• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#10756
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10758
 คนที่มีอายุอายุควรกิน Low GI ข้าวพันธุ์ดีที่มีโภชนาการสูงปลอดสารพิษ ข้าวหอมทุ่งกุลาร้องไห้แท้ 100%
ข้าวออแกนิกปลอดสารแท้ 100% ข้าวปลอดสารสุรินทร์  ปลูกข้าวออแกนิคส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ข้าวมะลินิลออแกนิก คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์  ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิก คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวปะกาอำปึลนิลอินทรีย์เลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์  เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงสุขภาพ
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6daqhyo0am1a6t.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวเกษตรอินทรีย์หอมมะลิ
2.  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
3. ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ออร์แกนิคสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ6.ข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์7. ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#10759
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10760


วันที่ 23 กันยายน ภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ ประกอบด้วย เครือข่ายเยาวชน นำโดย สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อเด็กเยาวชนและครอบครัว กลุ่มเด็กเยาวชน UGZ-Ubongenz อุบลราชธานี แกนนำเครือข่ายเยาวชนเจนแซดสตรองไม่สูบ จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมกับ เครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ มูลนิธิเพื่อนหญิง และเครือข่ายครอบครัว เสนอขอให้รัฐบาลพิจารณาขึ้นภาษีบุหรี่ เพื่อช่วยลดอัตราการสูบในกลุ่มเยาวชน และปกป้องสุขภาพของคนไทย

โดยนายพชรพรรษ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังจะพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ ทางสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) และภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบ จึงขอสนับสนุนท่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรีทุกท่าน ในการขึ้นภาษีบุหรี่ เพื่อทำให้ราคาบุหรี่มีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะขอให้มีการขึ้นราคากลุ่มบุหรี่ที่มีราคาถูก เพื่อป้องกันการเข้าถึงของกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีกำลังซื้อน้อย ซึ่งมีรายงานวิจัยที่ทำการศึกษาในประเทศกลุ่มรายได้น้อยถึงปานกลางจำนวน 17 ประเทศ พบว่า ถ้าหากราคาบุหรี่เพิ่มขึ้น 10% จะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มเยาวชนได้ถึง 21% และการขึ้นราคาบุหรี่ยังส่งผลให้เยาวชนตัดสินใจยากขึ้นที่จะเริ่มสูบบุหรี่ และเยาวชนที่อยู่ในระหว่างทดลองสูบ หรือที่เพิ่งเริ่มติดบุหรี่ใหม่ๆ สามารถที่จะเลิกสูบได้ง่ายขึ้น



นางสุวิมล จันทร์เปรมปรุง ประธานคณะกรรมการเครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเยาวชนอายุ 15-19 ปี สูบบุหรี่ถึง 400,000 คน การขึ้นภาษีบุหรี่นอกจากจะทำให้เยาวชนกลุ่มนี้ ลด เลิก สูบบุหรี่แล้ว ยังเป็นมาตรการที่จะช่วยปกป้องเยาวชนกลุ่มอายุนี้อีกกว่า 4 ล้านคน ไม่ให้เข้ามาเริ่มลองสูบบุหรี่ด้วย เพราะกลุ่มอายุนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่มักจะเป็นช่วงอายุเริ่มต้นของการสูบบุหรี่ ซึ่งถ้าสามารถป้องกันไม่ให้เยาวชนช่วงอายุนี้สูบบุหรี่ จะลดโอกาสการเป็นนักสูบตลอดชีวิตของเยาวชนได้ โดยจากสถิติพบว่า เด็กไทย 10 คนที่ติดบุหรี่ 7 คน จะเลิกไม่ได้ไปตลอดชีวิต และใน 3 คนที่เลิกสูบได้ โดยเฉลี่ยจะต้องใช้เวลา 20 ปี กว่าที่จะเลิกสูบได้

นางธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า การขึ้นภาษีบุหรี่จะช่วยปกป้องเยาวชนจากการสูบบุหรี่และยังปกป้องเยาวชนจากการเสพติดบุหรี่ โดยลดโอกาสที่เยาวชนจะไปติดสิ่งเสพติดชนิดอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่า และยังช่วยลดปัญหาการได้รับควันบุหรี่มือสองโดยเฉพาะในครอบครัว ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบการสูบบุหรี่ในบ้านสูงถึงเกือบ 30% ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว รวมไปถึงค่ารักษาพยาบาลที่ต้องเสียไปอีกด้วย
#10761

วันที่ 24 ก.ย. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข สรุปการให้บริการวัคซีน ในหนึ่งวัน ระบุว่า เมื่อเวลา 18.42 น.  ประเทศไทยสามารถให้บริการวัคซีนทั้งเข็ม 1 เข็ม 2 และเข็ม 3 ในวันนี้ ได้รวมทั้งสิ้น 1,299,307 โดส ถือว่าเป็นไปตามเป้าการให้บริการวัคซีนของรัฐบาล ที่ต้องการระดมฉีดวัคซีนในนี้ ให้ได้ถึง 1 ล้านโดส เนื่องในวันมหิดล เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่องค์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย

ทั้งนี้ การให้บริการวัคซีนดังกล่าว ผ่านระบบเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต ทั่วประเทศ ที่กำหนดให้มีการฉีดวัคซีน 100,000 โดส ต่อเขตสุขภาพ ซึ่งถึงตอนนี้ สามารถบรรลุเป้าการฉีดได้แล้ว โดยตลอดทั้งวันมีผู้มารับวัคซีนที่จุดรับบริการอย่างต่อเนื่อง  

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ปัจจุบันระบบการให้บริการวัคซีน สามารถรองรับการฉีดได้ถึง 1 ล้านโดสต่อเดือนอย่างแน่นอน การฉีดวัคซีนทะลุ 1 ล้านโดส ในวันเดียวนั้น เป็นการกำหนดเป้าหมายเพื่อทดลองระบบของกระทรวงสาธารณสุข ทำให้เกิดความมั่นใจว่า ในช่วง 3 เดือนจากนี้ไป จะสามารถทำการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้เดือนละ 20 ล้านโดส หรือ 60 ล้านโดส ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 2564 จะฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้เกิน 100 ล้านโดส ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

สำหรับปริมาณวัคซีนที่จะเข้ามาอยู่ในระบบให้บริการนั้น ในเดือนกันยายน จะมีวัคซีนประมาณ 15 ล้านโดส เดือนตุลาคมจะมีวัคซีน 24 ล้านโดส ขณะที่เดือนพฤศจิกายน และธันวาคม จะมีวัคซีนเข้าสู่ระบบบริการเท่ากันที่ 23 ล้านโดส

