• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Fern751

#3701


แคลิฟอร์เนียกลายเป็นมลรัฐแรกของอเมริกาที่บังคับให้ครูทุกคนต้องฉีดวัคซีนหรือตรวจโควิดทุกสัปดาห์ หลังยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันพุ่งทะลุ 10,000 คน หรือเพิ่มขึ้นจากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาถึง 10 เท่า ขณะที่ผู้อำนวยการซีดีซีเรียกร้องให้ว่าที่คุณแม่ หรือผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์หรือที่กำลังให้นมบุตร เข้ารับการฉีดวัคซีน เนื่องจากผลศึกษาพบวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอไม่เพิ่มความเสี่ยงแท้ง

จำนวนผู้ติดโควิดทั่วสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้จากการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา

ในวันพุธ (11 ส.ค.) เกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงเรียนทั้งรัฐบาลและเอกชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือไม่ก็ต้องแสดงผลตรวจโควิดทุกสัปดาห์ เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองมั่นใจในการส่งบุตรหลานกลับเข้าเรียนในโรงเรียนในปีการศึกษาใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลานี้

เช่นเดียวกับอีกหลายรัฐในอเมริกา แคลิฟอร์เนียสามารถจัดการกับวิกฤตโรคระบาดที่เลวร้ายที่สุดได้เมื่อต้นปีและการดำเนินชีวิตกลับสู่ภาวะปกติเป็นส่วนใหญ่ ทว่า ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในรัฐนี้กลับเพิ่มขึ้นเกิน 10,000 คนทุกวัน หรือมากกว่าช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาถึง 10 เท่า และแพทย์ระบุว่า ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่คือผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

ขณะเดียวกัน ข้อมูลของรอยเตอร์ระบุว่า จำนวนเคสใหม่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าจากเดือนที่แล้ว โดยจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยในรอบ 7 วันพุ่งขึ้นเป็น 118,000 คนเมื่อวันอังคาร (10)

คำสั่งของนิวซอม ทำให้แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกในอเมริกาที่บังคับให้บุคลากรทางการศึกษาทั้งหมดฉีดวัคซีน เพิ่มเติมจากกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และยังเกิดขึ้นขณะที่ผู้พิพากษาศาลแขวงในดัลลัส ระงับชั่วคราวการบังคับใช้คำสั่งของเกร็ก แอ็บบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเทกซัส ที่ห้ามไม่ให้บังคับสวมหน้ากากป้องกันภายในรัฐ

แอ็บบอตต์ รวมทั้ง รอน ดีแซนทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ที่สังกัดพรรครีพับลิกันเช่นเดียวกัน กำลังเผชิญการท้าทายจากภายในรัฐของตนเอง เกี่ยวกับคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบังคับให้ประชาชนหรือลูกจ้างสวมหน้ากาก

ในทางกลับกัน เคต บราวน์ ผู้ว่าการรัฐออริกอน ซึ่งสังกัดพรรคเดโมแครต ประกาศวันอังคาร บังคับให้ลูกจ้างทั้งหมดในส่วนบริหารของรัฐต้องฉีดวัคซีน และยังฟื้นคำสั่งสวมหน้ากากภายในอาคารทั่วทั้งรัฐ

ต้นสัปดาห์นี้กระทรวงกลาโหมอเมริกันก็ประกาศจะดำเนินการภายในเดือนหน้าเพื่อบังคับให้ทหารทุกนายต้องฉีดวัคซีน

นอกจากนั้น ในเร็วๆ นี้ นิวยอร์กซิตีประกาศแผนจะกำหนดให้ประชาชนต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนก่อนเข้าใช้บริการในร้านอาหารและฟิตเนส รวมทั้งพื้นที่สาธารณะในอาคารอื่นๆ โดยที่เมืองลอสแองเจลิสมีแนวโน้มบังคับใช้มาตรการนี้เช่นเดียวกัน

ในอีกด้านหนึ่ง พญ.โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) ออกมาเรียกร้องให้สตรีมีครรภ์ ตลอดจนถึงสตรีที่วางแผนตั้งครรภ์หรือที่ให้นมลูกอยู่ ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโควิดโดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตาที่กำลังระบาดรุนแรง

จากข้อมูลล่าสุด สตรีมีครรภ์เพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส

ซีดีซีสำทับว่า การวิเคราะห์ข้อมูลปัจจุบันพบว่า ในสตรีมีครรภ์เกือบ 2,500 คนที่ฉีดวัคซีนเทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเอ เช่น วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ มีอัตราการแท้งอยู่ที่ 13% เทียบกับอัตราการแท้งจากสาเหตุทั่วไปซึ่งอยู่ที่ 11-16% อยู่แล้ว จึงหมายความว่าไม่ได้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ยิ่งเมื่อคำนึงถึงว่าการติดโรคโควิด-19 จะเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเจ็บป่วยหนักและเพิ่มความยุ่งยากต่อการตั้งครรภ์ด้วยแล้ว การฉีดวัคซีนป้องกันจึงมีประโยชน์มากกว่า ซีดีซีชี้

(ที่มา : เอพี, เอเอฟพี, รอยเตอร์)
#3702


นพ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ (HEC) ผู้ร่วมริเริ่มก่อตั้งโครง Covid-19 Home Care เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางโครงการฯ ได้มีการหารือกับ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เพื่อนำระบบ Line OA ชื่อ Covid-19 Home Care ไปปรับใช้ในโรงพยาบาลต่าง ๆ ในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งกักตัวอยู่ที่บ้านหรือ Home Isolation (HI) เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารกับผู้ป่วย ทั้งการติดตามอาการและการส่งความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ทั้งยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ที่จำเป็น

"ท่านรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพราะตรงกับนโยบายของทางกระทรวงที่ต้องการสนับสนุนให้มีการนำระบบดิจิทัลเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหาโควิด-19 จึงได้ประชาสัมพันธ์ไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งมีหลายแห่งสนใจเข้ามาขอติดตั้งเพื่อนำไปใช้งานในการดูแลคนไข้" นพ.ฆนัทกล่าว


สำหรับ ระบบ Line OA ดังกล่าวได้รับการพัฒนาโดยบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เมื่อได้ใช้งานจริงแล้วจึงมีการหารือกันว่าระบบนี้น่าจะเกิดประโยชน์กับหน่วยงานอื่นหรือโรงพยาบาลอื่น ๆ ด้วย เพราะปัจจุบันยังไม่มีระบบรองรับการดูแลผู้ป่วยกักตัวที่บ้าน รวมทั้งระบบการเบิกจ่ายตามสิทธิการรักษาพยาบาลอาจจะยังไม่ลงตัว เพราะเป็นเรื่องใหม่ ดังนั้นระบบที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะช่วยแก้ปัญหาในการทำงานของโรงพยาบาลต่าง ๆ ได้

"กระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. ออกเงื่อนไขในการเบิกจ่ายมาแล้ว แต่ขั้นตอนวิธีการปฏิบัติทุกอย่างมันแล้วแต่โรงพยาบาล โรงพยาบาลใหญ่ ๆ ก็อาจมีระบบของเขาอยู่บ้างแล้วก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ แต่บางโรงพยาบาลหรือหากเป็นโรงพยาบาลเล็กก็ไม่มีอะไรเลย หากจะไปพัฒนาระบบเองค่าใช้จ่ายก็สูง เราก็เลยประสานตรงส่วนนี้ให้ เพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือในการดูแลคนไข้ได้มากขึ้น" นพ.ฆนัทกล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลของโครงการ Covid-19 Home Care กว่า 2,000 คน โดยระบบ Line OA ดังกล่าวสามารถช่วยให้การทำงานช่วยเหลือผู้ป่วยมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ป่วยโควิดสามารถติดต่อโครงการได้ทางไลน์ @covidhomecare หรือทางเฟซบุ๊คแฟนเพจ 'We care network – เครือข่ายเราดูแลกัน'
#3703


นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX เปิดเผยว่า สาเหตุที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงในสัปดาห์นี้จนหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์นั้น มีสาเหตุมาจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ออกมาดีกว่าที่คาด อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 5.4% ถือว่าเป็นการปรับลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ อีกทั้งตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงก็ออกมาดีเกินคาดเช่นกัน ตัวเลขการจ้างงานที่ดีนี้จึงอาจเป็นตัวเร่งให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เริ่มลดนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด ทำให้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขณะที่ทองคำปรับลดลงตั้งแต่คืนวันศุกร์ต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้

นอกจากนี้การปรับลดลงของทองคำในรอบนี้ยังเป็นการปรับลดลงทางเทคนิค เพราะทองคำหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ลงไปถึง 1,758 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันศุกร์ ก่อนเช้าวันจันทร์จะปรับลดลงไปหลุดอีกหนึ่งแนวรับสำคัญคือ 1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเมื่อเดือน มิ.ย. ส่งผลให้นักลงทุนจากตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สตลาด COMEX เทขายทองคำออกมาเพื่อปิดสถานะซื้อ ทำให้ภาพรวมทองคำระยะสั้นเป็นขาลง

