• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#10906


นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิตของธุรกิจขวดแก้ว ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัท รวมถึงเพื่อใช้ในการลงทุนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่บริษัทมุ่งเติบโตในระยะต่อจากนี้แบ่งเป็นการก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ภายในโรงงานจังหวัดราชบุรี มูลค่าราว 1,600-1,800 ล้านบาท และ การขยายกำลังการผลิตในโรงงานจังหวัดปราจีนบุรี มูลค่าราว 700 ล้านบาท

โดยคาดว่าทั้ง 2 โรงงานจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 ก่อนจะเริ่มเดินเครื่องในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งจะหนุนให้กำลังการผลิตขวดแก้วของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3,935 ตันต่อวัน จากปัจจุบันที่ 3,495 ตันต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นราว 12% ส่วนงบลงทุนอีกราว 180 ล้านบาท จะใช้ในการขยายกำลังการผลิตถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน กำลังการสูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี ผ่านบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ที่เป็นบริษัทย่อย โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างวันที่ 1 ม.ค.2565 ก่อนจะเริ่มเดินเครื่องทดสอบช่วงปลายปี และเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน เม.ย.2566

ทั้งนี้ การลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นการต่อยอดจากที่บริษัทเข้าซื้อ BGP ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก และขวด PET หลอดพรีฟอร์ม รวมถึงเข้าซื้อ บริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ โดยเริ่มรับรู้รายได้ครั้งแรกในเดือน เม.ย.2564 ที่ผ่านมา และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะ 5 ปีของบริษัท (2564-2568) ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ให้มาอยู่ที่ 50% จากปัจจุบันรายได้ธุรกิจแก้วอยู่ที่ 83.1% บรรจุภัณฑ์อื่นๆ 12.8% และพลังงาน 4.1%

สำหรับแผนการดำเนินในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายขยายการส่งออกให้เพิ่มขึ้นแตะ 10% ของยอดขายภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 7% ลดลงจากในอดีต โดยเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กดดันความต้องการใช้ในตลาดต่างประเทศ และสถานการณ์การเมืองในเมียนมา อย่างไรก็ดี บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ผ่านการกระตุ้นยอดขายในสหรัฐเพิ่มเติม ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) จากการสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ 15-16%

ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดที่ส่งออกสูงสุดเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ กลุ่มประเทศรอบบ้าน (CLMV) 62% ประเทศสหรัฐ 28% กลุ่มประเทศยุโรป 5% และกลุ่มประเทศโอเชียเนีย 4%


ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 11% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปี 2564 ภายใต้เงื่อนไขที่สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันไม่มีความรุนแรงไปมากกว่านี้ และตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2564 แตะ 1.35 หมื่นล้านบาท โดยมาจากธุรกิจขวดแก้ว 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท กลับไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ส่วนที่เหลือมาจากการรับรู้รายได้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และคาดว่ากำไรจะเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะถูกกดดันจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น

นายศิลปรัตน์ กล่าวว่า บริษัทยังเดินหน้าศึกษาการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง โดยมีการพูดคุยในไปป์ไลน์อยู่หลายราย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่สามารถต่อยอดกับขวดแก้วของบริษัทได้ เพื่อสร้างโซลูชั่นและบริการที่ครบวงจรแก่ลูกค้า อย่างไรก็ดี คาดดีลการซื้อขายแรกจะยังไม่แล้วเสร็จภายในปี 2564 เนื่องจากมีอุปสรรคจากการระบาของโควิด-19
#10907


การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง รายการ "เจแปนีส กรังปรีซ์" ถูกยกเลิกเรียบร้อยแล้ว หลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อ โควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น ที่ประเทศญี่ปุ่น

ฟอร์มูลา วัน คาดหวังว่า จะประลองความเร็วต่อเนื่อง ที่สนาม ซูซูกะ เซอร์กิต วันที่ 10 ตุลาคม อย่างไรก็ตาม ออร์แกไนเซอร์ คอนเฟิร์มช่วงเช้าวันพุธ (18 ส.ค.) จะถอดเรซนี้ออกจากปฏิทิน

ความเคลื่อนไหวนี้ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ นับตั้งแต่ โอลิมปิกฤดูร้อน ที่กรุงโตเกียว สิ้นสุดลง และ 6 วัน ก่อนเปิดการแข่งขันกีฬาคนพิการ พาราลิมปิก เกมส์

"เอฟวัน (F1)" คลอดแถลงการณ์ "หลังการหารือกับผู้จัด และหน่วยงานต่างๆ รัฐบาลญี่ปุ่น ตัดสินใจว่า จะยกเลิกการแข่งขันฤดูกาลนี้ เนื่องจากสถานการณ์วิกฤติของโรคระบาดในประเทศ"

"ตอนนี้ ฟอร์มูลา วัน กำลังดำเนินงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงปฏิทินการแข่งขัน และจะประกาศให้ทราบภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า"

"ฟอร์มูลา วัน พิสูจน์แล้วทั้งปีนี้ และปี 2020 ว่า เราสามารถปรับตัวและหาทางออกกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และตื่นเต้นกับความสนใจที่จะเป็นเจ้าภาพ ฟอร์มูลา วัน ฤดูกาลนี้และต่อไป"

นับเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งการประลองความเร็ว ที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจาก โควิด-19 และถูกยกเลิกลำดับที่ 5 ต่อจาก ออสเตรเลีย, จีน, แคนาดา และ สิงคโปร์

วันอังคารที่ผ่านมา (17 ส.ค.) ญี่ปุ่น ประกาศขยายสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่กรุงโตเกียว และภูมิภาค่อื่นๆ รวมถึงมาตรการใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อรับมือปัญหาผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น

สถานการณ์ฉุกเฉินต่อต้าน โรคระบาดระลอก 4 เดิมสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม แต่จะยืดระยะเวลาบังคับใช้ถึง วันที่ 12 กันยายน

โตเกียว แจ้งจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 4,337 คน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังทำสถิติสูงสุด 5,773 คน วันศุกร์ที่แล้ว (13 ส.ค.)
#10908