สำหรับเป้าหมายของการจัดหาวัคซีนของประเทศไทย ตลอดทั้งปี 2564 ข้อมูลเมื่อวันที่ 21 กันยายน ระบุว่า ไทยได้จัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จำนวน 5 ยี่ห้อ ดังนี้

1. ซิโนแวค จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 30.5 ล้านโดส  2. แอสตร้าเซนเนก้า จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 61 ล้านโดส  3. ไฟเซอร์ จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 30 ล้านโดส 4. ซิโนฟาร์ม จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 11 ล้านโดส  5. โมเดอร์นา จะส่งวัคซีนมาทั้งหมด 5 ล้านโดส เมื่อรวมกับวัคซีนบริจาค และวัคซีนในโครงการอื่นๆ จะทำให้ไทยจัดหาวัคซีนมาได้ทั้งสิ้นประมาณ 140 ล้านโดส
#10762


เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ บริษัทผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมซูเปอร์ไฮเทค ชื่อ General Atomics ของสหรัฐฯ หลังจากที่ได้เพียรพยายามออกแบบระบบแม่เหล็กCentral Solenoid ที่ทรงพลังมากที่สุดในโลก เป็นเวลาหลายสิบปี ก็ได้จัดส่งชุดแม่เหล็กสำเร็จรูปดังกล่าว ไปติดตั้งเป็นอุปกรณ์หัวใจหลักในการทำงานของโครงการ ITER เพื่อผลิตพลังงานนิวเคลียร์แบบ fusion ที่เมือง Cadarache ประเทศฝรั่งเศส

ความสำเร็จนี้ได้ทำให้ความฝันของมนุษย์ชาติในการจะมีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ต้นแบบ fusion เป็นจริงภายในปี 2025 ซึ่งนับว่าเร็วขึ้นจากเดิมที่เคยคิดว่าจะมีโรงงาน prototype ในปี 2030 และโลกจะมีโรงไฟฟ้าแบบ fusion ตัวจริงในปี 2050

ย้อนอดีตไปถึงปี 1955 ที่ได้มีการประชุมนานาชาติครั้งแรก เรื่อง เส้นทางสู่การมีพลังงานแบบ fusion ที่กรุง Geneva ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีรัฐบาลอังกฤษ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา เป็นตัวตั้วตัวตี และได้จัดให้โครงการ fusion เป็นโครงการหนึ่ง อยู่ภายใต้โครงการใหญ่ชื่อ Atoms for Peace (โครงการอะตอมเพื่อสันติภาพ) และมี Homi Bhabha ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ผู้มีชื่อเสียงชาวอินเดีย จากการศึกษาปรากฏการณ์ Bhabha scattering เป็นประธานของที่ประชุม ในที่สุดผลการประชุมก็ได้ข้อสรุปว่า ในอนาคต โลกจำต้องมีพลังงานสะอาดใช้ คือ พลังงานที่ไม่ปลดปล่อยแก๊สเรือนกระจกออกมามาก เหมือนโรงไฟฟ้าถ่านหิน และไม่สร้างกากกัมมันตรังสี เหมือนโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์แบบ fusion ซึ่งได้พลังงานจากการแยกตัวของนิวเคลียสธาตุหนัก เช่น ยูเรเนียม-235 อีกทั้งโครงการ fusion จะต้องมีเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ให้ใช้ในปริมาณมาก เช่น น้ำทะเล การมีเงื่อนไขเช่นนี้ ทำให้โรงงานไฟฟ้าแบบ fusion แตกต่างจากโรงงานไฟฟ้าที่ใช้แก๊สธรรมชาติ น้ำมัน หรือถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งนับวันวัตถุดิบเหล่านี้จะหมดไปจากโลก และประชุมก็คิดว่าโรงงานไฟฟ้าในฝันแบบ fusion น่าจะเริ่มทำงานได้ เป็นครั้งแรกในปี 1975 คือ อีก 40 ปี

แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน นักฟิสิกส์ทุกคนก็เริ่มตระหนักในอุปสรรคและความยากลำบากของการพยายามสร้างดวงอาทิตย์ขึ้นมาในห้องปฏิบัติการบนโลก แม้นักฟิสิกส์ เช่น Hans Bethe (รางวัลโนเบลฟิสิกส์ ปี 1967) จะรู้ว่าดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานความร้อน และพลังงานแสง โดยอาศัยปฏิกิริยา fusion เพื่อหลอมรวมนิวเคลียสของอะตอมไฮโดรเจนให้เป็นนิวเคลียสของอะตอมฮีเลียมก็ตาม แต่การที่ดวงอาทิตย์สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะที่แก่นกลางของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิสูงถึง 100 ล้านองศาเซลเซียส และที่นั่นมีความดันมากเป็นพันล้านเท่าของความดันบรรยากาศโลก เพราะสถานการณ์ที่ "ผิดปกติ" เช่นนี้ จึงทำให้นักฟิสิกส์ ในสมัยเมื่อ 70 ปีก่อน ไม่มีความสามารถในการทำให้ปฏิกิริยา fusion บังเกิดในห้องทดลองบนโลกได้

Edward Teller (บิดาของระเบิดไฮโดรเจนของสหรัฐฯ) จึงได้ปรารถว่า สถานภาพของความรู้ฟิสิกส์ในการจะสร้างโรงงานไฟฟ้าแบบ fusion ในเวลานั้น เปรียบเสมือนกับการมีเครื่องบินใบพัดที่ Orville และ Wilbur Wright สร้างเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และจะต้องอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีและความรู้ฟิสิกส์อีกมาก จึงจะมีเครื่องบินไอพ่นที่มีความเร็วเหนือเสียงใช้ และ Teller ก็ได้คาดการณ์ว่า โลกจะมีโรงงานไฟฟ้าแบบ fusion ก่อนจะสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