อย่างไรก็ดีในส่วนของคำแนะนำนักลงทุนนั้นสำหรับคนที่ต้องการขายเพื่อลดความเสี่ยง มองว่าสามารถขายได้ที่แนวต้าน 1,751-1,755 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 27,700 บาท ซึ่งจุดนี้ถือเป็นแนวต้านระยะสั้นที่สำคัญ เพราะหากทองคำไม่ผ่านแนวต้านนี้อาจจะมีการพักตัวสั้นๆ แต่หากสามารถผ่านได้จะทำให้ทองคำดีดตัวขึ้นต่อโดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1,760-1,778 ดอลลาร์ต่อออนซ์

หากจะให้ทองคำมีสัญญาณกลับไปเป็นบวกอีกครั้งจะต้องสามารถยืนเหนือ 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 28,300 บาทให้ได้ ส่วนผู้ที่รอซื้อนั้นแนะนำรอซื้อเมื่ออ่อนตัวที่แนวรับ 1,717-1,708 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 27,000 บาท หากไม่หลุดแนวรับนี้อาจจะมีโอกาสรีบาวด์ แต่ถ้าหลุดไม่ต้องรีบร้อนในการเข้าซื้อ

โดยรอบริเวณแนวรับถัดไปและเป็นแนวรับสำคัญสำคัญบริเวณ 1,676 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 26,500 บาท ซึ่งจุดนี้ถือเป็นแนวรับสำคัญเพราะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ที่เคยปรับลดลงไปเมื่อเดือน มี.ค. หากทองคำหลุดแนวรับนี้ภาพรวมจะกลายเป็นขาลงอย่างชัดเจน
#3704


เข้าสู่วันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ ที่ในปีนี้ ใครหลายๆ คนอาจจะไม่ได้กลับไปหาแม่ที่บ้าน เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19

การแสดงความรัก การดูแลพ่อแม่ ไม่จำเป็นจะต้องเฉพาะ '12 สิงหา วันแม่แห่งชาติ' เท่านั้น แต่เมื่อเป็นวันพิเศษ ก็อาจจะมีของขวัญพิเศษๆ ให้แก่คุณแม่ ถึงตัวจะไปหาไม่ได้ส่งของขวัญไปแทนกันยังดี

เลือกของขวัญแทนคำบอกรักแก่คุณแม่
เริ่มด้วย อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ  สิ่งสำคัญอย่างมากในกลุ่มคุณแม่ หรือผู้สูงอายุ ยิ่งในยุคนี้อาหารเสริมเพื่อสุขภาพมีความจำเป็นอย่างมากในการเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคต่างๆ แก่ผู้สูงอายุ

สเปรย์แอลกฮออล์พกพา และชุดหน้ากากอนามัย เรียกได้ว่ากลายเป็นอาวุธประจำตัวของทุกคนไปแล้วในยุคโควิด-19 เพราะไปไหนมาไหน หรือแม้แต่อยู่ในบ้านก็ต้องมีติดตัวไว้ แนะนำให้เลือกสเปรย์แอลกฮออล์พกพาที่จะถนอมมือคุณแม่ มอบความชุ่มชื่น ไม่ทำให้มือลอก มือแห้ง ขณะที่ชุดหน้ากากอนามัยก็ควรจะเลือกผ้า หรือยี่ห้อที่ไม่ระคายเคืองผิวของคุณแม่


แผ่นหอมติดแมส คุณแม่ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา อาจหายใจไม่สะดวก อึดอัด แนะนำ แผ่นหอมติดแมส ช่วยให้หายใจสดชื่นแม้ใส่แมสตลอดเวลา ลดกลิ่นอับ ลมหายใจไม่สดชื่น ปลอดภัยด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีอันตราย

เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว หรือ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด มีความจำเป็นอย่างมากในยุคโควิด สามารถวัดระดับออกซิเจนในเลือด (Sp02) อัตราการเต้นของหัวใจ (PR) และค่าการไหลเวียนของเลือด (PI) ได้ เพื่อความปลอดภัย

ชุดเครื่องหอม สมุนไพร ผู้สูงอายุอาจมีอาการวินเวียงหัว ปวดหัว ยิ่งใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา อาจทำให้หายใจไม่สะดวก แนะนำเลือกซื้อ ชุดเครื่องหอม สมุนไพร ที่ช่วยให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าผ่อนคลาย ลดอาการคันและปวด มอบความเย็นสบาย

'นมแม่' วัคซีนป้องกันโควิด-19 ป้องกันโรคได้ดีที่สุด
นอกจากของขวัญที่จะให้คุณแม่ใน วันแม่แห่งชาติ แล้ว รู้หรือไม่ว่า??? 'นมแม่' เป็นเสมือนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ป้องกันโรคต่างๆ แก่ลูกได้ดีที่สุด  

เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าโควิด-19 สามารถติดต่อผ่านน้ำนมแม่ได้ องค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ จึงแนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถให้นมจากเต้าและโอบกอดแนบเนื้อได้แม้ว่าแม่จะติดเชื้อโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงสูงก็ตาม  

อย่างไรก็ดี แม่ควรรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เช่น ใส่หน้ากากอนามัยขณะให้นมลูก ล้างมือด้วยสบู่ก่อนและหลังสัมผัสลูก ตลอดจนหมั่นทำความสะอาดพื้นผิวที่แม่สัมผัสบ่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ


การศึกษาต่าง ๆ พบว่า ประโยชน์ของ นมแม่ มีมากกว่าความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไปสู่ลูก อีกทั้งแอนติบอดี้ในนมแม่ยังอาจช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อหาก ทารก ได้รับเชื้อโควิด-19


นางคยองซัน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการช่วยให้ทารกเติบโตอย่างแข็งแรงโดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของ โควิด-19 น้ำนมแม่เปรียบเสมือนวัคซีนหยดแรกสำหรับทารก เพราะเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ แอนติบอดี้ ฮอร์โมน และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกระตุ้นระบบ ภูมิคุ้มกัน ของทารกและป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ดี

'ยูนิเซฟเรียกร้องคุณแม่ไทยม่เลี้ยงลูกด้วย 'นมแม่'
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กทั้งในช่วงแรกเกิดไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ การศึกษาต่าง ๆ พบว่าเด็กที่ได้กินนมแม่มักจะมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยน้อยกว่า อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะมีไอคิวสูงกว่า มีการศึกษาที่สูงกว่าและทำงานที่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่

นอกจากนี้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังช่วยเสริมสร้างสายใยรักและผูกพันระหว่างแม่กับลูก อีกทั้งลดความเสี่ยงของแม่ในการเป็นโรคอ้วน  โรคเบาหวานชนิดที่สอง โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่อีกด้วย


ยูนิเซฟได้แนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกเพื่อประโยชน์สูงสุดด้านสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตรานี้ต่ำที่สุดในภูมิภาค ผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทยพ.ศ. 2562 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟ พบว่า มีเด็กเพียงร้อยละ 14 ที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกของชีวิต ซึ่งลดลงจากร้อยละ 23 ในพ.ศ. 2559

แนะรัฐบาล สธ.ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างจริงจัง
ยูนิเซฟ ได้เรียกร้องให้ภาครัฐบาลและเอกชนเพิ่มการลงทุนในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการ เลี้ยงลูก ด้วยนมแม่ ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์ควรสนับสนุนให้ทารกแรกเกิดได้รับนมแม่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด พร้อมให้ความรู้และคอยแนะนำให้แม่สามารถให้นมลูกได้อย่างต่อเนื่อง

ในขณะเดียวกัน หน่วยงานสาธารณสุขควรปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กอย่างเคร่งครัด เช่น กำกับดูแลการตลาดออนไลน์ของนมผงที่เข้าถึงแม่โดยตรง หรือห้ามการแจกตัวอย่างนมผงภายในโรงพยาบาล


นอกจากนี้ ภาครัฐบาลและเอกชนควรออกนโยบายที่เป็นมิตรกับเด็กและครอบครัวเพื่อให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่องหลังจากที่ต้องกลับไปทำงาน เช่น สามารถ ลาคลอด ได้อย่างน้อย 18 สัปดาห์โดยได้รับค่าจ้าง หรือสิทธิลาคลอดสำหรับพ่อ ในขณะเดียวกัน ที่ทำงานควรมีนโยบายที่ชัดเจนและจัดให้มีมุม นมแม่ ที่สะอาดปลอดภัยเพื่อให้แม่บีบเก็บน้ำนมได้ 

อ้างอิง: promotions, unicef
#3705


การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสมนับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2564 ถึงวันที่ 10 ส.ค.2564 รวม 767,088 ราย และมผู้ป่วยที่กำลังรักษา 211,223 ราย 

