• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - deam205

#3741


การคว้าตัว ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะอาร์เจนไตน์ ทำให้ ปอล ป๊อกบา กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ต้องการย้ายไปร่วมทัพ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง โดยจะปล่อยหมดสัญญากับ "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์หน้า เพื่อจะได้โยกแบบฟรีทรานเฟอร์

ป๊อกบา เหลือข้อผูกมัดปีเดียว ดังนั้น มิโน ไรโอล่า เอเยนต์ส่วนตัวจะล้มแผนเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับ แมนฯยู และจะปล่อยให้หมดสัญญาเหมือนเมื่อปี 2012 ที่เลือกไปร่วมทัพ ยูเวนตุส ก่อนที่จะย้ายกลับถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 89 ล้านปอนด์เมื่อปี 2016

กระนั้นก็ตามไม่ง่ายเหมือนกันกับการ ป๊อกบา เนื่องจาก เปแอสเช อาจจะผิดกฎการเงิน โดยตอนนี้มี เมสซี่ อยู่ภายในทีมแล้ว ส่วนกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสต้องการค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นกับการรับอยู่ที่ แมนฯยู ตอนนี้คือ 290,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ดังนั้นยอดทีมเมืองน้ำหอมอาจจะต้องวางแผนโละนักเตะคนอื่นๆ ออกไปเพื่อลดเพดานค่าจ้าง

ซัมเมอร์นี้ แมนฯยู ได้ตัว จาดอน ซานโช มาเติมเกมรุก ส่วน ราฟาเอล วาราน กองหลังจาก รีล มาดริด กำลังจะชูเสื้อด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ ส่วนเป้าหมายอื่นๆ ที่ว่าจะมาแทน ป๊อกบา อย่าง เอดูอาร์โด กามาแวงก้า, รูเบน เนเวส และ ซาอูล ยิเกซ ได้ล้มแผนหมดแล้ว
#3742


บมจ.เอกชัยการแพทย์ หรือ EKH อวดผลงานงวดไตรมาส 2/64 พลิกเป็นกำไรสุทธิ 65.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 30,090% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 0.22 ล้านบาท อานิสงส์ผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น รวมทั้งวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ ดันยอดผู้ใช้บริการเข้ารับการตรวจหาเชื้อคึกคัก ขณะที่ศูนย์บริการทางการแพทย์ครบวงจรสดใสไม่แพ้กัน ด้านบอร์ดเคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 8 กันยายน 64 "นายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร" เผยแนวโน้มครึ่งปีหลังยังคงขยายตัวอย่างโดดเด่นทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นจากการระบาดที่ยังคงรุนแรง มั่นใจหนุนรายได้โต พร้อมปรับเป้ารายได้ปี 64 โตไม่ต่ำกว่า 40%

นายแพทย์อำนาจ เอื้ออารีมิตร กรรมการและผู้อำนวยการ บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) (EKH) ผู้ประกอบธุรกิจสถานพยาบาลเอกชนในจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2/2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) มีกำไรสุทธิ 65.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30,090% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 0.22 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเท่ากับ 248.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129.37 ล้านบาท หรือ 108.81% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่118.89 ล้านบาท

สาเหตุที่ผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ที่เข้ารับบริการอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้มีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น และยังมีรายได้จากการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงมีผู้เข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจการรักษาพยาบาลทั่วไปในโรงพยาบาล เช่น ศูนย์ฉุกเฉิน ศูนย์กุมารเวช ศูนย์สูติ-นรีเวช ยังมีผู้เข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คณะกรรมการบริษัทจึงได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 ให้ผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท จำนวน 600 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 72 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2564

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่ามีโอกาสขยายตัวอย่างโดดเด่นทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นจากการระบาดที่ยังคงรุนแรง และการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คาดว่าจะผลักดันรายได้ปี 2564 เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งปรับเป้ารายได้จากเดิมโต 20% เป็นเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% จากปีก่อนได้อย่างแน่นอน

"ที่ผ่านมา บริษัทฯ เดินหน้ารุกขยายเปิดบริการตรวจเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มข้น ประกอบกับการให้บริการทางการแพทย์ในด้านต่างๆ ยังสามารถเติบโตในเกณฑ์ที่น่าพอใจ และมีผู้ป่วย OPD และผู้ป่วย IPD เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จัดตั้งหอผู้ป่วยเฉพาะกิจโควิด-19 หรือ Hospitel เพิ่ม จึงเป็นสัญญาณบวกต่อภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลังของ EKH ที่จะเติบโตอย่างโดดเด่น" นายแพทย์อำนาจ กล่าวในที่สุด
#3743


บรรยากาศโรงเรียนต่างๆ ในรัฐฟลอริดา เปิดการเรียนการสอนเป็นวันแรกเมื่อวันอังคาร (10 ส.ค.) ท่ามกลางการถกเถียงเรื่องควรให้นักเรียนสวมหน้ากากป้องกันหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้น รอน ดีแซนทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกัน เป็นผู้ที่ตั้งแง่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคโควิด-19 มาโดยตลอด คราวนี้ถึงขนาดออกกฎห้ามโรงเรียนบังคับการสวมหน้ากาก ขณะที่รัฐฟลอริดากำลังกลายเป็นรัฐที่โควิด-19 ระบาดหนักที่สุดในสหรัฐฯเวลานี้



หน่วยงานหลักในการต่อสู้โรคติดต่อของสหรัฐฯ เตือนคนอเมริกันงดเดินทางมาไทย อิสราเอล ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ และอีกหลายประเทศที่โควิด-19 กำลังระบาดรุนแรง ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในอเมริกาพุ่งขึ้นวันละแสนต่อเนื่อง 3 วันติด แถมอัตราการป่วยรุนแรงสูงขึ้น 40% และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 18% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ด้านเพนตากอนเตรียมขอไบเดนอนุมัติการฉีดวัคซีนให้กำลังทหารมะริกัน ภายในเดือนหน้า

ศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) หน่วยงานหลักในการต่อสู้กับโรคติดเชื้อของสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (9 ส.ค.) ประกาศยกระดับคำเตือนเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สู่ระดับ 4 ซึ่งหมายถึง "สูงมาก" สำหรับไทย อิสราเอล เขตเวสต์แบงก์ กาซา อารูบา และเฟรนช์โปลีนีเซีย

หลังจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกคำแนะนำ "ระดับ 4: ห้ามเดินทาง" สำหรับฝรั่งเศส ไทย และไอซ์แลนด์ โดยอิงจากคำแนะนำของซีดีซี

แต่สำหรับในอเมริกาเอง สถานการณ์การระบาดล่าสุดก็อยู่ในระดับรุนแรงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยตามรายงานของรอยเตอร์ จำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 100,000 คนติดต่อกัน3 วันซ้อน หรือเพิ่มขึ้น 35% จากสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งนี้ ลุยเซียนา ฟลอริดา และอาร์คันซอส์ เป็นรัฐที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่อัตราการป่วยรุนแรงทั่วประเทศสูงขึ้น 40% และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 18% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

อาซา ฮัตชินสัน ผู้ว่าการรัฐอาร์คันซอส์ ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกัน เผยว่า จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลรายวันพุ่งทำสถิติสูงสุดและขณะนี้ทั้งรัฐเหลือเตียงผู้ป่วยวิกฤตเพียง 8 เตียง

ฮัตชินสันยังเรียกร้องให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด ขณะที่ผู้คนมากมายยังลังเลเนื่องจากได้รับข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีน

ส่วนที่เทกซัส เกร็ก แอ็บบอตต์ ผู้ว่าการรัฐขอให้โรงพยาบาลต่างๆ เลื่อนการผ่าตัดที่ไม่เร่งด่วนออกไปก่อนเพื่อสงวนทรัพยากรไว้สำหรับผู้ป่วยโควิด

แอ็บบอตต์ที่ออกคำสั่งห้ามรัฐบาลท้องถิ่นบังคับสวมหน้ากากป้องกันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำทับว่า จะเพิ่มจำนวนคลินิกเพื่อให้ผู้ป่วยโควิดเข้ารับการฉีดแอนติบอดี้

ด้านฟลอริดา รัฐที่กำลังระบาดหนักที่สุดในเวลานี้ เมื่อวันอาทิตย์ (8) รายงานเคสใหม่รายวันทำสถิติสูงสุดที่ 28,317 คน ขณะที่จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทุบสถิติ 8 วันซ้อน

นักเรียนส่วนใหญ่ในรัฐฟลอริดายังมีกำหนดกลับเข้าเรียนตามปกติในสัปดาห์นี้ โดยที่เขตการศึกษาบางแห่งยังถกเถียงกันว่า ควรบังคับให้นักเรียนสวมหน้ากากป้องกันหรือไม่ เนื่องจากรอน ดีแซนทิส ผู้ว่าการรัฐ ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกัน ออกคำสั่งห้ามโรงเรียนของรัฐ ตลอดจนถึงภาคธุรกิจ และหน่วยงานรัฐ บังคับการสวมหน้ากาก โดยอ้างว่า เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติและปกป้องความเป็นส่วนตัว

ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ป่วยเด็กในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระบุว่า เป็นผลจากการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาที่มีแนวโน้มทำให้เด็กติดเชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์อัลฟาที่ระบาดหนักในอเมริกาก่อนหน้านี้

วิกฤตไวรัสที่กลับมาส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของชาวอเมริกันอีกครั้ง ผลักดันให้มีการรณรงค์ฉีดวัคซีนสำหรับผู้ที่ยังลังเลรอบใหม่

ในวันจันทร์ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศผ่านบันทึกภายในฉบับหนึ่งว่า จะขออนุมัติจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้บังคับกำลังพลฉีดวัคซีนในช่วงกลางเดือนกันยายน ถึงแม้สำนักงานอาหารและยา (เอฟดีเอ) ยังไม่ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิดได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าตัวไหนก็ตาม

การใช้วัคซีนในสหรัฐฯเวลานี้ ก็เช่นเดียวกับในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ หน่วยงานกำกับตรวจสอบเพียงแค่อนุมัติสำหรับการใช้ฉุกเฉินเท่านั้น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ทางกองทัพยังไม่บังคับให้กำลังพลฉีดเหมือนวัคซีนตัวอื่นๆ เพราะอาจเปิดช่องให้มีการฟ้องร้องทางกฎหมาย เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากไบเดนก่อนเท่านั้น โดยที่ทางประมุขทำเนียบขาวแถลงแสดงท่าทีแล้วว่า พร้อมสนับสนุนการตัดสินใจของเพนตากอนเต็มที่

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนเชื่อว่า เอฟดีเอจะอนุมัติอย่างสมบูรณ์ให้แก่วัคซีนโควิด อย่างน้อยก็ของไฟเซอร์ ภายในต้นเดือนกันยายนนี้

(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)
#3744


เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 64 ที่สโมสรทหารราบที่ 23 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กองทัพภาคที่ 2 อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา พล.ต.ไพวัลย์ จุ้ยเจริญ ผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 2 พร้อมด้วย นายกอบชัย บุญอรณะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นพ.นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ร่วมกันตรวจความพร้อมและเปิดสถานกักกันโรคแห่งรัฐ ตำบลโพธิ์กลาง State Quarantine เพื่อใช้เป็นสถานที่กักตัวกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ที่รอผลการตรวจหาเชื้อวิด-19


พล.ต.ไพวัลย์ จุ้ยเจริญ ผู้บัญชาการกองพลพัฒนาที่ 2 กล่าวว่า ทางกองทัพภาคที่ 2 มีนโยบายสนับสนุนงานด้านสาธารณสุขในแต่ละจังหวัด ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งกองบัญชาการกองพลพัฒนาที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งด้านแพทย์ พยาบาล และกำลังพล ที่จะช่วยเหลือประชาชน จึงได้ร่วมกับทางสาธารณสุขจังหวัด เทศบาลตำบลโพธิ์กลาง เปิดสถานกักกันโรคแห่งรัฐ ตำบลโพธิ์กลาง State Quarantine ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์คัดกรอง ช่วยเหลือด้านสาธารณสุข แบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลหลัก ทั้งแพทย์ พยาบาล และระบบสาธารณสุข ซึ่งสถานกักกันโรคแห่งรัฐ ตำบลโพธิ์กลาง แห่งนี้สามารถรองรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัว ได้จำนวน 50 เตียง

