ MyRestuarant เครื่องมือช่วยเสริมประสิทธิภาพ LINE OA สำหรับธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยโดยเฉพาะ ในการจัดการหน้าร้าน ไปถึงการจัดการหลังร้าน การวิเคราะห์ข้อมูลจากอาหารที่สั่ง และ การเชื่อมถึงการจัดส่งกับบริการ LINE Man โดยตรง 

กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ออกแบบ MyShop เครื่องมือที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ LINE OA ด้านการขายของ ที่ใช้งายที่สุดเทียบเคียงกับการใช้ LINE ด้วยระบบหน้าร้านออนไลน์ ระบบจัดการสินค้าคงคลัง รองรับการซื้อสินค้าผ่านการพูดคุย หรือ Chat Commerce แบบเต็มรูปแบบ ระบบการชำระเงินเชื่อมต่อกับ Rabbit LINE Pay ระบบการเชื้อเชิญลูกค้ากับ LINE POINT ระบบการโฆษณากับ LINE ADS PLATFORM ระบบขนส่งสินค้ากับทุกบริษัท 

ปีที่ผ่านมา มีร้านค้าเปิดใช้งาน MyShop เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่า มีร้านค้าที่แอคทีฟเพิ่มขึ้นถึง 257% (เปรียบเทียบการเติบโต YoY เดือนเม.ย. ปี 2563 – 2564) และมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GMV) อยู่ที่ประมาณ 2,000 บาท โดยธุรกิจด้านแฟชั่นและเครื่องสำอางค์เป็นกลุ่มสินค้าที่เปิดร้าน MyShop สูงสุด ทั้งนี้ สำหรับธุรกิจ SME แฟชั่น LINE ยังมีโครงการ LINE FASHION ANNUALE ที่จัดขึ้นในปีนี้ เพื่อผลักดันผู้ประกอบการไทยไปสู่เวทีโลก 

นอกจากภาคธุรกิจแล้ว กลุ่มองค์กรที่สำคัญที่สุดต่อการขับเคลื่อนประเทศไทย คือ กลุ่มบริการสาธารณะ ด้วยศักยภาพของแพลตฟอร์ม LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 49 ล้านคน LINE OA จึงกลายเป็นตัวกลางสำคัญสำหรับกลุ่มบริการสาธารณะ และองค์กรภาครัฐมากมาย ในการอัพเดทข้อมูล ให้ความรู้ และให้บริการให้ด้านต่างๆ แก่ประชาชนคนไทย อาทิ โรงพยาบาล สาธารณูปโภค น้ำ ไฟ การบริหารส่วนจังหวัด อำเภอ ชุมชนต่างๆ รวมถึงหน่วยงานราชการ 


เขากล่าวว่า วิกฤติโควิด 19 ทำให้ภาคธุรกิจปรับตัวมาเป็นดิจิทัลกันแทบทั้งหมด หากแต่ยังมีความท้าทายรออยู่อีกมาก LINE จึงพร้อมที่จะเป็นเครื่องมือหลักในการทำธุรกิจของคนไทย เป็นตัวกลางเชื่อมโยงการทำธุรกิจออฟไลน์สู่โลกออนไลน์ ผลักดันให้ทุกองค์กรธุรกิจสามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพต่อยอดสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล เพื่อเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจองค์รวมของไทยให้พร้อมในการแข่งขันกับธุรกิจในตลาดโลก บนบริบทใหม่ที่จะมาถึง" 

10 ปีที่ผ่านมา LINE ได้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงคนและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ภายใต้ภารกิจ Closing the distance และพัฒนากลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานการใช้ชีวิตดิจิทัลให้คนไทย เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 ยิ่งได้เห็นการปรับตัวของคนไทยเข้าสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัวผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม LINE เพิ่มมากขึ้นในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ 
 
#3569



โค้งสุดท้ายโปรเจกต์ความร่วมมือครั้งใหญ่ระหว่าง LOVEiS Entertainment และ JOOX ในชื่อ "LOVEiSJOOXSpotlight" เปิดออดิชันเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในดนตรี ได้มีโอกาสร่วมงานกับทีมทำเพลงค่าย LOVEiS Entertainment และสังกัดค่ายย่อย อาทิ PROM+, marr, LIT ENTERTAINMENT, HOLYFOX, LABo ที่ล้วนแต่มีศิลปินดัง เช่น นนท์-ธนนท์, กัน-นภัทร, MEAN, เฟิร์ส-อนุวัตน์ โดยไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุ

โค้งสุดท้ายโปรเจกต์ความร่วมมือครั้งใหญ่ระหว่าง LOVEiS Entertainment และ JOOX ในชื่อ "LOVEiSJOOXSpotlight" เปิดออดิชันเฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในดนตรี ได้มีโอกาสร่วมงานกับทีมทำเพลงค่าย LOVEiS Entertainment และสังกัดค่ายย่อย อาทิ PROM+, marr, LIT ENTERTAINMENT, HOLYFOX, LABo ที่ล้วนแต่มีศิลปินดัง เช่น นนท์-ธนนท์, กัน-นภัทร, MEAN, เฟิร์ส-อนุวัตน์ โดยไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุ

ผู้ที่สนใจสามารถกรอกใบสมัครเข้าร่วมออดิชันได้ทางออนไลน์ อัปโหลดคลิปวิดีโอแสดงความสามารถความยาวไม่เกิน 5 นาที ไม่ว่าจะร้อง เต้น มาเดี่ยว มาแบบวงได้ทั้งหมดที่ JOOX BUZZ พร้อมใส่ #loveisjoox spotlight เปิดรับสมัคร ถึง 7 ส.ค.64 ชิงเงินรางวัล ชนะเลิศ 100,000 บาท

"จี๊บ-เทพอาจ กวินอนันต์" ซีอีโอเลิฟอิส เผยว่า "ในปีนี้เรากำลังมองหาและค้นหา พร้อมให้โอกาสคนรุ่นใหม่เข้ามาแสดงฝีมือจากทั่วประเทศ ทั้ง 6 ค่ายส่งโปรดิวเซอร์ มือฉมังคนดนตรีตัวจริง มาคัดเองทั้ง Danai Dano, Oui Buddha Bless, Build (Lemon Soup), Palm Pawee, Pat Vorapat, Dome Jaruwat โฟกัสที่ความสามารถสูงสุด ตามด้วยบุคลิกภาพที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ คัดรอบแรกเหลือ 100 คลิป ออดิชันออนไลน์กับคณะกรรมการในรอบที่ 2



นอกจากนี้ยังเปิดโหวตอีกทางให้เพื่อนๆ พี่น้อง ครอบครัวได้โหวตสนับสนุนคนที่เรารักและผลักดันให้เค้าไปสู่ฝันเป็นศิลปิน ยอดหัวใจของ 100 คลิปผลงานที่ผ่านเข้ารอบแรก 1 หัวใจ เรามอบ 1 บาท นำไปช่วยเหลือวิกฤติโควิด-19 ต่อไป ติดตามได้ที่ Facebook/ IG/ Twitter : LOVEiS, JOOX Thailand, Application: JOOX.
#3570



ในขณะที่สายตานับล้านคู่จับจ้องไปที่ สุนิสา ลี นักกีฬายิมนาสติกหญิงดาวรุ่งวัย 18 ปี ซึ่งมีเชื้อสายม้งอเมริกัน ในการเเข่งขันโอลิมปิก2020 ที่กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ครอบครัวของเธอที่รัฐมินนิโซตา กำลังลุ้นอย่างเต็มที่เช่นกัน จนกระทั่งได้สมหวังในที่สุด

สุนิสา สร้างชื่อให้กับตัวเองและทีมสหรัฐ หลังคว้าเหรียญทองประเภทบุคคลรวมอุปกรณ์มาครองได้สำเร็จ ในฐานะตัวแทนของสหรัฐเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา สร้างประวัติศาสตร์เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายม้งคนแรกที่คว้าเหรียญทองให้กับทีมสหรัฐ