ในขณะที่จำนวนเตียงที่รองรับการรักษาข้อมูลล่าสุดวันที่ 4 ส.ค.2564 ทั่วประเทศมีเตียง 197,837 ราย ใช้ไปแล้ว 151,103 เตียง คิดเป็น 76.38% และมีเตียงว่าง 46,516 เตียง แบ่งเป็นเตียงว่างในกรุงเทพฯ 5,331 เตียง และในต่างจังหวัด (รวมปริมณฑล) 41,185 เตียง ซึ่งขณะนี้สถานการณ์เตียงในระบบสาธารณสุขจึงน่าเป็นห่วง

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานเปิดหน่วยคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End) ในโครงการ "ลมหายใจเดียวกัน" ของกลุ่ม ปตท. วันที่ 11 ส.ค.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม

รายงานข่าวจาก ปตท.ระบุว่า กลุ่ม ปตท.ได้จัดตั้ง "โครงการลมหายใจเดียวกัน" เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาวิกฤติโควิด-19 ของประเทศ ร่วมเป็นพลังต่อลมหายใจของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไป โดยในระยะแรกได้เร่งส่งมอบเครื่องช่วยหายใจ เครื่องให้ออกซิเจนอัตราไหลสูง พร้อมสนับสนุนออกซิเจนเหลวแก่โรงพยาบาลในพื้นที่วิกฤติ และมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อใช้ในการรักษาอาการผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัดรวมกว่า 200 แห่ง ทั่วประเทศ

รวมทั้งในระยะต่อมาได้สนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม 7 แห่ง ร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัดหน่วยวัคซีนเคลื่อนที่เชิงรุกใน 4 พื้นที่เปราะบางและมีความเสี่ยงสูง รวมถึงเดินหน้าโครงการ Restart Thailand ต่อเนื่องทำให้มีอัตราการจ้างงานภายในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 25,000 อัตรา ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน กลุ่ม ปตท.ได้สนับสนุนความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ ร่วมบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในภาวะวิกฤติโควิด-19 แล้วรวมเป็นงบประมาณจำนวนกว่า 1,700 ล้านบาท

ในขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันยังไม่คลี่คลาย และมีผู้ป่วยหนักสูงขึ้น ซึ่งกลุ่ม ปตท.มีแผนช่วยเหลือประชาชนและแบ่งเบาภาระภาครัฐ โดยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และพันธมิตรทางการแพทย์ จัดตั้งหน่วยคัดกรองและโรงพยาบาลสนามครบวงจรแบบ End-to-End ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยที่ยังคงมีตัวเลขที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการเสียชีวิต ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เร็วที่สุด



สำหรับหน่วยคัดกรองและโรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End) วางแนวทางการดำเนินงานที่มุ่งเน้น "ตรวจเร็ว แยกเร็ว รักษาเร็ว" ซึ่งจะเป็นการตรวจรักษาแบบครบวงจรแห่งแรกที่เอกชนร่วมกับภาครัฐ ประกอบด้วย 4 จุดหลัก ได้แก่

จุดที่ 1 หน่วยคัดกรอง โครงการลมหายใจเดียวกัน ณ อาคาร Energy Terminal (Enter) ของบริษัทเอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด กลุ่ม ปตท. ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ เพื่อเป็นจุดคัดกรองสำหรับกลุ่มเสี่ยง โดยวางระบบดิจิทัลเพื่อลงทะเบียน และเริ่มจากการตรวจโดยใช้ชุดตรวจ Antigen test kit และหากพบว่ามีการเสี่ยงติดเชื้อ จะนำส่งตรวจ RT-PCR 

สำหรับผู้ป่วยระดับสีเขียวที่ตรวจพบสามารถทำการดูแลตนเองเบื้องต้นที่บ้านหรือในชุมชน (Home or Community Isolation) โดยจะได้รับมอบ "กล่องพลังใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" ประกอบไปด้วยชุดอุปกรณ์การทางแพทย์และยาที่จำเป็น รวมทั้งระบบติดตามอาการ

สร้างโรงพยาบาลสนามพันเตียง

จุดที่ 2 , 3 และ 4 จัดเตรียมเป็นโรงพยาบาลสนามครบวงจร โครงการลมหายใจเดียวกัน เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ตามระดับความรุนแรง โดยโรงพยาบาลสนามครบวงจรแห่งนี้ นับเป็นการระดมกำลังของกลุ่ม ปตท.ทุกด้าน ทั้งด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หวังแบ่งเบาภาระและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนเตียงในกรุงเทพฯ โดยแบ่งการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ดังนี้

1.โรงพยาบาลสนาม สำหรับผู้ป่วยระดับสีเขียว เปิดให้บริการในรูปแบบของ Hospitel กระจายไปในหลายโรงแรม จำนวน 1,000 เตียง รองรับผู้ป่วยที่ส่งต่อมาจากหน่วยคัดกรองอย่างเป็นระบบ

2.โรงพยาบาลสนาม สำหรับผู้ป่วยระดับสีเหลือง ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการในระดับหนักขึ้น เปิดให้บริการ ณ โรงแรมเดอะบาซาร์ กรุงเทพ มีเตียงผู้ป่วยจำนวน 300 เตียง มีระบบไฮโดรเจน ต่อ Direct Tube ส่งตรงถึงทุกเตียงผู้ป่วย 

พร้อมทั้งมีเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของกลุ่ม ปตท. เพื่อให้การดูแลคนไข้ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ เตียงพลาสติกรับน้ำหนักสูง หุ่นยนต์ ปิ่นโต เป็นหุ่นยนต์ลำเลียงเพื่อช่วยบุคคลากรทางการแพทย์ในการดูแลคนไข้ รวมถึงหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อ Xterlizer UV Robot

3.โรงพยาบาลสนาม สำหรับผู้ป่วยระดับสีแดง โดยจัดสร้างโรงพยาบาลสนาม ICU บนพื้นที่ 4 ไร่ สำหรับผู้ป่วยจำนวน 120 เตียง ให้บริการสำหรับผู้ป่วยอาการหนัก โดยปรับพื้นที่โล่งของโรงพยาบาลปิยะเวทเป็นสถานที่ก่อตั้ง โดยจัดทำห้องรักษาความดันลบแยกรายผู้ป่วย ห้องละ 1 เตียง ซึ่งเป็นครั้งแรกของโรงพยาบาลสนามในประเทศ พร้อมระบบ Direct Tube ส่งท่อออกซิเจนตรงทุกห้องผู้ป่วย และมีการติดตั้งถังออกซิเจนเหลวขนาด 10,000 ลิตรพร้อมห้องฉุกเฉินให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
#3706
เพื่อให้เจ้าของกิจการ รอดผ่านวิกฤติ โควัด ไปด้วยกัน โพสต์ธุรกิจของท่านได้ฟรี ที่ https://bizzmotive.net/

สร้างโปรไฟล์ และโพสต์ธุรกิจของคุณได้ ฟรี https://bizzmotive.net/add-listing/ 
หรือ โพสต์ประกาศได้ที่ https://forum.bizzmotive.net/ 

ไม่เสียค่าใช้จ่ายไดๆ ทั่้งสิ้น 
ถ้าติดปัญหรือ ต้องการแนะนำ ติดต่อเข้ามาได้ https://bizzmotive.net/contact/
หรือ email info@bizzmotive.net

ศึกษาวิธีการใช้งานได้ที่ https://bizzmotive.net/how-it-works
#3707


Jeremy Allaire ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Circle เปิดเผยแผนของบริษัทในบล็อกโพสต์ และ ในบล็อกโพสต์ Allaire โดยยืนยันว่าพวกเขาพร้อมที่จะให้บริการภายใต้กฎระเบียบและการควบคุมอย่างเต็มรูปแบบของธนาคารกลางสหรัฐ กระทรวงการคลังสหรัฐ และหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ

Allaire กล่าวเพิ่มเติมว่า Circle ซึ่งมีมูลค่าตลาดใกล้เคียงกับตลาด 30 พันล้านดอลลาร์ในตลาด crypto ทั้งหมดมีโอกาสและความเสี่ยงมากมาย แต่ตอนนี้เพื่อทำงานภายใต้หน่วยงานควบคุมมาตรฐาน USDC จะสามารถให้อำนาจในระบบเศรษฐกิจที่แท้จริงได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ถูกจำกัดอยู่ที่ตลาด crypto เท่านั้นอีกต่อไป

"ด้วยการเพิ่มขึ้นของสกุลเงินดิจิทัล เราได้เห็นฟินเทคมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และตอนนี้การชำระเงินและแอป crypto มีความต้องการใช้งานเพิ่มมากขึ้น" Circle ได้ประกาศความตั้งใจที่จะเป็นธนาคาร

อย่างไรก็ตามในฐานะธนาคารพาณิชย์แห่งชาติแบบสำรองเต็มรูปแบบ Circle จะไม่ให้ยืมเงินฝากของลูกค้า แต่เงินฝากของลูกค้าทั้งหมดจะได้รับการสนับสนุนจาก USDC และจะสามารถถอนได้ตลอดเวลา