ด้าน นพ.นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดล่าสุดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 488 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต แยกเป็นติดเชื้อนอกจังหวัด 311 ราย ติดเชื้อในจังหวัด 177 ราย โดยผู้ป่วยรายใหม่ พบในพื้นที่ อ.สูงเนิน 119 ราย อ.โนนไทย 52 ราย อ.ประทาย 49 ราย อ.สีคิ้ว 32 ราย อ.ครบุรี 30 ราย อ.เสิงสาง 26 ราย อ.เมือง 23 ราย อ.ห้วยแถลง 21 ราย อ.พิมาย 18 ราย อ.ขามสะแกแสง 16 ราย อ.โนนสูง 16 ราย อ.บัวใหญ่ 16 ราย อ.ด่านขุนทด 11 ราย อ.วังน้ำเขียว 11 ราย อ.ปักธงชัย 8 ราย อ.บ้านเหลื่อม 7 ราย อ.พระทองคำ 7 ราย อ.ชุมพวง 6 ราย อ.ลำทะเมนชัย 6 ราย อ.สีดา 5 ราย อ.จักราช 4 ราย อ.บัวลาย 3 ราย และ อ.ขามทะเลสอ 2 ราย
#3745


การระบาดของโควิด 'เดลดา' ในไทย ทำให้มีผู้ป่วยรายใหม่สูงสุดมากกว่าสองหมื่นราย เสียชีวิตเพิ่มสองร้อยกว่าราย และคาดว่ายังไม่ถึงจุดสูงสุด ปรากฏการณ์ดังกล่าวคล้ายๆ กับหลายประเทศที่กลับมาระบาดอีกครั้งหลังเดลตากระจาย 132 ประเทศทั่วโลก

เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งกระจาย 132 ประเทศทั่วโลก ไม่เพียงแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟา 60% แต่มีหลักฐานว่าก่อให้เกิดอาการที่รุนแรงและอันตรายมากกว่าสายพันธุ์เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน นอกจากนี้ ยังพบผู้ที่มีอาการรุนแรงในกลุ่มผู้ที่มีอายุน้อยลง ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบไม่ว่าชนิดไหน มีโอกาสติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ ไม่แตกต่างจากผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน แต่อาการมักไม่รุนแรง


ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้ออกแนวปฏิบัติล่าสุด 27 ก.ค. แก้ไขจากแนวคิดเดิม เนื่องจากสหรัฐ มีการแพร่ระบาดของเดลตา ขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนยังไม่ไปถึงจุดที่ควรจะเป็น โดยแนะนำ เร่งฉีดวัคซีนโควิดให้เร็วมากขึ้นและกลับมาแนะนำว่าขอให้ประชาชนอเมริกัน ไม่ว่าจะไปที่ใดขอให้พิจารณาเรื่องการใส่หน้ากาก จากที่ก่อนหน้านี้บางรัฐส่งสัญญานว่าไม่ต้องใส่หน้ากาก เนื่องจากผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น 5 เท่า จากปลายเดือน มิ.ย. เฉลี่ย 12,000 ราย เฉลี่ยนเป็น 60,000 รายในปลายเดือน ก.ค. และ 50 รัฐ มีการกระจายเดลตากว่า 80%


การแพร่ระบาด อาจนำไปสู่การกลายพันธุ์

วานนี้ (10 ส.ค. 64) ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์  วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงอัปเดตสถานการณ์การรับมือกับ สายพันธุ์ เดลตา จากทั่วโลก ผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ Mahidol Channel โดยระบุว่า สัดส่วนของประชากรที่ได้รับวัคซีนที่มากพอ จะมีส่วนสำคัญในการลดการแพร่ระบาดและอัตราการเสียชีวิต แต่ไม่ควรเป็นข้อบ่งชี้ในการยกเลิกหรือผ่อนคลายการระวังตนเอง คือ ใส่หน้ากาก รักษาระยะห่างระหว่างบุคคล หมั่นทำความสะอาดมือ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีคนจำนวนมากในพื้นที่ ที่จำกัด


"การแพร่ระบาดในกลุ่มคนจำนวนมาก อาจนำสู่การเกิดการกลายพันธุ์ และสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดเร็ว จะทดแทนสายพันธุ์เดิมหรือสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดช้ากว่า ขณะที่ ความปลอดภัยจากเชื้อโควิด-19 ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ขึ้นกับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของเชื้อในโลก"


ฉีดวัคซีน ลดเสียชีวิต ยังแพร่เชื้อได้
ขณะนี้ ประเทศไทยขณะนี้ (10 ส.ค. 64)  ฉีดวัคซีนไปแล้ว 21,171,110 โดส ใน 77 จังหวัด "ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์" ระบุว่า  วัคซีนยังครอบคลุมเดลตาได้ระดับหนึ่ง โดยยังคงเร่งฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค คนอ้วน ซึ่งถ้าน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัมก็ฉีดได้เลยไม่จำกัดอายุ รวมไปถึงเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด เพราะตัวเลข 60-70% ของผู้เสียชีวิตเป็นคนอายุเกิน 60 ปี ขณะที่ CDC ระบุว่า การฉีดวัคซีนยังสามารถลดความรุนแรงกับการเสียชีวิตได้ แต่โอกาสการลดการแพร่กระจายลดลงไปเยอะ เพราะอย่างสหรัฐก็ออกมายอมรับเรื่องนี้เช่นกัน

ติดตามมาตรการหลัง สหรัฐ เริ่มกลับมาใส่หน้ากาก
ขณะเดียวกันมาตรการของไทยในขณะนี้ ต้องติดตาม และต้องมีการปรับเปลี่ยน เหมือน CDC สหรัฐ เมื่อฉีดได้ดีก็เริ่มจะให้ยกเลิกการใส่หน้ากากอนามัย แต่เมื่อระบาดขึ้นอีก 11 สัปดาห์ให้หลังก็ต้องกลับมาใส่หน้ากากใหม่อีกครั้ง ทุกประเทศเหมือนกัน ดังนั้น จึงต้องติดตามมาตรการ หากตัวเลขไม่ลงอย่างที่ควรจะเป็น ก็ต้องมาเข้มมาตรการ แต่หากตัวเลขเริ่มนิ่ง ป้องกันปัจจัยรอบข้างได้ เร่งฉีดวัคซีน ก็จะเกิดคุมไวรัสได้ ซึ่งอาจผ่อนมาตรการลงได้ในเวลาที่เหมาะสม


"ส่วนประชาชนให้ความร่วมมือก็ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีรายงานให้เห็นการทำกิจกรรมบางอย่าง  เช่น กิจกรรมทางศาสนา ทำให้มีการรวมกลุ่มจำนวนมาก จนกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ ยังมีโรงงานที่อยากทำบับเบิ้ล แอนด์ ชิล แต่ระบบอาจยังทำไม่ได้มาก ทำให้ยังมีคลัสเตอร์ที่อาจควบคุมได้ไม่เต็มที่ แต่สังคมโดยรวมอย่าง กทม. เท่าที่เห็นการ์ดยังไม่ตก และเริ่มเห็นการติดเชื้อใหม่มีแนวโน้มลดลง หากรักษาระยะแบบนี้ได้ และเร่งฉีดวัคซีนจะช่วยได้"

"โดยปัจจุบันไทยฉีดได้ราว 22% ของทั้งประเทศ คาดว่าจะได้ 25% ภายใน ส.ค. และไต่ยอดไปเรื่อยๆ ช่วง ก.ย.-ต.ค. น่าจะเห็นจุดที่วัคซีนมากพอ คู่ขนานกับมาตรการต่างๆ คาดว่าจะเห็นตัวเลขลดลง แต่ต้องไม่มีสิ่งใดเข้ามาก่อให้เกิดการแพร่กระจายมากขึ้น"

ไทยยังไม่ถึงจุดพีค
ซึ่งขณะนี้ยังไม่ถึงจุดพีค เพราะตัวเลขของกราฟ ไม่ว่าในกทม. หรือต่างจังหวัด ยังขึ้นอยู่ เพียงแต่บางพื้นที่ขึ้นด้วยความชันน้อยลง ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานี้ไปจนถึงปลายปียังมีการแย่งวัคซีนในแต่ละประเทศ การผลิตให้มากไม่สามารถทำได้ทัน ประกอบกับสายพันธุ์ที่กระจายเร็วซึ่งทำให้วัคซีนรุ่นแรกๆ ประสิทธิภาพลดลง ด้าน องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่แนะนำเข็ม 3 เพราะอยากให้ทั่วโลกได้รับวัคซีนให้เยอะพอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับบริบท ความจำเป็นของของแต่ละประเทศ


สิ่งสำคัญต้องดูสถานการณ์โลกควบคู่กับประเทศไทย ตราบใดที่ทั่วโลกร้อน ไทยไม่มีทางเย็น เพราะวัคซีน ยา และสิ่งอื่นๆ ยังต้องแย่งกัน เป็นสิ่งที่หลุดจากสิ่งคาดการณ์เดิม เดลตาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้สิ่งที่จัดการได้ จัดการไม่ได้ เช่น สหรัฐ หรืออิสราเอล หากไม่ช่วยกัน หากมีการแพร่ระบาดมาก และโชคร้ายมีสายพันธุ์ใหม่อีก ตอนนั้นจะยิ่งเดือดร้อน ตอนนี้จึงต้องเร่งหยุดการแพร่กระจายให้เร็วที่สุด
เข้มมาตรการ เร่งฉีดวัคซีน สกัดโควิด 

"ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์" กล่าวต่อไปว่า การลดความเสียหายที่เกิดจากวิกฤตที่เกินศักยภาพของระบบการดูแลสุขภาพ โดยการเร่งลดโอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อ ขึ้นอยู่กับ 3 มาตรการ สำคัญ คือ 1. มาตรการทางการปกครอง 2. มาตรการทางการสาธารณสุข คือ การบริหารจัดการควบคุมโรค การพัฒนา ศักยภาพการตรวจหาผู้ติดเชื้อ การบริหารจัดการเตียง สถานพยาบาล และ 3.มาตรการส่วนบุคคล และทางสังคม


รวมถึง การเร่งฉีดวัคซีนเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ได้แก่ กลุ่มเสี่ยง สูงวัย 7 โรคเรื้อรัง และ ตั้งครรภ์ มากและเร็ว การเร่งค้นหาผู้เสี่ยงติดเชื้อและแพร่เชื้อ (ATK; RT-PCR) การได้รับยาที่เร็ว (แจ้งลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่ระบบ) พัฒนาศักยภาพการดูแลผู้ติดเชื้อ (Home Isolation, Community Isolation)

รวมถึงการเร่งฉีดวัควีน ป้องกันการติดเชื้อ ผู้เสี่ยง สูงวัย 7 กลุ่มโรค หญิงตั้งครรภ์ ให้มากและเร็ว ขณะเดีวกัน การเร่งค้นหาผู้ติดเชื้อและเสี่ยงแพร่เชื้อ ซึ่งขณนี้มี Antigen Test Kit (ATK) ในการตรวจได้เร็ว ยี่ห้อต่างๆ มีความแม่นยำดีระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะความไวและจำเพาะกว่า 90% การตรวจ ATK  จะสามารถค้นหาคน ควบคุม เข้ากระบวนการรักษา ให้เร็ว และให้ยาเร็ว ตอนนี้มีนโยนบายออกมาแล้ว ในกลุ่มที่เสี่ยงจะอาการรุนแรง มีการแจกยา แต่ต้องลงทะเบียนเข้าสู่ระบบเพื่อติดตาม รวมถึง การพัฒนาศักยภาพ การดูแลผู้ติดเชื้อ Home Isolation และ Community Isolation
#3746


หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ประธานกรรมการ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT)เป็นประธานใน พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการใช้และให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ที่จัดขึ้นในรูปแบบเสมือนจริง (Virtual MOU Signing Ceremony)  โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  นายนพดล ปิ่นสุภา  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและดิจิทัล บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  นาวาอากาศเอก สมศักดิ์  ขาวสุวรรณ์  กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) และ นางสาวจันทนา เตชะศิรินุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี  บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามเพื่อวางกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าร่วมกัน รวมถึงต่อยอดเทคโนโลยีการสื่อสารและดิจิทัลสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ  ส่งเสริมและสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากลมากยิ่งขึ้น

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รูปแบบการใช้พลังงานในปัจจุบัน มุ่งไปด้านพลังงานไฟฟ้าและพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น ปตท. จึงพัฒนาและปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่ทิศทางพลังงานในอนาคต อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศ  ซึ่งที่ผ่านมา ปตท. ได้วางแผนลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ทั้งระบบกักเก็บพลังงาน แบตเตอรี่ โครงสร้างพื้นฐาน และแพลตฟอร์ม โดยจับมือพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ในการพัฒนาระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า และรองรับกลุ่มผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งนอกจากจะเป็นการตอบสนองนโยบายและทิศทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ ที่มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย ยังเป็นการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดที่จะช่วยประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอีกด้วย

"สำหรับความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้  ปตท. นำเอาความแข็งแกร่งด้านธุรกิจพลังงาน ตลอดจนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ผนวกเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจการสื่อสารและดิจิทัลของโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ในรูปแบบที่มีจุดแข็งและมีความโดดเด่น ตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม ด้วยทางเลือกของบริการที่หลากหลาย   อันจะนำไปสู่การสร้างอนาคตแห่งการเดินทางด้วยยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สนับสนุนได้ทั้งความมั่นคงทางพลังงานและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน"

นาวาอากาศเอก สมศักดิ์  ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยความร่วมมือในการพัฒนาธุรกิจเพื่อส่งเสริมการใช้และให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ของทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ มีการทดสอบตลาดและศึกษาความต้องการของลูกค้า การออกแบบทางธุรกิจ การศึกษาความคุ้มทุนในการลงทุน การพัฒนาด้าน IoT และ Application ต่าง ๆ ระบบการให้บริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นการติดตาม การจัดเก็บข้อมูล การชำระค่าบริการ และเพื่อสร้างความร่วมมือด้านธุรกิจร่วมกันต่อไป ซึ่ง NT  มีโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านสื่อสาร เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการนำเทคโนโลยี 5G ที่ NT มีคลื่นความถี่ที่พร้อมตอบสนองความต้องการใช้ในทุกรูปแบบมาประยุกต์ใช้ด้วย เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในด้านต่าง ๆ ของ ปตท. และ NT ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่  โอกาสในการนำความรู้ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของ NT ในธุรกิจสื่อสารและดิจิทัล มาใช้ในการพัฒนารูปแบบการใช้บริการยานไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นด้าน Charger และด้านการบริหารจัดการระบบรถส่วนกลาง (Fleet Management) ซึ่งระบบบริหารจัดการของยานพาหนะในธุรกิจเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและสร้างจุดแข็งทางธุรกิจที่ช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำเนินงาน ทั้งด้านการบริหารจัดการและด้านความปลอดภัย เชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะนำไปสู่การต่อยอดในการสร้างความแข็งแกร่งและความมั่นคงด้านการสื่อสารและดิจิทัลและอุตสาหกรรมด้านยานยนต์ในอนาคตให้กับทั้งสององค์กรร่วมกันและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน และประเทศชาติเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจด้านพลังงาน และเทคโนโลยีดิจิทัลต่อไป
#3747


นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มการจ่ายค่าสินไหมประกันภัยโควิด-19ในปีนี้ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  โดยตั้งแต่ต้นปี ถึง สิ้นเดือน ก.ค.2564 บริษัทประกันวินาศภัยจ่ายเคลมไปแล้ว 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ประเมินว่า หากสถานการณ์โควิดรอบนี้ไม่คลี่คลาย มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นระดับ 1.7-1.8 หมื่นคนต่อวัน และผู้เสียชีวิตสูงเกิน 100 คนต่อวัน ต่อเนื่องไปอีกการจ่ายเคลมประกันโควิด-19 เดือนส.ค. คาดจะเพิ่มเป็น  7,500-8,000 ล้านบาท

รวมถึงหากสถานการณ์ยังยืดเยื้อนานกว่านั้นการจ่ายเคลมนี้อาจทะลุเกิน 1 หมื่นล้านบาทได้ เนื่องจากกรมธรรม์ประกันโควิด-19มีระยะเวลาคุ้มครองยาว 1 ปี จนถึงปี 2565


อย่างไรก็ตามแเม้ปีก่อนประกันโควิด-19 มีกำไรค่อนข้างดี แต่ปีนี้โควิด-19แพร่ระบาดรุนแรงขึ้น มียอดเคลมเพิ่มกว่าเดิมมาก เมื่อหักลบรวมกัน 2 ปีแล้วก็น่าจะขาดทุน เพราะสัดส่วนคนไทยที่ทำประกันโควิด-19เทียบกับผู้ติดเชื้อ คิดเป็น10% ถ้ามีผู้ติดเชื้อใหม่วันละ 1.7-1.8 หมื่นคน หรือเฉลี่ยที่ 5 แสนคนต่อเดือน ตามสมมติฐานจะมีคนทำประกันโควิด-19ที่ 5 หมื่นคน เฉลี่ยยอดเคลมคนละ 7 หมื่นบาท เท่ากับมียอดเคลมเพิ่มขึ้นเดือนละ 3,500 ล้านบาท 

 "ปีก่อนมียอดเคลมประกันโควิด-19อยู่ที่ร้อยกว่าล้านบาท แต่ยอดเคลมปีนี้มีโอกาสพุ่งขึ้น50-100 เท่าจากปีก่อน เห็นได้จากช่วงเดือนพ.ค.2564 มียอดเคลม 1,000 ล้านบาท เดือนมิ.ย. เพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท และเดือนก.ค.เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท สมาคมฯ หวังว่ารัฐบาลจะควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้คนไทย และทำให้ยอดการจ่ายเคลมโควิด-19ชะลอลงบ้าง"

นายอานนท์ กล่าวว่า แม้ภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยอาจต้องเผชิญการขาดทุนจากรับประกันโควิด-19 แต่บริษัทยังพร้อมดูแลผู้เอากรมธรรม์ให้ได้รับความคุ้มครองตามที่ระบุไว้ รวมถึงได้ปรับเงื่อนไขความคุ้มครองช่วยเหลือผู้ติดเชื้อให้ได้ประโยชน์และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด 
#3748


ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผันผวนในเช้าวันนี้ โดยบางส่วนได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงตามทิศทางราคาน้ำมัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาในหลายประเทศ

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,488.66 จุด ลดลง 5.97 จุด หรือ -0.17%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,887.03 จุด เพิ่มขึ้น 66.99 จุด หรือ +0.24% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,456.61 จุด เพิ่มขึ้น 173.21 จุด หรือ +0.66%

นักลงทุนยังคงจับตาการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาในหลายพื้นที่ โดยล่าสุดนั้น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐได้เพิ่มระดับคำเตือนการเดินทางสู่ระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศไทย, อิสราเอล, ฝรั่งเศส, ไอซ์แลนด์, เวสต์แบงก์และกาซา รวมทั้งอีกหลายพื้นที่ เนื่องจากยอดติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พุ่งขึ้นอย่างมากในประเทศเหล่านี้

นอกจากนี้ CDC ยังได้เพิ่มระดับคำเตือนการเดินทางสู่ระดับ 3 สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังออสเตรีย, โครเอเชีย, เอลซาลวาดอร์, อาร์เซอร์ไบจาน, กวม, เคนยา และจาไมกา CDC ยังระบุว่า ชาวอเมริกันที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศเหล่านี้

นักลงทุนในภูมิภาคยังจับตาความเคลื่อนไหวหุ้นของบริษัทในเครือซัมซุง หลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากมีรายงานว่ากระทรวงยุติธรรมของเกาหลีใต้ประกาศวานนี้ว่า นายเจย์ วาย. ลี หรือนายลี แจยง ทายาทของซัมซุง กรุ๊ป จะได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ศาลสูงกรุงโซลของเกาหลีใต้ ได้ตัดสินจำคุกนายลี แจยง เป็นเวลา 2 ปีครึ่ง ฐานติดสินบนนางชเว ซุน-ซิล คนสนิทของอดีตประธานาธิบดีปาร์ค กึน เฮ เพื่อให้รัฐบาลสนับสนุนแผนการสืบทอดอำนาจในซัมซุง กรุ๊ป

ข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้น Samsung Electronics ลดลง 0.25% และหุ้น Samsung C&T ร่วงลง 1.05% ขณะที่หุ้น Samsung Life Insurance เพิ่มขึ้น 0.78%

ตลาดยังจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคในวันนี้ ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนมิ.ย. ของญี่ปุ่น และดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนก.ค.จากเนชั่นแนล ออสเตรเลีย แบงก์ (NAB) ของออสเตรเลีย
#3749
ทำไม ปลูกข้าวออแกนิค   (SURIN Organic Rice)  ถึงดีกว่าข้าวทั่วๆไปที่ใช้สารเคมีอย่างไร ?  ข้าวปลอดสารพิษสุรินทร์ หรือ ข้าวออร์แกนิค (Organic Rice)  คือ ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ทีได้จากการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นระบบการจัดการด้านการเกษตรแบบองค์รวมที่เกื้อหนุนต่อระบบนิเวศน์ วงจรชีวภาพ และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเน้นการใช้วัสดุธรรมชาติในนา  ข้าวกล้องหอมมะลินิลปลอดสารพิษ ไม่ใช้วัตถุดิบที่ได้จากการสังเคราะห์  สารเคที สารพิษ ยาฆ่าหญ้า ว่า ปุ๋ยเคมี สารควบคุมการเจริญเติบโตของ ข้าวกล้องออแกนิค สารควบคุมและกำจัดวัชพืช สารป้องกันกำจัดโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว ตลอดจนสารเคมีที่ใช้รมเพื่อป้องกันกำจัดแมลงศัตรูข้าวในโรงเก็บ และไม่ใช้พืช สัตว์ หรือจุลินทรีย์ที่ได้มาจากการดัดแปลงพันธุกรรม หรือพันธุวิศวกรรม  เราเน้นปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการปลูกพืชหมุนเวียน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในไร่นาหรือจากแหล่งอื่น ควบคุมโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าวโดยวิธีผสมผสานที่ไม่ใช้สารเคมี การเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่เหมาะสมมีความต้านทานโดยธรรมชาติ รักษาสมดุลของศัตรูธรรมชาติ การจัดการพืช ดิน และน้ำ ให้ถูกต้องเหมาะสมกับความต้องการของต้นข้าว เพื่อทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี มีความสมบูรณ์แข็งแรงตามธรรมชาติ การจัดการสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมต่อการระบาดของโรค แมลงและสัตว์ศัตรูข้าว เป็นต้น มีการจัดการกับผลผลิตและผลิตภัณฑ์ด้วยความระมัดระวัง เพื่อรักษาสภาพการเป็นเกษตรอินทรีย์ และคุณภาพที่สำคัญในทุกขั้นตอนการผลิตและการแปรรูป ข้าวออร์แกนิคแฟร์เทรด

 
ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวออแกนิคสำหรับทารกส่งทั่วไทย
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
Facebook : https://www.facebook.com/Hor.Product
Twitter : https://twitter.com/hor_boutique
IG : https://www.instagram.com/hor.boutique/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ   กลุ่มข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย
1. ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิorganic
3.  ข้าวปะกาอำปึลorganic
4.  ข้าวสุขภาพผสมหลายสายพันธุ์สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์ 
6. ข้าวกล้องหอมมะลินิลสุขภาพ
7.  ข้าวไรซ์เบอร์รี่ออแกนิค


#ข้าวออร์แกนิก #ข้าวออแกนิค #ข้าวออแกนิก  #ข้าวอินทรีย์ #ข้าวสุขภาพ
#3750


"กระบวนกร" จะทำหน้าที่เสมือนไกด์ โค้ช พี่เลี้ยง หรือเพื่อนร่วมทางให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ ในการคอยช่วยสร้างเสริมความเข้าใจเนื้อหาและกระตุ้นไอเดีย ให้คุณครูพัฒนาหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ และการสอน ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพทางความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ โดยโครงการมีโจทย์ตั้งต้นในหัวข้อนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าจากขยะ

ผู้เข้าร่วมจะได้เรียนรู้เนื้อหาสาระเกี่ยวกับขยะตั้งแต่ต้นทางจนเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ผสมผสานสาระเชิงลึกกับเครื่องมือการเรียนรู้สมัยใหม่ที่สร้างความสนุกและเข้าใจง่าย ถ่ายทอดไปสู่เยาวชนให้เกิดการตกตะกอนทางความคิดเพื่อต่อยอดในการสร้างสรรค์นวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าจากขยะสู่สังคม

