• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chigaru

#2721
B เผย ผถห.ใส่เงินเพิ่มทุน RO ครบกว่า 915 ลบ.หนุนธุรกิจโตแกร่ง

นางสาวสุทธิรัตน์ ลีสวัสดิ์ตระกูล รองประธานกรรมการ บมจ.บี จิสติกส์ (B) เปิดเผยว่า บริษัทต้องขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจบริษัท โดยการใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทที่เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Right Offering) เกินความคาดหมาย โดยบริษัทได้รับเงินจากการเพิ่มทุนดังกล่าวจำนวน 915 ล้านบาท

การเพิ่มทุน RO ในครั้งนี้เพื่อสนับสนุนแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม B ให้มีความคล่องตัวและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการเป็นธุรกิจสีเขียวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยโฟกัส 2 ธุรกิจหลักคือ ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(Green Logistics)และธุรกิจสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Utilities) รวมทั้งธุรกิจใหม่ๆ ที่จะสามารถต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทธุรกิจหลักของบริษัทในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทก็มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยปัจจุบันมีสัดส่วนหนี้ต่อทุน(D/E) เพียง 0.09 เท่า เปรียบเทียบกับช่วงสิ้นปี 64 สัดส่วน D/E อยู่ที่ 0.15 เท่า

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียน จากเดิม 1,655.61 ล้านบาท เป็น 3,093.44 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 2,114.45 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์) 0.68 บาท เสนอขาย RO จำนวน 1,409.63 ล้านหุ้น สัดส่วน 1.5 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ ราคาหุ้นละ 0.68 บาท

ส่วนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลืออีก 704.81 ล้านหุ้นจะใช้รองรับการออกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัทชุดที่ 7 (B-W7) ที่จัดสรรฟรีให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อและชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน ในสัดส่วน 2 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ ต่อ 1 หน่วย ราคาใช้สิทธิ 0.99 บาท/หุ้น
#2722
TM ลุยขายสินค้าผ่าน 'TM CARE SHOP' ปั้มรายได้โต 700-750 ลบ.

นายมานิต วงศ์ไพศาลลักษณ์ (ขวา) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายขายและการตลาด พร้อมด้วยนางสาวปรางฉาย จรรโลงบุตร (ซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.เทคโนเมดิคัล (TM) ร่วมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ ภายในงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) โชว์ศักยภาพการดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ปี 2564 เติบโตแข็งแกร่งทำให้มีรายได้(งบการเงินเฉพาะกิจการ) 698.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ(งบการเงินเฉพาะกิจการ) 62.15 ล้านบาท ประกาศเดินหน้าปั้มรายได้เติบโตปี 65 โตต่อเนื่อง 5-10% เป็น 700-750 ล้านบาท โดยเน้นหาพันธมิตรผู้ผลิตสินค้า OEM ภายใต้แบรนด์ TM เพื่อเพิ่มยอดขาย และศักยภาพในการแข่งขัน และการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 'TM CARE SHOP' หนุนยอดขายทั้งในกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้แล้วทิ้ง อุปกรณ์ฆ่าเชื้อ อุปกรณ์ป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น พร้อมปูทางการให้บริการในกลุ่มผู้สูงอายุ จากการเปิดธุรกิจศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและโรงพยาบาลเฉพาะทาง ภายใต้โครงการ 'THE PARENTS' ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.เทคโนเมดิคัล เมื่อเร็วๆ นี้
#2723
อาหารเสริม ผู้หญิง BLY Balance Y
สารสกัดจากตังกุย 
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
สารสกัดจากโปรตีนถั่วเหลือง
สารสกัดจากเปลือกสน
แอลกลูต้าไทโอน
สารสกัดจากโรสฮิป 

คุณสมบัติ
- ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน คุณผู้หญิง ลดปวดประจำเดือน ลดอาการตกขาว
- ช่วยเพิ่มความเต่งตึง ของ หน้า อก ช่วยให้ ภายใน กระชับ ดับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
- ผิวสวย หน้าใส ฟื้นฟูผิวให้กลับมาเปล่งปลั่งสดใส คงความอ่อนวัยอย่างเป็นธรรมชาติ สร้างคอลลาเจน
บำรุงผิวให้ขาว ลดรอยหมองคล้ำต่างๆ แก้ปัญหาสิว ฝ้า กระ
- ด้วยสมุนไพรจีนอย่างโหงวบี่จี ช่วยรักษาลมพิษ
อาการคันจากความเครียด รวมถึงอาการผมร่วงด้วย
- ช่วยเพิ่ม น้ำ หล่อ ลื่น
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้

BLY Balance Y
จดทะเบียนอย.ในชื่อ BLY "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บีแอลวาย ตราบาลานซ์"
เลขที่อย.12-1-05062-5-0123
ปกติ 1,090 บาท ราคาพิเศษเพียงกล่องละ 690 บาท
บรรจุมากถึง 10 แคปซูล 
สอบถาม
LINE: @err9020j (มี@ ด้านหน้า)
รายละเอียดเพิ่มเติม  > อาหารเสริมผู้หญิง BLY Balance Y
Balance ของแท้จากบริษัทโดยตรง
#2724
กพอ.เผยวิกฤตยูเครนยังไม่กระทบลงทุนใน EEC มั่นใจได้ตามเป้า แต่ห่วงโควิดฉุดยอดนทท.

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ประเมินสถานการณ์การสู้รับระหว่างรัสเซียและยูเครนว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โครงการต่างๆ ยังเดินหน้าต่อ ทั้งเรื่อง 5G และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังคงเดินหน้าตามแผน โดยยังเชื่อมั่นว่าการลงทุนใน EEC ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่ 4 แสนล้านบาท แต่หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น อาจส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก และอาจจะมีผลกระทบบ้างในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น

นายคณิศ มองว่า สถานการณ์รัสเซียและยูเครน ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ไกลมากสำหรับประเทศไทย และโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็เป็นโครงการที่เน้นการลงทุนในไทยเป็นหลัก และคาดว่าจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียยูเครนนั้น จะเห็นผลกระทบชัดเจนในช่วงเวลา 1 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า สถานการณ์โควิดอาจมีผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่ได้ประมาณการว่าจะมี 6 ล้านคนว่าจะเป็นไปตามเป้าหรือไม่

"ถือเป็นโชคดีของ EEC ที่ได้มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว 4 โครงการใหญ่ก่อนโควิดระบาด เพราะหากต้องมาเซ็นสัญญาตอนนี้คงยาก อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า โครงการใดที่เซ็นสัญญาร่วมทุนไปแล้วให้เดินหน้าไปให้ได้ และทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และมีความเป็นธรรมกับคู่สัญญา ซึ่งต้องดูแลส่วนนี้ให้ดี" นายคณิศ กล่าว
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2565 ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยความรอบคอบ และถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยดำเนินการอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งภายในประเทศและสถานการณ์โลก โดยเชื่อมั่นว่าทุกคนจะร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินการต่าง ๆ ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ นายกฯ มอบหมายกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกันพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดให้ชัดเจน เกี่ยวกับการขับเคลื่อนศูนย์กลางการเงินในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพื่อเตรียมการล่วงหน้าในทุกมิติ โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศจะได้รับด้วย

พร้อมกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และ กพอ. จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนในเรื่องแผนการลงทุนใน EEC ที่มีอยู่จำนวนมากให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ มีการเชื่อมต่ออย่างเป็นระบบ ต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และมุ่งเน้นกิจกรรมที่จะสร้างประโยชน์กับคนในพื้นที่ในระยะแรก ก่อนพัฒนาขยายผลไปสู่ส่วนอื่น ๆ ต่อไป

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ตามเป้าหมาย โดยดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เอื้อประโยชน์ต่อบุคคลใด คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนและประเทศชาติจะได้รับเป็นสำคัญ อีกทั้ง นายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญกับโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (EFC) และการส่งสินค้าประเภทต่าง ๆ ของไทย รวมทั้งผลไม้ไปยังต่างประเทศ โดยมอบหมายกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปเจรจาหารือเพื่อดำเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ทั้งการบริหารจัดการระบบขนส่ง ตู้คอนเทนเนอร์และห้องเย็นให้เพียงพอ พร้อมเน้นย้ำให้มีการตรวจสอบสินค้าทุกประเภทให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ในมาตรฐานเป็นที่ยอมรับระดับสากล ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยอาจแสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