นี่ถือเป็นฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องของนักยิมนาสติกสาวดาวรุ่ง โดยก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน สุนิสาคว้าเหรียญเงินกับให้กับทีมชาติสหรัฐในการแข่งขันยิมนาสติก ประเภททีมรวมอุปกรณ์

ก่อนเปิดฉากโอลิมปิกครั้งนี้ สุนิสาถือเป็นความหวังของครอบครัวและชุมชนชาวม้งในสหรัฐ ในฐานะนักยิมนาสติกหญิงอายุน้อยที่สุดที่เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว

- สุนิสากอดฉลองกับโค้ช หลังคว้าเหรียญทองเหรียญแรก (29 ก.ค.) -

เกิดและโตในมินนิโซตา

สำหรับประวัติของสุนิสาถือว่าโดดเด่นและน่าสนใจไม่น้อย เธอเกิดเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2546 ในเมืองเซนต์พอล รัฐมินนิโซตา ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนม้งขนาดใหญ่ในอเมริกาที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคหลังสงครามเวียดนาม และสุนิสาก็ใช้ชีวิตเติบโตในเมืองเซนต์พอลมาจนถึงปัจจุบัน


นอกจากรัฐมินนิโซตาจะเป็นถิ่นฐานขนาดใหญ่ของชาวม้งในสหรัฐ ซึ่งคาดว่ามีประชากรถึง 80,000 คนแล้ว ยังเป็นที่ที่แม่ของสุนิสาได้พบรักกับพ่อบุญธรรมขณะสุนิสาอายุเพียง 2 ขวบในปี 2548 ด้วย


- ฮัว จอห์น ลี (ซ้าย) พ่อบุญธรรม และ ยีฟ ทอจ (กลาง) แม่บังเกิดเกล้าของสุนิสา -

แม่ของสุนิสาเป็นชาวม้งชื่อ ยีฟ ทอจ (Yeev Thoj) และพ่อบุญธรรมเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายม้งเช่นกัน ชื่อ ฮัว จอห์น ลี (Houa John Lee) ซึ่งคอยเลี้ยงดูสุนิสาตั้งแต่เด็ก ๆ และเมื่อโตขึ้น สุนิสาก็ตัดสินใจใช้นามสกุล ลี ตามพ่อบุญธรรม

แม้ว่าจอห์น ลี มีลูกติด 2 คนจากอดีตภรรยาชื่อว่า โจนาห์และไชเอนน์ แต่ลูก ๆ ทั้ง 3 คนรวมถึงสุนิสา ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะไชเอนน์ที่อายุห่างกับสุนิสาเพียง 12 วัน มีหน้าตาคล้ายกับสุนิสาจนเพื่อนร่วมชั้นเรียนเคยเข้าใจผิดว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝด

ลี้ภัยสงครามข้ามแปซิฟิก

ทั้งพ่อบุญธรรมและแม่ของสุนิสาต่างเกิดในลาวในยุคสงครามเวียดนาม ซึ่งสมัยนั้น กลุ่มชาติพันธุ์ม้งร่วมรบเคียงไหล่กับทหารอเมริกันในลาว แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่ต้องจ่าย

มีชาวม้งหลายหมื่นคนเสียชีวิตในสงครามเวียดนาม หรือถูกรัฐบาลลาวสังหาร หลังจากกองทัพสหรัฐถอนทัพกลับประเทศ

ครอบครัวชาวม้งของพ่อและแม่สุนิสาสมัยที่ทั้งคู่ยังเด็ก ได้เสี่ยงอันตรายหนีออกจากลาวข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนลี้ภัยไปตั้งรกรากในในรัฐมินนิโซตาและเติบโตที่นั่น

"เมื่อสหรัฐถอนทัพออกจากลาว สงครามยังไม่จบลงในทันที" จอห์น ลี พ่อบุญธรรมสุนิสาเล่าถึงความทรงจำอันขมขื่น "ผู้คนจำต้องหนีไปประเทศไทยเพื่อความปลอดภัย และเพื่อโอกาสมีชีวิตที่ดีกว่า"

จนกระทั่ง จอห์น ลี ย้ายไปอยู่สหรัฐตอนอายุ 7 ปี เมื่อปี 2522 ส่วนแม่สุนิสาย้ายไปสหรัฐตอนอายุ 12 ปี เมื่อปี 2530

ปัจจุบัน ยีฟ เเม่ของสุนิสา ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยด้านการเเพทย์ ส่วนจอห์น ลี พ่อของสุนิสา ทำงานด้านวิศวกรรมที่บริษัท Cummins Power Generation 

เห็นแววยิมนาสติกตั้งแต่เล็ก

ทั้งพ่อบุญธรรมและเเม่ของสุนิสาชอบกีฬาเหมือนกัน ซึ่งความรักในกีฬาเป็นสิ่งที่ทั้งสองปลูกฝังให้ลูก ๆ แม้ปัจจุบัน พ่อของสุนิสาเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงหน้าอกลงไป หลังประสบอุบัติเหตุตกบันไดเมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้ต้องนั่งรถเข็นตั้งแต่นั้นมา


เเม่ของสุนิสา ให้สัมภาษณ์กับ VOA ภาคภาษาลาวว่า ในฐานะผู้ปกครอง เธอสอนให้สุนิสา หรือชื่อเล่นว่า สุนิ (Suni) มีวินัย เป็นเด็กดี และว่า สุนิชอบทำกิจกรรมหลายอย่าง


ยีฟ บอกด้วยว่า สุนิมีพรสวรรค์ตั้งเเต่เด็กในกีฬายิมนาสติกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เเละเมื่อได้เเรงกระตุ้นด้านวินัย จึงทำให้เก่งขึ้นในกีฬานี้ เเละมีความพร้อมในด้านอื่น ๆ เมื่อโตขึ้นมา

สำหรับที่มาของชื่อ สุนิสา ยีฟเปิดเผยกับ ESPN ว่า ตั้งชื่อลูกสาวตามนักแสดงละครไทยคนหนึ่งที่ตนชื่นชอบในยุคนั้น และจับลูกเรียนยิมนาสติกตั้งแต่เล็ก ๆ หลังเห็นแววจากการโชว์ท่าตีลังกากลับหลังบ่อยครั้ง ขณะเล่นซุกซนตามประสา

ตั้งเป้าสูงเพื่อให้พ่อภูมิใจ

แน่นอนว่า สิ่งหนึ่งที่สุนิสาทำตามเป้าหมายได้สำเร็จในฐานะนักยิมนาสติก คือ การร่วมแข่งขันและคว้าเหรียญโอลิมปิก2020 ซึ่งถึงแม้เธอจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับการที่มีเหตุการณ์โควิด-19 ระบาด จนมหกรรมกีฬานี้ต้องเลื่อนมา 1 ปี แต่เธอประกาศเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาว่า "กำหนดการเปลี่ยน แต่เป้าหมายไม่เปลี่ยน"

คำพูดครั้งนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่า เหรียญทองโอลิมปิก คือเป้าหมายต่อไปในชีวิตของสุนิสา เพราะความฝันนี้เป็นสิ่งที่พ่อและเธอตั้งเป้าหมายร่วมกันมาตลอด 10 ปี หรือนับตั้งแต่วันแรกที่เธอเริ่มเรียนยิมนาสติก


"มันไม่ใช่แค่ฝันของฉัน มันคือฝันที่พ่อกับฉันตั้งเอาไว้ร่วมกัน มันจึงมีความหมายมาก ฉันอยากทำมันให้สำเร็จอีก ฉันอยากให้พ่อภูมิใจ เพราะเขาคือคนที่สนับสนุนฉันมา ตั้งแต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะทำได้ดีหรือไม่กับทางเดินนี้" สุนิสาพูดถึงเบื้องหลังการตั้งเป้าหมายก่อนเดินทางไปโตเกียว