เมื่อปัญหาทางวิชาการและอุปสรรคทางเทคโนโลยีมีมากเช่นนี้ ผู้แทนรัฐบาลของประเทศรัสเซีย จึงได้เสนอแนะให้มีการจัดตั้งโครงการวิจัยนานาชาติเรื่อง fusion โดยให้เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของหลายชาติ เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่เกินที่ชาติหนึ่งชาติใดในโลกจะทำได้สำเร็จตามลำพัง และที่ประชุมก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ จึงได้จัดตั้งโครงการ ITER ขึ้นมา (จากคำเต็ม International Thermonuclear Experimental Reactor) ซึ่งคำนี้ในภาษาละตินแปลว่า วิถีทาง (สู่การมีพลังงานรูปแบบใหม่) โดยจะทำงานตามหลักการว่า บรรดาประเทศสมาชิกของโครงการทุกประเทศ หลังจากที่ได้ร่วมลงทุนสนับสนุนแล้ว หน้าที่และความรับผิดชอบในการสร้างชิ้นส่วนต่าง ๆ ของ ITER จะตกเป็นของเหล่านักวิทยาศาสตร์ที่มีความสามารถมากที่สุดของแต่ละชาติ ส่วนบรรดาประเทศสมาชิกก็จะได้รับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการสร้างอย่างเท่าเทียมกันหมด และจากประเทศเริ่มต้น 4 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น รัสเซีย สหรัฐฯ และสมาพันธ์ยุโรป (EU) ลุถึงปี 2004 ก็มีประเทศสมาชิกของ ITER เพิ่มอีก 3 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ซึ่งถ้านับจำนวนประชากรของประเทศสมาชิกทั้งหมด ก็จะพบว่ามีมากกว่า 50% ของประชากรโลก

ปัญหาต่อไปที่จะต้องนำมาพิจารณา คือ การหาตำแหน่งที่ตั้งของห้องปฏิบัติการ fusion ในโครงการ ITER ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เพราะมีปัจจัยเรื่อง การเมือง การเศรษฐกิจ และความสามารถของนักฟิสิกส์ในประเทศที่ต้องการจะเป็นเจ้าภาพ ในที่สุดที่ประชุมก็ได้รับชื่อที่เสนอให้พิจารณามี 2 เมือง คือ ที่ Rokkasho ในประเทศญี่ปุ่น กับที่ Cadarache ในประเทศฝรั่งเศส

รัฐบาลญี่ปุ่นกับรัฐบาลสหรัฐฯ นั้น สนับสนุน Rokkasho เพราะญี่ปุ่นได้ประกาศสนับสนุนสหรัฐฯ ในการทำสงครามในอิรัก แต่ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ จีน และรัสเซีย ซึ่งไม่ (เคย) พอใจสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ประกาศสนับสนุน Cadarache ยิ่งเมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศจุดยืนว่า ถ้า Cadarache ไม่ได้รับการคัดเลือก ฝรั่งเศสก็จะถอนตัวออกจากโครงการ

ในที่สุด Cadarache ก็ได้รับการอนุมัติให้เป็นสถานที่ติดตั้งเตาปฏิกรณ์ fusion บนพื้นที่ 1,000 ไร่ ณ หมู่บ้าน Saint-Paul-les-Durance ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปารีส ลุถึงปี 2006 การก่อสร้างเตาปฏิกรณ์ก็เริ่มดำเนินการ ด้วยงบประมาณปีละสองหมื่นล้านบาท ซึ่งนับว่ามากพอ ๆ กับการจัดสร้างสถานีอวกาศนานาชาติ ISS (International Space Station) และเครื่องเร่งอนุภาค LHC (Large Hadron Collider) ที่ CERN ใกล้กรุง Geneva ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตามการคาดการณ์ใหม่ เตาปฏิกรณ์จะเริ่มทำงานในปี 2050 และจะทำงานนาน 30 ปีก็ถูกปลดระวาง

ณ วันนี้ประเทศสมาชิกในโครงการ ITER มีทั้งหมด 35 ประเทศ โดยสหรัฐฯ รับผิดชอบ 9.1% ของงบประมาณทั้งหมด และรับสร้างชิ้นส่วน เช่น ระบบแม่เหล็ก Central Solenoid ดังกล่าวข้างต้น



สำหรับเรื่องเชื้อเพลิงที่ต้องใช้ในเตาปฏิกรณ์แบบfusion นั้น นักฟิสิกส์ก็มีตัวเลือกหลายชนิด เช่น ไอโซโทป (isotope) ของไฮโดรเจน ซึ่งได้แก่



ซึ่งต่างก็เป็นนิวเคลียสของธาตุเบา เพื่อให้รวมกันเป็นนิวเคลียสของธาตุที่หนักกว่า โดยใช้ปฏิกิริยา เช่น



และถ้าใช้ปฏิกิริยา 1 กับ5 ในเตาปฏิกรณ์ เพื่อสร้างพลังงาน ก็จะพบว่า



นี่เป็นคุณประโยชน์มหาศาลที่จะได้จากเตาปฏิกรณ์แบบ fusion คือ ได้พลังงานมาก ไม่ปล่อย CO2 เลย ไม่สร้างกากกัมมันตรังสี นอกจากนี้เชื้อเพลิงที่จะต้องใช้ก็มีมากในโลก คือมีน้ำทะเล ดังนั้นเวลาที่เชื้อเพลิงจะหมด ก็คือเวลาที่น้ำทะเลจะเหือดแห้งหมดโลก

ในการทำให้เกิดปฏิกิริยาfusion นั้น นักฟิสิกส์จำเป็นต้องใช้นิวเคลียสของธาตุเบา เช่น ไฮโดรเจน ซึ่งมี2 ไอโซโทป คือ



เพราะนิวเคลียสของธาตุทั้งสองต่างก็มีโปรตอน ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีประจุบวก ดังนั้นจึงมีแรงไฟฟ้าที่จะผลักนิวเคลียสให้แยกออกจากกันตลอดเวลา แต่ถ้านักฟิสิกส์สามารถกดดันนิวเคลียสทั้งสองให้เข้าใกล้กัน จนอยู่ห่างกันไม่เกิน10-13เมตร ภายใต้อุณหภูมิที่สูงมาก เพื่อให้แรงนิวเคลียร์ระหว่างอนุภาคโปรตอนกับนิวตรอนเริ่มทำงาน นิวเคลียสทั้งสองก็จะหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นนิวเคลียสหนึ่งเดียว