พร้อมเน้นย้ำให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้กับประชาชนในพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับทั้งในระดับพื้นที่และโดยรวมของประเทศ อันจะนำไปสู่ความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วนในสังคมและลดปัญหาความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
#2725
BA คาดปี 65 ขาดทุนลดลงก่อนพลิกกำไรปี 66 ตามแนวโน้มรายได้สายการบินทยอยฟื้น

นายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายงานการเงินและบัญชี บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส คาดว่า ในปี 65 บริษัทจะยังคงมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน แต่จะขาดทุนลดลงต่อเนื่องจากปี 64 ที่ขาดทุนดำเนินงาน 2,532 ล้านบาท และปี 63 ขาดทุนจากการดำเนินงาน 3,200 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้จากสายการบินไว้ที่ 8,175 ล้านบาท สูงขึ้นจาก 1,200 ล้านบาทในปี 64 ซึ่งถือเป็นปีที่สายการบินเผชิญความยากลำบากจากผลกระทบสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่ในปี 65 มองว่าธุรกิจสายการบินจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนผู้โดยสารต่างประเทศเข้ามาไม่น้อยกว่า 30-40% และจะมีรายได้จากเส้นทางระหว่างประเทศมากกว่า 40% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทจะโฟกัสไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปและตะวันออกกลาง

"ปีนี้ขาดทุนการดำเนินงานลดลง ก็พยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้น้อยลงไปอีก"นายอนวัช กล่าว
ในปีนี้มีปัจจัยบวก 2-3 ประการ ได้แก่ การติดเชื้อโควิดแม้ยังมีอยู่แต่ความรุนแรงน้อยลง ทำให้การเดินทางระหว่างประเทศมีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้เพิ่มจากที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากเส้นทางในประเทศ และมาตรการภาครัฐที่ช่วยลดภาระภาคเอกชน เช่น ลดค่าเช่า ส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำ รวมถึงการไม่แข่งขันราคากัน เพราะหากแข่งขันกันจะทำให้สายการบินไม่สามารถอยู่รอดได้

นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BA คาดว่า กว่าที่ธุรกิจการบินจะกลับมาเท่าปี 62 หรือก่อนเกิดโควิดที่มีผู้โดยสาร 5.8 ล้านคนน่าจะเป็นปลายปี 66 หรือ ปี 67 สอดคล้องกับการคาดการณ์ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO และ สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)

BA คาดว่าในปี 65 ธุรกิจการบินจะฟื้นขึ้นมา 40% และในปี 66 จะฟื้นตัวกลับมามากขึ้นเป็น 80-90% และจะกลับไปเต็ม 100% ในปี 67 หรือคาดว่ากลับมาบินได้ตามปกติ ดังนั้น ในปี 66 คาดว่า BA น่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรจากการดำเนินงาน

สำหรับปีนี้ BA ตั้งเป้าจำนวนผู้โดยสาร 2.6 ล้านคน จำนวนเที่ยวบิน 3.4 หมื่นเที่ยวบิน อัตราขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) ที่ 65% ราคาตั๋วโดยสารเฉลี่ย 3,100 บาท/เส้นทาง โดยมีแผนจะคืนเครื่องบินเช่า 5 ลำ และขายออก 2 ลำ ทำให้สิ้นปี 65 มีฝูงบิน 30 ลำ โดยปัจจุบันใช้ทำการบิน 19 ลำ ทั้งนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย

นายพุฒิพงศ์ กล่าวว่า ในปี 65 จะทยอยกลับมาเปิดบริการเส้นทางเดิมมากขึ้น โดยในวันที่ 27 มี.ค.จะเปิดบินเส้นทางกรุงเทพ-กระบี่ และไตรมาส 3/65 จะเปิดเส้นทางต่างประเทศมากขึ้น อาทิ กรงุเทพ-เสียมเรียบ, กรุงเทพ-ดานัง, กรุงเทพ-หลวงพระบาง, กรุงเทพ-ย่างกุ้ง และ กรุงเทพ-มัลดีฟ

นายอนวัช ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า จากที่บริษัทได้รับกระทบจากโควิดมานาน 2 ปี การดำรงสภาพคล่องเป็นเรื่องสำคัญมาก บริษัทได้จัดหาวงเงินกู้กว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งได้เบิกใช้บ้างแล้ว ทำให้ยังมีสภาพคล่องพอใช้ในการดำเนินงาน แต่ก็ยังเตรียมจัดหาเพิ่มเติม ขณะที่ธุรกิจการบินก็ค่อยๆ ฟื้นตัวแล้ว เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/64

ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับตัวพุ่งขึ้นสูงนั้น นายอนวัช กล่าวว่า เนื่องจากปี 64 บริษัททำการบินน้อยลง ทำให้ต้นทุนน้ำมันไม่สูงมาก คิดเป็น 10% ของต้นทุนรวม เทียบกับช่วงก่อนโควิดที่อยู่ในสัดส่วน 30-35% โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่อยู่ค่าเช่าเครื่องบิน คิดเป็นสัดส่วน 25% ค่าใช้จ่ายพนักงานน้อยกว่า 25% ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างไรก็ดี เมื่อในปีนี้ทำการบินมากขึ้นก็จะทำให้สัดส่วนต้นทุนน้ำมันปรับขึ้นมาที่ 15%

และจากสถานการณ์สงครามรัสเซียและยูเครน ทำให้ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป โดย BA มีผู้โดยสารรัสเซียประมาณ 1-2%

นายจุลิน กอเจริญ รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายขาย และรักษาการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการตลาด BA กล่าวว่าการร่วมมือกับ Bitkub ที่จะออกเหรียญดิจิทัลมาใช้ชำระสินค้าและบริการนั้น ขณะนี้อยุ่ระหว่างทบทวนแผนธุรกิจ เพราะทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ไม่เห็นด้วยกับการนำเงินคริปโตแลกซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการ

*โครงการพัฒนาอู่ตะเภาชะลอ

นายอนวัช กล่าวว่า ขณะนี้ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ผู้บริหารโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ยังไม่ได้รับหนังสือให้เริ่มงาน (NTP) จากภาครัฐจากที่ระบุว่าต้นปี 65 จะเริ่มงานได้ เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดโควิดที่รุนแรงมากในปีก่อนทำให้การเข้าสำรวจพื้นที่ก่อสร้างทำได้ยาก และมีมาตรการห้ามเดินทางระหว่างประเทศทำให้ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศไม่สามารถเดินทางร่วมวางแผนและเขียบแบบงานได้ ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็รับทราบและเข้าใจ

อย่างไรก็ดี UTA ก็ต้องเตรียมการให้พร้อมหากรัฐเร่งดำเนินการ นอกจากนี้จากการระบาดของโควิดทำให้สภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงก็อาจจะต้องปรับแผน และปรับขนาดการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด

"อาจจะต้องปรับแผนการก่อสร้างย่อมลงมา ก็ต้องคุยกับภาครัฐ ถ้าประมาณการการเดินทาง การคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารเปลี่ยนไป ในระยะแรกจะดำเนินการอย่างไรดี "นายอนวัช กล่าว
อนึ่ง ในเฟสแรก UTA จะสร้างอาคารผู้โดยสารรองรับผู้โดยสาร 15 ล้านคน มูลค่าการลงทุนราว 3 หมื่นล้านบาท

โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่อยู่ภายใต้การบริหารของ UTA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของกลุ่มบีบีเอส (BBS) ประกอบด้วย BA ถือหุ้น 45% บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) 35% และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) 20%
#2726
'เยลเลน' ขานรับทำเนียบขาวระดมหน่วยงานรัฐเร่งศึกษาผลกระทบคริปโท

นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้กล่าวชื่นชมทำเนียบขาวที่เตรียมออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อกำหนดให้หน่วยงานของรัฐบาลเร่งทำการศึกษาข้อดีของการใช้สกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซี รวมทั้งข้อเสียที่อาจจะมีต่อผู้บริโภคและระบบการเงินเป็นวงกว้าง

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานก่อนหน้านี้ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เกี่ยวกับกลยุทธ์ของรัฐบาลสหรัฐทางด้านสกุลเงินคริปโทฯ ในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าปธน.ไบเดนจะสั่งการให้กระทรวงยุติธรรม, กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่น ๆ ของสหรัฐ ทำการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมาย รวมทั้งผลกระทบด้านความมั่นคงของชาติ และทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสกุลเงินดิจิทัล

ทั้งนี้ นางเยลเลนเปิดเผยในแถลงการณ์บนเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังว่า คำสั่งดังกล่าวจะระบุถึงประโยชน์ด้านนวัตกรรมของคริปโทฯ และในขณะเดียวกันก็จะระบุถึงการรับมือกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเงินที่ผิดกฎหมาย, การคุ้มครองผู้บริโภคและนักลงทุน และการป้องกันภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบการเงินและเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง

แถลงการณ์ของนางเยลเลนยังระบุด้วยว่า กระทรวงการคลังสหรัฐจะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อรวบรวมรายงานเกี่ยวกับระบบการเงินและการชำระเงินในอนาคต ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังจะจัดการประชุมหารือร่วมกับสภากำกับดูแลเสถียรภาพทางการเงิน (FSOC) เพื่อประเมินความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพการเงิน และประเมินว่าควรใช้มาตรการป้องกันหรือไม่ นอกจากนี้ ทางกระทรวงจะร่วมมือกับพันธมิตรในต่างประเทศเพื่อส่งเสริมการเพิ่มมาตรฐานและยกระดับตลาดการลงทุนในสกุลเงินคริปโทฯ

ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กำลังจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับความคิดเห็นของสาธารณชนเกี่ยวกับสกุลเงินคริปโทฯ จนถึงวันที่ 20 พ.ค.ปีนี้ หลังจากที่เฟดได้ออกรายงานการศึกษาเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) โดยเฟดระบุว่าสกุลเงิน CBDC จะช่วยเสริมสถานะของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลักของโลก และช่วยให้การชำระบัญชีข้ามประเทศมีความรวดเร็วมากขึ้น

อย่างไรก็ดี เฟดระบุถึงข้อเสียของสกุลเงินดิจิทัล โดยระบุว่าสกุลเงิน CBDC อาจจะทำให้เกิดการไหลออกของเม็ดเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน นอกจากนี้ การปกป้องความเป็นส่วนตัว และการรับมือกับการเงินที่ผิดกฎหมายก็ถือเป็นอีกประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไข
#2727
'เคธี วูด' ชี้ศก.ยุโรปถดถอยจากสงครามยูเครน ราคาน้ำมันพุ่งหนุนยอดขาย EV

นางเคธี วูด ซีอีโอบริษัท Ark Invest ได้แสดงความเห็นว่า เศรษฐกิจยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัสเซียใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่ล้าหลังมากนัก ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะผลักดันให้บรรดาบริษัทเอกชนและผู้บริโภคหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยลดต้นทุน

นางวูดกล่าวว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเร่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และคาดว่ากลุ่มบริษัทจีโนมิกส์ (Genomics) หรือบริษัทด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์นั้น จะได้ประโยชน์ในฐานะบริษัทที่สามารถประหยัดต้นทุนได้มากกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทที่ใช้แนวทางแบบดั้งเดิม

'ข่าวดีก็คือ นวัตกรรมช่วยแก้ปัญหาทั้งปวงได้' นางวูดกล่าว
นอกจากนี้ นางวูดยังกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ พร้อมกับกล่าวว่า 'ตลาดเต็มไปด้วยความวิตกกังวลในขณะนี้'

การแสดงความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับที่นายเจมส์ กอร์แมน ประธานและซีอีโอของมอร์แกน สแตนลีย์กล่าวเมื่อวันจันทร์ (7 มี.ค.) ว่า 'เฟดกำลังเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในทิศทางขาขึ้นและคาดว่าจะยืดเยื้อต่อไป' นอกจากนี้ นายกอร์แมนยังเรียกร้องให้เฟดใช้ความระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากขณะนี้การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันอันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนกำลังส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น
#2728
"ยูนิคอร์น" Unicorn ธุรกิจเครือข่าย น้องใหม่ มาแรง !! ฟอร์มทีมต้นสาย
สร้างรายได้ Passive income ของแท้ เกิดขึ้นแล้วในเมืองไทย
ปรากฎการณ์ครั้งยิ่งใหญ่  ระบบสร้างความสำเร็จชั้นแนวหน้าระดับประเทศ
ขายตรงน้องมาแรง !!  ร้อนแรง!! เขย่าวงการขายตรง
 
 
"ยูนิคอร์น" Unicorn ธุรกิจน้องใหม่ ธุรกิจออนไลน์ สร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด รองรับตลาด AEC 
ธุรกิจเครือข่ายน้องใหม่ในโลกยุคดิจิทัล ที่มีระบบ "Smart Unicorn Ai" ในการสร้างธุรกิจ ให้ทำงานได้ง่ายขึ้น
 มีคอร์สเรียนรู้ พร้อมสำหรับผู้สนใจ
รับสมัครตัวแทนธุรกิจ
 
มาร่วมบุกเบิกเป็นต้นสาย 
"ยูนิคอร์น" Unicorn กับเรา
ฟอร์มทีมผู้นำ 77 จังหวัด ทั่วประเทศ
รีบตัดสินใจวันนี้
สนใจ กรอกข้อมูลรับรายละเอียดเพิ่มเติม
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
 
สนใจ กรอกข้อมูลรับรายละเอียด+ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซด์...

https://www.uncthai.com

✅ รับสมัครตัวแทนธุรกิจ 
Line : @uncth (มี@นำหน้า)
https://lin.ee/0qb4kkl 




Unicorn, ยูนิคอร์น, Unicornขายตรง, ยูนิคอร์นขายตรง, ธุรกิจเครือข่าย, ขายตรง, ธุรกิจออนไลน์, สร้างรายได้, ธุรกิจเครือข่ายน้องใหม่, UNCTHAI,
#2729
JWD คาด Q1/65 โต YoY ตามดีมานด์เช่าพื้นที่-ขนส่ง,ทั้งปีเชื่อโตกว่า 10-15%

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนค่อนข้างมาก เห็นได้จากตัวเลขในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.65 ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการเช่าพื้นที่และการขนส่งสินค้าที่ขยายตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องรอดูในเดือน มี.ค.ให้ชัดเจนก่อน แต่บริษัทก็มั่นใจว่าจะยังเติบโตกว่าปีก่อนในระดับสูง

สำหรับทั้งปี 65 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% จากทุกกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจขนส่ง ตามความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่บริษัทสามารถปรับราคาขึ้นและลงได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาสำหรับลูกค้าที่ทำสัญญาในระยะยาว ส่วนลูกค้าแบบ Spot ก็ได้เร่งเจรจาขอปรับราคาแล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยต้นทุนน้ำมันคิดเป็น 40% ของค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (Operating Expenses) ของกลุ่มขนส่ง ขณะที่กลุ่มขนส่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 17% ของรายได้รวมเท่านั้น

ด้านธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น ปัจจุบันได้เริ่มเปิดให้บริการคลังสินค้าใหม่ "PACM Cold Storage" ที่ JWD ร่วมลงทุนกับลูกค้า ซึ่งมีความต้องการเข้ามาใช้อย่างมาก คาดว่าจะเต็ม Capacity ได้ภายใน 3 เดือนนี้ และน่าจะสร้างรายได้และกำไรเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขณที่บริษัทอยู่ระหว่างการก่อสร้างคลังสินค้าห้องเย็นแห่งใหม่ที่สระบุรี (Saraburi Cold Storage) ซึ่ง JWD ลงทุน 100% คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนต.ค.นี้ แต่ปัจจุบันได้มีการ Pre-sell ให้กับลูกค้าบ้างแล้ว

อีกทั้งการร่วมลงทุนกับ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ในการสร้างคลังสินค้าห้องเย็น "PACT Cold Storage" ทำให้บริษัทสามารถรักษาฐานลูกค้าสำคัญไว้ในระยะยาว คาดว่าเมื่อมีการก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 1/66 ก็จะมีสินค้าจากกลุ่ม TU ทยอยเข้ามาใช้บริการ

ส่วนธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า (Self-Storage) และบริการจัดเก็บงานศิลปะครบวงจร (Art Space) ก็มีการขยายสาขาเพิ่มเติมที่สาขาลาดพร้าว หรือ JWD Store it Ladprao คาดก่อสร้างเสร็จในเดือนเม.ย.นี้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีสาขาให้บริการทั้งสิ้น 7 สาขา ซึ่งถือว่ามีสาขาและพื้นที่โดยรวมมากที่สุดในประเทศไทย รวมถึงยังต่อยอดการให้บริการไปในส่วนอื่นๆ ด้วย

และธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย และธุรกิจให้บริการอาหารที่เข้าลงทุนใน CSLF ประเทศไต้หวัน ก็มีการเติบโตดีขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทจะเข้าซื้อหุ้นในบริษัท อีสเทิร์นซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด (ESCO) เพิ่มเติมอีก 5% จากเดิมถือหุ้นอยู่ที่ 15% คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ในครึ่งปีแรกของปีนี้ และจะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนเข้ามาทันที ส่งผลให้กำไรปีนี้เติบโตมากขึ้น

นายชวนินท์ กล่าวว่า บริษัทยังวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 1.5-1.8 พันล้านบาท รองรับการขยายคลังสินค้าห้องเย็น 400-500 ล้านบาท, การซื้อหุ้นเพิ่มเติมใน ESCO จำนวน 165 ล้านบาท, การลงทุนที่ร่วมกับกลุ่ม Origin Property ในการขยาย Alpha Industrial Solutions ในปีนี้ คาดใช้เงินราว 500 ล้านบาท, การปรับปรุงราว 200-300 ล้านบาท และการซื้อกิจการ (M&A) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อรองรับการเติบโต
#2730
พาณิชย์ เร่งเสริมศักยภาพธุรกิจโลจิสติกส์ หนุน SME ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพ

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การทำธุรกิจในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่มีแผนการตลาดดี หรือมีทีมขายที่เก่ง แต่ยังรวมถึงการใช้ข้อมูลทางธุรกิจมาวิเคราะห์ เชื่อมโยงข้อมูล และใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีอยู่ โดยปัจจุบันธุรกิจได้ใช้ Data Analytics เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาช่วยด้านกลยุทธ์การตลาด กลยุทธ์การบริหารองค์กร การวางแผนธุรกิจ การดูแลลูกค้า เพราะหากธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูล หาความสัมพันธ์ของข้อมูลและความต้องการของคู่ค้า-ลูกค้า นำมาใช้ประโยชน์จะทำให้ธุรกิจนั้นได้เปรียบคู่แข่งทันที

ดังนั้น ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย จึงต้องปรับตัวและเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ปรับรูปแบบธุรกิจให้ทันสมัยสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลง มีการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม รวมถึงข้อมูลสารสนเทศเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ และบริหารจัดการธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ การใช้ Data Analytics จึงถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการนำองค์กรสู่ความเป็นองค์กรแห่งอนาคต เนื่องจากการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนำมาใช้ทำการตลาดยุคดิจิทัล (Digital Marketing) ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญลำดับต้นๆ ในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ เพื่อรองรับธุรกิจยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงได้จัดงานสัมมนาหลักสูตร เพิ่มศักยภาพโลจิสติกส์ไทยด้วย Data Analytic โดยใช้ MS Power BI ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 9-10 มี.ค. 65 โดยผู้เข้าร่วมสัมมนา จะได้รับความรู้เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ยุคดิจิทัล การประยุกต์ใช้โปรแกรม BI (Business Intelligence) ด้านการเงินและการบัญชี ด้านการขาย ด้านงานบุคคล และด้านการบริหารทรัพย์สินในองค์กร เป็นต้น

"ธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้นั้น นอกจากจะมีการวางแผนที่ดีแล้ว ผู้ประกอบการต้องมีความตื่นตัว มีไหวพริบพร้อมแก้ปัญหา และรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ ที่สำคัญคือการนำ "ข้อมูล" ที่มีอยู่มาใช้ในเชิงวิเคราะห์ เพื่อวางแผนในการพัฒนาองค์กร ให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับลูกค้า และหน่วยงานภายในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว เสริมประสิทธิภาพการทำงาน และเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น" นายทศพล กล่าว
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.พ. 65) มีนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 31,243 ราย นับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ ที่จะได้รับการพัฒนาธุรกิจของตนเองได้อย่างถูกจุด และตรงตามความต้องการของตลาดยุคดิจิทัล
#2731
ภูมิพัฒน์ เจียมวิจิตรกุล เข้าซื้อหุ้น THL จำนวน 13.0482%
 
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการได้มาหุ้นของบมจ.ทุ่งคาฮาเบอร์ (THL) โดย นายภูมิพัฒน์ เจียมวิจิตรกุล ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 13.0482% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 13.0482% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

บวรรัฐ วนดุรงค์วรรณ ซื้อหุ้น VIH จำนวน 0.9452% รวมถือ 15.892%

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับแบบรายงานการได้มาหุ้นของ บมจ.ศรีวิชัยเวชวิวัฒน์ (VIH) โดย นายบวรรัฐ วนดุรงค์วรรณ ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 0.9452% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 15.892% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิปิดเช้าบวก 182.78 จุด จากแรงช้อนซื้อเก็งกำไร

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดเช้าบวกในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหุ้นราคาถูกหลังจากดัชนีนิกเกอิร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือนเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดปรับตัวขึ้นอย่างจำกัดเช้านี้ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดัชนีนิกเกอิปิดภาคเช้าวันนี้ที่ระดับ 24,973.73 จุด เพิ่มขึ้น 182.78 จุด หรือ +0.74%

หุ้นบวกเช้านี้นำโดยกลุ่มขนส่งทางอากาศ, กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง และกลุ่มเหมืองแร่
#2732

"เซรั่ม" สินค้าเพื่อความสวยที่ผู้คนจำนวนมากจำเป็นมาก เนื่องจากว่ามีคุณสมบัติช่วยบำรุงผิวลึกล้ำมากกว่าการทาครีมทั่วๆไป ทั้งยังผู้หญิงและก็เพศชายก็สามารถใช้เซรั่มเป็นตัวช่วยเลี้ยงดูผิวพรรณได้ด้วยเหมือนกัน เนื่องจากตอนนี้มีหลายสูตรให้เลือกใช้ ตอบปัญหาทุกปัญหาผิว แต่การจะใช้ ออร่าบลู เซรั่มให้ได้ผลที่สุด ก็ต้องทราบการใช้ที่ถูก



รู้จัก "เซรั่ม" (Serum) เป็นยังไง จำเป็นต้องเพียงใดในการบำรุงผิว?
ออร่าบลู เซรั่มหมายถึงสินค้าเพื่อดูแลผิวพรรณที่มีขนาดโมเลกุลเล็กมาก เนื้อสัมผัสจะน้อยลง มีลักษณะเป็นของเหลวใสๆอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีสีขุ่นๆรวมถึงมีสีสันต่างๆตามส่วนผสมและก็สารสกัดที่ใช้ เซรั่มมีลักษณะเด่นที่ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) ซึ่งมีคุณภาพช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวได้ลึกล้ำ ด้วยการใช้ในปริมาณเพียงแต่ 2-3 หยดเพียงแค่นั้น



เดี๋ยวนี้ มีการผลิตภัณฑ์ ออร่าบลู เซรั่มผิวออกมานานาประการสูตร โดยเฉพาะเซรั่มบำรุงผิวหน้า เพื่อแต่ละคนเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง ช่วยไขปัญหาได้ถูกจุดเพิ่มมากขึ้น ดังเช่น ออร่าบลู เซรั่มเพื่อผิวกระจ่างขาวใส, ลดลางเลือนจุดด่างดำ, ลดเลือนริ้วรอย, กระชับรูขุมขน ฯลฯ

คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากเซรั่ม คือ การซึมลึกลงไปยังผิวชั้นใน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาผิวอย่างอ่อนโยน และก็ป้องกันผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เว้นแต่ใช้ออร่าบลู เซรั่มบำรุงผิวหน้าทั่วๆไปแล้ว วิธีใช้เซรั่มสำหรับผู้ชาย ยังช่วยลดอาการระคายเคืองของผิวจากการโกนหนวดได้อีกด้วย
"ออร่าบลู เซรั่ม" แตกต่างจาก "ครีม" อย่างไร?
แม้ว่าทั้งยังเซรั่มรวมทั้งครีมจะมีบทบาทในการช่วยดูแลบำรุงผิวพรรณ แต่ว่าก็มีคุณลักษณะที่แตกต่าง ซึ่งถ้าเกิดทราบไว้ก็จะช่วยให้เราเรียงลำดับการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงรักษาผิวพรรณหน้าได้อย่างถูกต้อง เพื่อการดูแลรักษาและบำรุงผิวพรรณมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง



เซรั่ม : เป็นสารบำรุงที่มีความเข้มข้น ซึมไปสู่ผิวเร็ว บางเบา ใช้ในจำนวนน้อย จัดการกับปัญหารวมทั้งฟื้นฟูผิวได้ตรงจุด ย้ำการบำรุงผิวจากภายใน แทรกซึมผ่านผิวได้ลึกล้ำ ผลิตภัณฑ์ออร่าบลู เซรั่มจะแพงค่อนข้างสูง

ครีม : มีเนื้อสัมผัสที่หนักกว่าเซรั่ม แก้ไขปัญหาผิวโดยรวม บำรุงผิวชั้นนอก ช่วยทำให้ความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ผิวแห้ง บางทีอาจจำเป็นต้องใช้จำนวนเยอะแยะสำหรับเพื่อการทำบำรุงผิวหน้า แต่ครีมโดยมากจะแพงไม่แพงเท่ากับเซรั่ม

การใช้ ออร่าบลู เซรั่ม ควรจะใช้ตอนไหนให้ได้คุณภาพที่สุด (สำหรับผู้หญิงและเพศชาย)
สำหรับผู้ที่อยากหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกนี้ แต่ก็สงสัยว่าเซรั่มใช้ยังไง ใช้ตอนไหนให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผู้ชายใช้ได้หรือเปล่า? คำตอบเป็น ไม่ว่าจะเพศหญิง เพศชาย หรือเพศไหน ก็สามารถใช้เซรั่มผิวเพื่อดูแลผิวพรรณได้ สำหรับแนวทางใช้นั้นง่ายมาก เพียงรู้ลำดับขั้นตอนการใช้ ก็สามารถบำรุงผิวหน้าได้แล้ว ดังนี้

1. ทำความสะอาดหน้าเพื่อเตรียมผิว
เรียกว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดที่ไม่สมควรละเลย ข้างหลังอาบน้ำควรจะล้างหน้าล้างตาเพื่อจัดการสิ่งสกปรกติดค้าง ต่อจากนั้นเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน เพื่อเปิดรูขุมขน ไม่ถูแรงจนถึงเกินความจำเป็น ซึ่งในขั้นตอนที่ผิวหน้ากำลังเปียกชื้นเป็น การเตรียมผิวที่เหมาะสมที่สุด ในขั้นตอนนี้สามารถใช้เอสเซนส์บำรุงเพื่อฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ด้วย

2. เริ่มทาเซรั่มบนผิวหน้า
การใช้เซรั่มในขณะที่ผิวกำลังชุ่มชื้น ออร่าบลูจะช่วยทำให้สารบำรุงซึมลึกลงสู่ชั้นในของผิวได้ดีกว่าในตอนที่ผิวหน้าแห้ง โดยบีบเซรั่มจากหลอด ให้มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว เพียงแต่ 2-3 หยด ต่อจากนั้นใช้ปลายนิ้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า เริ่มจากจุดกลางหน้าผาก จมูก ปลายคาง และก็แก้มทั้งยัง 2 ข้าง นวดเบาๆให้เนื้อเซรั่มกระจัดกระจายทั่วใบหน้าและคอ

3. ทามอยส์เจอไรเซอร์ หรือสรับประทานแคร์อื่นๆ
ภายหลังทาเซรั่มแล้ว ควรจะคอยสัก 5 นาที เพื่อสารบำรุงซึมลงสู่ผิวชั้นใน และก็หลังจากนั้นจึงค่อยทามอยส์พบไรเซอร์ ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยอาจลำดับงวยงง ให้จดจำไว้เสมอว่า "ลงเซรั่มก่อนมอยส์พบไรเซอร์" เนื่องจากออร่าบลู เซรั่มมีความบางเบาที่สุด ส่วนมอยส์พบไรเซอร์มีความเข้มข้นกว่า จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นของชั้นผิวไว้ได้ ไหมว่าจะใช้ครีมบำรุงแล้วก็สรับประทานแคร์จำพวกไหน ก็ควรจะทาตัวที่มีเนื้อครีมหนักเป็นลำดับข้างหลังๆเพื่อให้การบำรุงมีประสิทธิภาพสูงสุด



การเลือกเซรั่มที่ดี ควรที่จะทำการเลือกใช้ของสินค้าที่น่าไว้ใจ เพื่อให้ปลอดภัยจากสารปรอทรวมทั้งส่วนประกอบที่เกิดอันตราย คนไหนกันแน่ที่แพ้ง่ายก็ควรหันมาใช้ออร่าบลู เซรั่มสูตรสุภาพ มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไร้สีรวมทั้งกลิ่น โดยจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมกับภาวะปัญหาผิวของตนเอง ที่สำคัญอย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพร่างกายรวมทั้งร่างกาย ด้วยการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกาย และพักให้เพียงพอ

"ออร่าบลูจะทำให้คุณออร่า เพราะผิวสวย ไม่ใช่แค่กระจ่างใส"

สนใจสมัครตัวแทนจำหน่าย

www.aurabluecenter.com

Line id : @aurayou (มี @ ด้านหน้า)
#2733
สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนกุมภาพันธ์ 2565

ราคาพลังงานในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากกรณีพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ผู้ลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลกโดยเห็นสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย อีกทั้งพบว่ามีเงินลงทุนจำนวนมากเคลื่อนย้ายจากตลาดทุนในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาท ได้แก่ ประเทศในทวีปยุโรปไปยังกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเช่นกลุ่มประเทศ ASEAN

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยภายในประเทศที่มีความเชื่อมโยงไปยังรัสเซียและยูเครนค่อนข้างน้อย และในระยะสั้นเศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อค่อนข้างจำกัด และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมืองในอนาคต ทำให้เห็น Fund Flow จากผู้ลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 61,336 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงสุดในรอบ 16 ปี ทำให้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 SET Index ปิดที่ 1,685.18 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 2.2% จากเดือนก่อนหน้า

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 SET Index ปิดที่ 1,685.18 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 2.2% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ใน ASEAN
SET Index ในสองเดือนแรกปี 2565 ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มการเงิน
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 99,052 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คิดเป็น 42.80% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ซึ่งเป็นเดือนแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเป็นเดือนที่สามโดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 61,336 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงสุดในรอบ 16 ปี
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 1 บริษัท คือ บมจ. พีซแอนด์ลีฟวิ่ง (PEACE) และใน mai 1 บริษัท คือ บมจ. พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น (PTC)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อยู่ที่ระดับ 18.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 16.0 เท่า
อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อยู่ที่ระดับ 2.64% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.36%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 614,587 สัญญา เพิ่มขึ้น 8.5% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures
#2734
สูตรเด็ด ออร่าบลู ดูดี มีออร่า ตั้งแต่หัวถึงเท้า

14 กุมภา วันวาเลนไทน์ เป็นยังไงกันบ้าง? เทศการวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา สำหรับคนไหนกันที่ปีนี้ได้ฉลองกับคู่ของตน ออร่าบลูก็ดีแล้วหัวใจด้วยนะคะ แต่ว่าๆๆสำหรับบรรดาสาว(ไม่มีแฟน) หนุ่ม(ไม่มีคู่ครอง) ทั้งหลายที่ปีนี้อาจจะยังไม่ได้ฉลองเทศการวาเลนไทน์ ก็อย่าพึ่งเสียใจไป ออร่าบลูมีสูตรเด็ด จะมาเล่าให้ฟังว่า ทำยังไงเราจะได้ไปสังสรรค์วาเลนไทน์ในปีต่อไปกัน "จัดไปสำหรับคนไม่มีแฟน สูตรเด็ด ดูดี มีออร่าบลู ตั้งแต่หัวถึงเท้า" เริ่มทำเลที่ตั้งยวันนี้ เพื่อเตรียมสังสรรค์วาเลนไทน์ปีหน้าแบบ แฮปปี้ๆได้เลยจ้า

สูตรที่ 1 ทำความสะอาดผิวถูก ลึกล้ำ

การที่จะมีผิวที่กระจ่างขาวสวยใส มีออร่าบลูนั้น เริ่มจากการที่เราจำต้องชำระล้างผิวหน้าแล้วก็ผิวกายของเราให้สะอาด หมดจดก่อน

ผิวหน้า : สำหรับผู้ที่ชอบเสริมสวย สิ่งที่จำเป็นต้องทำเลที่ตั้งยคือ เช็ดหน้าด้วยคลีนซิ่งให้สะอาด เอาให้คราบเครื่องแต่งตัวออกให้หมด เพราะเหตุว่าถ้าเราล้างเครื่องแต่งหน้าไม่สะอาด หน้าเราจะมีสิ่งสกปรกตันฝังลึก แล้วก็สะสมจนกำเนิดเป็นสิวได้