ดังนั้นบทบาทกระบวนกรจึงเป็นการเปิดกรอบการเรียนรู้แนวใหม่ของวงการศึกษาไทย ที่จะไม่เป็นเพียงการเรียนรู้ทฤษฎีแล้วจบในห้องเรียน แต่เป็นการจุดประกายให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ ซึ่งสามารถนำไปช่วยแก้ปัญหาเชิงกระบวนการและประเด็นทางสังคมได้จริง ดังเช่น ปัญหาการจัดการขยะ ที่ถ้าหากจัดการอย่างถูกวิธีก็สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยเหล่ากระบวนกรมีแนวคิดการจุดประกายกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างประโยชน์ต่อการศึกษา สังคมและโลกใบนี้อย่างไร บทสัมภาษณ์นี้จะพาไปทำความรู้จักเหล่ากระบวนกรในโครงการกัน  

นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ 
"ติ" ชุติมา เรืองแก้วมณี กล่าวว่า ติเป็นนักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ (Experiential Learning Designer) และเป็นคนจัดกิจกรรมให้กับหลายๆ กลุ่ม ด้วยเราสนใจกลุ่มเด็กเยาวชน และประเด็นเรื่อง ขยะ ประกอบกับมีน้องทำหลักสูตร STEAM4INNOVATOR ของ NIA ชักชวนให้มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงที่ทำหน้าที่โค้ชคุณครูในเรื่องการจัดการขยะ และส่วนตัวอยากทราบว่าคุณครูในระบบการศึกษาตอนนี้เป็นเช่นไรจึงตัดสินใจมาทำหน้าที่ Facilitator ร่วมออกแบบกระบวนการเรียนรู้กับโครงการ The Electric Playground โดย ขยะ และนวัตกรรม นั้นแท้จริงนำมาทำเป็นกิจกรรมสนุกๆ และเรียนรู้ไปพร้อมกันได้

เช่น ขยะ 1 ชิ้นมีเส้นทางการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทางอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในการสอนของคุณครูด้วยวิธีการสอนที่เหมาะกับเขา ซึ่งผลที่ได้เป็นที่น่าพึงพอใจ เพราะคุณครูผ่านประสบการณ์ตรง ได้ทดลองกันในกลุ่ม ก่อนนำไปสอนเด็กนักเรียนของเขาให้เข้าใจ ซึ่งการสอนการจัดการขยะหากคุณครูคิดแบบบูรณาการต่อ สามารถพัฒนาต่อยอดได้อย่างยั่งยืนเลยทีเดียว เพราะขยะนำไปคุยได้หลายเรื่องมากๆ เช่น ขยะกับประเด็นปัญหาสังคม ขยะกับสิ่งแวดล้อม ขยะกับวิทยาศาสตร์ ขึ้นอยู่ว่าจะนำเสนอในแง่มุมใดของขยะต่อไป ซึ่งโครงการนี้ทำให้รู้ว่าคุณครูมีหัวใจการเป็นคุณครูมากๆ พร้อมปรับตัว และเรียนรู้ร่วมกันไปกับนักเรียน


 แม้ตอนนี้การส่งต่อการเรียนรู้ขยะสู่ห้องเรียนยังไม่ครอบคลุมทุกโรงเรียนทั่วไทย แต่ค่อนข้างคาดหวังกับโครงการนี้อย่างมากที่จะขยายสู่ภาคการศึกษาไทยที่ใหญ่ขึ้น เพราะเวลาที่เราทำงานกับคุณครู เราอยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบการศึกษา กระบวนการการเรียนรู้นวัตกรรมในเรื่องของขยะเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งกระบวนการออกแบบวิธีคิดที่เกิดขึ้นกับคุณครูจริงๆ นอกเหนือจากนั้นอยากให้ทุกคนในสังคมไทยตระหนักว่า ตนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะจริงจังที่ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะคนมักคุ้นชินกับภาพกองขยะ และมองว่าขยะคือขยะ แต่หากมองลึกลงไปกว่านั้นจะมีเรื่องของระบบการจัดการหรือการหมุนเวียนทรัพยากรด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราทุกคนร่วมเป็นส่วน หนึ่งในการขับเคลื่อน ได้ไม่ยาก


 ทุกๆ การกระทำของทุกคนมีผลลัพธ์ต่อสังคมเสมอ
"ดาว" สุภารัตน์ เชื้อโชติ กล่าวว่า ปัจจุบันดาวเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และคลุกคลีในวงการภาคการศึกษาอยู่แล้ว สิ่งที่ชอบสำหรับ STEAM4INNOVATOR คือเรารู้สึกว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จะทำให้เราอยู่ในโลกจริงมากขึ้น ไม่ใช่ใช้องค์ความรู้เพื่อที่จะบอกว่าเราเก่ง เราผ่านแล้ว เราได้เกรด A แต่เป็นการใช้องค์ความรู้เพื่อคนอื่นจึงรู้สึกว่า นี่แหละคือเป้าหมายของการเรียนรู้จริงๆ จึงนำมาสู่การเป็น Facilitator ในโครงการ The Electric Playground ที่ต้องการสร้างการรับรู้ต่อคุณครู เด็กและเยาวชนว่าขยะเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ 

เพราะกระบวนการนี้ได้เปลี่ยนวิธีคิดของเด็กเยาวชนต่อขยะที่ดีขึ้นว่า ทุกๆ การตัดสินใจและทุกการกระทำของเขามีผลลัพธ์ที่ตามมากับสังคมด้วย เพราะเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้นผลลัพธ์นี้จะก่อให้เกิดมลพิษ หรือก่อให้เกิดคุณค่าทางสังคม เศรษฐกิจ ก็ย่อมขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เราจะสร้างขึ้น

สำหรับเรื่อง ขยะ หรือสิ่งรอบตัว ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ในการส่งต่อการเรียนรู้สู่ภาคการศึกษาและต้องการพัฒนาเด็กนั้น ดาวและคุณครูจึงสร้างความเข้าใจว่าถ้าเราจะอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนั้นสำคัญ ดังนั้นเรามีโอกาสสร้างขยะใหม่ๆ ขึ้นได้ทุกวัน แต่ขณะเดียวกันก็เราก็ปรับทัศนคติและพฤติกรรมได้ ในระยะเริ่มต้นอาจจะไม่ต้องเร่งเครื่องแรงมาก แต่เริ่มจากมองเห็นอะไรใกล้ตัวแล้วค่อยๆ ปรับก็ได้ เช่น จากเดิมใช้หลอดพลาสติกก็ไม่ใช้ หรือไม่เคยแยกขยะเลย ก็ลองแยกแบบง่ายๆ แค่ใช้แรงนิดหน่อยก็เปลี่ยนให้เรียบร้อยได้

ซึ่งตอนที่เทรนคุณครูก็มีเรื่องน่าประทับใจเกิดขึ้นกัน คุณครูได้กลับไปสำรวจขยะรอบๆ โรงเรียนแล้วก็กลับมาบอกว่า จุดนั้นก็มี จุดนี้ก็มี ซึ่งเราจัดการขยะให้ดีกว่านี้ได้ แต่ทำไมเราไม่เคยมองและลงมือทำสักที รวมทั้งฝึกให้เด็กนักเรียนตั้งคำถามและฉุกคิดว่าขยะนี้สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นๆ หรือไม่ แต่ละพื้นที่กรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดมีวิธีจัดการขยะแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร ก็นับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีเลยค่ะ 

หัวใจหลักคือ แยกประเภท-กำจัดให้ถูกวิธี
"แทน" ธัญลักษณ์ แสงลาภเจริญกิจ กล่าวว่า เดิมแทนเป็นนักกำหนดอาหารให้คนป่วยที่โรงพยาบาล และได้ทำงานที่ร้านอาหาร จากนั้นได้เรียนต่อด้าน Food Design และมีโอกาสนำความรู้ที่เรียนไปพูดคุยกับผู้ประกอบการ และเยาวชนที่สนใจสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านอาหาร โดยส่วนตัวแทนสนใจประเด็นสังคมมาโดยตลอด ซึ่งเรื่องสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นทางสังคมเช่นกัน และตระหนักดีว่า "ขยะ" เป็นปัญหาที่สำคัญมากของทุกคน ยิ่งได้ไปสำรวจบริเวณรอบบ้านเรา พบว่าขยะมีการจัดการที่ผิดวิธีอยู่มาก

 ถ้าเรานำความรู้การจัดการขยะที่ถูกวิธีและใช้ได้จริงส่งต่อข้อมูลไปยังคุณครูตามโรงเรียนเพื่อขยายการรับรู้สู่เยาวชนด้วยการสื่อสารให้ง่ายที่สุด เพื่อให้น้องๆ เข้าใจจุดสำคัญในการจัดการขยะและแก้ปัญหาเป็นอย่างไร รวมถึงคนทั่วไปสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปสื่อสารต่อครอบครัวหรือคนรอบตัวต่อไปได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์และช่วยพัฒนาสังคมอย่างมาก จึงเป็นที่มาและความตั้งใจของการเข้ามาทำหน้าที่ Facilitator ในโครงการ The Electric Playground ในการส่งต่อการเรียนรู้สู่ภาคการศึกษาไทยร่วมกับคุณครูที่เข้าร่วมโครงการ

ตลอดที่ผ่านมา คุณครูทุกคนมีความตั้งใจมากในการเรียนรู้กระบวนการจัดการขยะ และนำไปคิดตลอดว่าเขาจะไปสอนเด็กอย่างไรให้เข้าใจเหมือนที่เขาเข้าใจแล้วไปใช้จริงได้ จึงร่วมปรับเนื้อหาและวิธีการสื่อสารตามสไตล์คุณครูให้เข้าใจง่าย พร้อมทั้งเสริมการสอนเชิงสร้างสรรค์สำหรับเด็กๆ ในรูปแบบ Learning by Doing เล่นเกมไปด้วยกัน เช่น เกมแยกขยะ เกมจัดประเภท ซึ่งถ้าให้แนะนำการจัดการขยะเกี่ยวกับอาหาร เช่น ที่ร้านอาหาร วิธีแรกคือควรแยกประเภทของขยะก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะอินทรีย์ เศษอาหาร เศษเนื้อสัตว์  ส่วนนี้เราแยกนำไปหมักเป็นปุ๋ยเพื่อใช้ประโยชน์ต่อได้ ส่วนที่เป็นถุงพลาสติก ขวดซอสต่างๆ ควรล้างทำความสะอาดก่อนทิ้ง ก็สามารถส่งต่อไปรีไซเคิลได้ตามจุดต่างๆ ได้ค่ะ 

ผู้ไขประสบการณ์การจัดการขยะ
"สุธี" สุธี สุขสุเดช กล่าวว่า ตนเป็นอาจารย์ทันตแพทย์ ส่วนตัวสนใจกระบวนการจัดการเรียนรู้ และเป็นผู้สอนในระบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ Problem-based Learning ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์การจัดการขยะ ดังนั้นการเข้าร่วมโครงการ The Electric Playground จึงเป็นการเรียนรู้หน้างานไปพร้อมกับทุกคน ทั้งคุณครูในโรงเรียน และ Facilitator คนอื่นๆ ซึ่งการเข้ามาเรียนรู้เรื่อง ขยะ ทำให้ตระหนักความสำคัญของการคัดแยกขยะและรู้ถึงระบบนวัตกรรมการจัดการขยะ ทำให้เปลี่ยนความคิดจากเดิมที่ว่าแยกขยะไปทำไม เปิดมุมมองเป็นการคัดแยกขยะ รวมทั้งการเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า ผลิตไฟฟ้าในการแจกจ่ายไฟฟ้าไปยังตำบล

นอกจากสร้างความเข้าใจให้คุณครูผ่านหลักสูตร STEAM4INNOVATOR แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมอยากแชร์ขณะทำหน้าที่ Facilitator เทรนคุณครู ซึ่งจะได้รับหน้าที่รับผิดชอบโรงเรียนที่แตกต่างกัน พบว่าโรงเรียนที่ผมดูแลมีระบบการจัดการขยะที่ดีมาก และคุณครูได้สอนเด็กนักเรียน โดยยกเรื่องเตาเผามาสอนในหัวข้อการเปลี่ยนแปลงพลังงาน และเชื่อมโยงไปตั้งแต่พลังงานจลน์ พลังงานไฟฟ้า

โดยใช้ขยะเป็นโจทย์เริ่มต้น ทำให้ผมทึ่งมากว่า ขยะ เชื่อมโยงได้ทั้งโลกและชีวิตมนุษย์ได้หลากหลายมาก เพราะแท้จริงโลกนี้คือพลังงานต่างๆ ที่แปรรูปไปเรื่อยๆ และในร่างกายเราก็มีพลังงานมาจากการเผาไหม้เหมือนกัน แต่เริ่มต้นจากการเผาขยะ ซึ่งจุดนี้ก็สามารถเชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆ ได้อีกเช่นกัน เช่น ฟิสิกส์ เคมี คุณภาพของเชื้อเพลิง กฎทรงมวล กฎของพลังงานจลน์ พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งถ้าหากจะมองถึงการขยายการเรียนรู้ขยะสู่ภาคศึกษาไทย เรื่องจิตสำนึกอาจไม่เพียงพอ แต่โครงสร้างขององค์กรหรือโรงเรียนของนักเรียน เขตการศึกษาต่างๆ ก็ต้องเกื้อหนุนด้วยเช่นกัน
#3751