โดนสรุปปัญหาหลักของการทำให้ปฏิกิริยา fusion บังเกิด คือ อุณหภูมิของนิวเคลียสจะต้องสูงมาก และความดันที่กระทำต่อนิวเคลียสจะต้องมากมหาศาล ซึ่งเงื่อนไขทั้งสองนี้มีอยู่แล้วบนดวงอาทิตย์ แต่บนโลกสถานภาพเช่นนั้นไม่มี ดังนั้นนักฟิสิกส์จึงต้องพยายามสร้างสถานการณ์ให้มีบรรยากาศมีความใกล้เคียงกับเหตุการณ์ ณ บริเวณแก่นกลางของดวงอาทิตย์ โดยการนำธาตุ deuterium และ tritium เข้าไปในภาชนะทดลองที่เรียกว่า tokamak (คำนี้ในภาษารัสเซีย แปลว่า รูปโดนัทกลวง) ซึ่งภายในเป็นสุญญากาศ แล้วใช้สนามไฟฟ้าความเข้มสูงกระทำต่ออะตอมทั้งสองชนิด ซึ่งจะทำให้อะตอมแตกตัว แยกออกเป็นอิเล็กตรอน ซึ่งมีประจุลบ กับนิวเคลียสซึ่งมีประจุบวก (เรียก ion) และอยู่รวมกันเป็นสสารรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า plasma จากนั้นก็จะปล่อยคลื่นไมโครเวฟ ที่มีความเข้มสูงเข้าไปทำให้ plasma ร้อนจัด และถ้า plasma ร้อน ลอยไปปะทะผนังของภาชนะทดลอง tokamak ผนังจะหลอมตัว และอิเล็กตรอนกับ ion ก็จะกลับสภาพ กลายเป็นธาตุ deuterium กับ tritium เหมือนเดิม และเมื่อภาชนะหลอมตัวพัง ปฏิกิริยานิวเคลียร์ก็จะหยุด และเตาปฏิกรณ์ก็จะหยุดทำงาน

ดังนั้น หลักการสำคัญที่ทำให้ปฏิกิริยา fusion ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง คือ ต้องใช้สนามไฟฟ้ากำจัดอิเล็กตรอนทั้งหลายออกไปให้หมด และให้ ion (ที่เป็นนิวเคลียสของธาตุทั้งสอง) ไม่ลอยไปปะทะผนังของ tokamak ซึ่งอาจทำได้โดยการใช้สนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูงมากมากระทำต่อ ion และสนามแม่เหล็กต้องมีรูปทรงที่เหมาะสมด้วย และนี่ก็คือที่มาของระบบแม่เหล็ก Central Solenoid ที่ได้นำมาติดตั้งในห้องปฏิบัติการต้นแบบที่เมือง Cadarache เมื่อต้นเดือนกันยายนนี้

สำหรับเชื้อเพลิงที่ใช้ในเตาปฏิกรณ์ เช่นdeuterium นั้น มีพบประมาณ3% ในน้ำทะเล ส่วนtritium ก็สามารถผลิตได้โดยการยิงอนุภาคนิวตรอนไปที่isotope ของธาตุlithium ซึ่งจะรวมกันตามปฏิกิริยา



สำหรับอนุภาคนิวตรอนที่เกิดจากปฏิกิริยา fusionนั้น เพราะมันเป็นอนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟ้า ดังนั้นจึงมีสถานภาพทางไฟฟ้าแบบเป็นกลาง ทำให้มันไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสนามไฟฟ้า หรือสนามแม่เหล็กใด ๆ และจะหนีออกจากtokamak ไปตกกระทบผนัง แล้วถ่ายเทพลังงานจลน์ที่มันมีให้ผนัง ผนังจึงร้อนขึ้น ๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น ๆ จนทำให้น้ำปริมาณมากที่อยู่ใกล้กับเตาปฏิกรณ์ tokamak ร้อนจัด จนน้ำกลายเป็นไอ ไปผลักดันใบพัดของเครื่องยนต์ turbine ให้หมุนตัดสนามแม่เหล็ก ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า



ดังได้กล่าวไว้ว่า อุณหภูมิและความดันของ plasma ภายใน tokamak มีค่ามากมหาศาล ดังนั้นวัสดุที่ใช้ทำผนังของ tokamak จึงต้องเป็นวัสดุที่นำความร้อนได้ดีมาก เพื่อเปลี่ยนพลังงานจลน์ของนิวตรอนที่มากระทบเป็นพลังงานความร้อนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้วัสดุไม่ร้อนจนละลาย เพราะผนังของ tokamak ได้รับอนุภาคนิวตรอนในปริมาณมากตลอดเวลา ดังนั้นวัสดุที่ใช้ทำผนังจึงอาจกลายเป็นวัสดุกัมมันตรังสี ที่สามารถแผ่รังสีแกมมาออกมาได้มาก ถึงกระนั้นการกำจัดกัมมันตรังสีในอุปกรณ์ tokamak ก็สามารถทำได้ง่ายกว่า และสะอาดกว่าการกำจัดกากกัมมันตรังสีที่เกิดจากปฏิกิริยา fusion นอกจากปัญหานี้แล้ว เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลความปลอดภัยของ tokamak ก็จะต้องตรวจตราอย่างสม่ำเสมอว่า ผนังเครื่องต้องไม่สึกกร่อน เพราะผนังได้ถูกอนุภาคนิวตรอนพุ่งชนตลอดเวลา จึงอาจจะมีอะตอมของธาตุที่ใช้ทำผนังกระเด็นหลุดออกจากผนังไปลอยปนกับ plasma ในสภาพของสารเจือ ซึ่งสามารถจะหยุดปฏิกิริยา fusion มิให้ดำเนินต่อไปได้ ถ้าสารเจือมีในปริมาณมาก

ในการทดสอบหาวัสดุที่เหมาะสมมาทำผนังของ tokamak นักวัสดุศาสตร์ได้พบว่า ใยคาร์บอนเวลาทำปฏิกิริยากับ tritium จะให้ beryllium ซึ่งนำความร้อนได้ดี และไม่ดูดซับ tritium ส่วน tungsten นั้น เป็นธาตุที่มีจุดหลอมเหลวสูงที่สุดในบรรดาโลหะทั้งหลาย tungsten จึงไม่หลอมละลายง่าย เวลามี plasma มากระทบ แต่ tungsten บริสุทธิ์ เป็นธาตุที่เปราะ ดังนั้นจึงต้องนำมาเจือด้วยธาตุอื่น เพื่อเพิ่มความแกร่ง นอกจากธาตุเหล่านี้แล้ว วัสดุหลักที่ใช้ในการทำผนังก็มีเหล็กกล้า และ silicon carbide
เพราะการกักเก็บ plasma ใน tokamak จำเป็นต้องใช้สนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูงมาก (ประมาณ 3 แสนเท่าของสนามแม่เหล็กโลก) ดังนั้นโครงการ ITER จึงจำเป็นต้องใช้แม่เหล็กที่ทำด้วยตัวนำยวดยิ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการนี้ และบริษัท General Atomics ซึ่งรับหน้าที่ผลิต Central Solenoid ที่ประกอบด้วย แม่เหล็ก 3 ชุด โดยชุดแรกเป็นแม่เหล็กวงแหวนหลายวงที่ล้อมท่อโดนัท ซึ่งจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กภายในท่อ ชุดแม่เหล็กที่สองเป็นชุดวงแหวนที่วางขนานกับเส้นรอบวงของ tokamak เพื่อสร้างสนามที่ควบคุมตำแหน่งและรูปทรงของ plasma ในทุกขณะ และชุดที่สาม ซึ่งจะอยู่ที่ศูนย์กลางของ tokamak เพื่อทำหน้าที่สร้างสนามแม่เหล็กให้ขับเคลื่อน plasma ให้เคลื่อนที่ไปตามท่อ เพราะเวลา plasma ไหล จะมีกระแสไฟฟ้าประมาณ 15 ล้านแอมแปร์ เกิดขึ้นภายในท่อ และกระแสไฟฟ้านี้ จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก ซึ่งจะช่วยเสริมหรือต้านทานสนามแม่เหล็กจากภายนอกได้ กระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นอย่างซับซ้อนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่นักวิจัยไม่เคยเผชิญมาก่อน