ส่วน จอห์น ลี เปิดใจกับสื่อก่อนลูกสาวเข้าร่วมทีมชุดลุยโอลิมปิก2020 ว่า ไม่ว่าผลการเเข่งขันจะเป็นอย่างไร การที่สุนิเป็นชาวม้งอเมริกันคนเเรกในการเเข่งโอลิมปิกให้กับประเทศสหรัฐ ก็ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไปเรียบร้อยเเล้ว

หลังจากคว้า 1 เหรียญทองและ 1 เหรียญเงิน (ณ วันที่ 29 ก.ค.) สุนิสายังมีโอกาสเก็บเหรียญโอลิมปิกเพิ่มจากการแข่งขันช่วงวันที่ 1 ส.ค. และ 3 ส.ค.นี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่เธอจะได้เหรียญรางวัลมาครองอีกครั้งก่อนกลับแผ่นดินสหรัฐ

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951839
#3571



เดินทางเชื่อมต่อจากโครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" ภายใต้สูตร 7+7 ด้วยการท่องเที่ยวและพำนักในภูเก็ตแบบไม่กักตัวครบ 7 คืนแรกก่อน ถึงจะสามารถเดินทางสู่ 3 พื้นที่นำร่องในกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานีช่วง 7 คืนหลัง เมื่อพำนักครบ 14 คืนถึงเดินทางไปยังพื้นที่อื่นในประเทศไทยได้

ชรินทิพย์ ตียาภรณ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการท่องเที่ยวเชื่อมจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เข้า 3 เกาะนำร่องดังกล่าวของ จ.กระบี่ ภายใต้สูตร 7+7 ต้องขอใบอนุญาตการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry : COE) อีกรูปแบบใหม่ คาดเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ากระบี่ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค.นี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้นักท่องเที่ยวที่ขอ COE ประสงค์ท่องเที่ยวโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์แบบไม่กักตัวอย่างน้อย 14 คืนก่อนถึงจะสามารถเดินทางไปเที่ยวพื้นที่อื่นในไทยได้นั้น ต้องพำนักในภูเก็ตให้ครบตามกำหนดก่อน ไม่สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยัง 3 เกาะใน จ.กระบี่ได้ทันทีหลังพำนักในภูเก็ตครบ 7 คืนแรก ทั้งนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเชื่อมจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มายัง 3 เกาะ จ.กระบี่ ตั้งแต่กลางเดือน ส.ค.นี้

"สภาฯประเมินว่าในช่วงเดือน ส.ค.หรือเดือนแรกของการเริ่มต้นโครงการกระบี่ อีเวน มอร์ อะเมซิ่ง จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเชื่อมโยงจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มาเที่ยว 3 เกาะไม่ต่ำกว่า 500 คน พำนัก 7 คืน ใช้จ่ายเฉลี่ย 5,000 บาทต่อคืน สร้างรายได้ 17.5 ล้านบาท แต่ก็หวังว่าจะสามารถผลักดันยอดได้ถึง 30 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 2 เดือนแรก (ส.ค.-ก.ย.64) ตั้งเป้าขอมีนักท่องเที่ยวมากระบี่ 10% จากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์"

ส่วนไตรมาส 4 นี้ หวังว่าจะสามารถเปิดพื้นที่นำร่องใน จ.กระบี่ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วได้โดยตรง! ไม่ต้องผ่านโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์หรือสมุย พลัส โมเดล เนื่องจากในวันที่ 31 ต.ค.นี้ สนามบินนานาชาติกระบี่เตรียมเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศหลังใหม่ ปัจจุบันได้รับรายงานว่ามีสายการบินสนใจทำการบินระหว่างประเทศ เช่น จากจีน สิงคโปร์ และกลุ่มประเทศนอร์ดิก จองสลอต (ตารางบิน) เข้ากระบี่มาแล้วกว่า 66 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ใกล้เคียงกับจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศเข้ากระบี่ในช่วงไฮซีซั่นปลายปี 2562 ถึงต้นปี 2563 ก่อนเจอวิกฤติโควิด-19


"แม้ตอนนี้จะมีดีมานด์จากสายการบินสนใจทำการบินเส้นทางระหว่างประเทศตรงเข้ากระบี่มาแล้ว แต่สถานการณ์ท่องเที่ยวยังขึ้นกับปัจจัยภายในและภายนอก ณ ขณะนั้นด้วย"

ศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า การเปิดทั้งจังหวัดกระบี่เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องได้รับการฉีดวัคซีนไม่ต่ำกว่า 70% เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนแค่ 22% ของประชากรทั้งหมด ยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้มาก จึงอยากให้เร่งกระจายวัคซีนแก่ จ.กระบี่ ซึ่งพึ่งพารายได้จากภาคการท่องเที่ยวมากถึง 50% ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นภาคเกษตรกรรม

ด้านประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ ฉบับที่ 35/2564 ล่าสุดได้ยกระดับมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้า จ.กระบี่ ต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองครบตามจำนวน หรือแอสตร้าเซเนก้า 1 เข็ม ไม่น้อยกว่า 14 วัน และต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR หรือ Rapid Antigen Test ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง สำหรับผู้ที่มีอายุ 6-18 ปีที่ไม่อยู่ในเกณฑ์การได้รับวัคซีน ต้องตรวจหาเชื้อด้วย 1 ใน 2 วิธีดังกล่าว ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ยกเว้นเด็กอายุไม่เกิน 5 ปี ไม่ต้องมีผลการตรวจหาเชื้อ โดยทั้งหมดต้องลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ที่จังหวัดกระบี่กำหนด (QT14) และมีเอกสารรับรองจากต้นทางเพื่อรายงานตัวที่ด่านปลายทางของ จ.กระบี่

ส่วนการจัดทำ "แผนเผชิญเหตุ" ของจังหวัดกระบี่เพื่อรองรับการระบาดของโควิด-19 มีหลักเกณฑ์ระบุไว้ว่า หากมีจำนวนผู้ติดเชื้อในพื้นที่เกิน 70 รายต่อสัปดาห์ และมีอัตราการครองเตียงของผู้ป่วยเกิน 80% ของจำนวนเตียงทั้งหมดซึ่งปัจจุบันมี 610 เตียง และกำลังจะมีเตียงที่โรงพยาบาลสนามแห่งใหม่อีก 400 เตียงซึ่งจะเปิดในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า รวมเป็น 1,100 เตียง หากเข้าเกณฑ์ดังกล่าวต้องพิจารณาทบทวน ชะลอหรือยุติโครงการฯ
#3572



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  นายแพทย์​เกียรติ​ภูมิ​ วงศ์​รจิต​ ปลัด​กระทรวง​สาธารณสุข โพสเฟสบุ๊ค เกี่ยวกับ ฉากทัศน์ covid-19ของไทย"คาดการณ์สถานการณ์การระบาด COVID-19 ของประเทศไทย ระหว่าง ส.ค. - ธ.ค. 2564 จัดทำโดยกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค และสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข  โดยการจำลองตัวเลข ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า 

หากล็อกดาวน์หนึ่งเดือน (เริ่ม 19 ก.ค. 64) คาดว่าจะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรถึงต้นเดือน ตุลาคม และหากล็อกดาวน์สองเดือน คาดว่าจะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรถึงปลายเดือน พฤศจิกายน


ฃหากมาตรการล็อกดาวน์ได้ผลมากขึ้น เช่น จากที่ช่วยลดค่า R ได้ 20% เป็น 25% น่าจะสามารถชะลอจุดสูงสุดของการใช้ทรัพยากรได้ประมาณสองสัปดาห์ แต่ขนาดของการระบาดโดยรวมไม่เปลี่ยนไปมากนัก