"นพ.สันต์" ติงสื่อฟังไม่ได้ศัพท์ กรณีนักวิจัย "ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้" ขอถอนต้นฉบับที่กำลังรอตีพิมพ์ แม้ค่า p-value สรุปผลไม่แตกต่างจากยาหลอก แต่ไม่ได้หมายความว่า รักษาโควิดไม่ได้ เพียงแต่ต้องวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น ชี้พิเศษกว่าคู่แข่ง "ฟาวิพิราเวียร์" ที่มีข้อมูลน้อยพอกัน คือ แค่ทำวิจัยเพิ่มอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้ว อีกทั้งยังหาง่าย ราคาถูก มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติ

จากกรณี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์หัวใจและผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว เผยแพร่บทความว่า ทีมผู้วิจัยชาวไทย ที่สรุปผลได้ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิด-19 ลดการเกิดปอดอักเสบได้ ทำการขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับของตนเองที่รอตีพิมพ์กลับคืนจากคลังวารสารรอตีพิมพ์ (medRxiv) เหตุผิดพลาดในการคำนวณค่านัยสำคัญของความแตกต่าง (p-value) ซึ่งหากคำนวณอย่างถูกต้องแท้จริงแล้วค่านัยสำคัญจริงๆ คือ p=0.1 แปลได้ว่า "การใช้ฟ้าทะลายโจรลดปอดบวมได้ไม่แตกต่างจากใช้ยาหลอก" ทำให้สื่อหลายแห่งตีความไปว่าฟ้าทะลายโจร ใช้รักษาโควิดไม่ได้ (อ่านบทความ : จำเป็นต้องมีการวิจัยรักษาโควิด-19 ด้วยฟ้าทะลายโจรซ้ำด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น)

วันนี้ (8 ส.ค. 2564) นพ.สันต์ จึงชี้แจงว่า สื่อตีความผิดพลาด เนื่องจากค่า p-value ที่ได้นั้น ไม่ได้หมายความว่า ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดไม่ได้ เพียงแต่ต้องทำการวิจัยนี้ซ้ำใหม่ด้วยกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม


เมื่อวานนี้ ผมเล่าเรื่องคณะผู้วิจัยชาวไทย ที่ทำวิจัยฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดได้ขอถอนต้นฉบับของตัวเองกลับออกมาจากเว็บไซต์งานวิจัยรอตีพิมพ์ (medRxiv) เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวณเชิงสถิติในประเด็นการคิดค่านัยสำคัญทางสถิติ (p-value) คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ตัดเอาบทความของผมครึ่งบรรทัดไปโพนทะนาผ่านทางหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ ว่า ฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ ผลเสียแล้วควรต้องเลิกใช้..ไปโน่นเลย ผู้คนก็พากันกระต๊าก กระต๊าก ต่อๆ กันไป ซึ่งเป็นการตัดบทความของผมเอาไปแค่บรรทัดเดียวแล้วเอาไปกระเดียดที่ได้ผลแบบอะเมซซิ่งทิงนองนอยมากส์

ตัวผมเองไม่ถือสานะครับ เพราะเรื่องก็ดี ชื่อก็ดี ภาพของผมก็ดี มักมีคนชอบเอาไปทำยำใหญ่ใส่สาระพัดเป็นประจำอยู่แล้ว เอาไปขายยาสีฟันก็ยังเคยมีเลย หิ หิ ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่กลับมองเห็นเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผู้คนได้หันมาสนใจและพยายามทำความเข้าใจงานวิจัยทางการแพทย์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จะได้ไม่ถูกคนกระเดียดข้อมูลให้ตื่นตกใจได้ง่ายๆ

ขอย้อนไปเริ่มต้นที่สนามหลวงก่อนนะ

เมื่อมีโรคโควิด-19 มา ได้มีการทำวิจัยในห้องทดลองที่ไต้หวันและในเมืองไทย แล้วสรุปผลได้ตรงกันว่า ฟ้าทะลายโจรระงับยับยั้งเชื้อไวรัสซาร์สโควี 2 ซึ่งเป็นเชื้อต้นเหตุของโรคโควิด-19 ทั้งนอกเซลล์และในเซลล์ได้ [1, 2]

ต่อมาก็ได้มีการทดลองใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ในคนกลุ่มเล็ก (case series) จำนวน 6 คน ซึ่งสรุปผลได้ว่าฟ้าทะลายโจรในขนาดที่ใช้ (180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวันนาน 5 วัน) สัมพันธ์กับการที่ไวรัสลดจำนวนลงและหมดไปจากตัว (viral shedding) ได้ โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงที่มีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้ไม่ได้ตีพิมพ์ แต่นำเสนอในที่ประชุมวิชาการโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก [3]

ต่อมาพัฒนาการทางวิชาการในเรื่องนี้ ก็แยกกันทำไปสองทาง ทางหนึ่งคือ ได้มีการทำวิจัยแบบย้อนหลังตามดู (retrospective cohort study) กลุ่มคนไข้โควิด-19 ที่ได้รับการรักษาต่างกันสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งใช้ฟ้าทะลายโจร 309 คน อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ใช้ฟ้าทะลายโจร 526 คน แล้วพบว่า กลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายโจรเป็นปอดบวม 3 คน (0.9%) กลุ่มที่ไม่ได้ฟ้าทะลายโจรเป็นปอดบวม 77 คน (14.64%) ซึ่งเป็นความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในรูปของรายงานสรุป (short communication) ในวารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก [4]

อีกด้านหนึ่งก็มีการทำวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ในรูปของการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งถือว่าเป็นระดับหลักฐานชั้นสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ รายละเอียดของงานวิจัยมีอยู่ว่าผู้วิจัยได้ใช้ผู้ป่วย 57 คน สุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 29 คน ให้กินฟ้าทะลายโจรซึ่งมีเนื้อยาแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มก.ต่อวันกินนาน 5 วัน อีกกลุ่มหนึ่ง 28 คน ให้กินยาหลอก โดยใช้การเกิดปอดอักเสบ (pneumonia) เป็นตัวชี้วัด พบว่า กลุ่มที่กินยาหลอกเกิดปอดอักเสบ 3 คน (10.7%) ขณะที่กลุ่มที่กินฟ้าทะลายโจรไม่เกิดปอดอักเสบเลย (0 คน) เป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.039) ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ส่งผลไปตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ โดยเผยแพร่นิพนธ์ต้นฉบับล่วงหน้าในเว็บไซต์งานวิจัยรอการตีพิมพ์ (medRxiv)[5] แต่ต่อมาคณะผู้วิจัยพบความผิดพลาดในการคำนวณค่า p-value ว่าที่คำนวณได้ p = 0.039 นั้นผิดไป ที่ถูกต้องเป็น p = 0.1 จึงได้ขอถอนนิพนธ์ต้นฉบับกลับมาแก้ไขความผิดพลาดดังกล่าว

ผมได้เล่าเรื่องการขอถอนต้นฉบับกลับมาแก้ไขให้แฟนบล็อกฟัง และแจ้งเปลี่ยนข้อสรุปของผมเองที่เคยพูดว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19 มีมากพอแล้วนั้น ผมต้องขอแก้ไขคำพูดใหม่ เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนให้ใช้ฟ้าทลายโจรรักษาโรคโควิด-19ในคนยังมีไม่มากพอ (เพราะยังขาดงานวิจัยระดับ RCT) จึงต้องทำวิจัยซ้ำโดยการขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้น

เพราะการที่กลุ่มตัวอย่างเล็กได้ค่า p มากกว่า 0.05 ก็บอกได้แค่ว่ายังบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างในผลการรักษา (คือการเกิดปอดบวม) ในทั้งสองกลุ่มมันต่างกันจริงหรือไม่ การจะรู้ได้ก็ต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่านี้

ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรสักแอะเดียวที่จะบ่งชี้ว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด-19 ไม่ได้ผล ฟังให้ดีนะ "ยังไม่มั่นใจว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า" ไม่เหมือนกับ "ใช้แล้วไม่ได้ผล"

ซึ่งยาคู่แข่งกันที่ใช้ในเมืองไทยอีกตัว คือ Favipiravir ก็มีข้อมูลน้อยประมาณเดียวกัน คือ ทุกอย่างติดอยู่ที่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ นับถึงวันนี้การใช้ Favipiravir แล้วจะทำให้ไวรัสโควิด-19 หายไปจากตัวเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ..รึก็เปล่า จะทำให้ใช้ออกซิเจนน้อยลง..รึก็เปล่า จะทำให้ต้องเข้าไอซียูน้อยลง..รึก็เปล่า และที่สำคัญจะทำให้คนป่วยตายน้อยลง..รึก็เปล่า [6]

แต่ฟ้าทะลายโจรมันมีความพิเศษกว่า Favipiravir ตรงที่แค่ทำวิจัยซ้ำขยายกลุ่มตัวอย่างให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเดียว ก็จะเห็นดำเห็นแดงแล้วว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลต่างจากยาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ เท่าที่ผู้รู้ทางสถิติคำนวณให้คร่าวๆ หากพิจารณาจากอัตราการเป็นปอดบวมของผู้ใช้และผู้ไม่ใช้ฟ้าทะลายโจรในงานวิจัย retrospective cohort ที่ได้รายงานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แค่ขยายกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัย RCT ไปให้ได้กลุ่มละ 40 คน คือ ขยายอีกกลุ่มละ 10 คน ก็จะเห็นดำเห็นแดงกันแล้ว

อีกทั้งฟ้าทะลายโจรเป็นพืชสามัญในท้องถิ่น หาง่ายกว่า ราคาถูกกว่า มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของชาติมากกว่าไปซื้อยาเขามาทั้งๆ ที่ผลการรักษาก็แปะเอี้ย ในแง่การค้าขายระดับนานาชาติ หากจะขายฟ้าทะลายโจร ก็ต้องมีงานวิจัยระดับ RCT สนับสนุน ตัวหมอสันต์จึงลุ้นตัวโก่งให้ทำงานวิจัยนี้ต่อให้เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ โดยยินดีช่วยทุกอย่างเท่าที่หมอแก่คนหนึ่งจะช่วยได้
#3752


มาร์สไทยแลนด์อิงค์ เดินหน้าแผนการสร้างธุรกิจยั่งยืน (Sustainable in a Generation Plan) ตามนโยบายบริษัทแม่ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด มุ่งเน้น 3 ด้านหลัก "Healthy Planet - Thriving People - Nourishing Wellbeing" นำร่องลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ยั่งยืน เน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือย่อยสลายได้ เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้เกิดขึ้น ล่าสุดจัดแคมเปญ "แลกแล้ว-ลดเลย" เปิดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงได้มีส่วนร่วมช่วยลดการใช้ขยะ นำถุงเปล่าอาหารสุนัขหรืออาหารแมวมาแลกรับส่วนลด เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

นายรัชกร เจนพัฒนพงศ์ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยและอินโดจีน มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ผู้ดำเนินธุรกิจแบรนด์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ PEDIGREE®, WHISKAS®, IAMS® ROYAL CANIN®, CESAR®, SHEBA®, TEMPTATIONS® รวมทั้งทรายอนามัยสำหรับแมวแบรนด์ CATSAN® เปิดเผยว่า มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ได้เดินหน้าธุรกิจเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพและโภชนาการของสัตว์เลี้ยง ควบคู่ไปกับแผนการสร้างธุรกิจยั่งยืน (Sustainable in a Generation Plan) ตามโยบายของบริษัทแม่ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด

สำหรับแผนการสร้างธุรกิจยั่งยืน (Sustainable in a Generation Plan) ของ มาร์ส อินคอร์ปอเรทเต็ด จะมุ่งเน้นใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ Healthy Planet, Thriving People และ Nourishing Wellbeing