ขณะที่ USDC เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพซึ่งผูกติดอยู่กับดอลลาร์สหรัฐฯ และทำงานบนบล็อคเชน (crypto) หลายสกุล รวมถึง Ethereum และ Stellar และขณะนี้มีการหมุนเวียนมากกว่า 27.5 พันล้านดอลลาร์ โดยตอนนี้เชื่อว่า USDC (USD Coin) จะเติบโตเป็นเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในไม่ช้า

Jeremy Allaire ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Circle กล่าวอีกว่า "เราเชื่อว่าการธนาคารแบบสำรองเต็มรูปแบบซึ่งสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีสกุลเงินดิจิทัล ไม่เพียงแต่จะทำให้ระบบการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ระบบการเงินปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย"

โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2013 Circle ได้เดินหน้าธุรกิจในฟินเท็คในหลายรูปแบบ โดยถือว่าเป็นแอปเริ่มต้น ในฐานะเครือข่ายการชำระเงินแบบ peer-to-peer ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นผู้ให้บริการชำระเงิน และปัจจุบันเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการซื้อขาย crypto ที่โดดเด่นในสหรัฐอเมริกา

ขณะที่ในปี 2018 Circle ซื้อ Poloniex จากบอสตันด้วยเงิน 400 ล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มสถานะให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นชั้นนำในตลาดสกุลเงินดิจิทัล

Circle กล่าวว่าในเวลาที่การเข้าซื้อกิจการทำให้บริษัทสามารถควบคุมตลาดที่บางครั้งปริมาณรายวันสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ซึ่งมีการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลและโทเค็นต่างๆ ประมาณ 70 สกุล

ในบล็อกโพสต์เกี่ยวกับการยื่นฟ้องของ Circle Allaire ยังได้กล่าวถึงประเด็นด้านกฎระเบียบที่กำลังดำเนินอยู่ในสหรัฐอเมริกาว่าจะทำอย่างไรกับกฎระเบียบของสกุลเงินดิจิทัล

Allaire ระบุว่า "การจัดตั้งมาตรฐานการกำกับดูแลระดับชาติสำหรับสกุลเงินดิจิทัลดอลลาร์มีความสำคัญต่อการเปิดใช้ศักยภาพของสกุลเงินดิจิทัลในเศรษฐกิจที่แท้จริง รวมถึงมาตรฐานสำหรับการจัดการเงินสำรองและองค์ประกอบอื่นๆที่คาบเกี่ยวกัน"

ทั้งนี้คาดว่าการขอใบอนุญาตจัดตั้งธนาคารในสหรัฐอเมริกาของ Circle อาจใช้เวลาตั้งแต่ 18 เดือนถึง 2 ปีในการตรวจสอบระบบบริหารการเงิน และมาตรฐานความปลอดภัย ตลอดจนการรักษาความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้ ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะเห็นธนาคาร Circle ที่เต็มรูปแบบจนถึงอย่างน้อยปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566
#3708


นายสลิล จารุจินดา หัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกำกับดูแล บริษัท ไทยคม จํากัด (มหาชน) หรือ THCOM เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.64 บริษัทได้รับหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แจ้งว่า กสทช . ได้มีมติอนุญาตให้บริษัทฯ ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม จำนวน 10 ข่ายงานดาวเทียม ซึ่งรวมถึงวงโคจรที่ดาวเทียมไทยคม 7 และไทยคม 8 ใช้อยู่จนถึงวันที่ 10 ก.ย.64 (วันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน)

โดยบริษัทใคร่ขอเรียนว่า ตามข้อเท็จจริงแล้ว ดาวเทียมไทยคม 7 และไทยคม 8 ไม่ใช่ดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารฯ (สัญญาสัมปทาน) เพราะ เป็นการดำเนินการภายใต้ระบบใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ดังนั้น สิทธิการใช้วงโคจรดังกล่าวจึงมิได้เป็นการใช้สิทธิตามสัญญาสัมปทาน

บริษัทจึงได้มีหนังสือขอให้ กสทช. พิจารณาทบทวนมติดังกล่าวเพื่อให้สิทธิในการใช้วงโคจรเป็นไปตามอายุใบอนุญาตการให้บริการโทรคมนาคมที่อนุญาตโดย กสทช. หรือตามอายุของดาวเทียม แต่ กสทช. ก็มีหนังสือถึงบริษัทฯ แจ้งว่า กสทช. พิจารณาแล้วยืนยันตามมติเดิม หากบริษัทฯ ไม่เห็นด้วยสามารถใช้สิทธิโต้แย้งโดยฟ้องที่ศาลปกครองได้


ดังนั้น บริษัทจึงได้ดำเนินการยื่นคำฟ้องขอเพิกถอนมติดังกล่าวต่อศาลปกครองกลาง และยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติของ กสทช.และกำหนดมาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว และเมื่อวันที่ 9 ส.ค.64 ศาลปกครองกลางไต่สวนคำร้องแล้ว โดยเรียก บริษัทฯ และ กสทช. เข้ามาไต่สวนและ ได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับของมติของ กสทช. ดังกล่าว โดยให้ บริษัทฯ มีสิทธิในการใช้วงโคจรและข่ายงานดาวเทียมที่เกี่ยวข้องต่อไป จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น


ดังนั้น บริษัทจึงยังคงมีสิทธิใช้วงโคจรดาวเทียมและให้บริการดาวเทียมไทยคม 7 และไทยคม 8 และข่ายงานดาวเทียมที่เกี่ยวข้อง ได้ตามปกติต่อไป จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
#3709


ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันจันทร์ (9ส.ค.)ดิ่งลง 36.60 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน โดยปรับตัวลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักลงทุนพากันขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค.
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 36.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,726.50 ดอลลาร์/ออนซ์

ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ลดการถือครองทอง สู่ระดับ 1,025.28 ตันเมื่อวันศุกร์

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 943,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 845,000 ตำแหน่ง จากระดับ 938,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.


ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 5.4% ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.7% หลังจากแตะระดับ 5.9% ในเดือนมิ.ย.

นอกจากนี้ ราคาทองยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง


ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังกังวลว่าตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาทอง

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยเฟดอาจส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว


ตลท.ขยาย JTS ติดแคชบาลานซ์-ห้ามคำนวณวงเงินถึง 30 ส.ค.64

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย โดยขยายช่วงดำเนินการมาตรการระดับ 2 กับ บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS มีผลระหว่างวันที่ 10-30 ส.ค.2564 โดยระหว่างนี้ห้ามหลักทรัพย์ของบริษัทคำนวณวงเงินซื้อขายและติดแคชบาลานซ์ (ต้องใช้บัญชีเงินสดในการซื้อขายหุ้น)

สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น JTS วันนี้ (9 ส.ค.2564) ปิดที่ 48.75 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.28% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 2.6 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (9 ก.ค.- 9 ส.ค.) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 15 บาท หรือ 44.44% จาก 33.75 บาทต่อหุ้น ส่วนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 46.92 บาท หรือ 2,563.93% จาก 1.83 บาทต่อหุ้น
#3711


อว. เผยฉีดวัคซีนของไทย ณ วันที่ 9 สิงหาคม ฉีดวัคซีนแล้ว 20,669,780 โดส และทั่วโลกแล้ว 4,450 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 182.951 ล้านโดส โดยจังหวัดของไทยที่ฉีดมากที่สุด คือ ภูเก็ต โดยฉีดวัคซีนเข็มแรกกว่า 75.9%

เมื่อวันที่ 9 ส.ค.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,450 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 42.7 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 351 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 166 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 182.951 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (74.0% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 75.42 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 20,669,780 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 53.84%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,450 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 20,669,780 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 15,986,354 โดส (24.2% ของประชากร)
-เข็มสอง 4,461,861 โดส (6.7% ของประชากร)
-เข็มสาม 221,565 โดส (0.3% ของประชากร)

2. อัตราการฉีดวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 9 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 20,669,780 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 400,465 โดส/วัน

3. อัตราการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 6,606,930 โดส
- เข็มที่ 2 3,436,086 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 8,234,544 โดส
- เข็มที่ 2 653,195 โดส
- เข็มที่ 3 182,082 โดส

วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 1,1136,014 โดส
- เข็มที่ 2 360,601 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน Pfizer
- เข็มที่ 1 31,866 โดส
- เข็มที่ 2 11,979 โดส
- เข็มที่ 3 39,483 โดส