หากมาตรมาตรการล็อกดาวน์ได้ผล และร่วมกับมาตรการวัคชีนในผู้สูงอายุได้ผลดี และดำเนินการได้รวดเร็ว ในเวลาไม่เกิน 2 เดือน น่าจะช่วยคงให้ความชุกของการใช้เครื่องช่วยหายใจไม่เกิน 1,500 รายต่อวัน และ อุบัติการณ์การเสียชีวิตไม่เกิน 200 รายต่อวัน ไปจนถึงเดือนธันวาคม    ​

โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ปลัด​กระทรวง​สาธารณสุข ได้เข้าร่วม​ประชุม​ เรื่องการบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 และการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลสนาม​ ในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มและควบคุมสูงสุด ​โดยมี​ นายกรัฐมนตรี​ และ​รัฐมนตรีว่​าการกระทรว​งสาธารณสุข​ เป็น​ประธาน​การประชุม​ (โดยประชุมผ่านระบบ Zoom) ณ​ ห้องป​ระชุมการบูร​ ตึก​สำนักงาน​ปลัดกระทรว​งสาธารณสุข

พล.อ.ต.นพ.อิทธพร    คณะเจริญ  เลขาธิการแพทยสภา อธิบายฉากทัศน์ดังกล่าวในเฟสบุ๊คว่าเห็นการจำลองตัวเลข"ฉากทัศน์ covid-19ของไทย"  ของกระทรวงสาธารณสุข แล้วน่ากลัวมาก พบว่า ถ้าไม่คุมให้ดี มีโอกาสติดวันละ 45,000 คน ตายวันละ 450 คน


ผลการล็อกดาวน์วันนี้เราลดได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะทำให้คนติดเชื้อและคนตายไม่มากเท่านั้น แต่ต้องแลกด้วย มาตรการจำนวนมาก ที่ทำให้ทุกคน กระทบชีวิตประจำวัน อาชีพการงานและการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนป่วยและเสียชีวิตมาก เกินกว่าที่โรงพยาบาลจะรับ ไหว ซึ่งวันนี้ก็เริ่มเกินแล้ว ถ้ามากกว่านี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร

ในฉากทัศน์ นี้แสดงให้เห็นว่าการล็อกดาวน์จะยืดเยื้อไปอีก 2 เดือน เพื่อลดให้คนป่วยน้อย จนเตียงพอดูแลได้ และไม่ให้มีคนตายเยอะ ในภาพความเป็นจริง จะเป็นได้หรือไม่ต้องติดตามดู และขึ้นกับ สถานการณ์ของทรัพยากรและบุคลากรทางสาธารณสุข ที่จะต้อง โหมกระหน่ำลงไปสู้กันครับ สงครามนี้ไม่มีคนชนะ มีแต่ความเสียหาย ความสูญเสีย และความตาย ท่ามกลางความอดทนและเสียสละของทุกฝ่าย แต่อย่างไร พวกเราทุกคนก็ต้องสู้ต่อครับ ไม่นานเชื้อเหล่านี้จะหมดไปโดยธรรมชาติ เราต้องอดทน ต่อสู้ ให้ถึงวันนั้น
#3573



"สกาย ไอซีที" จับมือ AppMan เชื่อมโยงเทคโนโลยี Face Recognition กับ Optical Character Recognition ต่อยอดระบบโครงสร้างพื้นฐาน e-KYC ครบวงจรและปลอดภัยยิ่งขึ้น รองรับความต้องการแห่งอนาคต หลังภาครัฐ-เอกชนมุ่งสู่ดิจิทัล ต้องการระบบความปลอดภัยยืนยันตัวตนผ่านออนไลน์ 

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY กล่าวว่า เทคโนโลยีการทำความรู้จักลูกค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ถือเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยของธุรกิจและแพลตฟอร์มต่างๆ สำหรับการเปิดให้บริการบนช่องทางออนไลน์ บริษัทในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย จึงร่วมกับบริษัท แอพแมน จำกัด (AppMan) ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาดเรื่องความแม่นยำในการอ่านอักขระโดยเฉพาะภาษาไทย เชื่อมโยงเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อสนับสนุนการทำสร้างระบบ e-KYC Solution ครบวงจร พร้อมตอบโจทย์โลกแห่งอนาคต

"เรามีความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการตรวจจับใบหน้า หรือ Face Recognition ที่ได้รับเทคโนโลยีมาจากพันธมิตรชั้นนำด้าน AI ของโลกอย่าง SenseTime ขณะเดียวกัน AppMan ก็ถือเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการอ่านอักขระด้วยแสง หรือ Optical Character Recognition เมื่อเราเชื่อมโยงเทคโนโลยีของทั้ง 2 บริษัทเข้าด้วยกัน จะช่วยให้เราสามารถสร้าง e-KYC Solution ครบวงจร สร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยให้แก่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่กำลังมุ่งหน้าสู่ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายสิทธิเดช กล่าว

ทั้งนี้ เทคโนโลยี e-KYC ของทั้ง 2 บริษัทจะช่วยพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งานผ่านการสแกนบัตรประชาชน สแกนเอกสารทางราชการ ตลอดจนสแกนใบหน้าบนแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถป้องกันการปลอมแปลงเอกสารหรือตัวตน ป้องกันความเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย เรียกใช้ข้อมูลได้ง่ายจากฐานข้อมูล ลดขั้นตอนการทำงานเมื่อเทียบกับการต้องยืนยันตัวตนแบบต่อหน้า (Face to Face) ขณะเดียวกัน ยังช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน ลดขั้นตอนการกรอกเอกสาร ลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเทคโนโลยี Face Recognition และ OCR ของบริษัทยังมีจุดแตกต่างจากเทคโนโลยี e-KYC ทั่วไปที่มักมีต้นทุนต่อการทำธุรกรรม (Transaction) ค่อนข้างสูง การผนึกกำลังระหว่าง 2 บริษัทจะส่งผลให้ลูกค้ามีต้นทุนต่อ Transaction ต่ำลง เพื่อให้บริการในราคาที่เข้าถึงได้ มีความแม่นยำสูง อีกทั้งมีความปลอดภัยมาตรฐาน Banking Grade

ด้านนายธนภูมิ เจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan ผู้นำเทคโนโลยี OCR อันดับหนึ่งในตลาด กล่าวว่า เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นข้อมูลที่มีความเปราะบางสูง บริษัทฯ จึงสร้างความเชื่อมั่นปกป้องข้อมูลความปลอดภัย ผ่านการตรวจสอบ (Audit) ทุกขั้นตอนมาตรฐานสากลระดับ CSA- Star Level 2 และ ISO/IEC27001 ก่อนนำเสนอสู่ตลาด พร้อมให้บริการบน Cloud อีกทั้งในระดับโลกนั้น เทคโนโลยีที่ใช้ร่วมกับ e-KYC เข้ามามีบทบาทสำคัญมากในหลากหลายกลุ่มธุรกิจระยะหนึ่งแล้ว เช่น กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโดยตรง เช่น ธุรกิจศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซี ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ใช้ e-KYC เข้ามายืนยันตัวตน ป้องกันการโจรกรรมทางการเงินและการฟอกเงิน กลุ่มธุรกิจการศึกษาที่ปัจจุบันเริ่มมีสถาบันการศึกษาดิจิทัล หรือแม้กระทั่งการเรียนออนไลน์ของสถาบันการศึกษาต่างๆ ใช้ e-KYC เข้ามาช่วยยืนยันตัวตนผู้เข้าเรียนและผู้เข้าสอบ