• Healthy Planet ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่ยั่งยืน มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ โดยมีเป้าหมายลดการใช้พลาสติกบริสุทธิ์ลง 25% ภายในปี 2025 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในห่วงโซ่การผลิตลง 27% ภายในปี 2025 และ 67% ภายในปี 2050 รวมถึงลดการใช้น้ำที่ไม่ยั่งยืนในห่วงโซ่การผลิต เริ่มด้วยการลดลง 50% ภายในปี 2025 และบริหารจัดการที่ดินทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพ
• Thriving People มุ่งพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ไม่ว่าจะเป็น เกษตรกร คนงาน ผู้หญิง และเด็ก ผ่านโครงการต่างๆ ที่ครอบคลุมในเรื่องของการพัฒนารายได้เกษตรกร ภายใต้โปรแกรมที่ผสมผสานแนวปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี การคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและไม่ใช้แรงงานเด็กในส่วนของโรงงานผลิตของ Mars ทุกแห่ง รวมทั้งโรงงานของซัพพลายเออร์ด้วย
• Nourishing Wellbeing เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคอย่างโปร่งใส สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ดีต่อสุขภาพ โดยพัฒนาคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ของบริษัท มุ่งเน้นความปลอดภัยและความมั่นคงด้านอาหารผ่าน Mars Global Food Safety Center เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านความปลอดภัยของอาหารในระยะยาว 3 ประการ ได้แก่ การจัดการความเสี่ยงจากสารพิษจากเชื้อรา การจัดการความเสี่ยงด้านจุลินทรีย์ และความมั่นคงสมบูรณ์ของอาหาร



"นโยบายของมาร์ส ในการดำเนินธุรกิจ จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นและนำมาซึ่งการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เริ่มตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับความท้าทายด้านความปลอดภัยของอาหาร ไปจนถึงประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งยังมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ร่วมงานและชุมชนโดยรอบ" นายรัชกร กล่าว

ล่าสุด มาร์สไทยแลนด์อิงค์ ได้เปิดให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงได้มีส่วนร่วมในการช่วยลดขยะเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยังยืน กับแคมเปญ "แลกแล้ว-ลดเลย" เพียงนำถุงเปล่า อาหารสุนัขหรืออาหารแมวแบรนด์ใดก็ได้ขนาด 1 กิโลกรัมขึ้นไป นำมาใช้แลกเป็นส่วนลดอาหาร Pedigree, IAMS, Whiskas สูงสุด 100 บาท โดยแคมเปญดังกล่าว เฉพาะร้านค้าทั่วประเทศที่ร่วมรายการ และขยายระยะเวลาไปจนถึง 31 ส.ค.64 หรือ ติดตามรายละเอียดได้ทาง FB: Pedigree Thailand และ FB: Whiskas Thailand
#3753


จากกรณี ดาราหนุ่มซีรีส์ช่องดัง ทอยทอย-ธนภัทร อายุ 21 ปี ก่อเหตุแทงแฟนสาว  พิม ชัชสรัญ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี เสียชีวิตในบ้านพักย่านเขตคลองสามวา โดยเจ้าตัวอ้างว่าทะเลาะกันมีปากเสียงกันอย่างหนัก ก่อนจะเกิดการต่อสู้และมีการแทงฝ่ายหญิงจนเสียชีวิต ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ส.ค. หลังเกิดเหตุดังกล่าว ทางด้านโลกออนไลน์ ได้มีการย้อนไปดูที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของ "พิม ชัชสรัญ" พบว่า ก่อนเกิดเหตุสุดสลด เธอเคยโพสต์เล่า เคยถูกคนรักทำร้ายจนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์มานานกว่า 2 ปี อีกทั้งทำเรื่องฟ้องหย่ากับสามีเก่า

เมื่อช่วงปี 2562 พิมเคยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล เนื่องมาจากโรคซึมเศร้า และจำเป็นต้องพักรักษาตัว ซึ่งพิมยังเคยโพสต์ภาพที่ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บหลายจุด และเป็นต้นเหตุของอาการซึมเศร้าและไบโพลาร์มาแล้ว

"พิม" ระบุว่า จุดเริ่มต้นของการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์นั้น เป็นมานานกว่า 2 ปี จากการที่พิมถูกทำร้ายจากคนที่เธอรักตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โรคนี้ไม่มีใครอยากเป็น โรคนี้เป็นโรคที่บางคนไม่เคยเข้าใจ เป็นโรคที่ทำให้เธอต้องฆ่าตัวตายมาเป็นสิบ ๆ ครั้ง โรคที่พังชีวิตเธอทุกอย่าง เธอพยายามต่อสู้มาโดยตลอด "จุดจบก็หนีไม่พ้น ถ้าเธอไม่พังชีวิตตัวเอง ก็ไปรักใครมากกว่าตัวเองจนเขามาพังชีวิตเรา"

มีคนชอบพูดกับเธอว่า มีทุกอย่างแล้วทำไมยังไม่หยุดเป็นอะไรแบบนี้ เธออยากถามกลับว่า "เคยได้ยินว่า มีทุกอย่างแต่ไม่มีความสุขไหม" มีแต่คนถามว่า ทำไมเธอไม่รักตัวเอง ไม่รักคนรอบตัวบ้างเหรอ เธออยากบอกว่า "เธอรักจะตาย แต่เข้าใจไหมว่าเซลล์สมองมันไม่ปกติ มันพัง กระบวนการคิดมันไม่เหมือนคนทั่วไป" อยากให้เคสของเธอเป็นตัวอย่างให้ทุกคนพยายามเข้าใจคนป่วยประเภทนี้ โดยเฉพาะคนที่คุณรัก ยาที่ดีที่สุดสำหรับคนป่วยโรคนี้คือ ความรักและความเข้าใจเขาจริง ๆ เพราะคนเหล่านี้เขารักตัวเองไม่ได้ เธอเข้าใจว่า อยู่กับคนป่วยแบบนี้มันเหนื่อย แต่บางทีคุณอาจจะเป็นเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ต่อ "อย่าเห็นโรคนี้เป็นเรื่องตลก อย่ามองว่าเรียกร้องความสนใจ เพราะถ้าวันใดเขาฆ่าตัวตายสำเร็จ คุณจะไม่ตลกกับมันด้วยซ้ำ" สิ่งที่เธอต้องเจอ มันหนักเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งต้องเจอจริง ๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไรความทรมานนี้จะจบลงเสียที

นอกจากนี้ เมื่อย้อนไปเมื่อวันที่ 23 มี.ค. "พิม ชัชสรัญ" เคยโพสต์ว่า ตอนนี้ได้ฟ้องหย่ากับอดีตสามี และมีการฟ้องร้องเรื่องเงินกันเกิดขึ้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องมา ฝั่งอดีตสามีหนีตลอด ไม่ยอมมาคุยให้จบกันดี ๆ ไม่ยอมมาเซ็นใบหย่า ส่วนสภาพจิตใจและร่างกายของเธอตอนนี้อาการไม่น่าเป็นห่วงแล้ว พร้อมขอบคุณทุกคนอย่างใจจริงอีกด้วย..... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/news/131589/
#3754


"ธปท."เผบผลโพล"BSI COVID" ชี้ไทย"ล็อกดาวน์"เข้มทำธุรกิจฟื้นช้า เผยความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกดิ่งเหวเหลือแค่ 16.4 ต่ำกว่า เม.ย.63 คาดคนใช้ชีวิตได้ปกตินในไตรมาสที่ 1 ของปี 65

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.64 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลสำรวจเรื่องผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ต่อภาคธุรกิจไทย (BSI COVID) เดือนกรกฎาคม 2564 พบว่า ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจในภาพรวมปรับลดลงจากเดือนก่อนในทุกภาคธุรกิจ ตามการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศในวงกว้าง และผลของมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่กลับมาเข้มงวดอีกครั้ง โดยเฉพาะภาคก่อสร้างจากคำสั่งปิดแคมป์คนงานเช่นเดียวกับภาคท่องเที่ยวและภาคการค้า ที่ได้รับผลกระทบจากการจำกัดการเดินทาง การปรับเวลาให้บริการ และห้ามนั่งรับประทานในร้าน ขณะที่ภาคการผลิตยังคงถูกกดดันจากการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ในโรงงาน ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ปัญหาการนำเข้าผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ตลอดจนการปิดโรงงานของคู่ค้าที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน

สำหรับการจ้างงานค่อนข้างทรงตัวทั้งด้านจำนวนแรงงาน และรายได้เฉลี่ย ยกเว้นการจ้างงานในภาคท่องเที่ยวที่ลดลงตามการปิดกิจการชั่วคราว และภาคก่อสร้างที่ปรับลดลงตามกิจกรรมที่หยุดชะงักหลังมีคำสั่งปิดแคมป์ ส่งผลให้แรงงานบางส่วนเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนา โดยธุรกิจในภาพรวมมีการใช้นโยบายสลับกันมาทำงาน และลดชั่วโมงทำงานเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่ธุรกิจบางส่วนเริ่มกลับมาใช้นโยบายลดเงินเดือนเพิ่มเติม โดยเฉพาะภาคที่มิใช่การผลิต

ขณะที่ ในด้านสภาพคล่อง พบว่าธุรกิจส่วนใหญ่มีสภาพคล่องสำรองใกล้เคียงกับเดือนก่อน แต่เริ่มเห็นบางธุรกิจมีสภาพคล่องลดลง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว และภาคก่อสร้างที่มีสัดส่วนของธุรกิจที่สภาพคล่องไม่เกิน 3 เดือนเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของธุรกิจที่ปรับแย่ลง

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ประเมินว่า ประชาชนจะเริ่มออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านและท่องเที่ยวตามปกติได้ เมื่อมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่น้อยกว่า 50 รายต่อวัน และเกิดได้ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ขณะที่บางส่วนมองว่า การเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอและทั่วถึงเป็นปัจจัยสำคัญมากกว่า

นอกจากนี้ ธปท.ยังเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retailer Sentiment Index: RSI) ว่าความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกปรับลดลงมากทั้งภาวะปัจจุบันและอีก 3 เดือนข้างหน้า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น มาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดและแผนการกระจายวัคซีนไม่ชัดเจน ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นฯ อยู่ต่ำกว่าเดือน เม.ย.2563 ที่มีการประกาศล็อกดาวน์ครั้งแรกในทุกมิติ

ADVERTISEMENT


โดยดัชนี RSI เดือน ก.ค.และแนวโน้มอีก 3 เดือนข้างหน้า (ส.ค.-ต.ค.) ปรับลดลงมาก และต่ำกว่าเดือน เม.ย.2563 อยู่ที่ 16.4 และ 27.6 ที่มีการการประกาศล็อกดาวน์ครั้งแรกจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงขึ้น และมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของผู้ประกอบการค้าปลีก ขณะที่แผนการกระจายวัคซีนที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายและประสิทธิภาพของวัคซีน ซ้ำเติมความเปราะบางของความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ

ความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมปรับลดลงในทุกภาค ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกพื้นที่ เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่ปรับลดลง สะท้อนภาวะความยืดเยื้อของสถานการณ์ ความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จะแย่ลงกว่าเดิม รวมถึงความล่าช้าของการจัดการวัคซึน

ขณะที่ ความเชื่อมั่นทุกประเภทร้านค้าในภาวะปัจจุบันปรับลดลงมากจากเดือนก่อน โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารที่ถูกกระทบโดยตรงจากมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด

ส่วนความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ (Spending per bill และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency) ปรับลดลงมากจากเดือนก่อนและต่ำกว่าช่วงการล็อกดาวน์ครั้งแรก ซึ่งเป็นผลจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวด งดการเดินทาง และลดเวลาเปิดทำการของร้านค้า

นอกจากนี้ พบว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรง ผู้ประกอบการ 90% ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคปรับลดลงมากจากเดือนก่อน และไม่เห็นพฤติกรรมเร่งกักตุน แม้จะมีการสั่งปิดห้างฯ และประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวสู่ระดับปกติเลื่อนออกไปเป็นปี 2566 ล่าช้ากว่าที่เคยประเมินไว้อีก 1 ปี

ขณะที่ การประเมินแนวโน้มกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากผู้ประกอบการ 61% คาดว่ายอดขายจะลดลงมากกว่า 25% จากการเคอร์ฟิว 53% มีสภาพคล่องไม่เกิน 6 เดือน และ 42% คาดการบริโภคภาคเอกชนไตรมาส 3 ปี 2564 จะกดตัวอย่างน้อย 10% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
#3755


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 5 ส.ค.2564 บริษัทฯ ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อในการเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้ยื่นแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว

ตามที่ บริษัทฯ ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,599,720,233 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 81.07 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของกิจการ และคิดเป็น 81.07% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ (ไม่รวมหุ้นสามัญของกิจการที่ผู้ทำคำเสนอซื้อถืออยู่เป็นจำนวน 606,878,314 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 18.93% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ) โดยมีกำหนดระยะเวลาการรับซื้อทั้งสิ้น 25 วันทำการ ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 4 ส.ค.2564 นั้น

เพื่อให้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 12/2554 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ ลงวันที่ 13 พ.ค.2554 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) ผู้ทำคำเสนอซื้อขอนำส่งแบบรายงานผลการซื้อหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 256-2) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อทราบและเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการในครั้งนี้

โดยหุ้นที่บริษัทฯ ถืออยู่ก่อนทำคำเสนอซื้ออยู่ที่ 606,878,314 หุ้น หรือ 18.93% หุ้นที่เสนอซื้อ 2,599,720,233 หุ้น หรือ 81.07% ส่วนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขายอยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ส่งผลให้หุ้นที่รับซื้อไว้อยู่ที่ 747,874,638 หุ้น หรือ 23.32% ดังนั้น จำนวนหลักทรัพย์ที่บริษัทฯ จะถือภายหลังการรับซื้อจะอยู่ที่ 1,354,752,952 หุ้น หรือ 42.25%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่ INTUCH ณ วันที่ 23 ก.พ.2564 ได้แก่ 

1. SINGTEL GLOBAL INVESTMENT PTE. LTD. 673,348,264 หุ้น 21.00%

2. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 505,918,114 หุ้น 15.78%

3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 463,009,866 หุ้น 14.44%

4. THE HONGKONG AND SHANGHAI BANKING CORPORATION LIMITED 166,753,460 หุ้น 5.20%

5. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 45,803,886 หุ้น 1.43%

6. สำนักงานประกันสังคม 43,645,100 หุ้น 1.36%

7. STATE STREET EUROPE LIMITED 33,219,794 หุ้น 1.04%

8. THE BANK OF NEW YORK MELLON 31,611,600 หุ้น 0.99%

9. นาย เพิ่มศักดิ์ เก่งมานะ 31,023,100 หุ้น 0.97%

10. GIC PRIVATE LIMITED 21,620,700 หุ้น 0.67%

ส่งผลให้ภายหลังเทนเดอร์ GULF จะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ของ INTUCH
#3756
 


Kato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ PremiereKato Academy [Marketing Media Prodction]
สอนการตลาดออนไลน์ สอนยิงโฆษณา Facebook Ads ตัวต่อตัว, Line OA, Chatbot, Website Salepage, Pixel Code, ยิงแอด Conversion
สอนผลิตสื่อโฆษณา สอนถ่ายรูป ตกแต่งรูป สอน Photoshopตัวต่อตัว , Lightroom, Illustrator, โปรแกรมตัดต่อวีดีโอ Premiere

หลักสูตร สอนเฟสบุ๊ค ตัวต่อตัว/กลุ่ม [พื้นฐาน-ขั้นสูง] [10.00-16.00น.] ไม่เป็นไม่กลับ
- สอนพื้นฐานของเฟสบุ๊ค และการตั้งค่าต่างๆที่ควรรู้ ก่อนทำธุรกิจ
- สอนสร้างเพจเฟสบุ๊คยังไงให้น่าโดนใจกลุ่มเป้าหมาย
- สอนเช็คข้อความและรูปภาพใน Facebook ลดปัญหาการทำงานที่เสียเวลา
- รู้ทันกับกฎระเบียบต่างๆในการสร้างโฆษณาเฟสบุ๊ค 
-  วิธีการนำเพื่อนหรือ พนักงานเข้ามาช่วยบริหารในเพจเฟสบุ๊ค ลดความเสี่ยงจากการโดยยึดเพจ
- สอนการสร้างบัญชีธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้บัญชีส่วนตัวในการยิง เลี่ยงการถูกปิดบัญชี
- สอนวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายด้วยสถิติ [ผู้สอนจบโทด้านงานวิจัยสถิติโฆษณาโดยตรง]
 - สอนดูคู่แข่งเพื่อมาวิเคราะห์ และพัฒนาสินค้าของตัวเองอย่างมืออาชีพ
- สอนสร้างกลุ่มเป่าหมาย แบบตีวง ล้อมคอก เพื่อเผด็จศึก
- สอนสร้างกลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ
- สอนการยิงแอดเฟสบุ๊คแบบ การมีส่วนร่วม, การเพิ่มยอดไลค์, วีดีโอและข้อความ เชิงลึกแบบเป็นระบบ วิเคราะห์เห็นภาพ
- สอนยิงแอดแบบไม่ให้คู่แข่งดึงข้อมูลของเราได้
- สอนการสร้างกลุ่มเป้าหมาย การตั้งค่ายิงแอดบน Instagram
- A/B Testing (การทดสอบเปรียบเทียบคุณภาพการเข้าถึงของโฆษณา)
- สอนสร้าง Lookalike Audience เพื่อหาลูกค้าที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน เชิงสถิติ
- การวางแผน สร้างระบบข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot) ในกล่องข้อความเฟสบุ๊ค
- วิธีใช้ เครื่องมือสร้างข้อความตอบกลับอัตโนมัติ(Chatbot)เพื่อปิดการขาย
- วิธีการตั้งค่าการชำระเงิน /การออกใบเสร็จรับเงิน จากเฟสบุ๊ค
- สอนให้วิเคราะห์เพจของผู้เรียนแบบมืออาชีพ แบบยั่งยืนไม่โดนหลอก
- Workshop เพื่อศึกษาสินค้าหรือ วิเคราะห์สินค้าว่ามีส่วนไหนที่ควรพัฒนา

หมายเหตุ :การสอนอาจจะเลยเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ของผู้ลงเรียน

Facebook :https://www.facebook.com/katostock
- สอนตัวต่อตัว / กลุ่ม / ออนไลน์
- หลังจบ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด
ประวัติผู้สอน
ตรี-ออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
โท-จิตวิทยาการสื่อสาร & โฆษณา
ประสบการณ์ด้านการตลาด-โฆษณา-ผลิต 20 ปี
ผลงานผู้สอนคลิก : https://katoacademy.com/profile_kato

วัตถุประสงค์ของผู้สอนในการเปิดสอน ?
1. ต้องการผลัดดันผู้ที่เรียน หรือผู้ประกอบการ นำเครื่องมือต่างๆมา สร้างผลงานใหม่ๆ หรือสินค้าใหม่ๆ
2. เพื่อต้องการให้ผู้เรียนในแต่ละคอส ได้คิดนอกกรอบ มากกว่าสิ่งที่มีอยู่ในโปรแกรมที่สอน
3. เพื่อนำความรู้ไปพัฒนาองค์กร ด้วยระบบความคิดที่เป็นกระบวนการ

#สอนเฟสบุ๊ค #สอนเฟสบุ๊คตัวต่อตัว #สอนการตลาดออนไลน์ #สอนถ่ายรูป #สอนโฟโต้ช๊อป


 

 

 
 
#3757


ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งช่วยคนไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 ด้วยการมอบสิทธิ์พิเศษให้ผู้ใช้รถยนต์ใช้ "ประกันรถเปิดปิด" แบบ Top-up ประเภทความคุ้มครอง ชั้น 3+ ความคุ้มครอง 100,000 บาท (จำนวน 30 ชั่วโมง ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน) ฟรี!! ไม่มีค่าใช้จ่าย

นายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล  รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVI ผู้นำด้านนวัตกรรมประกันภัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ในปัจจุบันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของคนไทยในวงกว้าง "ประกันภัยไทยวิวัฒน์" ในฐานะบริษัทประกันวินาศภัยไทย และผู้นำด้านนวัตกรรมประกันภัย จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อช่วยเหลือคนไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

ด้วยการเปิดให้ผู้ใช้รถยนต์ทั่วประเทศ  ที่ไม่เคยใช้ประกันรถเปิดเปิดมาก่อน ลงทะเบียนรับสิทธิใช้ "ประกันรถเปิดปิด แบบ Top-up" ฟรี! รับความคุ้มครองเริ่มต้น  30 ชั่วโมง นานสูงสุด 30 วัน โดยแผนประกันที่เปิดให้ลงทะเบียนใช้ฟรี คือ ประกันรถเปิดปิด แบบ Top-up ประเภท 3+ ทุนประกันตัวรถยนต์ 100,000 บาท โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองเบื้องต้นสำหรับผู้ใช้รถยนต์ที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านการประกันภัย 

โดยผู้ใช้รถยนต์ที่สนใจสามารถเลือกเพิ่มความคุ้มครองเป็นชั้น 2+ หรือชั้น 1 หรือเพิ่มทุนประกัน ได้เช่นกันโดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการได้สามารถมีอายุรถได้สูงสุดถึง 15 ปี ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ ได้ที่ www.thaivivat.co.th หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมผ่านช่องทาง Facebook Fanpage ประกันภัยไทยวิวัฒน์ หรือโทร 02-200-7000 ตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2564

ทั้งนี้  สำหรับลูกค้าที่ใช้ประกันรถเปิดปิด แบบ Package อยู่แล้ว  และมีการต่ออายุล่วงหน้าเข้ามาผ่าน แอปพลิเคชัน Thaivivat ทุกแพ็กเกจ สามารถรับจำนวนชั่วโมงที่เหลืออยู่จากกรมธรรม์เดิม ทบในกรมธรรม์ใหม่ สูงสุดไม่เกิน 100 ชั่วโมง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยให้กับลูกค้า รวมถึงยังมีสิทธิพิเศษตรวจเช็คสภาพรถยนต์ฟรี 30 รายการ และพ่นฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 สำหรับลูกค้าประกันรถเปิดปิด นอกจากนี้ยังมีโปรโมชันอีกมากมายที่จะมาช่วยเสริมเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่ในช่วงวิกฤตโรคระบาดที่หลายๆ บ้านใช้รถน้อยลง

"โครงการนี้ถือเป็นส่วนเล็กๆ ในการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปพร้อมๆกับการเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์การใช้งานประกันรถเปิดปิด ที่ช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันได้สูงสุดถึง 70% จอดรถไว้ ไม่ขับไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน แต่ยังได้รับความคุ้มครองตลอด 24 ชั่วโมง  ตอบโจทย์สถานการณ์ในปัจจุบัน ที่คนส่วนใหญ่ Work From Home กันมากขึ้น" นายเทพพันธ์ กล่าว
#3758


"สิงห์บลูส์" เชลซี นำ 2 ประตูแต่ไม่ชนะ โดน "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ไล่ตีเจ๊า 2-2 ในเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์

เชลซี เปิดรังสแตมฟอร์ด บริดจ์ ลงสนามเกมอุ่นเครื่องในลอนดอนดาร์บีแมตช์ พบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ โดยเกมนี้มีแฟน.เข้ามาเชียร์เกือบเต็มความจุของสนาม

โธมัส ทูเคิล จัดทัพชุดผสมระหว่างตัวจริงและตัวสำรองของทีม นำทัพโดย ไค ฮาแวร์ตซ์, ติโม แวร์เนอร์, ฮาคิม ซิเยค, มาร์กอส อลอนโซ่, เอ็นโกโล ก็องเต้, คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย

ขณะที่ นูโน่ เอสปิริโต ซานโต เฮดโค้ชชาวโปรตุกีสของทีม "ไก่เดือยทอง" จัดทัพชุดผสมลงเล่นเช่นกัน นำโดย ซอน เฮือง-มิน, ลูคัส มูร่า, สตีเฟ่น เบิร์กไวจ์น, เดเล่ อัลลี, โอลิเวอร์ สคิปป์

ปรากฎว่าเกมนี้ เปิดเกมบุกแลกกันอย่างสนุก เชลซี ได้ประตูออกนำไปก่อน 2-0 จากการเหมาคนเดียว 2 ประตูของ ฮาคิม ซิเยค ในนาทีที่ 16 และ 49 โดย "สิงห์บลูส์" มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นหลายตำแหน่งในครึ่งหลัง

แต่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มาทำ 2 ประตูรวด ไล่ตีเสมอ 2-2 จากการยิงของ ลูคัส มูร่า น.56 และสตีเฟ่น เบิร์กไวจ์น น.70

หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที เชลซี เปิดบ้านเสมอกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 2-2
#3759


เอกสารไวท์เปเปอร์ที่ Tencent (เทนเซ็นต์) บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนำของโลก สร้างสรรค์ร่วมกับ Newzoo (นิวซู) ผู้ให้บริการชั้นนำด้านข้อมูลเชิงลึกของเกมและอีสปอร์ต เผยว่า อีสปอร์ตที่กำลังมาแรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ช่วยให้เกิดโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์ พร้อมสร้างโอกาสทางอาชีพใหม่ขึ้นภายในภูมิภาค