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 116.3% เข็มที่2 100.3% เข็มที่3 31.1%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 49.3% เข็มที่2 29.3% เข็มที่3 0%
- อสม เข็มที่1 52.3% เข็มที่2 23.2% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 32.7% เข็มที่1 5.6% เข็มที่3 0%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 29.0% เข็มที่2 8.2% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 30.6% เข็มที่2 2.0% เข็มที่3 0%
- หญิงตั้งครรภ์ เข็มที่1 1.1% เข็มที่2 0.1% เข็มที่3 0%
รวม เข็มที่1 32.0% เข็มที่2 8.9% เข็มที่3 0.4%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 51.1% เข็มที่2 11.9% เข็มที่3 0.4% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 70.9% เข็มที่2 15.5% เข็มที่3 0.6%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 31.4% เข็มที่2 13.2% เข็มที่3 0.3%
- นนทบุรี เข็มที่1 33.5% เข็มที่2 11.2% เข็มที่3 0.3%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 33.6% เข็มที่2 6.3% เข็มที่3 0.3%
- ปทุมธานี เข็มที่1 28.3% เข็มที่2 6.2% เข็มที่3 0.2%
- นครปฐม เข็มที่1 18.0% เข็มที่2 4.2% เข็มที่3 0.4%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 14.7% เข็มที่2 4.7% เข็มที่3 0.3%
- ภูเก็ต เข็มที่1 75.9% เข็มที่2 59.8% เข็มที่3 0.6%
- ระนอง เข็มที่1 41.6% เข็มที่2 12.6% เข็มที่3 0.3%
- สุราษฎร์ธานี เข็มที่1 22.1% เข็มที่2 8.6% เข็มที่3 0.2%
- พังงา เข็มที่1 41.1% เข็มที่2 11.4% เข็มที่3 0.4%
- กระบี่ เข็มที่1 23.1% เข็มที่2 6.9% เข็มที่3 0.2%
- ฉะเชิงเทรา เข็มที่1 34.4% เข็มที่2 4.4% เข็มที่3 0.4%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 182,951,774 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 75,426,933 โดส (18.5%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca, Moderna และ Sinopharm
2. มาเลเซีย จำนวน 24,542,437 โดส (48.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
3. ฟิลิปปินส์ จำนวน 24,479,750 โดส (11.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna, J&J และ AstraZeneca
4. ไทย จำนวน 20,669,780 โดส (24.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 13.949,503 โดส (48.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca, J&J และ Sinovac
6. เวียดนาม จำนวน 9,405,819 โดส (8.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ Sinopharm
7. สิงคโปร์ จำนวน 8,167,147 โดส (74.0%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,620,478 โดส (18.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V, Pfizer, J&J, Sinovac และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 189,927 โดส (33.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 66.19%
2. อเมริกาเหนือ 11.52%
3. ยุโรป 13.76%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.45%
5. แอฟริกา 1.70%
6. โอเชียเนีย 0.38%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 4 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,770.30 ล้านโดส (63.2% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 506.81 ล้านโดส (18.5%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 351.40 ล้านโดส (54.9%)
4. บราซิล จำนวน 151.71 ล้านโดส (37.1%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (81.3% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (79.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
3. บาห์เรน (79.6%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
4. สิงคโปร์ (74.0%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
5. กาตาร์ (70.7%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. อุรุกวัย (69.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. ภูฏาน (67.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Moderna)
8. แคนาดา (67.3%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech)
9. ชิลี (67.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
10. เดนมาร์ก (66.6%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)
แหล่งข้อมูล Bloomberg Vaccine Tracker, กระทรวงสาธารณสุข
ประมวลข้อมูลโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
#3712


ดร.แลร์รี บริลเลียนท์ นักระบาดวิทยาที่มีชื่อเสียงระดับโลก หนึ่งในคณะทำงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ทำให้เกิดโรคติดต่อมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา 

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา สหรัฐ อินเดีย จีน ประเทศต่างๆในยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ต่างต้องต่อสู้กับสายพันธุ์เดลตา ที่แพร่กระจายเชื้อได้สูง 

ดร.บริลเลียนท์ กล่าวกับรายการ "Squawk Box Asia" ทางสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า ข่าวดีคือ วัคซีนที่เป็นเทคโนโลยี mRNA และวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กำลังพัฒนาประสิทธิภาพต้านเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา 

"เว้นแต่ว่า จะฉีดวัคซีนให้ประชาชนทุกคนใน 200 ประเทศขึ้นไป แม้จะยังมีสายพันธุ์เกิดขึ้นใหม่" ดร.บริลเลียนระบุ และกล่าวว่า ขณะนี้มีเพียง 15% ของประชากรโลกที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 และมีมากกว่า 100 ประเทศที่ฉีดวัคซีนน้อยกว่า 5% ของประชากรประเทศ


ดร.บริลเลียนท์ มองว่า เราใกล้จุดเริ่มต้นของการแพร่บาดไวรัส มากกว่าสิ้นสุด และะเรากำลังเฝ้าดูอยู่ว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา ที่มีอยู่ตอนนี้ จะอยู่นานเพียงใด 

ในแบบจำลองของดร.บริลเลียนท์ ได้คาดการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในซานฟรานซิสโก และนิวยอร์ก เป็นลักษณะ "เส้นโค้งรูปตัววี กลับหัว" นั่นแสดงว่าการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็จะลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน 

ถ้าหากคาดการณ์นี้เป็นจริง หมายความว่า สายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อย่างที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักร และอินเดีย ซึ่งการระบาดของสายพันธุ์เดลตาลดต่ำลงจากที่เคยขึ้นสูงสุด

เว็บไซต์ Our World in Data ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหราชอาณาจักร เฉลี่ยในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ลดลงจากจุดสูงสุดที่อยู่ประมาณ 47,700 รายในวันที่ 21 ก.ค. เหลืออยู่ที่ 26,000 รายในวันที่ 5 ส.ค. 

ส่วนที่อินเดีย พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันต่ำกว่า 50,000 ราย ตั้งแต่วันที่ปลายเดือน มิ.ย. จากที่เคยติดเชื้อรายวันสูงสุด 390,000 รายในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา 
#3713


สหภาพแรงงานและกลุ่มสิทธิแรงงาน 33 กลุ่มจากกัมพูชา ซึ่งทำการศึกษาวิจัยเพื่อรวบรวมข้อมูลจากโรงงานผลิต 114 แห่งในกัมพูชา ได้เขียนจดหมายถึงแบรนด์เสื้อผ้าแฟชันชั้นนำระดับโลกทั้งหลายในสัปดาห์นี้ รวมถึง อาดิดาส เอชแอนด์เอ็ม ลีวายส์ ไนกี้ พูมา ทาร์เก็ต แก๊ป ซีแอนด์เอ และวีเอฟ คอร์ป ให้ดำเนินการช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ พร้อมระบุว่า ในช่วงที่กัมพูชาล็อกดาวน์ประเทศในเดือนเม.ย.และพ.ค. อุตสาหกรรมสิ่งทอสูญเสียรายได้ 117 ล้านดอลลาร์

กลุ่มฯดังกล่าวประเมินว่าแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอของกัมพูชาซึ่งมีจำนวนกว่า 700,000 คนถูกผู้ว่าจ้างติดค้างค่าจ้างและเงินชดเชยจำนวนกว่า 393 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่กระทรวงแรงงานของกัมพูชาแนะนำให้โรงงานผลิตปิดโรงงานเพราะสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่โดยไม่ได้จ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าเสียหายแก่แรงงาน รวมทั่้งไม่ได้แจ้งให้แรงงานทราบล่วงหน้า 

"คุน ธาโร"ที่ปรึกษาด้านสิทธิแรงงานจากศูนย์กลางเพื่อพันธมิตรแรงงานและสิทธิมนุษยชน(Center for Alliance of Labor and Human Rights) กล่าวว่า "เนื่องจากแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอไม่ได้รับค่าจ้างแรงงานที่ควรได้ บรรดาแบรนด์ดังทั้งหลายจึงตกเป็นที่พึ่งของแรงงานเหล่านี้ จนเกิดเป็นการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อขอความช่วยเหลือจากแบรนด์ดังที่ถือเป็นผู้ว่าจ้าง"

ในส่วนของกระทรวงแรงงานกัมพูชา ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

               
แบรนด์ดังเสื้อผ้าแฟชันชั้นนำของโลกจำนวนมากที่มีรายได้และผลกำไรเพิ่มขึ้นในปีนี้ บอกว่า พยายามที่จะจำกัดผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19ที่มีต่อแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

อาดิดาส เปิดเผยกับเว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียว่า บริษัทมีพันธกิจในการจ่ายค่าแรงที่ยุติธรรมและโปร่งใสแก่แรงงานทุกคนในกัมพูชาพร้อมทั้งให้การช่วยเหลือบรรดาซัพพลายเออร์หลักๆให้ได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารเจ้าหนี้เพื่อนำมาใช้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19   

"บรรดาโรงงานที่เป็นซัพพลายเออร์ส่วนใหญ่ของเราในกัมพูชายังคงรักษาแรงงานที่โรงงานผลิตเอาไว้แต่ลดชั่วโมงการทำงานสืบเนื่องจากการล็อกดาวน์"โฆษกอาดิดาสกล่าว