ในส่วนของตัวนำยวดยิ่งที่ใช้ในโครงการ ITER นี้ ได้ถูกกำหนดให้ผลิตโดยโรงงาน 9 แห่ง ใน 6 ประเทศ และมีลวดชุดหนึ่ง ซึ่งทำด้วย niobium-tin เป็นตัวนำยวดยิ่งที่มีความยาวถึง 43 กิโลเมตร และเป็นลวดที่ทำในโรงงานของประเทศญี่ปุ่น สำหรับลวดตัวนำยวดยิ่งที่ใช้ในโครงการ ITER ทั้งหมดจะหนักถึง 400 ตัน และมีความยาวทั้งสิ้น 100,000 กิโลเมตร ดังนั้นการติดตั้งระบบตัวนำยวดยิ่งของ ITER จึงต้องทำอย่างผิดพลาดไม่ได้เลย เพื่อให้ระบบมีความปลอดภัย โดยการใช้ฉนวนที่ทำด้วยแผ่น fiberglass / Kapton เรียงซ้อนกัน 25 ชั้น และแผ่นฉนวนเหล่านี้ ผ่านการทดสอบอย่างเข้มข้นที่อุณหภูมิ -270 องศาเซลเซียส

ในภาพรวมโครงการ ITER มีอุปกรณ์ที่เป็นชิ้นส่วน จำนวนมากกว่า 1 ล้านชิ้น โดยบรรดาประเทศสมาชิกของโครงการแบ่งรับกันสร้าง บางชิ้นที่มีขนาดใหญ่มาก เช่น Central Solenoid ซึ่งเป็นชิ้นที่หนักที่สุด การขนส่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ละเอียดอ่อน และหนักมากเช่นนี้ จึงต้องกระทำอย่างระมัดระวังที่สุด เช่น ต้องขน Central Solenoid จาก California ไป Houston ใน Texas ก่อน แล้วจากที่นั่น อุปกรณ์ก็ถูกนำขึ้นเรือไปฝรั่งเศส และจากท่าเรือในประเทศฝรั่งเศส การขนส่งต่อโดยยานยนต์ไปตามถนนที่ยาว 104 กิโลเมตร จนถึงเมือง Cadarache ต้องทำอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้อุปกรณ์ได้รับความกระทบกระเทือนแม้แต่น้อย รวมทั้งสิ้นใช้เวลาในการเดินทางนาน 2 เดือน





เมื่อหัวใจหลัก คือ Central Solenoid เข้าประจำที่แล้ว ในอีก 4 ปี อุปกรณ์ต้นแบบของโรงงานไฟฟ้าแบบ fusion ก็จะเริ่มทำงาน

สำหรับความรับผิดชอบในการสร้างห้องสุญญากาศนั้น เป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์อินเดีย เกาหลีใต้ รัสเซีย และสมาพันธ์สหภาพยุโรป (EU)

ส่วนฉนวน จะถูกสร้างโดยนักวิทยาศาสตร์จีน รัสเซีย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ EU

ชุดแม่เหล็ก 3 ชุด เพื่อควบคุมรูปทรงของ plasma ใน 6 ทิศทาง เป็นความรับผิดชอบของบริษัทญี่ปุ่น สหรัฐฯ EU รัสเซีย เกาหลีใต้ และจีน แต่ชุด Central Solenoid ที่อยู่ตรงกลางของอุปกรณ์เป็นสิ่งที่บริษัทสหรัฐฯ รับหน้าที่สร้างแต่เพียงผู้เดียว
อุปกรณ์ให้ความร้อนด้วยรังสีไมโครเวฟ ถูกสร้างขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ของ EU , US อินเดีย ญี่ปุ่น และรัสเซีย

และสำหรับลวดตัวนำยวดยิ่ง ที่ยาวทั้งสิ้น 100,000 กิโลเมตรนั้น นักวิทยาศาสตร์จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลีใต้ EU และสหรัฐฯ เป็นผู้ร่วมกันสร้าง

โดยสรุป เส้นทางการถือกำเนิดของ ITER จึงเป็นดังนี้

ปี 1955 นักฟิสิกส์จากสหรัฐฯ รัสเซีย และอังกฤษ มีดำริจะจัดตั้งโครงการผลิต พลังงาน fusion โดยใช้ชื่อว่า ZETA และจะให้เป็นโครงการทางทหารที่ ลับสุดยอด
ปี 1958 โครงการ ZETA ได้ถูกนำไปผนวกเข้าเป็นโครงการหนึ่งของโครงการใหญ่ Atoms for Peace ของสหประชาชาติ
ปี 1968 Andrei Sakharov และ Igor Tamm ได้เสนอ tokamak เป็นอุปกรณ์ เพื่อกักเก็บ plasma ที่มีอุณหภูมิสูง
ปี 1985 นักฟิสิกส์รัสเซียได้กระตุ้นให้นายกรัฐมนตรี Mikhail Gorbachev เสนอ โครงการ fusion เป็นโครงการวิจัยนานาชาติต่อประธานาธิบดี Ronald Reagan ในการประชุมสุดยอด ที่กรุง Geneva ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ปี 1988 โครงการ ITER ได้เริ่มดำเนินการออกแบบสร้าง
ปี 1998 เพราะค่าก่อสร้างเพิ่มสูงมาก บรรดาประเทศสมาชิกจึงได้ขอให้ลด งบประมาณลงกว่า 50%
ปี 1999 สหรัฐฯ ได้ขอลาออกจากสมาชิกภาพของ ITER เพราะมีโครงการ fusion ที่เป็นของชาวอเมริกันเอง หลายโครงการแล้ว เช่น The National Ignition Facility (NIF) ที่ใช้เลเซอร์ 192 ลำแสงบีบอัดนิวเคลียสของ deuterium กับ tritium ให้หลอมรวมกัน
ปี 2003 จีน เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ ได้กลับเข้าเป็นสมาชิกของ ITER อีก แต่ยังตก ลงกันไม่ได้ว่าจะติดตั้งเตาปฏิกรณ์ ณ สถานที่ใด
ปี 2005 เมือง Cadarache ในฝรั่งเศสได้รับการคัดเลือกเป็นสถานที่ตั้งของเตา ปฏิกรณ์
ปี 2021 เริ่มมีการติดตั้งชิ้นส่วนของเตาปฏิกรณ์ต้นแบบ ชื่อ DEMO
ปี 2025 DEMO จะเริ่มทำงาน