ข้อมูลจาก Newzoo (นิวซู) ระบุว่า อัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ของรายได้จากอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ +20.8 (จากปี 2562 ถึงปี 2567) และมีแนวโน้มทำรายได้ถึง 72.5 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 อัตราการเติบโตนี้เป็นการโตเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้จากอีสปอร์ตของทั่วโลกซึ่งมีอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) ที่ร้อยละ +11.1

เอกสารไวท์เปเปอร์ที่จัดทำขึ้นภายใต้หัวข้อ "เกมและอีสปอร์ต: กีฬาที่แท้จริง (Games & Esports: Bona Fide Sports)" ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเทียบกับประเทศที่เศรษฐกิจพัฒนาแล้วในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก ซึ่งเป็นถิ่นที่อีสปอร์ตเติบโตขึ้นมาจากการที่มีโครงสร้างทางไอทีที่พัฒนากว่า การเติบโตของตลาดอีสปอร์ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเกิดจากความนิยมในการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือที่คนทั่วไปมีกำลังซื้อได้มากกว่า โดยการศึกษาผู้บริโภคเชิงลึกในปี 2564 ที่ Newzoo (นิวซู) ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมตอบคำถามจากแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แสดงให้เห็นว่าร้อยละ 82 ของประชากรออนไลน์ในภูมิภาคนี้เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือ ในขณะที่ร้อยละ 39 ของผู้เข้าร่วมตอบคำถามเป็นผู้เล่นที่ใช้ โทรศัพท์มือถือเป็นตัวเลือกอันดับแรกในการเล่นเกม และใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือ

ในงานเสวนาข้อมูลเชิงลึกจากผู้นำในวงการซึ่งจัดโดย Tencent (เทนเซ็นต์) และ Newzoo (นิวซู) ผู้ร่วมอภิปรายจากวงการอีสปอร์ต เห็นพ้องต้องกันว่าภูมิภาคจะได้รับประโยชน์จากเทรนด์และการพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเกม

เจมส์ ยาง (James Yang) ผู้อำนวยการของ PUBG MOBILE Global Esports (พับจี โมบาย โกล. อีสปอร์ต) ประจำ Tencent Games (เทนเซ็นต์เกมส์) กล่าวว่า "เราเห็นได้ว่าอีสปอร์ตกำลังอยู่ในขาขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากการเล่น อีสปอร์ตบนคอมพิวเตอร์ PC และบนคอนโซล มาเป็นบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากการพัฒนา ด้านฮาร์ดแวร์ รวมไปถึงการเล่นเกมผ่านคลาวด์ และเครือข่าย 5G ในมือถือที่พัฒนาขึ้น"

- อีสปอร์ตในฐานะตัวคูณทางเศรษฐกิจ
ผู้ร่วมอภิปรายรายอื่นซึ่งรวมไปถึง Riot Games ผู้พัฒนาและประชาสัมพันธ์เกม Bigetron Esports หนึ่งในองค์กรอีสปอร์ตชั้นนำในประเทศอินโดนีเซีย และ VIRESA หรือสมาคมนันทนาการและอีสปอร์ตแห่งเวียดนาม รวมไปถึง มหาวิทยาลัยเอเชียแปซิฟิกแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศมาเลเซีย (Asia Pacific University of Technology & Innovation: APU) ได้อธิบายว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นภูมิภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีสปอร์ตกำลังสร้างผลดีในทางเศรษฐกิจให้กับภูมิภาค พร้อมกับการเกิดโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในสายอาชีพให้กับวงการอีสปอร์ตด้วย

ฮิวโก้ ทริสเทล (Hugo Tristão) หัวหน้าแผนกอีสปอร์ต ของ Newzoo กล่าวว่า "อีสปอร์ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและกำลังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเกมภายในภูมิภาคนี้ มีการคาดการณ์ไว้ว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีผู้ชมอีสปอร์ต ถึง 42.5 ล้านคนภายในสิ้นปี 2564 และจะมีการก่อตั้งองค์กรอีสปอร์ตใหม่ๆ รวมถึงจะมีผู้จัดทัวร์นาเมนต์ที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาด ซึ่งรวมไปถึงบริษัทที่ถ่ายทอดการแข่ง และบริษัทที่เชี่ยวชาญทางการตลาดอีกด้วย"

ความสนใจด้านอีสปอร์ตที่เพิ่มขึ้นของประชาชนยังเปลี่ยนแปลงวิธีการในการแชร์และเสพคอนเทนต์ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงจากการเข้าชมการถ่ายทอดการแข่งขัน ซึ่งค่ายเกมเป็นผู้จัดทำและเป็นเจ้าของ ไปเป็นการเข้าชมการแข่งขันผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อวิธีการจัดการสิทธิของสื่อ และจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของตลาดและการสนับสนุนของสปอนเซอร์ในวงการอีสปอร์ตต่อไป

- การขับเคลื่อนเชิงบวก
นอกจากนี้ การเติบโตของอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เปิดโอกาสให้มีสายอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น นอกจากผู้เล่นเกมจะสามารถสร้างอาชีพจากสิ่งที่ชอบได้แล้ว ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีการเกิดอาชีพหรือสายอาชีพใหม่ๆ เช่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดีย นักพากย์เกม ผู้จัดการ และโค้ช รวมถึงองค์กรอีสปอร์ตระดับใหญ่ที่ต้องตั้งทีมหลังบ้านขึ้นมารองรับการทำธุรกิจสำคัญๆ เช่น การตลาดและการเงิน

นอกจากนี้ อีสปอร์ตยังได้รับความน่าเชื่อถือและการยอมรับในแวดวงวิชาการ ดังเช่นที่มหาวิทยาลัยเอเชียแปซิฟิกแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในประเทศมาเลเซีย (Asia Pacific University of Technology & Innovation: APU) ได้มีการจัดทำหลักสูตรประกาศนียบัตรทักษะทางอีสปอร์ต ส่วนในประเทศอินโดนีเซีย อีสปอร์ตก็กำลังเติบโตและสร้างสายอาชีพที่หลากหลายสำหรับคนที่มีความสามารถทางนี้ด้วย

การที่อีสปอร์ตได้รับการบรรจุให้เป็นกีฬาที่สามารถชิงเหรียญได้ครั้งแรกในซีเกมส์ปี 2562 นั้น ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญและความน่าดึงดูดใจของวงการนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอีสปอร์ตบนมือถือนั้นจะมีการเติบโตอย่างมากในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งไปสู่การรักษาอีโคซิสเต็มนี้ และความยอมรับที่เพิ่มขึ้นว่าอีสปอร์ตเป็นกีฬาจริงๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะ ความสามารถ การแข่งขัน และความบันเทิง

- ผลกระทบจากโรคระบาด
แม้ว่าจะมีโรคระบาดอย่างต่อเนื่อง วงการอีสปอร์ตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังดำเนินต่อไปท่ามกลางความท้าทายต่างๆ โดยผู้ให้บริการ ผู้พัฒนา ค่ายเกม และผู้จัดงานอีเวนท์ ได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเล่นเกม การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเล่นเกมที่เป็นธรรม รวมทั้งการสร้างประสบการณ์การชมทัวร์นาเมนต์ออนไลน์ให้ดีขึ้นไปด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา มียอดการเข้าชมการแข่งขัน PUBG MOBILE (พับจี โมบาย) มากกว่า 200 ล้านชั่วโมง เจมส์ ยาง (Yang) ตั้งข้อสังเกตว่า มีผู้คนจำนวนมากที่เข้าชมการเล่นเกมและการแข่งขันอีสปอร์ตออนไลน์ ถึงแม้ว่าผู้เข้าชมบางส่วนนั้นไม่ได้เป็นผู้เล่นเกมก็ตาม นายยางคาดว่าฐานจำนวนผู้ใช้และผู้ติดตามใหม่ที่ได้มาในช่วงโรคระบาดจะคงอยู่ หลังจากที่ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตในวิถีใหม่ โดยผู้เข้าร่วมการเสวนานี้ยังเชื่อว่า การจัดงานในรูปแบบไฮบริด ที่ผสมทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นหลังโรคระบาดนี้หมดไป

เอกสารไวท์เปเปอร์ดังกล่าวได้สรุปใจความไว้ว่า ความชอบในการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือที่ไม่เหมือนใครของคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สะท้อนให้เห็นว่าวงการนี้จะยังคงเติบโตขึ้นในปีต่อๆ ไป และอีสปอร์ตบนโทรศัพท์มือถือจะยังเป็นอันดับหนึ่งของการเล่นเกมในภูมิภาคนี้

นายยาง (Yang) กล่าวว่า "อีสปอร์ตเป็นเทรนด์สำคัญที่ยากจะมองข้าม และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและนอกวงการ จากการร่วมมือกันในการพัฒนาและเสริมสร้างอีโคซิสเต็มของอีสปอร์ต ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและนวัตกรรมทั้งในภูมิภาคและทั่วโลกอย่างอย่างแน่นอน"
#3760


นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมฯ ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ที่ได้รายงานผลการดำเนินกิจกรรมโปรโมตร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ตามที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้ขับเคลื่อนนโยบาย "อาหารไทย อาหารโลก" โดยทูตพาณิชย์ได้มีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการบริโภคอาหารไทยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

น.ส.ภรภัทร พันธ์งอก อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา กล่าวว่า สำนักงานฯ ได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ร้านอาหาร Thai SELECT และสินค้าเครื่องปรุงรสจากไทย โดยการจัดสาธิตการปรุงอาหารไทยในงาน Thailand's Paradise 2021 และประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องผ่าน Tiktok, Facebook และ Instagram ในช่วงที่อินโดนีเซียมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมฉุกเฉิน (PPKM) ซึ่งร้านอาหารสามารถจำหน่ายสำหรับนำกลับไปรับประทานที่บ้านเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหารไทยได้รับความนิยมจาก Gofood Application สั่งอาหารของ Gojek อย่างสูง และเครื่องปรุงอาหารไทยยังได้รับความนิยมจากการปรุงอาหารที่บ้าน ส่วนการสาธิตการทำอาหารไทยด้วยวัตถุดิบไทยผ่านอินฟลูเอนเซอร์มีผู้เข้าชมทุกช่องทางกว่า 30 ล้านครั้งต่อเดือน

น.ส.รชกร ศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโคเปนเฮเกน กล่าวว่า ได้จัดกิจกรรมกระตุ้นการขายให้แก่ร้านอาหาร Thai SELECT ในเดนมาร์ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยจัดทำคลิปวิดีโอการสาธิตทำอาหารไทยจากร้านที่ได้รับ Thai SELECT และนำไปลงใน Social media ต่างๆ รวมทั้ง website ของ Scandinavia Standard ซึ่งเป็น Blogger ที่มีชื่อเสียงและมีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งได้ช่วยกระตุ้นยอดการจำหน่ายให้แก่อาหารไทยเพิ่มขึ้น

น.ส.สายทอง สร้อยเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี กล่าวว่า สำนักงานฯ ได้จัดกิจกรรมโปรโมตร้านอาหารที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้รับเกียรติจาก นางสาวสวียา สันติพิทักษ์ กงสุลใหญ่ ณ เมืองกัลกัตตา มอบประกาศนียบัตรตราสัญลักษณ์ Thai SELECT Signature แก่ร้านอาหาร Baan Thai ของโรงแรม Oberoi Grand Kolkata ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยดั้งเดิมและมีเชฟไทย จึงมีรสชาติอาหารไทยแท้ เป็นที่นิยมของกลุ่มลูกค้าระดับบน ชาวต่างชาติ และแขกของโรงแรมหรูระดับ 5 ดาวแห่งนี้

ทั้งนี้ ร้าน Baan Thai เป็นร้านติดตรา Thai SELECT แห่งแรกของรัฐเบงกอลตะวันตก และเป็นร้านล่าสุดลำดับที่ 15 ในอินเดีย ซึ่งในช่วงการจัดกิจกรรม สำนักงานฯ ได้เชิญประธานหอการค้าแห่งรัฐเบงกอลตะวันตก สถานกงสุลใหญ่ และสื่อมวลชนร่วมรับประทาน และมอบกระเช้าผลไม้ไทยเพื่อประชาสัมพันธ์ตรา Thai SELECT อาหารไทย และผลไม้ไทยให้ผู้บริโภคในพื้นที่รับรู้ในวงกว้างด้วย