"ในไทยเอง e-KYC เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในแทบทุกกลุ่มธุรกิจ เช่น ในกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ มีการปรับตัวให้บริการคำปรึกษาด้านสุขภาพแบบ Online Video Consultation ต้องมีกระบวนการ Digital Onboarding และ e-KYC เข้ามาเกี่ยวข้อง ความร่วมมือกับสกาย ไอซีทีในครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ทั้ง 2 บริษัทขยายโอกาสในการบริการกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น รองรับทั้งการเติบโตในไทยและระดับโลก" นายธนภูมิ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักที่ทั้ง 2 บริษัทจะมุ่งเจาะตลาด มีทั้งกลุ่มหน่วยงานภาครัฐที่มีความจำเป็นต้องมีมาตรการพิสูจน์ตัวตนและตรวจสอบเอกสารทางราชการเพื่อความปลอดภัย กลุ่มภาคเอกชนในหลากหลายประเภทธุรกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มธุรกิจประกันภัย กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ กลุ่มธุรกิจการศึกษา กลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ กลุ่มธุรกิจขนส่งอาหาร กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY เป็นบริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY ICT

ขณะที่บริษัท แอพแมน จำกัด หรือ AppMan เป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีกระบวนการทำงานอัจฉริยะ หรือ Intelligent Working Process (IWP) ดิจิทัลโซลูชันหลากหลายรูปแบบด้วยความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี OCR, เอไอ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning) ครอบคลุมทุกธุรกิจ เสริมศักยภาพและขยายอีโคซิสเต็ม (Ecosystem) ทุกองค์กรตามมาตรฐานสากล
#3574



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัท เอ็กโก ลินเดน ทู ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่เอ็กโกถือหุ้นทั้งหมด ที่ได้ลงทุนในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น "ลินเดน โคเจน" ในสหรัฐอเมริกา ได้บรรลุข้อตกลงในการรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจนจากบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66) โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า

บริษัท ลินเดน ทอปโก้ จะปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ให้สามารถรองรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจน จากโรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ (Bayway Oil Refinery) ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อนำมาผสมเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม การปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 สามารถรองรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงผสมที่มีไฮโดรเจนผสมอยู่ได้สูงสุดถึง 40% ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ปลดปล่อยปกติในแต่ละปี

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงานและเชื้อเพลิง อย่างบริษัท เจร่า อเมริกา จำกัด (JERA Americas Inc.) ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท ลินเดน ทอปโก้ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ปยังได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงกังดง ในเกาหลีใต้ ซึ่งใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน การลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ทั้งโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และโรงไฟฟ้ากังดงนั้น เอ็กโก กรุ๊ปมีเป้าหมายที่จะสั่งสมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทในอนาคตเมื่อเทคโนโลยีด้านนี้พัฒนาเต็มที่

"เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทลำดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ส่งเสริมและสนับสนุนแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าของประเทศ บริษัทมุ่งมั่นส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมาผลิตไฟฟ้าและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง" นายเทพรัตน์กล่าว
#3575


หนังว่าด้วยครอบครัวนักซิ่ง Fast 9 กลายเป็นหนังที่ทำเงินได้สูงสุดของฮอลลีวูด หลังจากการระบาดของเชื้อไวรัสถึงตอนนี้ภาคที่เก้าของหนังชุด Fast and Furious กวาดเงินเกิน 500 ล้านเหรียญฯ ซึ่งแม้จะน้อยกว่ามาตรฐานของหนังชุดนี้พอสมควร แต่ด้วยสถานการณ์แวดล้อม รายได้ที่เกิดขึ้นก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

นับรวมกับรายได้ของ Godzilla Vs Kong ก่อนหน้านี้ก็ถือว่าหรือเริ่มจะลืมตาอ้าปากได้มากขึ้น หลังสหรัฐสถานการณ์ดีขึ้นมากหนังได้เข้าฉายมากขึ้นเรื่อยๆแต่หนังทั้งสองเรื่องของฮอลลีวูดกลับไม่ใช่หนังที่ทำเงินสูงสุดของปีนี้แต่อย่างใด

ตอนนี้หนังที่ทำเงินมากที่สุดในโลกประจำปี 2021 ยังคงเป็นหนังจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชื่อว่า Hi, Mom ที่กวาดเงินไปแบบไม่เกรงใจใคร 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการฉายจะพูดที่จีนแผ่นดินใหญ่ทีเดียวไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงรายได้จากนอกประเทศเลย

แถมอันดับสองก็ยังเป็นหนังจีนอีกเช่นเคย กับ Detective Chinatown 3 ที่กวาดเงินไปเกือบ 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ น่าจะติดอันดับต้นๆ หนังทำเงินประจำปีนี้เช่นเดียวกัน โดยหนังทั้งสองเรื่องเป็นผลผลิตของหนังตรุษจีนประจำปี 2021 ซึ่งตอนนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาการฉายหนังที่สำคัญที่สุดในปฏิทินประจำปีปีของวงการภาพยนตร์โลกไม่แพ้ซัมเมอร์ของสหรัฐฯ แต่อย่างใด

ส่วนหนังจีนที่ทำเงินมาเป็นอันดับสามของปีนี้เป็นหนังแนวสายลับผสมชาตินิยมเล่าเรื่องของสายลับจากพรรคคอมมิวนิสต์ ในช่วงยุค 1930 ผลงานของ ยอดผู้กำกับแผนจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง "จางอี้โหมว" ที่หลังจากได้รับใช้ชาติกำกับพิธีเปิดโอลิมปิก แถมโดนดำเนินคดีฐานมีลูกหลายคนขัดกับกฏหมายลูกคนเดียวของจีนเมื่อหลายปีก่อนระยะหลังๆ ก็เลยทำหนังเน้นเอาใจพรรคคอมมิวนิสต์แทบจะลูกเดียวแต่ก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะ Cliff Walkers เรื่องนี้ทำเงินไปได้สวยทีเดียวถึง 180 ล้านเหรียญฯ

หนังจีนอีกเรื่องที่ทำเงินได้ น่าพอใจเลยก็คือ A Writer's Odyssey หนังแนวสืบสวนผสมแฟนตาซี ที่เล่าเรื่องของนักเขียนหนุ่มที่โลกแห่งความจริงกับโลกของนิยายที่เขาเขียนเริ่มจะทับซ้อนกัน หนังเต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษมากมายจนไม่น่าแปลกใจที่ชาวจีนจะตีตั๋วกันไปชมสูงถึง 150 ล้านเหรียญฯ

หนังจีนที่ทำเงินเกินหนึ่งร้อยล้านเรียนเรื่องสุดท้ายในปีนี้ กลับเป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างไม่สูงหนักที่เชื่อ SISTER ที่โดนใจชาวจีนเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ชีวิตของคนที่ได้ชื่อเป็นลูกสาวในครอบครัวชาวจีนที่มักจะเติบโตมาโดยไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่ากับลูกชายในบ้าน เห็นฟอร์มเล็กทุนไม่สูงแบบนี้ SISTER กดรายได้ไปแล้วเกิน 100 ล้านเหรียญ เรียกว่ากำไรมหาศาลไปเรียบร้อยแล้ว

รวมกับ Shock Wave 2 ของ หลิวเต๋อหัว ที่เข้าฉายตอนสิ้นปี 2020 และทำเงินได้ดีในช่วงต้นปี 2021 จนกวาดรายได้ไปเกิน 200 ล้านเหรียญฯ แล้ว ก็ ถือวงการหนังจีน ยังพอไปได้เลยทีเดียว

แต่ที่กะกวาดเงินเต็มๆ แต่สุดท้ายกลับรายได้กลางๆ เป็นหนังรำลึกความหลังหนึ่งร้อยปีพรรคคอมมิวนิสต์ที่ชื่อว่า 1921 ที่แม้จะเปิดตัวได้มาเป็นอันดับหนึ่ง แต่สุดท้ายรายได้กลับไม่ค่อยเดินหน้า ตอนนี้หนังทำเงินรวมไปแล้วแค่ 49 ล้านเหรียญฯ ห่างไกลเหลือเกินที่จะทะลุหลัก 100 ล้านเหรียญฯ