ตามที่ได้มีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา ให้ประชาชนสามารถใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถวินิจฉัย รักษา และป้องกันที่เหมาะสมโดยเร็ว ทำให้เกิดความต้องการอุปกรณ์ดังกล่าวมาใช้ทดสอบด้วยตัวเองอย่างแพร่หลายนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดเสวนาออนไลน์แนะวิธีใช้ชุดตรวจ COVID-19 เบื้องต้นด้วยตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสต่อโรค ย้ำให้กำจัดชุดตรวจที่ใช้แล้วด้วยจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

อ.ดร.ทนพ.เมธี ศรีประพันธ์ อาจารย์นักเทคนิคการแพทย์ ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงวิธีการตรวจยืนยันการติดโรค COVID-19 ในปัจจุบันว่า ยังคงเป็นวิธี RT-PCR ซึ่งข้อดีของการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ตรวจคัดกรอง COVID-19 ที่ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อมาตรวจได้ด้วยตัวเองนั้น คือ จะช่วยในการแยก หรือคัดกรองผู้ที่มีผลบวกเบื้องต้น หรือกลุ่มเสี่ยงให้เข้ารับการรักษา หรือดูแลในระบบสาธารณสุขให้เร็วขึ้น ทั้งนี้ หากผู้ตรวจมีความจำเป็นต้องใช้หลักฐานการตรวจที่รับรองโดยแพทย์ จะต้องไปตรวจในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลเท่านั้น ซึ่งสำหรับผู้ที่ยังไม่มีความเสี่ยงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจ และหากจำเป็นต้องตรวจเมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และซื้อจากสถานพยาบาล คลินิกเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ และร้านยาที่มีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษาเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อเองผ่านทางออนไลน์ ตลาดนัด หรือผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์

ซึ่งตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติ ข้อที่ 6 ที่ว่าด้วยน้ำและระบบสุขาภิบาลสะอาด (Clean Water and Sanitation) ควรใช้ชุดตรวจ COVID-19 ด้วยจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 โดยผู้ตรวจจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่การเลือกชุดตรวจที่ผ่านการรับรองคุณภาพ การเก็บและเตรียมตัวอย่างตรวจ การใช้งานชุดตรวจ การอ่านและแปลผล รวมถึงการกำจัดชุดตรวจที่ใช้งานแล้ว ซึ่งการเก็บตัวอย่างตรวจ ไม่ว่าจะเป็นการแหย่จมูก (swab) โดยใช้ก้านสำลีที่ให้มากับชุดตรวจ สอดเข้าไปในรูจมูกเพื่อเก็บตัวอย่าง หรือการเก็บตัวอย่างตรวจโดยใช้น้ำลาย รวมถึงการดำเนินการตรวจนั้น ควรทำด้วยตัวเอง ในพื้นที่ที่แยกจากบริเวณอื่น และควรทำตามขั้นตอน หรือคำแนะนำในเอกสารประกอบชุดตรวจ หรือ VDO Clip ของชุดตรวจแต่ละยี่ห้อ ซึ่งสามารถสแกนได้จาก QR Code ที่แนบมากับผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ซึ่งการเพิ่มหรือลดขั้นตอนเอง อาจทำให้ผลการตรวจผิดพลาดได้ ภายหลังการตรวจและอ่านผลแล้วให้ทิ้งชุดตรวจ รวมถึงอุปกรณ์ทั้งหมดในถุงพลาสติกที่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยควรซ้อนถุง 2 ชั้น และรัดปากถุงให้แน่นก่อนทิ้ง รวมถึงเขียนข้อความติดไว้ด้วยว่า "ชุดตรวจ COVID-19 ใส่น้ำยาแล้ว" จากนั้น จึงนำไปทิ้งในถังขยะติดเชื้อ (ถังสีแดง) เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น แต่ถ้าไม่มี สามารถอนุโลมให้ใส่ถังขยะทั่วไปได้

ส่วนวิธีการแปลผลตรวจนั้นก็สามารถศึกษาจาก VDO Clip ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผลการตรวจที่เป็นบวกจะมีแถบสีขึ้นทั้งที่ C และ T ในขณะที่ผลการตรวจที่เป็นลบจะมีแถบสีขึ้นที่ C ด้านเดียว นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงหากตรวจแล้วได้ผลลบ ให้เว้นช่วงและรักษาระยะห่าง รวมถึงกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน นับจากวันที่มีความเสี่ยง หรือสัมผัสผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้ จะต้องตรวจซ้ำเป็นระยะๆ เช่น ทุก 3 - 5 วัน จนครบเวลากักตัว อย่างไรก็ตามหากผลตรวจขึ้นแถบสีที่ T ด้านเดียว หรือไม่มีแถบสีใดขึ้นเลย จะไม่สามารถอ่านและแปลผลได้ ต้องตรวจซ้ำ หรือเปลี่ยนชุดตรวจใหม่

ชุดตรวจ ATK สำหรับตรวจคัดกรองด้วยตัวเองมีจำหน่ายที่ สถานปฏิบัติการเภสัชชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ เปิดทำการทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.0-2644-4609
#10909


นางพรนิจ ตุลย์วัฒนจิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)เปิดเผยว่า ธนาคารได้เข้าร่วมให้บริการเป็นธนาคารแรก และทำหน้าที่เป็น Settlement Bank (ธนาคารที่รับผิดชอบการชำระดุลสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ) ในการให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่างประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยบริการ Cross-Border QR Payment เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ธนาคารกลางประเทศอินโดนีเซีย (Bank Indonesia) เพื่อให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่าง 2 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเติมเต็มโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระหว่างประเทศให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้ง Ecosystem ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งภูมิภาคด้วยการส่งเสริมที่ดีจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้กำกับดูแลธุรกิจสถาบันการเงินในประเทศไทย ขณะเดียวกันนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ใช้ QR Code ในการชำระค่าสินค้าและบริการ ช่วยอำนวยความสะดวก สร้างประสบการณ์ที่ดี และช่วยลดต้นทุนทางการเงินระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ภายใต้การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดังกล่าว ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking สแกนเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงลูกค้าของธนาคารในประเทศอินโดนีเซียที่เข้าร่วมบริการ เช่น Permata Bank เป็นต้น สามารถชำระค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัยเช่นกัน ทั้งยังลดความยุ่งยากในการแปลงสกุลเงิน เนื่องจากลูกค้าจะชำระเป็นเป็นสกุลเงินของประเทศตัวเองและร้านค้ารับเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศตัวเองเช่นกัน นอกจากนี้ลูกค้าผู้ชำระเงินจะได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าการชำระด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิต

สำหรับระบบ QR Payment ถือเป็นรูปแบบการชำระเงินที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางและเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับชำระเงินของร้านค้าต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจร้านค้าช่วยให้ไม่พลาดโอกาสการขายกรณีที่ลูกค้าอาจไม่ได้พกเงินสดไว้เพียงพอต่อการซื้อสินค้า ขณะที่ผู้บริโภคคุ้นชินในความสะดวกสบายของการทำธุรกรรมผ่าน QR Code เพิ่มมากขึ้น เพราะมีร้านค้าที่พร้อมให้บริการเป็นจำนวนมาก และช่วยลดการสัมผัสเงินสดซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อีกด้วย โดยในประเทศไทยมีปริมาณธุรกรรมผ่าน Thai QR Payment ในปี 2563 มากถึง 13.39 ล้านรายการซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2562 ถึง 49.14%

นางพรนิจ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปัจจุบัน อาจยังเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเดินทางท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ดังนั้น บริการ Cross-Border QR Payment อาจจะตอบโจทย์ความต้องการใช้งานได้เฉพาะกลุ่ม เช่น ชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือชาวไทยที่ทำงานในอินโดนีเซีย รวมถึงกรณีการสั่งซื้อสินค้าข้ามประเทศผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง คาดว่าการเดินทางและการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคจะเริ่มฟื้นตัวกลับมา โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญหรือเมืองเศรษฐกิจ และเชื่อมั่นว่าบริการ Cross-Border QR Payment จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรม New Normal ที่ลดการสัมผัสสิ่งของต่างๆ และหันมาทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น

"การให้บริการ Cross-Border QR Payment สำหรับประเทศไทยและประเทศอินโดนิเซียในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการพัฒนาการให้บริการ Cross-Border QR Payment ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของธนาคารอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ริเริ่มการให้บริการสำหรับประเทศไทยและเวียดนาม ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกรุงเทพในฐานะ "เพื่อนคู่คิด" ที่พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านระบบการชำระเงินข้ามประเทศในระดับภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการทำธุรกรรมชำระเงินให้แก่ลูกค้า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการเป็น "ธนาคารผู้นำระดับภูมิภาค" อีกด้วย" นางพรนิจ กล่าว
#10910


ดัชนี'ดาวโจนส์'ปิดวันจันทร์ (16ส.ค.)ทะยาน 110 จุด โดยดัชนีดาวโจนส์และเอสแอนด์พี500 ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ขณะนักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่และข้อมูลทางเศรษฐกิจสำคัญที่จะทะยอยเผยแพร่ในสัปดาห์นี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 110.02 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 35,625.40 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 11.71 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 4,479.71 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 29.14 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 14,793.76 จุด


อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจเรือสำราญและกลุ่มสายการบิน ต่างร่วงลงในวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและการเงินปรับตัวลงเช่นกัน

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทถูกกดดัน หลังจากที่จีนเปิดเผยยอดค้าปลีกชะลอตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้


ทั้งนี้ จีนเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกในเดือนก.ค.ขยายตัวเพียง 8.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 11.5% และต่ำกว่าระดับ 12.1% ของเดือนมิ.ย.

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) ระบุว่า เศรษฐกิจจีนยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งภัยพิบัติจากน้ำท่วม ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไร้เสถียรภาพ


นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีในการประชุมดังกล่าว
#10911


นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ ผู้บริหารบริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ W และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัท โดมิโน่ เอเซีย แปซิฟิค จำกัด (DOMINO'S PIZZA) บริษัทในเครือ เผยถึงผลประกอบการงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 ของกลุ่ม W ว่า รายได้รวมสำหรับงวดหกเดือนเท่ากับ 183.79 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 39.07 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้ของธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์หายไปทั้งจำนวนที่ 149.35 ล้านบาท ภายหลังจากการขาย EIC SEMI ในเดือน ต.ค.2563 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารายได้รวมที่ลดลงเกิดจากในปีนี้ไม่มีรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์

แต่รายได้ของกลุ่มธุรกิจอาหารเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกล่าวคือ กลุ่ม Food Holding (ภายใต้แบรนด์ Kagonoya, กลุ่มขนม BAKE และ Le Boeuf) ยอดขาย 116.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 42.94 ล้านบาท ส่วน DOMINO'S PIZZA ยอดขาย 67.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.60 ล้านบาท (เทียบกับรายได้งวดเดียวกันของปีก่อนภายใต้เจ้าของเดิม)


อย่างไรก็ดี นายศิรัตน์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงรายได้ไตรมาส 2 ปี 2564 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 ว่า หากพิจารณาเฉพาะไตรมาส 2 รายได้รวมของกลุ่ม W มีมูลค่าเท่ากับ 87.78 ล้านบาท ลดลง 8.23 ล้านบาท เนื่องจากแบรนด์ของกลุ่ม Food Holding ยอดขายมีการชะลอตัวจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มกลับมาระบาดตั้งแต่ต้นปีและทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และรัฐมีการประกาศจำกัดการขายในศูนย์การค้า ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อสินค้าพรีเมี่ยมลดลง แต่ยอดขายของ DOMINO'S PIZZA กลับโตสวนทางอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือรายได้เท่ากับ 40.06 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ 12.78 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับ 46.83%