ด้านพูมา ยืนยันว่า บริษัทพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้วิธีการยกเลิกคำสั่งซื้อและพยายามไม่ลดออร์เดอร์ซื้อสินค้าจากโรงงานรับจ้างผลิตในกัมพูชาในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19

"เฉิง ลู"นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรม ให้ความเห็นว่าว่า บรรดาแบรนด์ต่างๆเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในสหรัฐและใรนยุโรปมีความคืบหน้าด้วยดี ถึงแม้ว่ายังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลักๆหลายด้าน รวมถึง ความไม่แน่นอนและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น

"ปีนี้ทุกอย่างแพงขึ้นทั้งต้นทุนการขนส่งทางเรือและต้นทุนด้านโลจิสติกส์ วัตถุดิบด้านสิ่งทอไปจนถึงต้นทุนด้านแรงงาน ยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดในฤดูร้อนปี 2564 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดความไม่แน่นอนแก่ตลาด" ลู กล่าว

ในเวียดนาม ซึ่งปีที่แล้วแซงหน้าบังกลาเทศในฐานะผู้ส่งออกสิ่งทอใหญ่สุดอันดับสองของโลกรองจากจีน ที่กำลังประสบปัญหายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19เพิ่ม ก็ปิดโรงงานสิ่งทอและรองเท้าประมาณ 30-35% 

สำหรับกัมพูชา การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเหมือนสิ่งซ้ำเติมทางการค้าระลอกสอง หลังจากปีที่แล้ว กัมพูชาสูญเสียสถานภาพพิเศษทางการค้าจากยุโรปเพราะปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยยอดส่งออกเสื้อผ้า รองเท้า และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องของกัมพูชาไปยุโรปหดตัว 14% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564
#3714


นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ตัวแทนกลุ่มองค์กรผู้ก่อตั้ง "โรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ" กล่าวว่า ตั้งแต่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ในรอบที่ 3 นี้ มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ประชาชนเองก็มีการติดเชื้อในระดับหลายหมื่นคนต่อวัน ภาคเอกชนจึงได้ร่วมกันจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาด 450 เตียง ขึ้นมาพร้อมรับผู้ป่วยระดับสีเขียวและสีเหลือง โดยใช้ชื่อว่า "โรงพยาบาลแสงแห่งใจ" เกิดจากแนวคิดที่ว่า พวกเราทุกคน ต้องช่วยกัน จุดแสงสว่าง คนละเล็กคนละน้อย เพื่อจุดประกายความหวังให้ประเทศไทย เดินก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เราจึงตั้งชื่อ โรงพยาบาลแห่งนี้ว่า "แสงแห่งใจ" เพื่อสะท้อนถึงความตั้งใจ ของผู้ก่อตั้งทั้ง 7 องค์กร ที่อยากเสริมสร้างวัฒนธรรมดีๆ ให้คนไทยทุกภาคส่วน ร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งสื่อถึงแสงสว่างที่ออกมาจากใจของผู้ให้ และ แสงสว่างที่เป็นเสมือนความหวังในใจของผู้ที่ทุกข์ใจ

นอกจากนี้ เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว ทางเรายังได้จัดตั้งโครงการ "ศูนย์รวมปันสุข" ขึ้นเพื่อช่วยเหลือร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากการที่ไม่สามารถเปิดร้านได้ตามปกติ รวมถึงชุมชนที่ขาดแคลนอาหาร ซึ่งเมื่อถึงจุดที่ มีโรงพยาบาลสนาม จึงได้รวมศูนย์ปันสุขเข้ามาอยู่ภายใต้โครงการโรงพยาบาลสนาม ซึ่งจะยังคงเดินหน้า ช่วยเหลือต่อไปตามเจตนารมย์และเพิ่มการจัดอาหารให้ผู้ป่วยทุกมื้อตลอดระยะเวลา 4 เดือน

ซึ่งจากผู้เริ่มก่อตั้ง 7 องค์กร ได้แก่ โรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์, MQDC, อีอีซี เอ็นจิเนียริ่ง เน็ทเวิร์ค, ทีแอนด์บี มีเดีย โกล.  และมูลนิธิธนินท์ เทวี เจียรวนนท์, มูลนิธิอริยวรารมย์, มูลนิธิพุทธรักษา  ได้ขยายมามีพันธมิตรและผู้สนับสนุนกว่า 30 องค์กร อาทิเช่น มูลนิธิเอสซีจี (SCG) ได้ให้การสนับสนุนเตียงกระดาษจำนวน 600 เตียง และยังมีอุปกรณ์ก่อสร้างอื่นๆ ทาง CP และ MK ให้การสนับสนุนด้านอาหารผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์ตลอดระยะเวลา 4 เดือน รวมถึงทาง TRUE ที่ได้จัด WIFI เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ในระหว่างการรักษาพยาบาล และอีกหลายๆ องค์กร เสมือนแสงที่มาช่วยให้ความสว่างออกมาจากใจ

ด้านนพ.อธิวัฒน์ น้อยประสิทธิ์ Chief Performance Coach, Risk and Quality Officer บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยยังมีระดับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทีมแพทย์ก็รู้สึกมีกำลังใจในการบริหารงาน เพราะได้รับมอบน้ำใจจากเพื่อนๆ ในวงการธุรกิจที่ช่วยกันสนับสนุนการดำเนินงานหาสถานที่เพื่อให้โรงพยาบาลได้มีโอกาสที่จะรักษาผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้น  ผมทราบดีว่าในท่ามกลางที่เราหลายคนอาจรู้สึกหมดหวังไม่เห็นหนทางที่จะออกจากปัญหาโรคระบาดเช่นนี้ การเปิดโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจนี้ นับว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะเป็นทั้งที่รักษาตัว และเป็นจุดที่ได้สื่อสารไปยังผู้ป่วยและครอบครัว ให้รู้สึกมีความหวังเพราะการอยู่ด้วยความหวัง และ กำลังใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลดีต่อการรักษาผู้ป่วย รวมถึงสภาพจิตใจของคนในครอบครัวผู้ป่วยที่ต่างก็รอความหวังว่าญาติมิตรของเขามีโอกาสที่จะหายป่วย เมื่อรักษาตัวในโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ 

การให้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ จะมีทีมแพทย์เฉพาะทางและพยาบาลจากกลุ่มโรงพยาบาลพิษณุเวชได้แก่ รพ.พิษณุเวช พิษณุโลก รพ.พิษณุเวช พิจิตร และ รพ.พิษณุเวช อุตรดิตถ์ ซึ่งอยู่ในในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ให้การดูแล ซึ่งในทางการแพทย์ที่รพ.สนาม เราใช้บุคลากรทางการแพทย์ที่คอยดูแล ทั้งหมดกว่า 50 ชีวิต มีห้องฉุกเฉิน รวมทั้ง Oxygen High flow Pipeline จำนวนมากถึง 76 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มจะเป็นสีเหลือง-แดง ที่พร้อมในการดูแลผู้ป่วยวิกฤติในโรงพยาบาลสนาม และมีเตียงผู้ป่วยวิกฤตที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ห่างเพียง 5 กิโลเมตร  ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาที 


ทั้งนี้ "โรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ พร้อมเปิดรับผู้ป่วยที่ลงทะเบียนผ่าน Website หรือ Call Center เท่านั้น โดยทางโรงพยาบาลได้ทำ Work Flow ให้มีความสะดวก รวดเร็ว ในการที่จะติดต่อประสานกับผู้ป่วย โดยกระบวนการคือ การลงทะเบียนจะเปิดรับลงทะเบียนในวันที่ 7 สิงหาคม เป็นต้นไป เมื่อลงทะเบียนแล้ว ข้อมูลผู้ป่วยจะถูกส่งเข้าไปที่ Assessment Center เพื่อประเมินอาการ โดยหากเข้าข่าย Home Isolation ทางโรงพยาบาลจะรับเข้าเป็นผู้อยู่ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาล ตามกระบวนการของ Home Isolation หากเข้าข่ายที่จะรับเข้าโรงพยาบาลสนามได้ จะมีทีมงานประสานในการรับการส่งตัวผู้ป่วย เพื่อเช็คอินเข้าโรงพยาบาลสนาม หรือส่งต่อฮอสปิเทล แต่หากมีอาการที่ค่อนข้างหนัก จะพิจารณารับเข้าก็รับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือส่งต่อโรงพยาบาลเครือข่าย

หลักการพิจารณาการจะใช้เรียงตามลำดับผู้ที่ลงทะเบียนเข้ามาตามระบบ โดยจะต้องแนบผลการตรวจมาด้วย โดยเมื่อเปิดแล้วโรงพยาบาลคาดว่า รับผู้ป่วยได้เต็มภายใน 4- 5 วันแรก และจากนั้นจะมีการหมุนเวียนตามจำนวนผู้ป่วยที่ได้กลับบ้าน นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลสนามนี้ได้นำหุ่นยนต์ปิ่นโต มาช่วยในการบริการและใช้ Application ไข่ต้ม แคร์ (Kaitomm Care) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย และเพิ่มความปลอดภัยของบุคคลากรทางการแพทย์อีกด้วย