น่าสนใจว่าสุดท้ายจะมีหนังอะไรที่มาแซงหน้าขึ้นเป็นหนังทำเงินอันดับ 1 ประจำปีนี้ได้หรือไม่ จะมีหนังม้ามืด หรือจะเป็นม้าเต็งอย่างหนังสงคราม The Battle at Lake Changjin ที่ถล่มทุนสร้างไปถึง 200 ล้านเหรียญฯ ผลงานของสามผู้กำกับ ฉีเคอะ ดังเด้ แลม และ เฉินกายเค่อ เรื่องนี้ ก็อยากจะคาดเดาจริงๆ เพราะถึงแม้วงการหนังจีน จะเงินสะพัด แต่ก็คาดเดาได้ลำบาก บทจะฮิตก็ทำเงินอย่างถล่มทลาย บทจะเจ๊งก็เจ๊งกันแบบไม่รู้ตัว
 
#3576


นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเร่งเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอก ภายใต้กลยุทธ์ "Building A Stronger Now" ปรับตัวและพัฒนาทิศทางการทำงานของทุกองคาพยพในองค์กร เพื่อให้องค์กร พนักงาน พันธมิตร ลูกบ้าน ตลอดจนลูกค้าใหม่ ยังสามารถก้าวไปได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ภายใต้ทุกความท้าทายในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

"ภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังยังคงได้รับแรงกดดันอย่างมากจากโควิด-19 ทุกธุรกิจและอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำให้มากกว่า ทำให้แกร่งกว่า วางแผนพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้เราสามารถควบคุมความไม่แน่นอนเหล่านั้นและรับมือทุกสถานการณ์ได้อย่างแข็งแกร่ง และไม่ใช่แค่ทำให้องค์กรแข็งแกร่งขึ้น เราต้องช่วยพนักงาน ช่วยพันธมิตร ช่วยลูกบ้าน ช่วยลูกค้า ช่วยผู้เกี่ยวข้องกับองค์กรในทุกส่วนให้แกร่งขึ้นไปด้วย เพื่อให้ทุกคนรอดพ้นจากความท้าทายครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างยั่งยืน" นางสาวเพชรลดา กล่าว

สำหรับกลยุทธ์ Building A Stronger Now ประกอบด้วยการปรับตัวและพัฒนาการทำงานภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่ 1.Stronger Move เดินหน้าองค์กรให้แกร่งกว่าเดิมและเข้ากับสถานการณ์ เริ่มต้นจากด้านการพัฒนาโครงการ ด้านการพัฒนาโครงการ ปรับแผนในช่วงไตรมาส 4/2564 เน้นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวแทนคอนโดมิเนียม โดยปรับจากแผนเดิมที่มีบ้านเดี่ยว 1 โครงการและคอนโดมิเนียม 2 โครงการ สู่การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการและคอนโดมิเนียม 1 โครงการแทน ด้านการตลาด เร่งจับมือพันธมิตรเพื่อเพิ่มช่องทางการขายใหม่ๆ และกระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการของเครือเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ง่ายขึ้น อาทิ การเยี่ยมชมโครงการแบบ 360 Virtual Tour ภายใต้ Major Private Tour และจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ด้านการเงิน เร่งสำรองเงินสด และสินเชื่อพร้อมใช้ ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจให้พร้อมรับมือความท้าทาย พร้อมทั้งได้เตรียมการในการจ่ายคืนหุ้นกู้ในปีนี้ให้ครบถ้วน ด้านการกระจายความเสี่ยง เร่งเดินหน้าธุรกิจใหม่ๆ ให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ HealthScape ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิต (Lifescape Developer) คาดว่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ธุรกิจ HealthScape ในช่วงปลายไตรมาส 3/2564 นี้

2.Stronger Community ดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องกับเครือเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ทุกส่วนให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ทั้งกลุ่มพนักงาน พันธมิตร ตลอดจนลูกบ้าน โดยออกแคมเปญ We've got your back เข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือผู้เกี่ยวข้องในด้านชีวิตความเป็นอยู่ อาทิ การเปิดให้ลูกบ้าน พนักงาน ครอบครัว คู่ค้า สามารถร่วมจองวัคซีนทางเลือกผ่านบริษัท การจัดส่งอาหารและของใช้จำเป็นไปมอบให้ผู้รับเหมาและแคมป์คนงาน การเปิดพื้นที่ให้ลูกบ้านสามารถโปรโมทร้านค้าของตัวเองได้บน Official Facebook Fanpage ของ Major Development การมอบพริวิเลจดูแลทั้งลูกบ้านและสัตว์เลี้ยงให้ครอบคลุมความเป็น Pet-friendly residences ขณะเดียวกัน เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน มอบ Financial Solution ดูแลทั้งลูกบ้านเดิมและลูกค้าใหม่

3.Stronger Life Journey เร่งศึกษาแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค และ Customer Journey ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงโควิด-19 เพื่อมาพัฒนาสินค้าและบริการทั้งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรีและกลุ่มธุรกิจใหม่ให้ตอบโจทย์ทุกห้วงเวลาชีวิตของผู้บริโภคในอนาคต

ADVERTISEMENT


x
นางสาวเพชรลดา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทยังคงรักษาขีดความสามารถในการดำเนินการได้อย่างดี มี Backlog ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 รวม 4,635 ล้านบาท และสามารถปิดการขายได้ถึง 3 โครงการ ในที่นี่รวมไปถึงโครงการมอลตัน ไพรเวท เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 31 ที่ปิดโครงการได้ภายในเวลาเพียง 1 ปี การก่อสร้างและทยอยโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการเมทริส พัฒนาการ-เอกมัย ที่ทำได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน มาตรการปิดแคมป์คนงาน ในช่วงเดือน ก.ค. ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานภาพรวมของบริษัทมากนัก เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพียงไม่กี่โครงการ เช่น โครงการมิวนีค หลังสวน ซึ่งเดิมก่อสร้างมาได้เร็วกว่าแผนงาน และน่าจะส่งมอบได้ตามกำหนดการ การเดินหน้ากลยุทธ์ Building A Stronger Now จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ต่อยอดการดำเนินงานของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้นจากครึ่งปีแรก พร้อมรับมือทุกความท้าทายและดูแลทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับบริษัทให้ก้าวไปได้อย่างยั่งยืน
นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทกำลังเร่งเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอก ภายใต้กลยุทธ์ "Building A Stronger Now" ปรับตัวและพัฒนาทิศทางการทำงานของทุกองคาพยพในองค์กร เพื่อให้องค์กร พนักงาน พันธมิตร ลูกบ้าน ตลอดจนลูกค้าใหม่ ยังสามารถก้าวไปได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ภายใต้ทุกความท้าทายในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

"ภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังยังคงได้รับแรงกดดันอย่างมากจากโควิด-19 ทุกธุรกิจและอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอน สิ่งที่เราต้องทำคือ ทำให้มากกว่า ทำให้แกร่งกว่า วางแผนพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้เราสามารถควบคุมความไม่แน่นอนเหล่านั้นและรับมือทุกสถานการณ์ได้อย่างแข็งแกร่ง และไม่ใช่แค่ทำให้องค์กรแข็งแกร่งขึ้น เราต้องช่วยพนักงาน ช่วยพันธมิตร ช่วยลูกบ้าน ช่วยลูกค้า ช่วยผู้เกี่ยวข้องกับองค์กรในทุกส่วนให้แกร่งขึ้นไปด้วย เพื่อให้ทุกคนรอดพ้นจากความท้าทายครั้งนี้ไปด้วยกันอย่างยั่งยืน" นางสาวเพชรลดา กล่าว