"แม้ว่าจะมีปัจจัยจากโควิด-19 ที่เป็นปัจจัยเชิงลบต่อธุรกิจอาหารมาตลอดช่วงหกเดือนแรกของปี 64 แต่ร้านอาหารทุกแบรนด์ภายใต้เครือ W ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของธุรกิจรวมถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ และฐานลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DOMINO'S PIZZA ซึ่งเป็นเรือธงของ W ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นสินค้าที่เหมาะกับการขายผ่านช่องทาง Delivery รวดเร็ว-สดใหม่-คุณภาพเหมือนต้นตำรับ ทั้งนี้เรายังคงแผนการที่จะขยายสาขาให้กระจายมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีการเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย"
#10912


บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ AQUA แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี 2564 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 11.33 ล้านบาท ลดลง 10.94%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.26 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทมีรายได้รวม 206.57 ล้านบาท ลดลง10.44% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท เพราะ รายได้อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนลดลง18%

ทั้งนี้เหตุผลหลักจากการบอกเลิกสัญญาเช่ากบั The Cabin และให้ส่งคืนพื้นที่โครงการทั้งหมด บริษัทย่อยหยุดรับรู้รายได้ตั้งแต่ พ.ย. 2563 เป็นต้นไป ส่วนคลังสินค้าให้เช่าและบริการของ TCDC รายไดเ้พิ่มขึ้นตามสัญญาเช่าระยะยาว


รวมถึรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป( EP)ลดลง 66.40% เพราะ ธุรกิจพลังงานมีรายได้ลดลงจากการจำหน่ายโครงการผลิตไฟฟ้าไปหลายโครงการในปี2563 และมีการบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ เกิดขึ้นในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามEP จะรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานจากการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของSSUT ในไตรมาสที่3ปี 2564 และคาดว่าในไตรมาสที่4ปี 2564 โครงการพลังงานลมที่ประเทศเวียดนามจะเริ่มCOD เริ่มรับรู้รายได้แล้ว
#10913


ค่าเงินริงกิตร่วงลงมาอยู่ที่ 4.2410 ริงกิต/ดอลลาร์ในช่วงเช้านี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.ค.2563 ขณะที่ดัชนี FTSE Bursa Malaysia KLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ร่วงลง 0.6% หลังเริ่มเปิดการซื้อขายได้ไม่กี่นาที

สื่อหลายสำนักรายงานว่า นายยัสซินเตรียมลาออกจากตำแหน่งในวันนี้ หลังสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภา

ด้านสำนักข่าวมาเลเซียกินิของมาเลเซีย รายงานโดยอ้างนักการเมืองรายหนึ่งว่า นายยัสซิน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เตรียมลาออกจากตำแหน่งในวันนี้ แม้ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งลั่นเดินหน้าต่อสู้ในสภาหลังถูกบีบให้ลงจากตำแหน่ง

รายงานข่าวระบุว่า นายมูห์ยิดดิน ยัสซิน ได้แจ้งให้สมาชิกพรรคทราบเรื่องการตัดสินใจลาออกแล้ว โดยเขาจะเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีรอบพิเศษในวันนี้ ก่อนที่จะยื่นลาออกต่อกษัตริย์อัล-สุลต่าน อับดุลลาห์ หลังประชุมเสร็จแล้ว

นายยัสซินซึ่งก้าวเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในเดือนมี.ค.ปีที่แล้วได้ครองที่นั่งเสียงข้างน้อยในรัฐสภา โดยนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายยัสซินพยายามหลีกเลี่ยงการโหวตเสียงในรัฐสภาเพราะเกรงว่าพรรคฝ่ายค้านจะใช้สิทธิในการโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี

นายยัสซินเผชิญกับแรงกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากกษัตริย์อัล-สุลต่าน อับดุลลาห์ ได้แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลเพิกถอนกฎหมายว่าด้วยการใช้สถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐสภาตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ
#10914


นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาสที่ 2/2564 ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 7.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

โดยเศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนรวม 8.1% ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 27.5% สาขาอุตสาหกรรมขยายตัว  16.8% สาขาขนส่งขยายตัว 11.6% 

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 2% โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวในภาคการส่งออก  การให้การบริการด้านอาหาร ขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวโดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 1.5 แสนคน จากประมาณการเดิม 5 แสนคน 

 "เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่มีโมเมนตั้มของบางส่วนของการผลิตและกิจกรรมาทางเศรษฐกิจที่ลดลง ตั้งแต่การระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้นตั้งเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา" นายดนุชากล่าว


นอกจากนี้ สศช.ยังปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปีในปีนี้ลงจากเดิมคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 1.5 - 2.5% เหลือ  0.7 - 1.2 % เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีความรุนแรงขึ้นในขณะนี้ 

โดยคาดว่าเดือน ก.ย.จะเริ่มมีผู้ติดเชื้อลดลงหลังจากที่เดือน ส.ค.มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงสุด และเริ่มมีการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี รวมทั้งสามารถที่จะไม่มีการระบาดที่รุนแรงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ฐานการผลิต รวมทั้งการกระจายวัคซีนได้ 85 ล้านโดสในปี 2564

สำหรับคาดการณ์แนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2564  ณ วันการแถลงในวันที่ 16 ส.ค.ที่สำคัญได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 1.1%  การบริโภคภาครัฐขยายตัวได้ 4.3% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.7% การลงทุนภาครัฐลดลงเหลือ 8.7% ขณะที่การส่งออก สศช.คาดว่าจะขยายตัวได้ 16.3% 


สศช.ยังเสนอแนะประเด็นบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564 7 ประเด็นสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจมหภาคได้แก่ 

1.การควบคุมสถานการณ์การระบาดให้อยู่ในวงจำกัด รวมทั้งการเร่งรัดจัดหาและการกระจายวัคซีนอย่างเพียงพอและทั่วถึง