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.00น. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เป็นประธานในการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ และชมการสาธิตการรักษาพยาบาลด้วยระบบ telemedicine tablet "ไข่ต้ม ฮอสพิทอล" (Kaitomm Hospital) และหุ่นยนต์ "ปิ่นโต" ในการสื่อสารกับผู้ป่วย โดยมีนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายแพทย์นนท์ จินดาเวช รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ นายณัฐพงศ์ แตงสุวรรณ นายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว ร่วมเยี่ยมชมเป็นคณะที่ 1 เพื่อขอบคุณภาคเอกชนและให้คำแนะนำ ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ในการทำงานช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐ โดยมีคณะผู้บริหารโรงพยาบาลแสงแห่งใจนำโดย ดร.สาธิต วิทยากร กรรมการผู้จัดการบริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัดในเครือบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC และ นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  นพ.อธิวัฒน์ น้อยประสิทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล พร้อมคณะ พาเยี่ยมชม ณ ที่ตั้งโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ ซอยวัดคลองปลัดเปรียง ถนนบางนาตราด กม.5 

จากนั้นเวลา 14.00น. ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในการตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ มี นายแพทย์พรณรงค์ ศรีม่วง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ และนายณัฐพงศ์ แตงสุวรรณ นายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว ร่วมเยี่ยมชม และดูการสาธิตการรักษาพยาบาลด้วยระบบ telemedicine tablet "ไข่ต้ม ฮอสพิทอล" (KaitommHospital) และหุ่นยนต์ "ปิ่นโต" ในการสื่อสารกับผู้ป่วย เป็นคณะที่ 2  เพื่อขอบคุณภาคเอกชนและให้คำแนะนำ ให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ในการทำงานช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐ โดยโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจมีกำหนดเปิดรับผู้ป่วยที่ลงทะเบียนผ่านระบบ และได้รับการคัดกรองแล้ว เข้ามารักษาตัวเป็นวันแรกที่โรงพยาบาลในวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564    


บริการที่จัดให้บริการในโรงพยาบาลสนาม

1.การบริการทางการแพทย์ เทียบเท่ากับการเข้ารักษาที่ โรงพยาบาล

- มีพยาบาล คอยดูแล 24 ชั่วโมง โดยใช้ระบบ telemedicine tablet "ไข่ต้ม ฮอสพิทอล" (KaitommHospital) ที่พัฒนาโดยบริษัท โอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น ในการสื่อสารกับผู้ป่วย

- ได้นำเทคโนโลยี ในด้านเครื่องปรับอากาศ all fresh air ไม่มีการหมุนเวียนอากาศซ้ำ

- ใช้ "หุ่นยนต์ปิ่นโต" ที่ร่วมพัฒนาโดยบริษัท โอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น ส่งอาหาร เครื่องดื่ม และยา มาช่วยเหลือในงานแพทย์และพยาบาล เพื่อลดความเสี่ยงในการทำงานของเจ้าหน้าที่ 

- มีอุปกรณ์ยังชีพ มอบให้กับผู้ป่วยทุกท่าน เพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับผู้ป่วยเมื่อเวลาผู้ป่วยเข้ามาเช็คอินและตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงพยาบาลสนาม


2.ศูนย์รวมปันสุข   จัดอาหาร3 มื้อให้กับผู้ป่วย

- มีการจัดอาหาร 3 มื้อให้กับผู้ป่วย และแพทย์พยาบาล และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยมี MK และ CP เป็นพันธมิตรหลักด้านอาหาร

- นอกจากนี้ ยังมีอาหาร และของว่างระหว่างวัน ให้กับผู้ป่วย 


3.การดูแลรักษาความปลอดภัย

- ใช้ระบบ CCTV และระบบ Security คอยดูแลความปลอดภัยภายในโรงพยาบาลสนาม ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

- นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนในด้านการดูแลความปลอดภัยจากหน่วยงานราชการในพื้นที่


4. อื่น ๆ

- Internet และ Wifi สนับสนุนจาก True ทำให้ผู้ป่วยได้ใช้ได้ฟรี เพื่อที่ให้ผู้ป่วยได้ลดความเครียดลง

- มีพื้นที่สันทนาการ ที่จะมีโทรทัศน์โดยได้รับ Content Support มาจาก True Vision รวมไปถึง Code พิเศษ เพื่อให้ผู้ป่วย สามารถดาวน์โหลด Application และดูจากมือถือของตัวเองได้ 

โดยการลงทะเบียนผู้ป่วยเพื่อรับการประเมินเข้าโรงพยาบาลสนาม สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ www.โรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ.comและโทร 02-116-7888 ทางโรงพยาบาลตั้งมั่นที่จะช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐในการที่จะรับผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด
#3716


เมื่อเร็วๆนี้ในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมได้หารือถึงการแก้ปัญหาของประเทศที่เกิดขึ้นขณะนี้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัล 5G มาใช้ในการทำงานและแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 เช่น การนำร่อง Smart Hospital ณ โรงพยาบาลศิริราช การทำเกษตรดิจิทัล ณ ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี จ. เชียงราย และการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ หรือ Startup ให้ตระหนักถึงการดำเนินงานขับเคลื่อน 5G ของภาครัฐ และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการสร้างกำลังคนด้านดิจิทัลให้เพียงพอและมีทักษะในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในการปฏิบัติงานได้

ที่ประชุมเห็นชอบการดําเนินโครงการนําร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบสําหรับให้บริการประชาชน (5G District) จังหวัดเชียงใหม่ ใน 2 ด้าน ด้านการเดินทาง (5G Mobility) การสร้างบริการผ่านการให้บริการในแอปพลิเคชันเดียว อาทิ รถเมล์ รถแดง และด้านสุขภาพ (5G Healthcare) จัดตั้ง 5G Hospital ยกระดับอุปกรณ์ Telemedicine ในพื้นที่ห่างไกล
#3717


ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนวันที่ 6 ส.ค.2564 พบว่า สถาบันในประเทศ (กองทุน) มียอดขายสุทธิ 135.90  ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ขายสุทธิ 363.93ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 2,078.31 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ (รายย่อย) ซื้อสุทธิ 2,578.14 ล้านบาท

ทั้งนี้ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1 -ุ 6 ส.ค.  กองทุน ซื้อสุทธิ 3,899.62 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 12.84 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 8,148.43 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 4,235.97ล้านบาท

โดยส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1 ม.ค. - 20 ก.ค. กองทุน ขายสุทธิ 40,447.97 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 9,473.75ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 101,430.69 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 132,404.92 ล้านบาท
#3718


นายศิวกร สิริวงศ์ภาณุพงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เนื่องด้วยสถานการ์ณโควิด-19 ในปัจจุบันที่ทำให้ผู้คนต้องเว้นระยะห่างทางสังคมด้วยการกักตัวอยู่บ้านเป็นเวลานาน พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนจึงต้องพึ่งพาช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายสินค้า การชำระเงิน และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมถึงร้านค้าและแบรนด์ธุรกิจจำนวนมากที่ต่างก็ต้องปรับทิศทางโมเดลธุรกิจและมุ่งหน้าเข้าสู่โลกอีคอมเมิร์ซ

จากปัจจัยเร่งดังกล่าวส่งผลให้ 'ช้อปปี้' มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างสถิติจากที่เคยทำไว้ในปีก่อนหน้า ครองแท่นแพลตฟอร์มยอดนิยมในใจผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในประเศไทย ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้งาน (Daily Active Users) และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างช้อปปี้ ผู้ขาย และผู้ใช้งาน (Users Engagement)

ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ช้อปปี้มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการเติบโตให้กับผู้ขายและแบรนด์ธุรกิจให้สามารถโลดแล่นในโลกดิจิทัลท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ขณะเดียวกันศึกษาทำความเข้าใจและมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของฝั่งผู้ใช้งานอย่างทันท่วงที เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์จากการใช้งานแพลตฟอร์มช้อปปี้แบบครบองค์รวม



ชู 3 กุญแจสำคัญเพิ่มศักยภาพ

ด้วยเทรนด์การเติบโตของอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยที่สูงขึ้น ช้อปปี้ได้รับความสนใจและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่ร้านค้าในการขยายช่องทางธุรกิจสู่โลกออนไลน์ จะเห็นได้จากจำนวนการเข้ามาของร้านค้าใหม่ๆ ในช้อปปี้ที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมความมั่นใจและสนับสนุนร้านค้าใหม่ ช้อปปี้ได้พัฒนาโปรแกรมเพื่อช่วยแนะแนววิธีการและเทคนิคการเปิดร้านค้าตั้งแต่จุดเริ่มต้น โดยทุกโปรแกรมมีการควบคุมการเรียนการสอนโดยโค้ชผู้เชี่ยวชาญของช้อปปี้โดยตรง