สำหรับกลยุทธ์ Building A Stronger Now ประกอบด้วยการปรับตัวและพัฒนาการทำงานภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่ 1.Stronger Move เดินหน้าองค์กรให้แกร่งกว่าเดิมและเข้ากับสถานการณ์ เริ่มต้นจากด้านการพัฒนาโครงการ ด้านการพัฒนาโครงการ ปรับแผนในช่วงไตรมาส 4/2564 เน้นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวแทนคอนโดมิเนียม โดยปรับจากแผนเดิมที่มีบ้านเดี่ยว 1 โครงการและคอนโดมิเนียม 2 โครงการ สู่การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการและคอนโดมิเนียม 1 โครงการแทน ด้านการตลาด เร่งจับมือพันธมิตรเพื่อเพิ่มช่องทางการขายใหม่ๆ และกระตุ้นให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการของเครือเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ง่ายขึ้น อาทิ การเยี่ยมชมโครงการแบบ 360 Virtual Tour ภายใต้ Major Private Tour และจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ด้านการเงิน เร่งสำรองเงินสด และสินเชื่อพร้อมใช้ ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจให้พร้อมรับมือความท้าทาย พร้อมทั้งได้เตรียมการในการจ่ายคืนหุ้นกู้ในปีนี้ให้ครบถ้วน ด้านการกระจายความเสี่ยง เร่งเดินหน้าธุรกิจใหม่ๆ ให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ HealthScape ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิต (Lifescape Developer) คาดว่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ภายใต้ธุรกิจ HealthScape ในช่วงปลายไตรมาส 3/2564 นี้

2.Stronger Community ดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องกับเครือเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ทุกส่วนให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ทั้งกลุ่มพนักงาน พันธมิตร ตลอดจนลูกบ้าน โดยออกแคมเปญ We've got your back เข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือผู้เกี่ยวข้องในด้านชีวิตความเป็นอยู่ อาทิ การเปิดให้ลูกบ้าน พนักงาน ครอบครัว คู่ค้า สามารถร่วมจองวัคซีนทางเลือกผ่านบริษัท การจัดส่งอาหารและของใช้จำเป็นไปมอบให้ผู้รับเหมาและแคมป์คนงาน การเปิดพื้นที่ให้ลูกบ้านสามารถโปรโมทร้านค้าของตัวเองได้บน Official Facebook Fanpage ของ Major Development การมอบพริวิเลจดูแลทั้งลูกบ้านและสัตว์เลี้ยงให้ครอบคลุมความเป็น Pet-friendly residences ขณะเดียวกัน เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน มอบ Financial Solution ดูแลทั้งลูกบ้านเดิมและลูกค้าใหม่

3.Stronger Life Journey เร่งศึกษาแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค และ Customer Journey ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงโควิด-19 เพื่อมาพัฒนาสินค้าและบริการทั้งในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรีและกลุ่มธุรกิจใหม่ให้ตอบโจทย์ทุกห้วงเวลาชีวิตของผู้บริโภคในอนาคต

นางสาวเพชรลดา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทยังคงรักษาขีดความสามารถในการดำเนินการได้อย่างดี มี Backlog ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 รวม 4,635 ล้านบาท และสามารถปิดการขายได้ถึง 3 โครงการ ในที่นี่รวมไปถึงโครงการมอลตัน ไพรเวท เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 31 ที่ปิดโครงการได้ภายในเวลาเพียง 1 ปี การก่อสร้างและทยอยโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการเมทริส พัฒนาการ-เอกมัย ที่ทำได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกัน มาตรการปิดแคมป์คนงาน ในช่วงเดือน ก.ค. ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานภาพรวมของบริษัทมากนัก เนื่องจากปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างเพียงไม่กี่โครงการ เช่น โครงการมิวนีค หลังสวน ซึ่งเดิมก่อสร้างมาได้เร็วกว่าแผนงาน และน่าจะส่งมอบได้ตามกำหนดการ การเดินหน้ากลยุทธ์ Building A Stronger Now จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ต่อยอดการดำเนินงานของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้นจากครึ่งปีแรก พร้อมรับมือทุกความท้าทายและดูแลทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับบริษัทให้ก้าวไปได้อย่างยั่งยืน
#3577
3in1 led 36pcs 1w led flat par light DJ DMX512 Stage Lighting   

ไฟเวที LED FLAT PAR สุดคุ้มการใช้ ปาร์ตี้, ดิสโก้, KTV, ผับ, ร้านอาหาร, สวน, สวนสาธารณะ, พลาซ่า เพิ่มความตื่นตาตื่นใจ ด้วยชุดไฟ วิบวับ  แค่ 990 บาท 

- 1 หลอดมีหลาย สี  RGB MiXED COLOR
- วัตต์: ประมาณ 36 x  วัตต์
- แรงดันไฟฟ้า: 110-220 - v
-แหล่งพลังงาน: AC
- สามารถใช้ได้กับเครื่องควบคุมสัญญาณไฟ DMX512 
- รูปแบบไฟเปลี่ยนได้ถึง 7 แบบ ได้แก่ ปล่อยอัตโนมัติ เปลี่ยนตามจังหวะดนตรี master-slave
- รับประกัน 1 เดือน

สนใจ ติดต่อสอบถามหรือสั่งซื้อสินค้า
โทร : 094-5102033
LINE :@gentech
หรือคลิก https://lin.ee/eYs6pVN


#ป้ายNeonflex #ป้ายไฟสั่งทำ #ป้ายเชียร์ #ป้ายร้าน #ป้ายไฟดัด #ป้ายไฟled
#lighting #ไฟled #ledonhome #ป้ายไฟ #ป้ายไฟร้าน #ราคาป้ายไฟ #อุปกรณ์ไฟ
#โคมไฟ #ไฟตกแต่ง #ไฟประดับ #ไฟดาวไลน์led #วิธีเปลี่ยนหลอดled #วิบวับ #laser






#3578
สำนักพรเทวะ (มหาสารคาม)


ศูนย์รวมวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง ดูดวง รับสอนการพยากรณ์ด้วยไพ่ออราเคิล แก้อาถรรพ์ร่างกาย รับลงนะ ลงทอง สาริกาลิ้นทอง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ รับทำเทียนสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา รับโชค แก้ชง เสริมดวงเสริมบารมีต่างๆ เรียกคู่ เรียกจิต สักน้ำมันว่านยา 108 ให้บูชาน้ำมันว่านสาวหลง น้ำมันว่านดอกทอง อื่น ๆ รับวิเคราะห์ชื่อ(ฟรี) รับตั้งชื่อ จำหน่ายเพนดูลั่มลูกดิ่งพลังจิต ให้บูชาคัมภีร์พระเวทย์

สนใจติดต่อ
นายธีรพัชร์ วงศ์วรนิตย์ (อ.ทองเอก พรเทวะ)
โทร 0846623662
website :  http://goo.gl/Y5nYSO
Facebook: facebook.com/teerapat992018
Line : teerapat999lazada : https://www.lazada.co.th/shop/porntaywa/?spm=a2o4m.pdp_revamp.delivery_options.1.6dbbfeeao328sS&itemId=1863368460&channelSource=pdpshopee :   https://shopee.co.th/teerapat992018 
 
#3579



ญี่ปุ่นเผชิญการระบาดของโควิดระลอกที่ 5 ทั่วประเทศมีผู้ติดเชื้อรายวัน 7,629 คน เฉพาะกรุงโตเกียว 2,848 คน สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดเมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว

ทางการกรุงโตเกียวยืนยันยอดผู้ติดเชื้อโควิดวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2,848 คน เป็นตัวเลขรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนในจังหวัดอื่นก็มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก คือ จังหวัดคานางาวะ 758 คน, จังหวัดโอซากา 741 คน, จังหวัดไซตามะ 593 คนสูงสุดเป็นประวัติการณ์, จังหวัดชิบะ 405 คน, จังหวัดโอกินาวา 354 คนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งประเทศญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อเมื่อวานนี้ 7,629 คน

นายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกฯญี่ปุ่น ยอมรับว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากญี่ปุ่นเพิ่งผ่านช่วงวันหยุดยาว 4 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และกำลังเข้าสู่ช่วงวันหยุดฤดูร้อนและเทศกาล "โอบง" ที่ประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อสักการะบรรพบุรุษ

ผู้นำญี่ปุ่นเรียกร้องให้ประชาชนชมการแข่งขัน "โตเกียวโอลิมปิก" ทางโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน และงดออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น

การระบาดระลอกใหม่นี้สร้างความกังวลมากขึ้น เมื่อมีผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาเพิ่มมากขึ้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งหมด แต่ทว่าจำนวนผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตยังค่อนข้างน้อย เมื่อวานนี้ (27 ก.ค.) มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 12 ราย และมีผู้ป่วยหนัก 514 ราย

คณะแพทย์เตือนว่า เชื้อสายพันธุ์เดลตาติดต่อได้รวดเร็ว และลุกลามสู่ปอดได้เร็ว ทำให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มคนหนุ่มสาวก็อาจมีอาการหนักจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและใช้เครื่องช่วยหายใจ คณะแพทย์เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเพิ่มจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วย และสร้างระบบติดตามผู้ป่วยที่รักษาตัวที่บ้าน

หนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ติดเชื้อเพียบ

การระบาดระลอกนี้ผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาววัย 20-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ส่วนผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปพบผู้ติดเชื้อใหม่เพียง 2% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด

ญี่ปุ่นเร่งการฉีดวัคซีนได้มากกว่าวันละ 1,600,000 เข็ม แต่ขณะนี้การจัดสรรวัคซีนเผชิญปัญหาหยุดชะงัก ทางการท้องถิ่นหลายแห่งระงับการฉีดวัคซีนเข็มแรก โดยฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้กับผู้สูงอายุเท่านั้น ขณะนี้ผู้สูงอายุในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้วราว 68.2% ส่วนประชากรทั้งหมดได้รับวัคซีนครบแล้วราว 25.5% .

ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนแล้ว แต่กลุ่มหนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ภาพรวมทั้งประเทศมีผู้ฉีดเข็มแรก 36.9% ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว 25.5%
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นได้รับวัคซีนแล้ว แต่กลุ่มหนุ่มสาวยังไม่ได้วัคซีน ภาพรวมทั้งประเทศมีผู้ฉีดเข็มแรก 36.9% ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว 25.5%
#3580



โควิด-19 ฉุดธุรกิจรายได้หาย กำไรหด ชิ่งการจ้างงาน คนตกงาน ว่างงานมโหฬาร แมนพาวเวอร์ กรุ๊ป ชี้ช่ององค์กร นายจ้าง ยังต้องการคนทำงานทั้งสายไอที การตลาดดิจิทัล โลจิสติกส์ รับอีคอมเมิร์ซโต แต่จ้างงานเน้น "ชั่วคราว" สัญญาจ้าง ลดเสี่ยง ความไม่แน่นอนในอนาคต

นางสาวสุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระยะยาวข้ามปี ส่งผลต่อตลาดแรงงานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ซึ่งจากการสำรวจและประเมินภาพรวมตลาดพบว่านายจ้างและแรงงานต่างได้มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น แต่ในห้วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ตลาดงาน สายงานต่างๆ เป็นสิ่งที่แรงงานต้องการมากสุด เพื่อสร้างโอกาสการมีอาชีพ รายได้ในยามวิกฤติ  

ทั้งนี้ เจาะลึกตลาดงานยังเป็นที่ต้องการขององค์กรต่างๆ มีดังนี้ 1.กลุ่มงานสายไอทีเป็นอาชีพที่มีความต้องการสูงมาก เพราะปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็นเครื่องมือทำงานมากขึ้นในยุคโควิด โดยตำแหน่งงานที่ต้องการ ได้แก่ Application Developer, IT Network, IT Engineer, Programmer & Developer, IT Sales, IT Support และ IT Specialist เป็นต้น 2.สายงานที่สร้างรายได้ให้ธุรกิจ ได้แก่  งานด้านการขาย  ทั้งงานขายออนไลน์ รองรับการเติบโตตลาดอีคอมเมิร์ซ  งานพัฒนาธุรกิจ  เพื่อหาตลาดใหม่รวมถึงการเพิ่มฐานลูกค้ารับมือการเปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์   

3.สายงานด้านการตลาดดิจิทัล รองรับธุรกิจในยุคที่เทคโนโลยี ดิจิทัลทรงพลัง หนึ่งในอาชีพใหม่ยอดฮิตคือการเกิดขึ้นของเหล่า "ยูทูปเบอร์"  (YouTuber) และบล็อกเกอร์ (Blocker) เป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพในการสื่อสารการตลาดและเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าบริการต่างๆ และยังมีอาชีพ เทรนเนอร์ออนไลน์ ,ติวเตอร์ออนไลน์ ,ธุรกิจให้คำปรึกษาออนไลน์ เป็นโอกาสของคนมองหางานและรายได้เพิ่มเติม


4.สายงานด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเติบโตของการค้าขายอีคอมเมิร์ซ การบริหารงานคลังสินค้าและการขนส่ง โดยตำแหน่งมีหลากหลายทั้งการจัดการคลังสินค้า การจัดส่งสินค้าหรือไรเดอร์ พนักงานขับรถส่งอาหารเดลิเวอรี่, งานขับรถส่งสินค้าและพัสดุ เป็นต้น 5.สายงานบัญชีและการเงิน เช่ย พนักงานบัญชี  พนักงานการเงิน และงานที่ปรึกษาด้านการเงิน 6.สายงานผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะทาง ได้แก่ แพทย์  พยาบาล รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์


"ในห้วงวิกฤติโรคโควิด-19 บุคลากรทางการแพทย์ เป็นอีกอาชีพที่ความตลาดแรงงานมีความต้องการสูง เพื่อเป็นด่านหน้าในการรับมือกับโรคระบาด" 

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจ คือการจ้างในสายโรงงานอุตสาหกรรม แม้ว่ามีความต้องการวิศวกรและพนักงานฝ่ายผลิตจำนวนมาก แต่บางอุตสาหกรรม เลือกรูปแบบการ "จ้างงานชั่วคราว" หรือเป็นสัญญาจ้าง เพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ต่างทีไม่แน่นอน ส่วนสายงานอื่นๆที่ยังมีความต้องการสูง เช่น งานบริการลูกค้าให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ งานด้านประกันภัย รองรับธุรกิจที่เติบโตค่อนข้างมาก  เป็นต้น 

ขณะที่คุณสมบัติที่นายจ้างต้องการจากแรงงาน สำหรับงานระยะสั้น คือทักษะการทำงานข้ามสายงานได้ ใช้เทคโนโลยีได้ดี มีการปรับตัวยอมรัและเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว  รวมทั้งพนักงานต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองสูง สามารถทำงานโดยไม่มีหัวหน้าทำงานเพื่อติดตามและแนะนำ พร้อมยังต้องแก้ปัญหาเฉพาะได้ดี และมีมุมมองของความเป็นผู้นำในตัวเอง

"การปรับตัวของแรงงานท่ามกลางยุคโควิด-19 ระบาด เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ควร คนทำงานจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเอง พร้อมปรับตัว การเรียนรู้สิ่งใหม่ ทั้งทั้งเทคโนโลยี  ระบบใหม่ๆ  การทำงานผ่านแพลตฟอร์มต่างๆมากขึ้น ขณะเดียวกันแรงงานควรทำความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนทัศนคติ ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ มีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และสื่อสารอย่างเหมาะสม  เพื่อให้การทำงานกับผู้อื่นเป็นไปด้วยความราบรื่นและบรรลุวัตถุประสงค์ ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย ทั้งระยะห่างทางกายภาพและการทำงานระยะไกลผ่านเทคโนโลยีต่างๆ"