2.การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจในช่วงที่การระบาดของโรคมีความรุนแรงและมีการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด  ควบคู่ไปกับการปรับมาตรการและดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม เข้าถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น การพิจารณามาตรการช่วยเหลือ
ภาคแรงงานผ่านมาตรการรักษาระดับการจ้างงาน ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการสร้างงานใหม่
และมาตรการพัฒนาทักษะแรงงาน และมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในลักษณะเฉพาะเจาะจงให้กับผู้ประกอบการธุรกิจในสาขาที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

3.การดำเนินมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเมื่อสถานการณ์การระบาดผ่อนคลายลง โดยให้ความสำคัญกับมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ 

4.การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า ควบคุมการแพร่ระบาดในฐานการผลิตที่สำคัญ การเร่งรัดแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อจำกัดและอุปสรรคในการขนส่งสินค้า การแก้ไขปัญหาการขาดแรงงานต่างชาติในภาคการผลิต การขับเคลื่อนการส่งออกไปยังตลาดหลักที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ การเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่อยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ

5.การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ

6.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน  และ 7.การรักษาบรรยากาศทางการเมืองและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
#10915


"บลจ.เอ็มเอฟซี" ชี้ใช้โอกาสรัฐลดวงเงิน "คุ้มครองเงินฝาก" หาทางเลือกออมเงินใหม่นอกจากเงินฝาก ทำเงินส่วนเกิน1ล้านให้งอกเงย แนะคนรับความเสี่ยงต่ำ-เริ่มลงทุนในกองทุน โยกเงินเข้า "กองทุนตราสารหนี้" ตามระดับความเสี่ยง รับผลตอบแทนคาดหวัง0.1-0.75%ต่อปี

ถึงแม้ว่า ภาครัฐปรับลดวงเงิน"คุ้มครองเงินฝาก" ลง เหลือ1 ล้านบาทต่อ 1 รายผู้ฝาก ต่อสถาบัน จนหลายคนอาจเกิดความกังวลว่า เงินฝากจะได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐเป็นจำนวนเงินลดลง

แต่จริงๆ แล้วอยากให้ผู้ลงทุนใช้โอกาสนี้ "มองหาทางเลือกในการออมเงินหรือการลงทุนที่นอกเหนือจากเงินฝาก" ที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นและทำให้เงินก้อนของผู้ลงทุนงอกเงยได้เร็วยิ่งขึ้น

เพราะในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากให้ผลตอบแทนในระดับต่ำ และดอดเบี้ยเงินฝากยังมีความเสี่ยงที่ปรับตัวลงได้อีกจากธปท.มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก1ครั้งภายในปีนี้หากเศรษฐกิจชะลอตัวกว่าที่คาด


ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

สร้างเงินออมงอกเงย

กับกองทุนตราสารหนี้


"เชาวน์กร โชติบัณฑ์"ผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจอาวุโสบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี แนะนำ การออมเงินและการลงทุน มีช่องทางที่หลากหลาย นอกเหนือจากการฝากออมทรัพย์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ยังสามารถใช้"กองทุนรวมตราสารหนี้" เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการออมเงินและลงทุนได้  เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวม

"กองทุนตราสารหนี้" เป็นกองทุนที่นำเงินของผู้ลงทุนไปลงทุนในเงินฝาก พันธบัตร และหุ้นกู้ จึงมีความเสี่ยงที่ต่ำ โดยมีทั้งกองทุนตราสารหนี้ที่กำหนดระยะเวลาลงทุนอย่าง 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งมีการแจ้งประมาณการผลตอบแทนจากการลงทุนให้ทราบก่อนตัดสินใจลงทุน และกองทุนตราสารหนี้แบบที่ซื้อขายได้ทุกวันทำการ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นและความต้องการตราสารหนี้ว่ามีมากน้อย



เข้า 3 กองทุนตราสารหนี้

ดังนั้น ผู้ลงทุนสามารถย้ายเงินส่วนที่เกินจากความคุ้มครอง 1 ล้านบาท มาลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้แทนได้

โดยปัจจุบัน บลจ.เอ็ม เอฟซี มีกองทุนรวมตราสารหนี้แนะนำตามระดับความเสี่ยงดังนี้

1. MMGOVMF  เป็นกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ความผันผวนต่ำ มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 1 เหมาะสำหรับการลงทุนระยะเวลา 1-3 เดือน และมีผลตอบแทนความหวัง 0.10% ต่อปี

2. MMM-PLUS เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short-Term Fixed-Income Fund) ความผันผวนปานกลาง มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 4 เหมาะสำหรับการลงทุน 3-6 เดือนขึ้นไป และมีผลตอบแทนความหวัง 0.60% ต่อปี

3. SMARTMF กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว (Long-Term Fixed-Income Fund) ความผันผวนปานกลางค่อนข้างสูง มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 4เหมาะสำหรับการลงทุน 6 เดือนขึ้นไป และมีผลตอบแทนความหวัง 0.75% ต่อปี

ย้ำควรศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุน

อย่างไรก็ตาม"ข้อควรระวัง"ก็คือ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
#10916


ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะมีเสียวเล็กน้อย เปิดบ้านไล่ทุบ สตราส์บวร์ก 4-2 โดยก่อนเกมเปิดตัว 5 นักเตะใหม่ มี ลิโอเนล เมสซี นำทัพ

ศึกฟุต.ลีกเอิง ฝรั่งเศส ฤดูกาล 2021/22 วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564 "เปแอสเช" ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ลงสนามนัดที่สอง เปิดรับพาร์ค เด แพรงส์ รับการมาเยือนของ สตราส์บวร์ก

"เปแอสเช" ของกุนซือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน เกมที่แล้วบุกไปเอาชนะ ทรัวส์ มาแบบหืดจับ 2-1 ส่วนเกมนี้ ลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ เดินทางมาทักทายแฟน.ที่เข้ามาชมกันแบบเต็มความจุ แต่ยังไม่มีชื่อ โดย 11 คนแรก นำทัพโดย 3 ประสานแดนหน้า อย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป, เมาโร อิคาร์ดี, ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ ขณะที่ เนย์มาร์ ยังคงได้พัก และเซร์คิโอ รามอส ยังต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ

ปรากฎว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ออกสตาร์ทกันอย่างคึกคัก มาทำ 3 ประตู ขึ้นนำ 3-0 จาก เมาโร อิคาร์ดี น.3, คีเลียน เอ็มบัปเป น.25 และยูเลียน ดรักซ์เลอร์ น.27 และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง เปแอสเช ยังเดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง แต่กลายเป็น สตราส์บวร์ก ที่มาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 จากการยิงของ เควิน กาเมยโร ในนาทีที่ 53

น.64 สตราส์บวร์ก ก็มาได้ประตูตีตื้นมาอีกเป็น 2-3 จากจังหวะที่ ดิมิทรี ลีนาร์ด เปิดจากริมเส้นฝั่งซ้ายไปให้ ลูโดวิช อาชอร์ก

น.80 สถานการณ์ของทีมเยือน สตราส์บวร์ก ย่ำแย่ลง เมื่ออเล็กซานเดอร์ ดิคู ปราการหลังตัวเก่ง โดนใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม 

น.85 เปแอสเช อาศัยตัวผู้เล่นที่เหนือกว่า มาได้ประตูขยับห่างเป็น 4-2 จากจังหวะที่ คีเลียน เอ็มบัปเป ลากเลื้อยมาทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนตบเข้ากลางให้ พาโบล ซาราเบีย ยิงจ่อๆ ระยะ 4 หลาเข้าไปไม่พลาด 

ช่วงเวลาที่เหลือ เปแอสเช สามารถรักษาสกอร์เอาไว้ได้ และไม่มีใครทำประตูกันเพิ่ม หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เปิดบ้านเฉือนชนะ สตราส์บวร์ก 4-2 เก็บสามคะแนน 2 เกมติดต่อกัน

รายชื่อ 11 ตัวจริงของปารีส แซงต์-แชร์กแมง
เคย์เลอร์ นาบาส (GK), อาชราฟ ฮาคิมี, ธีโล เคห์เรอร์, เพรสเนล คิมเพมเบ, อับดู ดิยัลโล, อันเดร์ เอร์เรรา, เอริค ดีนา, จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม, ยูเลียน ดรักซ์เลอร์, คีเลียน เอ็มบัปเป, เมาโร อิคาร์ดี


ผลการแข่งขันลีกเอิง ฝรั่งเศส วันที่ 14 สิงหาคม 2564 คู่อื่นๆ 
ลีลล์ 0-4 นีซ 
#10917


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า  GULF ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) จำนวน 1,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 412 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน

สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลกำไรของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) หน่วยที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 โดยมี Load Factor เฉลี่ยเท่ากับ 88% ในไตรมาสนี้ ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้า 12 SPP ภายใต้กลุ่ม GMP และโครงการโรงไฟฟ้า 7 SPP ภายใต้กลุ่ม GJP ที่รับรู้ Core Profit เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมที่สูงขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็ก โดย 12 SPP มี Load Factor เฉลี่ยของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้ เท่ากับ 63% เทียบกับ 51% ปีที่แล้ว

ขณะที่ 7 SPP มี Load Factor เฉลี่ยเท่ากับ 66% ในไตรมาสนี้ เทียบกับ 57% ในปีก่อน นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า 2 IPP ภายใต้กลุ่ม GJP ยังมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้น 148% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้ง ในไตรมาส 2 ปี 2564 ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก PTT NGD จำนวน 63 ล้านบาท จากการที่ GULF เข้าไปลงทุนในสัดส่วน 42% ด้วย


ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 Core Profit ในไตรมาสนี้ลดลง 989 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.4% เนื่องจากไม่มีการบันทึกเงินปันผลรับจาก INTUCH ในไตรมาสนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) มีปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงจากปัจจัยด้านฤดูกาล ซึ่งไตรมาส 2 และไตรมาส 3 นับเป็น low season เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1 และ ไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็น high season ของพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเยอรมนี

ในไตรมาส 2 ปี 2564 GULF มีรายได้รวม (Total Revenue) 11,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,707 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.6% จากไตรมาส 2 ปี 2563 จากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 ที่เปิดดำเนินการในไตรมาส 1 ปี 2564 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่รับรู้รายได้ครั้งแรกในไตรมาส 4 ปี 2563

อีกทั้ง ยังรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมของกลุ่ม GMP อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GTN1 และ GTN2 ที่ประเทศเวียดนาม ลดลงเล็กน้อยจากการจำกัดการรับซื้อไฟฟ้าชั่วคราว (Temporary Curtailment) เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศเวียดนาม

อัตรากำไร EBITDA Margin ในไตรมาส 2 ปี 2564 เท่ากับ 35.6% เพิ่มขึ้นจาก 31.9% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 8.7% จากปีก่อน แม้ว่าค่า Ft เฉลี่ยจะลดลงก็ตาม


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

GULF มีกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับ 1,407 ล้านบาท ลดลง 25.2% เทียบกับผลกำไรสุทธิ 1,881 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 เนื่องจากในปีก่อนมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Gain) จำนวน 892 ล้านบาท เทียบกับ 6 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) เท่ากับ 1.75 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่ 3.50 เท่า

นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ GULF ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH แล้วเสร็จ ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้น INTUCH ทั้งสิ้น เท่ากับ 42.25% โดย GULF ได้ทำการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศทั้งสิ้นจำนวน 48,612 ล้านบาท โดย GULF มีแผนในการออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาทภายในปีนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ไปลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้ที่ใช้ในการซื้อหุ้น INTUCH ในบางส่วน นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรับรู้เงินปันผลรับทันที ประมาณ 1,600 ล้านบาทในไตรมาส 3 นี้

สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2564 GULF ยังมีโครงการที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการระหว่างไตรมาส 3-4 ปีนี้, โครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่กำหนดเปิดดำเนินการในเดือนตุลาคม 2564

โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน (DIPWP) จำนวน 326 เมกะวัตต์ ระยะที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดดำเนินการระหว่างไตรมาส 3-4 และโครงการ solar rooftop ภายใต้ Gulf1 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 20 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการภายในสิ้นปี ส่งผลให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมทั้งสิ้น 7,922 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2564
#10918


นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดเป็นวงกว้างส่งผลกระทบต่อทุกคนจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาแรงงานถูกเลิกจ้างงาน สถานประกอบการบางแห่งต้องปรับลดอัตรากำลังการจ้างงานให้น้อยลง ลดเวลาการทำงาน ส่งผลกระทบต่อรายได้ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้

'คนพิการไม่มีงานทำ' มากกว่า 7 หมื่นคน
จากรายงาน ข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปี 2564 พบ 'คนพิการ' วัยทำงานที่ยังไม่มีอาชีพ จำนวน 72,466 คน จากจำนวนคนพิการวัยทำงานทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบ 857,253 คน


พัฒนาชุมชนต้นแบบ เกิดการจ้างงาน
สสส. ได้ร่วมกับ มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ดำเนินโครงการส่งเสริมอาชีพความมั่นคงทางอาหารสู่การพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ เพื่อพัฒนาการจ้างงานคนพิการระยะยาวในวิกฤตโควิด-19 โดยใช้กลไกชุมชนด้านความมั่นคงทางอาหาร มาจ้างงานเชิงสังคม ให้คนพิการทำงานที่บ้านและในท้องถิ่นของตัวเองได้ เช่น เกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ เพราะการจ้างงานลักษณะนี้คนพิการมีความรู้พื้นฐานเป็นทุนเดิม ทำให้ไม่ต้องปรับตัวจากการทำงานมาก และเป็นอาชีพที่สามารถทำงานที่บ้านและไม่ขาดแคลนอาหารในการบริโภค


3 เป้าหมายพัฒนาคนพิการ
โดยโมเดลความมั่นคงทางอาหารและสนับสนุนอาชีพคนพิการมีเป้าหมาย 3 อย่าง คือ

1. พัฒนาทักษะคนพิการให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพที่ท้องถิ่นของตัวเองในภาวะวิกฤต

2. พัฒนาให้คนพิการทำงานตามแผนการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.พัฒนาเป็นพื้นที่นำร่องเพื่อถอดบทเรียนการทำชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ ระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ ในอนาคต


"ในวิกฤตโควิด-19 นี้ ถือเป็นโอกาสสร้างอาชีพแก่คนพิการซึ่งเป็นอีกกลุ่มประชากรที่ควรได้รับความเป็นธรรมทางสุขภาพในทุกมิติ ทั้งกาย จิต ปัญญา และสังคม การที่คนพิการสามารถประกอบอาชีพ และมีรายได้จากการทำงานเหมือนคนทั่วไป ทำให้เกิดความภูมิใจในตัวเอง และช่วยให้คนพิการมีพฤติกรรมทางสุขภาพที่ดีขึ้น เกิดการยอมรับจากสังคม  โดยที่ผ่านมา สสส. ได้สนับสนุนเรื่องการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำ ทั้งเรื่องการเตรียมความพร้อมของทั้งคนพิการ สถานประกอบการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการผ่านการมีส่วนร่วมในชุมชนอยู่แล้ว" นางภรณี กล่าว


โครงการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร 
นายอภิชาติ  การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า โครงการส่งเสริมอาชีพความมั่นคงทางอาหารสู่การพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ สนับสนุนโดย สสส. จะเป็นการร่วมกันพัฒนาอาชีพไปยังคนพิการและครอบครัวในต่างจังหวัด ที่ตั้งใจพัฒนาเรื่องอาชีพและต้องการมีรายได้ในช่วงโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างหรือมีรายได้น้อยลง

โดยบริษัทที่จ้างงานจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเรื่องวัตถุดิบอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ และประสานเรื่องการจัดทำเอกสารและติดตามส่งรายงานให้บริษัทที่เข้าร่วมการจ้างงานเชิงสังคม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550  


คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ 
ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องมีบัตรคนพิการ อายุ 20 – 70 ปี

ผู้ดูแลจะต้องมีชื่อหลังบัตรคนพิการให้สามารถใช้สิทธิแทนคนพิการ เพื่อนำเงินไปเตรียมพื้นที่สำหรับการประกอบอาชีพ

ซึ่งครอบครัวคนพิการส่วนใหญ่จะนิยมปลูกผัก สมุนไพร ผลไม้ และเลี้ยงสัตว์ และหลังจากผลผลิตถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็จะถูกจำหน่ายหรือมีผู้ค้าเข้ามารับซื้อ และผลผลิตส่วนที่เหลือหรือแบ่งเก็บไว้ครอบครัวคนพิการจะนำมาบริโภคเป็นอาหาร ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาวะวิกฤตโควิด-19 โดยผลกำไรหรือรายได้ทั้งหมดที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของคนพิการและครอบครัว


บริษัทจะไม่เรียกรับเงินคืน เพราะต้องการสร้างอาชีพให้คนพิการในระยะยาวและสามารถต่อยอดไปถึงอนาคตได้ ปัจจุบันได้จัดทำนำร่องไปแล้วตั้งแต่โควิด-19 ระลอกแรกเมื่อปี 2563 ที่บ้านยางชุม และบ้านวังศิลา อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ และเตรียมขยายพื้นที่เพิ่มไปยังจังหวัดต่างๆ ในอนาคตโดยมีโมเดลนำร่องจากที่นี่เป็นแบบอย่าง

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ แฟนเพจเฟซบุ๊ก คนพิการต้องมีงานทำ-มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 02 279- 9385
#10919


ในปีที่แล้วนั้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกลดลง5% โดยลดลงทุกประเทศ รวมทั้งการลงทุนซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดก็ลดลง 42% หรือเกือบ ๆ ครึ่งที่หายไปจากปีก่อนหน้านี้ หนักที่สุดก็เป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ลดการลงทุนกว่า69%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วโลกจะลดลง 4% และในส่วนของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ลดลง31% ลดลงเกือบทุกประเทศ ยกเว้นฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศไทยนั้นมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเหลือเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ผลสุทธิที่มีจำนวนน้อยนี้ อาจเป็นผลจากถอนการลงทุนของบริษัทเทสโก้ สหราชอณาจักร แต่เมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่ลดลง10%  แต่ก็มี FDI ไหลเข้ากว่า 14 พันล้านดอลลาร์  มากกว่าไทยหลายเท่า ก็ทำให้น่าห่วงและมีคำถามใหญ่ ๆ ที่ต้องสนใจว่า "นักลงทุนต่างประเทศกำลังเลิกสนใจไทย" หรือ "ไทยกำลังถูกนักลงทุนทิ้ง"