อ่านเพิ่มเพิ่มเติม ITER Physics โดย C. Wendell Horton Jr. และ Sadruddin Benkadda จัดพิมพ์โดย World Scientific ปี 2017



สุทัศน์ ยกส้าน

ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์
#10763
ยินดีให้บริการ ทุกขนาดพื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#10765



เอสเซ้นส์ ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวหน้าของคุณผู้ชายให้ดูเรียบเนียนขึ้น รูขุมขนแลดูกระชับขึ้น พร้อมลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลง เพราะผิวของคุณมักจะต้องเจอปัญหาผิวหน้าร่วงโรยซึ่งเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ ฝุ่นควันภายนอก หรือแม้ว่าจะเกิดขึ้นจากความเครียด พักผ่อนน้อยก็ตาม เราก็สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผิวของคุณได้ โดย เอสเซ้นส์บำรุงผิวหน้า ขวดนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก Life Plankton™ Essence สูตรดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมอยู่ก่อนหน้านี้ ซึ่ง Biotherm Force Supreme Life Essence เป็นสูตรที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ตอบโจทย์กับปัญหาผิวของคุณผู้ชายได้อย่างตรงจุด พร้อมที่จะพบความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับผิวของคุณ เริ่มต้นที่เอสเซ้นส์  ของ Biotherm


ที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์จนกลายเป็น Force Supreme Life Essence เอสเซ้นส์บำรุงผิวคุณผู้ชายโดยเฉพาะ โดยมีคุณสมบัติที่ช่วยฟื้นบำรุงและปลอบประโลมผิวจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำร้ายผิวให้เสื่อมโทรม ให้ผิวหน้ากลับมาชุ่มชื้นขึ้น แลดูอิ่มน้ำ แลดูสดใสและรู้สึกถึงผิวที่มีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ทั้งยังสามารถลดความมันบนใบหน้าจึงช่วยลดสาเหตุที่ทำให้เกิดผิว พร้อมทั้งช่วยให้รูขุมขนของเราแลดูกระชับขึ้น ลดปัญหารอยดำรอยแดงต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้แลดูจางลงได้อีกด้วย โดยหากใช้เป็นประจำต่อเนื่องเราจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิวหน้า


ส่วนผสมสำคัญที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพในการบำรุงผิวหน้า และอัดแน่นอยู่ภายในเอสเซ้นส์ Biotherm Force Supreme Life Essence ขวดนี้ เริ่มต้นด้วย Life Plankton™ ระดับความเข้มข้นสูงสุดถึง 5% จึงทำหน้าที่ปลอบประโลมผิวหน้าที่เคยถูกทำร้าย อีกทั้งสามารถลดการระคายเคือง รวมถึงรอยแดงที่เกิดขึ้นกับผิวหน้า พร้อมเสริมสร้างกระบวนการที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้ผิวหน้าของเรากลับมาแลดูแข็งแรงและแลดูมีสุขภาพที่ดีขึ้น พร้อมกันนั้นยังมี Laminaria Ochroleuca Extract สาหร่ายสีน้ำตาลขนาดใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่ลดการอักเสบของผิว โดยผสานการทำงานร่วมกับ Salicylic Acid ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยลดความมันส่วนเกินบนผิวหน้า จึงสามารถลดสาเหตุของการเกิดสิวได้ นอกจากนี้ยังมี Capryloyl Salicylic Acid ซึ่งเป็นกรดชนิดหนึ่งที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวอ่อน ๆ โดยไม่ทำร้ายผิวหน้า และสุดท้ายคือการลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ พร้อมทั้งเสริมคอลลาเจนในชั้นผิว ด้วยส่วนผสมชั้นดีอย่าง Adenosine นั่นเองค่ะ 


สำหรับผลลัพธ์ที่ได้หลังจากการใช้เอสเซ้นส์บำรุงผิวหน้า Biotherm ขวดนี้จากชายกลุ่มตัวอย่าง 52 ราย ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน และ 4 สัปดาห์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้พบว่าเมื่อใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 วัน รู้สึกได้ถึงรูขุมขนที่แลดูเล็กลงถึง 77% ริ้วรอยแลดูตื้นขึ้น 71% รวมถึงผิวโดยรวมแลดูกระจ่างใสมากขึ้นถึง 81%  แล้วหลังจากใช้เป็นเวลาติดต่อกัน 4 สัปดาห์พบว่า ผิวแลดูกระชับขึ้นถึง 77% รวมถึงริ้วรอยต่าง ๆ ก็ดูลดเลือนลง 85% เลยทีเดียว แต่ถ้าหากใครต้องการพิสูจน์ประสิทธิภาพการใช้งานสามารถเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ขวดนี้ได้ แล้วมาลองดูผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าไปด้วยกัน 


ด้วยเนื้อสัมผัสของ Force Supreme Life Essence เป็นเนื้อสัมผัสแบบเนื้อลิควิดที่เข้มข้นแต่บางเบาจากส่วนผสมของ Life Plankton 5% จึงซึมซาบเข้าสู่ผิวหน้าได้ดี โดยมีขั้นตอนการใช้งานเอสเซ้นส์ขวดนี้โดยเริ่มจาก เขย่าขวดก่อนใช้งานทุกครั้ง โดยควรใช้เป็นขั้นตอนแรกสุดในการบำรุงผิว โดยหยดเอสเซ้นส์ลงบนฝ่ามือในปริมาณที่เหมาะสม จากนั้นก็ลูบไล้เบา ๆ ให้ทั่วผิวหน้าจากนั้นก็ใช้เซรั่มและครีมบำรุงตัวอื่น ๆ เป็นขั้นตอนต่อไป 