ต่อจากนั้นก็ล้างหน้าล้างตาด้วยโฟม หรือ เจล ตามภาวะผิวของพวกเรา ออร่าบลูชี้แนะว่าถ้าเกิดผู้ใดกันที่ ผิวหน้ามัน : ควรจะใช้แบบเจล และก็ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ล้างหน้าล้างตาควรจะสามารถช่วยจัดการสิ่งสกปรกออกอย่างสะอาด อ่อนโยนต่อผิว และช่วยให้ผิวเราเปียกชื้น กระจ่างขาวใสด้วยยิ่งดีเลย ล้างหน้าล้างตาวนๆโดยประมาณ 1-2 รอบ เอาแบบที่พวกเรารู้สึกสะอาดแล้วจริงๆต่อมาเช็ดหน้าให้แห้ง แล้วก็ใช้โทนเนอร์ สูตรที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสม ถูทั่วบริเวณใบหน้า เท่านี้หน้าพวกเราก็จะสะอาดหมดจดแล้ว

ผิวกายออร่าบลู : จะใช้แบบก้อน หรือ แบบเจล ก็ได้ตามความชอบ แต่ว่าถ้าหากมีส่วนผสมที่ทำให้ผิวพวกเราไม่เคือง สุภาพ ชุ่มชื้น รวมทั้งช่วยเรื่องผิวกระจ่างขาวสวยใสก็ยิ่งดีเข้าไปอีก ฟอกสบู่ฟอกไว้ประมาณ 1-2นาที แล้วล้างออกให้สะอาด แนวทางลักษณะนี้จะช่วยทำให้คราบเปื้อน สิ่งสกปรกบนร่างกายเราหลุดออกได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ผิวก็จะสะอาด ไม่อุดตันนั้นเอง



สูตรที่ 2 อย่าลืมบำรุงผิวหน้าแล้วก็ผิวกาย ทุกวี่วัน

*ย้ำว่า จำต้องบำรุงผิวทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งการใช้ครีม หรือ ออร่าบลู เซรั่ม ผิวหน้าและผิวกาย ก็เลือกตามภาวะผิวของพวกเรา ในขณะนี้พวกเรามีปัญหาผิวแบบไหน ก็แก้จุดนั้น หรือ ต้องการเพิ่มอะไร ก็ใช้สูตรนั้นๆไป

ผิวหน้าออร่าบลู : ออร่าบลู ชี้แนะว่า ตอนเวลาเช้า เลือกสูตรที่เปียกชื้น มีชีวิตชีวา สามารถปกป้องแดด ป้องกันฝุ่นละอองมลภาวะได้ก็จะดีมาก ตอนเย็น ควรที่จะใช้สูตรที่บำรุงแบบล้ำลึก ชุ่มชื้น บรรเทาผิว ให้ตื่นมาสดชื่นต้อนรับวันใหม่



ผิวกายออร่าบลู : ตอนเช้า ชี้แนะเป็นสูตรที่คุ้มครองแดด กันน้ำ และบำรุงผิวชุ่มชื้นทั้งวัน ตอนเย็น จะเป็นสูตรที่ช่วยเก็บกักความชื้นให้ผิว ผสมกลิ่นหอมยวนใจอ่อนๆหน่อยช่วยทำให้พวกเราบรรเทาจากความเมื่อยล้าล้าของพวกเราได้



สูตรที่ 3 สครับผิวสะอาดใส

อย่างต่ำๆอาทิตย์ละ 1 ครั้ง พวกเราควรที่จะต้องผลัดเซลล์ผิว หรือ คราบไคลของเราออกจากผิวหน้า รวมทั้งผิวกายบ้าง เพื่อให้ผิวพวกเราไม่เกิดการอุดตันสะสมนั่นเอง

ผิวหน้าออร่าบลู : ชี้แนะว่าใช้สครับสูตรที่อ่อนโยนต่อผิวที่สุด เพื่อคุ้มครองการแพ้ ผิวลอก หรือกัดผิวจนถึงแสบ ให้สครับขัดๆเช็ดๆเบาๆวนไปทั่วใบหน้าคอ โดยประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างออก

ผิวกายออร่าบลู : ถ้าเป็นผู้ที่ผิวแพ้ง่าย หรือ ผิวบาง ก็ควรจะใช้สูตรอ่อนโยนต่อผิว แต่คนที่ผิวธรรมดาทั่วๆไปก็สามารถใช้สครับทั่วๆไปที่เป็นสูตร น้ำนม กาแฟ มะขาม เกลือสปา หรือ สครับน้ำตาล ก็ได้ตามความชอบ ขัดให้ทั่วตัวราว 15-20 นาที เน้นย้ำตามจุดข้อ เข่า ศอก ให้ผิวสะอาดเนียนใสเสมอกัน

สูตรที่ 4 ดื่มน้ำสะอาด เยอะมากๆเป็นประจำ

พวกเราต้องดูแลผิวทั้งข้างในแล้วก็ข้างนอก นั้นก็คือการกินน้ำเปล่าสะอาดเสมอๆอย่างน้อยให้ได้วันละ 1-2 ลิตร หรือ คิดค่าตามน้ำหนักที่พวกเราควรต้องบริโภคต่อวัน การกินน้ำจะช่วยทำให้ผิวเราฉ่ำ กระเด้ง ชุ่มชื้น ตื่นตัวตลอดระยะเวลา



สูตรที่ 5 รักษาระบบขับถ่ายให้สม่ำเสมอ

การดูแลรักษาระบบขับถ่ายให้บ่อยจะช่วยให้ลำไส้พวกเราปฏิบัติงานได้อย่างปกติ ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้พวกเรามีสุขภาพแล้วก็ผิวพรรณที่ดีมีออร่าบลูตามมา ตัวช่วยที่จะทำให้เรารักษาสมดุลของการขับถ่ายก็คือ นมเปรี้ยว โยเกิร์ตที่มีจุลินทรย์ช่วยสำหรับเพื่อการขับถ่ายและก็รักษาไส้ หรือพวกดีท๊อกซ์ ด้วยเหตุนั้นสำหรับคนไหนกันที่มีปัญหาถ่ายยาก จำต้องปรับพฤติกรรมให้ขับถ่ายเสมอๆ แล้วก็บ่อย

สูตรที่ 6 บริหารร่างกายเสมอๆ

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จำเป็น นอกจากจะช่วยให้ร่างกาย การเต้นหัวใจของพวกเราแข็งแรงแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวพรรณ ออร่าบลู รวมทั้งอารมณ์ของเราผ่องใส มีชีวิตชีวาตามไปด้วย นอกจากนั้นยังสามารถช่วยให้ร่างกายขับเหงื่อและฉี่ก้าวหน้าขึ้น ขับของเสียจากร่างกายได้มากขึ้นด้วย

สูตรที่ 7 พักผ่อนให้เพียงพอ

ขั้นต่ำๆพวกเราควรจะนอนพักให้เพียงพอวันละ 7-8 ชม. เพื่อโกรทฮอร์โมนในร่างกายของเราดำเนินงานได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ทำให้ผิวของเราชุ่มฉ่ำ ออร่าบลู กระเด้ง สดใส พร้อมตื้นนอนอย่างมีชีวิตชีวา ต้อนรับวันใหม่นั่นเอง



ที่นี้เพียงพอรู้กันแล้วใช่ไหมว่า สูตรเด็ด ของออร่าบลู เอาอย่างได้ง่ายอย่างยิ่งๆเลย ถ้าคนไหนกันอยากจะ ดูดีมีออร่าตั้งแต่หัวจรดเท้าละก็ ห้ามพลาดเลย หมั่นทำทุกวี่วันอย่างสม่ำเสมอ แล้วมาดูกันว่า วาเลนไทน์ปีถัดไปพวกเราจะมีคนใดไปสังสรรค์ด้วยหรือเปล่า อุ๊ปส์ ออร่าบลูขอให้ทุกคนแฮปปี้ๆมีสุขภาพผิวคืนดีกันถ้วนหน้านะคะ
 
#2735
เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) แนะนำกลยุทธ์ เพชรตัดเพชร เลือก CPALL, JMT หุ้นเด่นน่าสะสม

ทีมนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST กล่าวว่าท่ามกลางสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนที่รุนแรง คาดส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก แต่เราเชื่อว่าหลายอุตสาหกรรมของไทยกระทบจำกัด และมีโอกาสที่จะกลับมาขยายตัวได้ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ผสานกับกระแสเงินทุนที่ยังมีแนวโน้มไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยเป็นแรงหนุนเพิ่มเติม โดยเราคัดสรรกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ และวิเคราะห์เจาะลึกเปรียบเทียบหุ้นเด่น ใน 5 แง่มุม จนได้เพชรเม็ดงาม ทั้งหมดจึงเป็นที่มาของบทวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ "เพชร"ตัดเพชร ฉบับนี้ โดยเลือก CPALL, JMT เป็นหุ้นเด่นที่น่าสะสม

โดยหลายอุตสาหกรรมของไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าคาด ภาพระยะสั้นตลาดยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุความรุนแรงระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเรายังคาดไทยจะได้รับผลกระทบที่จำกัด และหลายอุตสาหกรรมของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ดังนั้นเราเชื่อว่าการย่อตัวลงยังคงเป็นโอกาสค่อยๆทยอยสะสม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจเน้นอิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก เช่น กลุ่มค้าปลีก, ไฟแนนซ์, ธนาคาร, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาฯ, ท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อฯ

หากเปรียบเทียบหุ้นใน 5 แง่มุมที่น่าสนใจในแต่ละอุตสาหกรรม ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนที่มีความสามารถที่ค่อนข้างสูสีกัน ดังนั้นเราจึงพยายามวิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบกับหุ้นใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยแบ่งออกเป็น 5 แง่มุมในการวิเคราะห์ ได้แก่ 1) โครงสร้างธุรกิจ 2) แนวโน้มผลประกอบการ 3) ปัจจัยหนุนในอนาคต 4) การประเมินมูลค่า และ 5) การเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) โดยได้ 7 หุ้นจาก 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ CK (รับเหมาฯ), CPALL (ค้าปลีก), JMT (ไฟแนนซ์-บริหารสินทรัพย์), KBANK (ธนาคาร), LH (อสังหาฯ), MINT (ท่องเที่ยว), PLANB (สื่อฯ)

เน้นกลุ่มที่กำไรมีโอกาสดีกว่าตลาดคาดและเป็นเป้าหมายกองทุน จากการคัดกรองหุ้นเพิ่มเติมผ่านธีมการลงทุนที่เหมาะสม โดยเน้นกลุ่มที่มีปัจจัยบวกที่จะหนุนให้ผลการดำเนินงานมีโอกาสทำได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ นำไปสู่การปรับประมาณการขึ้น และอาจเป็นเป้าหมายกองทุนทั้งในและต่างประเทศในการเพิ่มน้ำหนักในการลงทุน โดย 2 หุ้นที่เราแนะทยอยสะสม ได้แก่

1) CPALL (TP@79) คาดการบริโภคปี 65 ฟื้นตัว +4.5% จาก +0.3% ในปีที่ผ่านมา ผสานเงินเฟ้อทีเร่งขึ้น หนุนการปรับราคาขาย เป็นบวกต่อ SSSG มีโอกาสดีกว่าคาด อีกทั้งภาคท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว และการต่อยอด S-Curve จะช่วยเพิ่มโอกาสการทำกำไรที่ดีกว่าคาด

2) JMT (TP@80) เศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัว หนุนโอกาสในการเก็บหนี้ได้ดีขึ้น ผสานกับการต่อยอด JV กับธนาคารในธุรกิจ AMC เพื่อแก้ปัญหาหนี้จะเป็น Upside เพิ่มเติม และโอกาสในการถูกคัดเลือกเข้า SET50 หนุน Fund Flow ไหลกลับเข้าสะสม
#2736
เจดีฟู้ด คาดเสนอขายหุ้น IPO 150 ล้านหุ้นพร้อมเดินหน้าเข้า SET ภายใน Q2/65

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บมจ.เจดีฟู้ด (JDF) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของ JDF ที่ได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท

JDF จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม โดยเตรียมนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (โรดโชว์) ในช่วงกลางเดือน มี.ค.65 นี้ และคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO พร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายใน SET ภายในไตรมาส 2/65

นายเอกจักร เชื่อมั่นว่า ด้วยจุดแข็งของ JDF ในด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้บริหารที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมอาหารมากกว่า 30 ปี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาสูตรอาหารให้แก่ลูกค้าในธุรกิจอาหารและร้านอาหารยักษ์ใหญ่ และ SMEs ด้วยกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์เฉพาะ ที่สามารถช่วยลูกค้าพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนสูตรอาหารให้ตรงความต้องการของตลาด ซึ่งได้พัฒนาสูตรมาแล้วกว่า 300 ราย หรือกว่า 2,000 เมนู

นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา JDF ได้สร้างโรงงานแห่งใหม่มาตรฐานรับรองคุณภาพในระดับสากล เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตพร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในยุคหลังโควิด ก้าวสู่ผู้นำการพัฒนาและผลิตสูตรเครื่องปรุงรสให้ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ

นางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JDF กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจผลิตและพัฒนาสูตรเครื่องปรุงรสอาหารแบบครบวงจร (Food Seasoning) ตามความต้องการของลูกค้า และรับจ้างผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทมะพร้าวอบกรอบ รวมทั้ง สินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทที่ต่อยอดพัฒนาความเชี่ยวชาญในการผลิตอาหารทั้ง ?GOOD EATS? ซุปกึ่งสำเร็จรูปที่มีรสชาติและคุณภาพระดับภัตตาคาร ปราศจากผงชูรสทุกชนิดสำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ ?กินดี? หรือ ?Kindee? ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสอาหารที่ปราศจากผงชูรสทุกชนิดที่มีรสชาติที่เข้มข้นถูกปากคนไทย สะดวก ง่ายต่อการปรุง มะพร้าวอบกรอบแบรนด์ ?Crispconut? อาหารว่างสำหรับคนรักและใส่ใจสุขภาพ ผงเขย่าปรุงรสและไส้เบเกอรี่หรือฟิลลิ่งแบรนด์ ?โอเค? หรือ ?OK?

ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และขีดความสามารถขยายธุรกิจ วัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้เพื่อขยายช่องทางตลาดไปยังต่างประเทศ ทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV ประเทศจีนตอนใต้และประเทศอินเดีย รวมทั้ง ลงทุนในการวิจัยและพัฒนารวมถึงเครื่องจักรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูงและลงทุนในระบบเทคโนโลยีและระบบกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิต พัฒนาระบบการเชื่อมโยงด้านข้อมูล เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง ใช้ชำระคืนเงินกู้ให้กับสถาบันการเงิน

JDF มีเป้าหมายระยะยาวก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการผลิตเครื่องปรุงรสอาหารที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเป็นหัวใจสำคัญและเป็นอีกฟันเฟืองในการสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหาร ให้สามารถเติบโตสู่ครัวโลก ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีการลงทุนในการสร้างโรงงานใหม่บนพื้นที่ 33 ไร่ ที่จังหวัดสมุทรสาคร และเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องปรุงรสอาหารกว่า 75% จากกำลังการผลิตของโรงงานเดิม อย่างไรก็ดี สถานการณ์โควิดกระทบภาพรวมคำสั่งซื้อและการส่งออกของลูกค้าบริษัทฯ แต่เป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น เนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารอยู่ในเทรนด์การเติบโตของโลก ประกอบกับฐานลูกค้าของ JDF เป็นบริษัทชั้นนำ ทำให้ความต้องการเครื่องปรุงรสยังคงอยู่ในระดับสูง

ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 64 มีรายได้จากการขายและบริการ 420.95 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 26.60 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 29.0% อัตราส่วนกำไรสุทธิ 6.3 % คาดหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มโอกาสการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยวิสัยทัศน์ "เราเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรส และอาหารแปรรูประดับประเทศ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก"
#2737
จีนกำหนดอัตราค่ากลางเงินหยวนแข็งค่าขึ้นวันนี้ที่ 6.3185 หยวนต่อดอลลาร์

China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนในวันนี้ แข็งค่าขึ้น 0.0293 หยวน แตะที่ 6.3185 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศของจีนนั้น เงินหยวนได้รับอนุญาตให้ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 2% จากอัตราค่ากลางของการซื้อขายแต่ละวัน

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อิงกับราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่ตลาดอินเตอร์แบงก์จะเปิดทำการซื้อขายในแต่ละวัน