คำถามที่คนชอบตั้งประเด็นจากผลการศึกษาของหลายสำนักเศรษฐกิจภาคเอกชนที่ FDI ไหลเข้าลดลงมากและตามหลังเกือบทุกประเทศที่สำคัญในภูมิภาคนี้  เพราะเดิมทีประเทศไทยยังคงเสน่ห์ในการเป็นสวรรค์ของนักลงทุนต่างประเทศนั้น ไม่ได้มาจากอัตราภาษีที่ลดแลกแจกแถมเหมือนคนอื่น แต่นักลงทุนจะมองที่ความสงบทางการเมือง สังคมที่เปิดกว้างในการยอมรับวัฒนธรรมอื่น ค่าแรงงานที่ไม่สูง ฝีมือและทักษะ สาธารณูปโภคที่สะดวกสบาย และความโปร่งใสในการทำธุรกิจ รวมทั้งนโยบายของรัฐที่เอื้อและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ    

       ทำให้กลายเป็นประเทศที่ FDI ด้านการผลิตเข้ามามากที่สุดในอาเซียน (ยกเว้นทางการเงินที่ไปสิงค์โปร์มากสุด) แต่ความรุ่งโรจน์นั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าของอดีตเท่านั้น เสน่ห์ที่เรามีน้อยและบางอย่างไม่มีด้วยซ้ำไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคนี้

ความยุ่งยากของระบบกฎหมายบ้านเราที่เป็นประเภท One fits all ทำให้เราพยายามสร้างเสน่ห์อื่นขึ้นมาแทนซึ่งในขณะนี้ เราลงไปในระดับพื้นที่เป้าหมายเฉพาะที่ตอนนี้ เรียกง่าย ๆ ว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมี พ.ร.บ. ของตนเอง เพื่อเลี่ยงที่จะใช้ระเบียบแบบเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งก็ทำได้ไม่มาก แต่ก็มีพิเศษมากกว่าที่อื่น ๆ แม้ว่าจะผ่านเครื่องมือเดิม ๆ ก็ตาม เช่น ผ่าน BOI แต่มีสิทธิประโยชน์มากกว่านอกพื้นที่ผ่านการ Plus Plus ให้ หรือการมีสาธารณูปโภคระดับโลก สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อาทิ Smart Visa รวมทั้งการเตรียมแรงงานมีฝีมือทันสมัย เพื่อให้พื้นที่นี้เพื่อให้ทุกอย่างโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของนักลงทุน ทดแทนสิ่งที่เราไม่มี เช่น FTA กับประเทศใหญ่ ๆ หรือการส่งเสริมการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง และแรงงานที่ไม่ถูกและยังหายากอีก (ซึ่งอย่างหลังเราก็พยายามเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น)

แม้ว่ามูลค่าการขอรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 นี้อาจจะแสดงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศที่มีต่อประเทศไทย แต่เราจะสังเกตเห็นว่ายังคงวนเวียนอยู่กับอุตสาหกรรมเดิม ๆ ที่เรามีรากฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร ฯลฯ ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่นั้น แม้ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังถือน้อยมาก ที่จะเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ให้ประเทศ ดูแล้วเราคงต้องออกแรงกว่านี้มาก เพราะการลงทุนที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการลงทุนไปแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในสามปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นการลงทุนของโครงการร่วมรัฐเอกชน (PPP) ด้านสาธารณูปโภคเป็นส่วนมาก แต่ FDI ในอุตสาหกรรม New S-Curve ยังต้องออกแรงอีกเยอะ

เรายังหวังว่า "เสน่ห์" ที่เรากำลังสร้างในพื้นที่ EEC ในส่วนต่าง ๆ ขึ้นมานั้นสามารถทดแทนเสน่ห์เก่า ๆ ที่หายไป หมดยุค หรือไร้ซึ่งความสนใจของลูกค้า และด้อยกว่าคู่แข่ง ก็ได้แต่หวังว่าคนที่ดูแลภาพของเสน่ห์รวม จะพยายามดูให้ครบว่า เสน่ห์ ที่นักลงทุนต้องการนั้นคืออะไรจริง ๆ และหากเราทำไม่ได้ อะไรคือสิ่งที่มี "ค่า" สำหรับเขา (ไม่ใช่เรา) พอจะทดแทนสิ่งที่เราไม่มีให้เขาได้บ้าง ที่มองภาพรวมแล้ว ไทยยังมีเสน่ห์ในการลงทุนมากกว่าที่อื่น
#10920


ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันศุกร์ (13ส.ค.)พุ่งขึ้น 1.4% ปิดเหนือระดับ 1,770 ดอลลาร์โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. ดีดตัวขึ้น 1.4% ปิดที่ราคา 1,775.80 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย


อย่างไรก็ดี ราคาทองมีแนวโน้มร่วงลงในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

ทั้งนี้ คาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในการประชุมดังกล่าว

การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ จะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว เฟดต้องจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ไทม์ไลน์ของเฟดว่า เฟดจะเริ่มปรับลดคิวอีในเดือนม.ค.2565 โดยจะปรับลดวงเงินคิวอีเดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดทำคิวอีวงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งจะทำให้เฟดใช้เวลา 6 เดือนในการปรับลดคิวอีจนเหลือ 0 หมายความว่าเฟดจะยุติการทำคิวอีโดยสิ้นเชิงในช่วงกลางปี 2565 และเฟดจะพักการดำเนินการเป็นเวลา 1 ปีเพื่อให้ตลาดปรับตัว ก่อนที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566