สำหรับท่านใดที่กำลังมองหาตัวช่วยในการบำรุงผิวหน้า สำหรับผิวของคุณผู้ชายโดยเฉพาะสามารถซื้อ Biotherm Force Supreme Life Essence ขนาด 100 ml ในราคา 2,550 บาทเท่านั้น รวมถึงหากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมหรือต้องการสั่งซื้อ Biotherm Force Supreme Life Essence ขวดนี้หรือผลิตภัณฑ์ตัวอื่น ๆ ของ Biotherm สามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ https://www.biotherm.co.th/ แล้วมาพบการเปลี่ยนแปลงของผิวไปด้วยกัน
 
#10766
ยินดีให้บริการ ทุกขนาดพื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#10767


สสส. จับมือภาคีเครือข่ายสุขภาพพระสงฆ์ ดันมติมหาเถรสมาคม ให้วัดดูแลผู้ป่วยโควิด-19 "1 วัด 1 จังหวัด" ชู รพ.สนามวัดสุทธิวราราม เป็นต้นแบบ พร้อมพัฒนานวัตกรรมสื่อสารเชิงสัญลักษณ์ ช่วยพระ-บุคลากรทางการแพทย์-ญาติ สร้างความเข้าใจกับผู้ป่วยติดเชื้อ ลดเสี่ยงจากสัมผัส ตั้งเป้าส่งต่อ รพ.สต. 10,000 แห่งทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 ที่วัดสุทธิวราราม กรุงเทพฯ โดยพระสุธีรัตนบัณฑิต, รศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และผู้จัดการโครงการการเสริมสร้างสุขภาวะและการเรียนรู้ตามแนวพระพุทธศาสนา สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 1 เดือน แต่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลสนามและมาตรการดูแลผู้ป่วยโควิดด้วยระบบอื่นๆ เช่น ระบบกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) ระบบชุมชน (Community Isolation) ในแต่ละวันยังคงมีอัตราที่สูง จากข้อมูลสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 โดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พบว่า มีผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลสนามและระบบอื่นๆ กว่า 80,000 คน เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลที่มี 40,000 คน พบว่ามีมากกว่าถึง 1 เท่า การวางระบบบริหารจัดการโรงพยาบาลสนามและระบบอื่นๆ ให้มีความพร้อมถือเป็นมาตรการสำคัญ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดการแพร่ระบาดในครอบครัวและชุมชมวงกว้างในสถานการณ์ที่ผู้ป่วยยังคงล้นโรงพยาบาล



พระสุธีรัตนบัณฑิต, รศ.ดร. กล่าวว่า โรงพยาบาลสนามวัดสุทธิวราราม ตั้งขึ้นในอาคารศูนย์เรียนรู้พระพุทธศาสนาและการพัฒนาสังคม ภายใต้โครงการการเสริมสร้างสุขภาวะและการเรียนรู้ตามแนวพระพุทธศาสนา สนับสนุนโดย สสส. วัดสุทธิวรารามมีรูปแบบการจัดการและวางระบบที่มีความพร้อม 5 ด้าน คือ 1.ด้านสถานที่ รองรับ 138 เตียง 2.ด้านการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย ที่ผ่านมา มีผู้เข้ารับการรักษากว่า 138 คน ปัจจุบันรักษาผู้ป่วยหายดีกลับบ้านแล้วกว่า 60 คน 3.ด้านอาหาร จัดตั้งโรงครัวทำอาหาร 3 มื้อ 4.ด้านการค้นหาผู้ป่วยและเยี่ยมผู้ป่วยในชุมชน กลุ่ม "พระไม่ทิ้งโยม" ลงพื้นที่เชิงรุกในชุมชนรอบข้าง และ 5.ด้านการสื่อสาร พัฒนานวัตกรรมด้านการสื่อสารรูปแบบรูปภาพเชิงสัญลักษณ์ 4 ภาพ โดยให้ผู้ป่วยสำรวจอาการเบื้องต้นแล้วใช้รูปภาพสื่อสารกับพระสงฆ์ บุคลากรทางการแพทย์ หรือคนในครอบครัว เพื่อลดการแพร่ระบาดจากการสัมผัส และลดปัญหาในการสื่อสาร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็ก และแรงงานข้ามชาติ โดยขยายการผลิตสื่อในรูปแบบสติกเกอร์ เพื่อส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 10,000 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเตรียมเปิดพื้นที่การเรียนรู้ Mini-Sandbox ย่านเจริญกรุง เพื่อเยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่

ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. มุ่งพัฒนาสุขภาวะองค์กรพระสงฆ์และชุมชน โดยสนับสนุนให้โรงพยาบาลสนามวัดสุทธิวรารามเป็นต้นแบบดูแลคนป่วยในวัดที่มีความพร้อมในการขยายผล พร้อมสานพลังภาคีธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติผลักดันให้มหาเถรสมาคมเห็นชอบแนวทางการดูแลคนป่วยในวัดได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยให้วัดที่มีศักยภาพจัดตั้งเป็นศูนย์พักคอยเพื่อชุมชนอย่างน้อย 1 วัด 1 จังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้มีวัดและวิทยาลัยสงฆ์ภูมิภาคต่าง ๆ ของ มจร. นำรูปแบบการจัดการของวัดสุทธิวรารามไปปรับใช้แล้ว 17 แห่ง อาทิ วัดสิงห์ กรุงเทพฯ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม วัดท่าโรงช้าง จ.สุราษฎร์ธานี วิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง จ.ลำปาง วิทยาลัยสงฆ์ร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด เพื่อช่วยให้ประชาชนที่กลับภูมิลำเนาได้เข้าถึงบริการสุขภาพ ลดภาระปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ตัดวงจรการระบาดและลดจำนวนผู้เสียชีวิตของไทย

ทั้งนี้ วัดที่สนใจจัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อชุมชนในวัด หรือหารือแนวทางการจัดตั้ง ติดต่อได้ที่เว็บไซต์ https://stopcovid.anamai.moph.go.th/dashbord_center/ โดยจะมีทีมงานประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหาแนวทางการจัดการวางระบบที่มีศักยภาพและมีความพร้อมที่ได้มาตรฐานต่อไป
#10769

PayPal ประกาศเปิดตัวแอพใหม่สำหรับการใช้งานคริปโต การออม และการฝากเงินโดยตรง โดยครอบคลุมการใช้งานหลากหลายให้ลูกค้าสามารถจัดการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ PayPal ทั้งหมดจากแดชบอร์ดเดียว