SEAOIL ขายซีออยล์ปิโตรเคมีคอล มูลค่า 256 ลบ. คาดแล้วเสร็จ Q2/65
 
บมจ.ซีออยล์ (SEAOIL) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 7 มี.ค.65 มีมติเสนอให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 พิจารณาอนุมัติการขายหุ้นทั้งหมดที่บริษัทฯ ถืออยู่ในบริษัท ซีออยล์ ปิโตรเคมีคอล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ จำนวน 2,039,998 หุ้น หรือคิดเป็น สัดส่วน 99.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทซีออยล์ปิโตรเคมีคอล ให้แก่บริษัท เนเชอรัล เอ็นเนอร์ยี่ รีไฟเนอรี่ จำกัด โดยบริษัทฯ จะได้รับค่าตอบแทนจากการขายหุ้นดังกล่าวเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 256,000,000.00 บาท

บริษัทเนเชอรัลเอ็นเนอร์ยี่ จะชำระค่าตอบแทนจากการขายหุ้นดังกล่าวในวันที่มีการซื้อขายหุ้นเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าธุรกรรมการขายหุ้นในบริษัทย่อยจะเสร็จสมบูรณ์ ภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2565

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน บริษัทซีออยล์ปิโตรเคมีคอล ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายโซลเว้นท์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเหลว ทั้งนี้ ภายหลังธุรกรรมการขายหุ้นในบริษัทย่อยเสร็จสมบูรณ์ บริษัทฯ จะไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทซีออยล์ปิโตรเคมีคอลอีกต่อไป และบริษัทซีออยล์ปิโตรเคมีคอลจะสิ้นสภาพจากการเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ
#2738
SMT เร่งเครื่องแรง จับตา Q1/65 กำไรสวย ด้านโบรกฯ มองพื้นฐานแน่น เคาะเป้า 7.20 บาท
 
หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังคงร้อนแรง "SMT" หรือ บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ส่งสัญญาณผลงานไตรมาส 1/65 มั่นใจโชว์ท็อปฟอร์มต่อเนื่อง หลังจากสร้างปรากฏการณ์ทำกำไรได้หลายไตรมาสติดต่อกัน รวมถึงล่าสุดบอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผล 0.05 บาท/หุ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและตอบแทนผู้ถือหุ้น ด้าน "วิรัตน์ ผูกไทย" ซีอีโอนักการตลาดส่งข่าวดี เชื่อมั่นยอดขายปีนี้แตะ 3,300 ล้านบาท หรือเติบโต 30% ทั้งจากลูกค้าปัจจุบัน ที่มีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ BU และขยายฐานไปยังลูกค้าใหม่ ส่วนกำไรขั้นต้นคาดเติบโต 18-20% โดยปัจจุบันมียอด Booking เกิน 70% แล้ว สำหรับกลยุทธ์ในปี 2565 บริษัทฯ เร่งขยายตลาดและการหาลูกค้าใหม่ในต่างประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสโต และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ รวมทั้งแผนการเพิ่มความสามารถและประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ในทุกมิติ อีกทั้งสถานการณ์การขาดแคลนชิปในช่วงที่ผ่านมาเริ่มคลี่คลายมากขึ้น มั่นใจผลงานทั้งปีเดินหน้าตามแผน

ด้านนักวิเคราะห์จากบล.ฟินันเซีย ไซรัส ยังคงแนะนำ "ถือ" SMT จากปัจจัยเชิงบวกในปี 2565 นี้ ว่า จากประมาณการรายได้ปีนี้มองไว้ที่ 3,300 ลบ. จากลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้ากลุ่มใหม่ที่บริษัทขยายโอกาสทางธุรกิจ อีกทั้งการขาดแคลนชิป ก็มีกลยุทธ์การรับมือที่ดี ยังคงแนะนำราคาเหมาะสมที่ 7.20 บาท
#2739
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 797.42 จุด กังวลเงินเฟ้อหลังราคาน้ำมันพุ่ง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ปิดทรุดตัวลงเกือบ 800 จุดในวันจันทร์ (7 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันอันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนนั้น จะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นและส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,817.38 จุด ร่วงลง 797.42 จุด หรือ -2.37%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,201.09 จุด ลดลง 127.78 จุด หรือ -2.95% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,830.96 จุด ลดลง 482.48 จุด หรือ -3.62%

ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง หลังจากนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการ "State of the Union" ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นในวันอาทิตย์ (6 มี.ค.) ว่า สหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปกำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะระงับการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน

โมนา มาฮาจาน นักวิเคราะห์จากบริษัทเอ็ดเวิร์ด โจนส์กล่าวว่า ตลาดวิตกกังวลว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และอาจจะนำไปสู่ภาวะ Stagflation หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังกังวลว่าปัญหาราคาน้ำมันแพงจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นปัจจัยขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์เข้าสู่ภาวะปรับฐาน (Correction) แล้ว เนื่องจากดัชนีได้ร่วงลงกว่า 10% จากระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2565 ส่วนดัชนี Nasdaq ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market ) เนื่องจากดัชนีทรุดตัวลงกว่า 20% จากระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2564

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลง 4.8% ทั้งนี้ หุ้นราล์ฟ ลอเรน ดิ่งลง 12.23% หุ้นไนกี้ ร่วงลง 5.14% หุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ ทรุดตัวลง 15.36% หุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์คส์ ร่วงลง 8.67%

ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารดิ่งลง 3.74% นำโดยหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ดิ่งลง 6.29% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 4.19% ห้นแอปเปิล ร่วงลง 2.37% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 3.78% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 3.17% หุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 2.89%

หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญร่วงลงเนื่องจากความกังวลที่ว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้ โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ดิ่งลง 12.72% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วงลง 11.99% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ทรุดลง 15.01% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ร่วงลง 9.87% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูส ร่วงลง 9.03% หุ้นนอร์วีเจียน ครูส ไลน์ ร่วงลง 11.56%

อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันช่วยหุ้นดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 1.57% โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 2.14% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 6.15% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ บวก 0.97% หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 3.6%

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ยูเครนอย่างใกล้ชิด โดยสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์รายงานล่าสุดว่า การเจรจาสันติภาพรอบที่ 3 ระหว่างคณะตัวแทนของรัสเซียและยูเครนได้เริ่มขึ้นแล้วที่เบลารุส เพื่อหาทางออกต่อวิกฤตการณ์ในยูเครน

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดุลการค้าเดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
#2740
สถาบันการเงินของรัฐ พร้อมช่วยเหลือ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน เสริมสภาพคล่อง ผ่านพ้นวิกฤต COVID-19

สถาบันการเงินของรัฐ พร้อมช่วยเหลือ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน เสริมสภาพคล่อง  ผ่านพ้นวิกฤต COVID-19
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) เปิดเผยว่า วิกฤต COVID-19 ที่เกิดขึ้นยาวนานมากว่า 2 ปี ได้ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันการเงินของรัฐได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้ความสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้เดิม การเติมสภาพคล่องใหม่ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ผ่านสินเชื่อฟื้นฟูของสถาบันการเงินของรัฐ และการให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ประกอบการให้กลับมาเดินหน้าธุรกิจได้อีกครั้ง ดังนั้นการจัดงานสัมมนาออนไลน์ "ชี้ช่องทาง เติมเงิน เติมทุน เสริมสภาพคล่อง SMEs" ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ถือเป็นความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถผ่านพ้นวิกฤต COVID -19 ในครั้งนี้ไปได้ โดยจะทำให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้โดยง่าย ทั้งช่องทางปกติและช่องทาง Digital ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อต่างๆ และสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ ที่สถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์นำมาเสนอให้กับผู้ประกอบการ SMEs รวมทั้งยังให้ข้อมูล คำปรึกษาและข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวของธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนภายหลังจาก COVID-19 จบลง

สำหรับงานสัมมนาออนไลน์ "ชี้ช่องทาง เติมเงิน เติมทุน เสริมสภาพคล่อง SMEs" จัดขึ้น เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 เวลา 08.30-16.00 น. โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจาก ธปท. ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินของรัฐ และ สสว. ที่มาร่วมให้ข้อมูลแนะแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยภายในงานมีผู้ประกอบการ SMEs ผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินของรัฐ และสื่อมวลชน เข้าร่วมฟังการสัมมนาผ่านระบบ Zoom รวมกว่า 300 ราย