Shop set up service - การบริการช่วยสร้างจุดเด่น เพิ่มความน่าสนใจให้แก่ร้านค้า สินค้า รวมถึงการครีเอทแคมเปญและคอนเท้นท์ในการขายสำหรับร้านค้าใหม่ในช้อปปี้

Incubation - การบริการปั้นร้านค้าใหม่ ฝึกอบรมผู้ขายเพื่อความแม่นยำและเชี่ยวชาญในระบบของช้อปปี้แพลตฟอร์ม พร้อมแนะนำวิธีการสร้างยอดขายให้พุ่งทะยาน

Seller mission - โปรแกรมที่ช่วยให้ร้านค้าใหม่ได้ทดลองใช้ประโยชน์จากฟีเจอร์ส่งเสริมการขายต่างๆ ของช้อปปี้ เพื่อสะสมคะแนนและนำไปแลกรับรางวัลเพื่อได้รับสิทธิพิเศษในการขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Shopee Ads และ Shopee Vouchers เพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานและสร้างความสนใจในการซื้อสินค้ามากขึ้น

สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้วยการส่งมอบ 'One-Stop Suite of Solutions' ที่เดียวครบจบทุกอย่าง โซลูชั่นการทำการตลาดและโฆษณาแบบครบองค์รวม ผสมผสานระหว่างกลยุทธ์การสร้างแบรนด์และการขายเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มการรับรู้อย่างเป็นวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด ซึ่งร้านค้าและผู้ขายสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพต่างๆ รวมถึงติดตามการประเมินผลลัพทธ์ความสำเร็จได้อย่างง่ายๆ จากฟีเจอร์ในแพลตฟอร์มช้อปปี้

อาทิ LIVE, Feed, ADs และพันธมิตรการตลาดดิจิทัล (Affiliate Marketing Partners) อย่าง Facebook และ Google Shopping Ads โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้ใช้งาน อำนวยความสะดวกให้ขั้นตอนในการซื้อ-ขายง่ายดายและรวดเร็ว

ช้อปปี้เผยว่า มีแผนจัดทำแคมเปญดับเบิ้ลเดทที่ยิ่งใหญ่สะท้านวงการอีคอมเมิร์ซกว่าที่เคย ช้อปปี้เปิดตัวแคมเปญดับเบิ้ลเดท 9.9 เป็นรายแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2559 จนกลายเป็น จุดเปลี่ยนและตัวกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

โดยความพิเศษของปี 2564 คือ ช้อปปี้สามารถสร้างการเติบโตของแคมเปญดับเบิ้ลเดทที่ผ่านมาให้พุ่งสูงอย่างมีนัยสำคัญ และเตรียมกำลังความพร้อมมุ่งยกระดับแคมเปญดับเบิ้ลเดท เดินหน้าสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหม่สุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี

ปีนี้สร้างวาระแห่งการช้อปกลางเดือนฉบับใหม่กับแคมเปญ 'ทุกวันที่ 15 Mid Month Sale' ท่ามกลางพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่ผันผวน ช้อปปี้มุ่งรองรับความต้องการการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้นด้วยแคมเปญ 'ทุกวันที่ 15 Mid Month Sale'

มีเป้าหมายเพื่อมอบความคุ้มค่าและลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของคนในสังคมด้วยสินค้าคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ง่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายโอกาสให้กับผู้ขายและแบรนด์ธุรกิจในการเพิ่มยอดขาย ก้าวเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ

นอกจากนี้ ช้อปปี้ยังได้ขยายขอบเขตธุรกิจและฐานผู้ใข้งานด้วย 'ช้อปปี้ พรีเมียม (Shopee Premium)' แหล่งช้อปออนไลน์ต่อยอดประสบการ์ณเหนือระดับราวกับยกห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่ครบครันด้วยแบรนด์ดังระดับพรีเมียมทั้งไทยและเทศมารวมไว้บนแพลตฟอร์ม ปลดล็อคศักยภาพตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ทลายกรอบมาตรฐานเดิมเพื่อยกระดับสู่สากล
#3719


สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ปรับตัวขึ้น 94 เซนต์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางแต่ราคาน้ำมันยังคงถูกจำกัดจากการที่สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ ปิดที่ 69.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์/บาร์เรล

ทั้งนี้ เครื่องบินรบของอิสราเอลได้ยิงถล่มฐานยิงจรวดทางใต้ของเลบานอนในวันนี้ เพื่อตอบโต้ต่อการโจมตีของกองกำลังติดอาวุธก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ สหรัฐได้กล่าวหาว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันของอิสราเอลเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ซึ่งส่งผลให้ลูกเรือ 2 รายเสียชีวิต

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยวานนี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 3.1 ล้านบาร์เรล

ขณะเดียวกัน นักลงทุนกังวลว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการชะลอตัวของภาคการผลิตของสหรัฐและจีน จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
#3720


การจับมือกันครั้งแรกของสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการแฟชั่น ระหว่าง ห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส และ แบรนด์จิวเวลรีชั้นนำระดับโลก คาร์เทียร์ ที่มาร่วมถ่ายทอดผลงานคอลเลคชันใหม่ล่าสุดขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง L'officiel Wedding Thailand ซึ่งครั้งนี้ทาง ห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส ได้เปิดตัวคอลเลคชันใหม่ล่าสุดกว่า 12 ชุด ด้วยสองนางแบบ ชื่อดัง อแมนด้า ออบดัม มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2563 และ แพทริเซีย ธัญชนก กู๊ด เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์ชั้นนำแถวหน้าของเมืองไทยที่ถูกยกให้เป็น Luxury Wedding ภายใต้การกำกับดูแลของ สรรค์ สุดเกตุ เจ้าของห้องเสื้อ วนัช เฟิร์ส และ วนัช กูตูร์ โดยคอนเซปต์ของชุดที่ทางดีไซเนอร์ ได้วางเอาไว้ถ่ายแบบร่วมกับ คาร์เทียร์ ในครั้งนี้ ต้องการที่จะสื่อถึงความเป็นเจ้าสาวโซนเอเชีย ถึงแม้นางแบบที่เลือกใช้จะเป็นสาวไทยลูกครึ่ง ทั้ง อแมนด้า และ แพทริเซีย แต่ทั้งสองสาวก็สามารถ่ายทอดผลงานชุดแต่งงานออกมาได้อย่างงดงาม มีความสวยหวานละมุน และโดดเด่นแบบชาวตะวันออก ซึ่งมูลค่าของชุดที่นางแบบทั้งสองใส่นั้นมีมูลค่ารวมสูงถึงหนึ่งล้านบาท เลยทีเดียว



สรรค์ สุดเกตุ ได้กล่าวถึงคอลเลคชันชุดแต่งงานในครั้งนี้ว่า "นับเป็นโอกาสที่ดีมากๆที่ห้องเสื้อของเราได้ร่วมงานกับ แบรนด์ใหญ่ ๆ ระดับโลก อย่าง คาร์เทียร์ ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นและหัวใจพองโตมาก ๆ เราอยากให้ทุกคนได้เห็นและได้สัมผัสผลงานของเราที่พัฒนาฝีมือขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในคอลเลคชันนี้ที่เราเน้นความพรีเมียมและหรูหราเป็นพิเศษด้วยงานปักทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น คริสตัล ไข่มุก และหินต่างๆ รวมทั้งรูปแบบของชุดที่มีความหลากหลายและมีสไตล์เฉพาะตัว ดีเทลของชุดเราเน้นเลเยอร์ของผ้า และ การนำผ้ามาจับเดรป หรือ ขยุ้มให้มีระบาย เป็นสไตล์ของแฟชั่นชุดแต่งงานแบบเอเชียนลุคที่เหล่าแฟชั่นนิสต้านิยมสวมใส่ในงานแต่งงาน และครั้งนี้เราได้นางแบบสาวลูกครึ่ง คุณอแมนด้า และ คุณแพทริเซีย สองสาวสองสไตล์ที่สามารถถ่ายทอดผลงานออกมาได้สวยงาม ตรงคอนเซ็ปต์ และ ตรงใจเรามากที่สุด และด้วยความเพอร์เฟคทั้งหมดนี้ ทำให้ห้องเสื้อของเราได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากแฟน ๆ มากเลยทีเดียว แถมยังได้แฟนคลับมากขึ้นอีกด้วยสำหรับใครที่ชื่นชอบชุดแต่งงานของทางห้องเสื้อ วนัชเฟิร์ส และ วนัช กูตูร์ สามารถติดตามผลงานทั้งหมดได้ผ่านทาง https:// www.facebook.com/Vanus-First และ www.facebook.com/vanuscouture ขอบคุณแฟน ๆ ทุกท่านที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้เสมอมาครับ"