จากการรายงานของ Cointelegraph ระบุว่าก่อนหน้านี้ Dan Schulman CEO ของ PayPal กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคมว่า Super App ของบริษัทพร้อมแล้วสำหรับการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากการเผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พบว่าแอพ PayPal ในเวอร์ชั่นใหม่นี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินดิจิทัลทั้งหมดของบริษัท ซึ่งแอพใหม่นี้ครอบคลุมทั้งกรณีการใช้งานคริปโตและไม่ใช่คริปโตด้วยแท็บกระเป๋าเงินเพื่อจัดการการชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลซึ่งช่วยให้ สะดวกประหยัดเวลา

นอกจากนี้ในประกาศของ PayPal ได้ระบุถึงการเป็นพันธมิตรกับธนาคาร Synchrony Bank ในระบบออนไลน์ เพื่อจัดหาบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงผ่านแอพใหม่ โดยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการประกาศ PayPal ยักษ์ใหญ่ด้านการชำระเงินดิจิทัลเปิดเผยว่าลูกค้าสามารถรับผลตอบแทนร้อยละ 0.40 ต่อปีจากการออมด้วยแอปใหม่ และนอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถถอนรายได้จากบัญชีออมทรัพย์ไปยังยอดคงเหลือใน PayPal เพื่อใช้ในการช็อปปิ้งออนไลน์ได้อีกด้วย

ขณะที่คุณสมบัติอื่น ๆ ที่กล่าวถึง ได้แก่ การชำระบิล การคืนเงินและเงินคืน รวมถึงการฝากโดยตรง ซึ่งคุณลักษณะหลังนี้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถรับการชำระเงินได้ภายใน 2 วัน

ก่อนหน้านี้ PayPal ยังบอกด้วยว่ามีแผนจะเพิ่มคุณสมบัติเพิ่มเติมให้กับแอปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งรวมถึงการชำระเงินด้วยรหัส QR แบบออฟไลน์และความสามารถในการลงทุน ในเดือนสิงหาคมโดย Cointelegraph รายงานว่า PayPal กำลังพิจารณาที่จะขยายธุรกิจเข้าสู่เวทีการซื้อขายหุ้นรายย่อย

อย่างไรก็ตามการประกาศแอปสำหรับลูกค้าใหม่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่บริษัทเปิดตัวการซื้อขาย crypto สำหรับผู้ใช้ในสหราชอาณาจักร ขณะที่ก่อนหน้านี้ Schulman ได้โต้แย้งว่าการชำระเงินทางดิจิทัลจะมีมากขึ้น โดยระบุในเดือนธันวาคม 2020 ว่าถึงเวลาแล้วสำหรับการยอมรับ cryptocurrencies เป็นหนึ่งในการชำระค่าสินค้าและบริการหลัก
#10770


บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ฉลองครบรอบการดำเนินงาน 129 ปี ในการสร้างความมั่นคงและตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคมไทย ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการเป็นพันธมิตรที่ไว้วางใจได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (Trusted Partner for Better Life)

เชลล์ ประเทศไทย เดินหน้ายุทธศาสตร์ "Powering Progress" โดยการผนึกความร่วมมือและสร้างคุณค่าให้กับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อเร่งขับเคลื่อนสู่การเป็นธุรกิจพลังงานที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์และบริการ ผลักดันการเจริญเติบโตของธุรกิจที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมเคียงข้างสังคมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดของโควิด-19

จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ควิกชาร์จ (EV)
จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ควิกชาร์จ (EV)

ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เชลล์ได้ประกาศเป้าหมายในการเป็นธุรกิจพลังงานที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั้งจากการดำเนินงานและจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ จำหน่ายให้เป็นศูนย์ พร้อมทั้งได้เปิดตัวพลังงานทางเลือกใหม่ในธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น Lubricant ได้แก่ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้เกรด พรีเมี่ยม เชลล์ เฮลิกส์ อัลตร้า 0W สูตรใหม่ คาร์บอนนิวทรัล (Carbon Neutral) ที่ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเพียวพลัส (PurePlus Technology) นอกจากนี้ในเดือนมีนาคม เชลล์ยังได้เปิดตัวจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ควิกชาร์จ (EV) ภายใต้แบรนด์ Shell Recharge เป็นครั้งแรกอีกด้วย

นายปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า " ตลอดระยะเวลาที่เชลล์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย เชลล์ได้มีส่วนร่วมในการสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจและสังคมมาอย่างยาวนาน ในการก้าวเข้าสู่ปีที่ 130 เราจะยังคงเดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศไทยตามยุทธศาสตร์หลักของเรา โดยนำความเชี่ยวชาญในระดับโลกของเชลล์มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความจำเป็น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงให้น้อยที่สุด ควบคู่กันกับการดูแลเคียงข้างสังคมในทุกสถานการณ์ เพื่อสร้างการเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจไทยต่อไป"

พลังงานทางเลือกใหม่ เชลล์ เฮลิกส์ อัลตร้า 0W
พลังงานทางเลือกใหม่ เชลล์ เฮลิกส์ อัลตร้า 0W

สำหรับการสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจนั้น เชลล์มุ่งตอบสนองต่อความต้องการด้านพลังงานและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ด้วยการจับมือกับพันธมิตรเปิดตัวโซลูชั่นใหม่อยู่เสมอ เช่น การร่วมมือกับอีซี่ฮอล เพื่อช่วยให้การขนส่งมีความปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงร่วมมือกับธุรกิจเดลิเวอรี่ชั้นนำเพื่อดูแลพนักงานจัดส่งสินค้าท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ในด้านการดูแลสังคมนั้น เชลล์ได้ยกระดับการดูแลสังคมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มีความปลอดภัย เดินหน้ามาตรการป้องกันรอบด้านเพื่อดูแลสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ตลอดจนเร่งระดมความช่วยเหลือ โดยเฉพาะความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เช่น สภากาชาดไทยและโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาด นอกจากนี้เชลล์ยังเดินหน้าสร้างความมั่นใจในเรื่องการจัดสรรพลังงานที่จำเป็นและสะอาดขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนอย่างพอเพียง

สนับสนุนโรงพยาบาลรามาธิบดีรักษาผู้ป่วย
สนับสนุนโรงพยาบาลรามาธิบดีรักษาผู้ป่วย

นอกจากนี้ ตามเจตนารมณ์ในการเป็นพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ เชลล์ ประเทศไทย ได้ดำเนินโครงการเพื่อสังคมด้านต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชน อาทิ "เชลล์เติมสุข" โครงการภายใต้แนวคิด Community Skills and Enterprise Development (CSED) ที่เน้นการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กและชุมชนผู้สมควรได้รับโอกาส ผ่านการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและทักษะอาชีพ รวมถึง โครงการ "Road Safety" ที่ช่วยรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน