• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#10711
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.)เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและค่าบริการที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ใช้ในการจัดทำข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค การคำนวณดัชนีข้างต้นเกิดจากการเปรียบเทียบราคาสินค้าและบริการจำนวน 430 รายการ ใน 7 หมวดที่จำเป็นต่อการครองชีพ ได้แก่ (1) หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (2) หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า (3) หมวดเคหสถาน (4) หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล (5) หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร (6) หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาฯ และ (7) หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เปรียบเทียบกับราคาในปีฐาน และคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงเป็นอัตราเงินเฟ้อโดยอัตราเงินเฟ้อล่าสุด เดือนกันยายน 2564เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัว1.68% ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น

และเมื่อพิจารณาเป็นรายสินค้าและบริการจะพบว่า สินค้าและบริการที่ราคาเพิ่มขึ้น 204 รายการ เช่น น้ำมันปาล์ม 1 ลิตร ราคาเฉลี่ยเดือนกันยายน เท่ากับ 47.03 บาท เพิ่มขึ้น 11.11 บาท จากเดือนเดียวกันของปีก่อน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ราคาเฉลี่ยเดือนกันยายน เท่ากับ 30.43 บาท เพิ่มขึ้น 8.07 บาท จากเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นต้น


 

สินค้าและบริการที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 69 รายการ เช่น ค่าโดยสารรถประจำทาง ค่าบริการใช้โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น สินค้าและบริการที่ราคาลดลง 157 รายการ เช่น เนื้อสุกร ส่วนสันนอก1 กิโลกรัม ราคาเฉลี่ยเดือนกันยายน เท่ากับ 153.74 บาทลดลง 8.83 บาท จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ข้าวสารเจ้า 1 กิโลกรัม ราคาเฉลี่ยเดือนกันยายน เท่ากับ 39.54 บาท ลดลง 4.90 บาท จากเดือนเดียวกันของปีก่อน และค่าธรรมเนียมการศึกษา โรงเรียนรัฐบาล ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ราคาเฉลี่ยเดือนกันยายน เท่ากับ 5,232.32 บาท ลดลง 178.75 บาท จากเดือนเดียวกันของปีก่อน เป็นต้น

ADVERTISEMENT


นายรณรงค์กล่าวว่า การที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าค่าครองชีพสูงขึ้น ทั้งที่เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก อาจจะมีสาเหตุจากค่าใช้จ่ายในสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสูงขึ้น เช่น กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยวข้าวราดแกง อาหารเช้า และอาหารตามสั่ง รวมทั้ง น้ำมันเชื้อเพลิง

 
#10712
ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันพุธ(20ต.ค.)ปรับตัวขึ้น 91 เซนต์ หลังสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนพ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น  91 เซนต์ ปิดที่ 83.87 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ ปิดที่ 85.82 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 400,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล

สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (เอพีไอ) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว


อีไอเอ ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ ลดลง 2.4 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 5.4 ล้านบาร์เรล

ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 3.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.4 ล้านบาร์เรล

 


นอกจากนี้ ราคายังได้แรงหนุนจากความต้องการใช้พลังงานของจีน ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น, การที่ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าหันมาใช้น้ำมันดิบและน้ำมันดีเซล หลังการพุ่งขึ้นของราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ, อุปสงค์น้ำมันที่พุ่งขึ้นจากการเปิดเศรษฐกิจของหลายประเทศ

รวมทั้งจากการที่ซาอุดีอาระเบียได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องจากสหรัฐที่ต้องการให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีกเพื่อสกัดราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นในขณะนี้

ทั้งนี้ โอเปกพลัสมีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 400,000 บาร์เรล/วันในเดือนพ.ย. แม้ว่าหลายประเทศ เช่น สหรัฐและอินเดีย ต่างกดดันให้โอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน

นักลงทุนจับตาการประชุมของโอเปกพลัสในวันที่ 4 พ.ย.เพื่อกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันสำหรับเดือนธ.ค.
#10713
เตรียมเปิดฉากงานสัมมนาระดับภูมิภาค PropertyGuru Asia Real Estate Summit 2021 การประชุมด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นปีที่ 7 ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และกรณีศึกษา กับผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนและเทคโนโลยีชั้นนำของภูมิภาคถึง 3 ประเด็นแห่งอนาคต PropTech, สมาร์ทซิตี้, ความยั่งยืน ที่มาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอสังหาฯ 2021 พร้อมไฮไลท์งานประกาศรางวัล PropertyGuru Tech Innovation Award และรางวัลด้านผู้มีวิสัยทัศน์แห่งปี (Visionary of the Year) ในรูปแบบออนไลน์ วันที่ 8 ธันวาคม 2564

บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู จำกัด (PropertyGuru) บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีอสังหาริมทรัพย์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศจัดงาน PropertyGuru Asia Real Estate Summit: Virtual Edition 2021 สุดยอดการประชุมที่รวมเอาผู้นำทางความคิดและสุดยอดเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ของโลก พร้อมจัดประชุมในรูปแบบออนไลน์วันที่ 8 ธันวาคม 2564 นี้ ผ่านทางเว็บไซต์ AsiaRealEstateSummit.com

 
#10714
นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกล. (UAC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เดินหน้าเน้นโนบายการลงทุนด้าน Energy Efficiency และ Bio Circular Economy ทั้งในประเทศ และกลุ่ม CLMV อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเร่งผลักดันการช่วยเหลือสังคมและชุมชน โดยการต่อยอดแนวคิดจากโครงการจัดการขยะ ที่บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แตกไลน์ธุรกิจเพื่อให้บริการติดตั้งเครื่องจักร และให้เช่าเครื่องจักรบดขยะ และเครื่องคัดแยกขยะให้บริษัท เอส อาร์ ทู แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจด้านการผลิตเชื้อเพลิง RDF3 จากบ่อขยะชุมชน เพื่อส่งให้โรงงานปูนซีเมนต์ใช้เป็นเชื้อเพลิง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2564 บริษัทฯ ได้เข้าไปส่งมอบและทดสอบระบบเครื่องบดและเครื่องคัดแยกขยะที่บ่อขยะซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งบ่อขยะดังกล่าวเดิมมีปริมาณขยะตกค้างประมาณ 300,000 ตัน และมีขยะสดเข้ามาวันละกว่า 400 ตันต่อวัน โดยระบบเครื่องบดและขยะสามารถทำงานได้ตามเป้าหมาย ผลิตเชื้อเพลิง RDF3 ได้วันละกว่า 150 ตัน

"จากความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ซึ่งถือเป็นแนวทางปฏิบัติเสมอมา จึงได้ให้ความสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาปริมาณขยะในชุมชน ในการจัดหาเครื่องบด และเครื่องคัดแยกขยะที่ดีให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ขาดเงินทุน แต่มีโครงการที่ดี มีความสามารถ และมีประสบการณ์ในการเพิ่มมูลค่าขยะทิ้งแล้วนำกลับมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรที่ให้ความสนใจในการทำธุรกิจร่วมกันในธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะต่อไป" นายชัชพล กล่าว
#10715
ยินดีให้บริการ ทุกขนาดพื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#10716
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10718
WHART ประกาศเดินหน้าลงทุนเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่ารวมไม่เกิน 5.55 พันล้านบาท มีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 184,329 ตารางเมตร พร้อมเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินไปแตะที่ระดับ 48,000 ล้านบาท

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน (Sponsor) และผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) (เพิ่มทุนครั้งที่ 6) เป็นกองทรัสต์ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าและโรงงาน ที่สัญญาระยะยาวส่วนใหญ่จากผู้เช่าหลากหลายแบรนด์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปในฐานะผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ได้ขายสินทรัพย์เข้า WHART อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรูปแบบการพัฒนาโครงการของ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปจะโฟกัสที่โครงการ Built- to-Suit และ General Warehouses ที่มีมาตรฐานระดับพรีเมี่ยม รวมทั้งยังมีการให้บริการโซลูชั่นครบวงจร ทั้งระบบสาธารณูปโภค แพลตฟอร์มโครงสร้างด้านพลังงาน และระบบดิจิตอลโดยโครงการของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ความต้องการสูง ในบริเวณถนนบางนา-ตราดและพื้นที่ที่สอดรับกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งพื้นที่บนจุดยุทธ์ศาสตร์ดังกล่าวถือเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมเป้าหมายหลักด้านโลจิติกส์ของประเทศไทย  

 

 

ทั้งนี้ในปัจจุบัน กองทรัสต์ WHART มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนในกรรมสิทธิ์สิทธิการเช่าและสิทธิการเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ไปแล้ว 31 โครงการ หรือมีพื้นที่เช่าอาคารประมาณ 1,398,352 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมของที่ระดับ 42,638.93 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปที่ยังคงเป็นผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ในการนำทรัพย์สินคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเข้ากองทรัสต์ WHART ทุกปีต่อเนื่อง


"ในปีนี้ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปได้นำทรัพย์สินจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ ดับบลิวเอชเอเมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) และ โครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์คตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกงจังหวัดฉะเชิงเทรา เข้ากองทรัสต์ WHART (เพิ่มทุนครั้งที่6) โดยทั้ง 3 โครงการ มีกลุ่มผู้เช่าในกลุ่มธุรกิจที่เติบโต อาทิ กลุ่มธุรกิจ E-Commerce , FMCG และ Logistic ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว"  

 

นายอนุวัฒน์ จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัดในฐานะผู้จัดการ WHART กล่าวว่า สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 6 เพื่อลงทุนในทรัพย์สินหลักเพิ่มเติมครั้งที่7 เป็นการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจำนวน 3 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 5,550 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ จะส่งผลให้ WHART มีมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์แตะที่ระดับกว่า 48,000 ล้านบาท และมีพื้นที่เช่าภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นเป็น 1.58 ล้านตารางเมตร ซึ่งทำให้กองทรัสต์ WHART รักษาความเป็นผู้นำของกองทรัสต์ประเภทศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าและโรงงานที่ใหญ่ที่สุดประเทศไทย อีกทั้งการลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินหลักในครั้งนี้ ยังช่วยสร้างการเติบโตและมั่นคงให้กับรายได้ของกองทรัสต์อย่างมั่นคงและยั่งยืน และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นหน่วยอย่างสม่ำเสมอ

สำหรับความโดดเด่นของทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งนี้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการที่กองทรัสต์WHART จะเข้าลงทุนเป็นโครงการคลังสินค้าประเภท Built-to-Suit จำนวน 2 โครงการ และโครงการประเภท General Warehouses จำนวน 1 โครงการ โดยมีพื้นที่เช่าอาคารรวม 3 โครงการประมาณ184,329 ตารางเมตร  ประกอบด้วยโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (วังน้อย 62) ตั้งอยู่ที่ อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ถนนบางนา-ตราด กม. 23 โปรเจค 3) ตั้งอยู่ที่อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ และโครงการดับบลิวเอชเอ อี คอมเมิร์ซ พาร์คตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา 

 

ขณะที่ การเพิ่มทุนของกองทรัสต์ WHART ครั้งนี้จะเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวนไม่เกิน 385,898,000 หน่วย โดยจะเสนอขายให้แก่ ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยทรัสต์ที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 21 ต.ค.2564 ในอัตราส่วน 1 หน่วยทรัสต์เดิมต่อ 0.1181 หน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติม สำหรับผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อ สามารถจองซื้อ ระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย.2564 ซึ่งผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมที่มีสิทธิจองซื้อสามารถจองซื้อตามสิทธิที่ได้รับจัดสรร เกินกว่าสิทธิ หรือน้อยกว่าสิทธิที่ได้รับการจัดสรรก็ได้และจะทำการชำระเงินจองซื้อที่ราคาสูงสุด 12.90 บาท/หน่วย และหากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า ราคาสูงสุดจะทำการคืนเงินส่วนต่างราคาให้กับผู้จองซื้อ 

 

สำหรับประชาชนทั่วไป (Public Offering) ซึ่งเป็นบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ จะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 16-19 พ.ย.2564 โดยการจองซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ K-My Invest หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา
#10719
'หุ้นไทย' วันนี้ (19 ต.ค.) ปิดตลาดร่วงที่ 13.53 จุด หรือ0.82% อยู่ที่ระดับ 1,630.39 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 96,547.30ล้านบาท โบรกชี้ตลาดยังไร้ปัจจัยใหม่และนักลงทุนซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมายเทขายทำกำไร มองโน้มดัชนีแนวรับ1,615-1,620 จุด แนวต้าน1,650 จุด ในช่วงที่เหลือสัปดาห์นี้

ความเคลื่อนไหวตลาด 'หุ้นไทย' วันนี้ (19 ต.ค.) ปิดตลาดร่วงที่ 13.53 จุด หรือ0.82% อยู่ที่ระดับ 1,630.39 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 96,547.30ล้านบาท

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกหรือลบใหม่เข้ามากระทบ อย่างไรก็ดี คาดว่าการปรับตัวลงของตลาดหุ้นมาจากการขายทำกำไร (Take Profit) ของนักลงทุน เพราะช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น Outperform ภูมิภาค รวมถึงเป็นแรงขายทำกำไรภายหลังปรับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,650 จุด

สำหรับแนวโน้มดัชนีในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้คาดว่าจะมีแนวรับที่ 1,615-1,620 จุด และแนวต้านที่1,650 จุด โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเศรษฐกิจ เพราะคาดว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยเลือก ADVANC AEONTS KBANK CPALL TOP และ CPN เป็นหุ้นเด่น



ขณะเดียวกันบล.เอเชียพลัส  ประเมินด้วยว่า  ในระยะสั้นตลาดหุ้นโลกมีโอกาสอยู่ในภาวะผันผวนได้ต่อ หลังสัญญาณการอ่อนตัวลงเศรษฐกิจจีนอาจเพิ่มความท้าทายต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกได้ รวมไปถึงการเดินหน้าลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ทั้งการลดวงเงิน QE (QE Tarping) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบัน ตลาดการเงินยังให้น้ำหนัก และคาดการว่าการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเกิดขึ้นในปี 2565 สังเกตจาก Bond Yield สหรัฐ ทั้งระยะสั้น และระยะกลางมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ และ ASPS คาดจะส่งผลให้ Bond Yield ไทยปรับขึ้นตามไปด้วย โดยประเมินเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มในธนาคารณพาณิชย์ (KBANK, SCB) และกลุ่มประกันชีวิต (BLA)

อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อมั่นว่าภาพรวมตลาดหุ้นโลกในระยะกลาง-ยาวยังยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เพราะแม้ระยะสั้นจะเผชิญความผันผวนจากประเด็นข้างต้นบ้าง แต่การลดระดับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นการตอกย้ำมุมมองว่าการเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว ซึ่งจะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นโลกปรับขึ้นได้ต่อในระยะถัดไป
#10720
บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ เสนอขายหุ้นกู้ นักลงทุนทั่วไป-สถาบัน วงเงิน 5,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี 3 เดือน จ่ายดอกเบี้ยคงที่ 3.55% ต่อปี เปิดจองซื้อ 9-11 พ.ย.64 ผ่านสถาบันการเงิน 13 แห่ง

วันที่ 19 ตุลาคม 2564 นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทเสนอขายหุ้นกู้ TPIPP ครั้งที่ 2/2564 มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 5,000 ล้านบาท จำนวนหน่วยที่เสนอขายไม่เกิน 5 ล้านหน่วย อายุ 4 ปี 3 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2569 กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.55% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยจะเริ่มชำระดอกเบี้ยงวดแรก 12 กุมภาพันธ์ 2565

สำหรับการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จะเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไป (Public Offering) มูลค่าหุ้นกู้ที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท นักลงทุนที่สนใจสามารถแสดงความจำนงซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้13 ราย โดยกำหนดให้นักลงทุนชำระเงินจองซื้อในวันที่ 9-11 พฤศจิกายน 2564

1.ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)

2.บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด


3.บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน)

4.บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด

5.บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน)

6.บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)

7.บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด

8.บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

9.บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)


10.บริษัทหลักทรัพย์อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

11.บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน)

12.บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ

13.บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)

 

โดยวัตถุประสงค์การออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อชำระคืนหุ้นกู้บางส่วนที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 และใช้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 2 โครงการที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดนครราชสีมา โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2566

"ผลประกอบการของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยมีกำไรที่มั่นคงจากโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ รวมถึงสัดส่วนภาระหนี้สินทางที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น D/E จำนวน 0.52 เท่า (สิ้นงวด 6 เดือนปี 64) อีกทั้งมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้นั้นค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และทำให้บริษัทมีผลกำไรเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 64 รายได้ของบริษัทอยู่ที่ 5,706 ล้านบาท เติบโต 3.28% และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 2,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ยังคงต่ำอยู่ที่ประมาณ 2 เท่า ในเดือนม มิ.ย 64"

นายภัคพล กล่าว่า บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะแสวงหาการลงทุนใหม่ๆ ทั่วประเทศเพื่อเติมเต็มผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมา TPIPP ได้ชนะการประมูลในโรงไฟฟ้าพลังงานขยะจำนวน 2 โครงการ ที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดนครราชสีมา โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง ได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ 7.92 และ 9.9 เมกะวัตต์ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเข้าร่วมในการประมูลสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่หลายโครงการ และได้ยื่นเรื่องการขอทำสัญญาเสนอการขายไฟให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ RDF (TG7) ขนาดกำลังการผลิตจำนวน 40 เมกกะวัตต์ (MW) คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้
#10721
ยินดีให้บริการ ทุกขนาดพื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#10722
หุ้นไทยภาคเช้าปิดลบ 13.66 จุด รับแรงขายทำกำไรในหุ้นใหญ่ หลังราคาปรับขึ้นแรงพอสมควร รอติดตามผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 64 ที่จะทยอยประกาศ เริ่มจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกังวลเงินเฟ้อ เฟดลดมาตรการคิวอีในปีนี้

ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เคลื่อนไหวในแดนลบ รับแรงขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่นำโดยกลุ่มท่องเที่ยว พลังงาน และธนาคารพาณิชย์ หลังราคาปรับขึ้นสูงพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา และจะเริ่มทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 เริ่มที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลภาวะเงินเฟ้อ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดการใช้มาตรการคิวอีภายในปีนี้ ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ 1,630.26 จุด ลดลง 13.66 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.83% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 62,564.73 ล้านบาทขณะที่ ดัชนีสูงสุดอยู่ที่ 1,649.66 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 1,629.32 จุด


หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่

HENG ปิดที่ 3.02 บาท เพิ่มขึ้น 1.07 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5,008.92 ล้านบาท

KBANK ปิดที่ 141.00 บาท ลดลง 4.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,716.98 ล้านบาท

SCC ปิดที่ 393.00 บาท ลดลง 9.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,278.00 ล้านบาท

AOT ปิดที่ 65.25 บาท ลดลง 1.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,773.91 ล้านบาท

BANPU ปิดที่ 12.80 บาท ลดลง 0.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,617.40 ล้านบาท

 

หลักทรัพย์ที่กดดัชนีมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่

AOT ปิดที่ 65.25 บาท ลดลง 1.75 บาท มีผลต่อดัชนี -2.1659 จุด

PTT ปิดที่ 39.50 บาท ลดลง 0.50 บาท มีผลต่อดัชนี -1.2373 จุด

SCC ปิดที่ 393.00 บาท ลดลง 9.00 บาท มีผลต่อดัชนี -0.9356 จุด

KBANK ปิดที่ 141.00 บาท ลดลง 4.00 บาท มีผลต่อดัชนี -0.8211 จุด

PTTGC ปิดที่ 65.00 บาท ลดลง 1.75 บาท มีผลต่อดัชนี -0.6836 จุด
#10724
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10725
การเลือกวัสดุกันซึมให้เหมาะสมกับการใช้งาน
โครงสร้างอาคารแต่ละหลังประกอบไปด้วยหลายหลากองค์ประกอบที่สำคัญ โดยหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ต้องมีให้ได้เลยก็คือระบบกันซึมของอาคาร ที่จะทำหน้าที่ปกป้องการรั่วซึมของน้ำอีกทั้งจากด้านนอกและข้างในอาคาร รวมไปถึงการช่วยป้องกันความร้อนและก็กันซึมตามพื้นผิวภายในด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าวการเลือกน้ำยากันซึมให้เหมาะสมกับงานกันซึมที่พวกเราต้องการก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน วันนี้จะมาแนะนำอย่างคร่าวๆว่าวัสดุแบบใดเข้ากับงานแบบไหนมากยิ่งกว่ากัน

1. กันซึมดาดฟ้า
ดาดฟ้าเป็นโครงสร้างด้านนอกอาคารที่สำคัญมากที่สุด เพราะอยู่สูงที่สุด จำต้องรองรับอีกทั้งความร้อนจากแดด ลม และฝน มีความเสี่ยงที่จะมีน้ำขังรวมทั้งทำให้เกิดการรั่วซึมได้ง่ายที่สุดถ้าเกิดไม่ได้รับการป้องกันอย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ทีแรกเริ่มการก่อสร้าง ใครอีกหลายๆคนไม่ทราบว่าคอนกรีตอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการทำดาดฟ้า แต่ยังจะต้องเสริมเกราะปกป้องด้วยการทาน้ำยากันซึมบนดาดฟ้าอีกชั้นเพื่อปกป้องไม่ให้มีน้ำรั่วซึมลงไปตามรอยแตกร้าวของอาคารได้





โพลียูริเทน เป็นที่นิยมมากที่สุดในการทำกันซึมดาดฟ้า ด้วยคอนกรีตมีการยืดหดตัวอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งเกิดรอยร้าวได้ง่าย โพลียูริเทนนี้ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับวัสดุจำพวกอื่นๆจึงเหมาะกับการทำกันซึมดาดฟ้ามากที่สุด ป้องกันรอยแตกร้าวของคอนกรีตได้มากที่สุด ถึงแม้มีฝนตกต่อกันยาวนานหลายวันก็เชื่อมั่นได้ว่าน้ำจะไม่รั่วซึมไปในตัวตึก แอบกระซิบว่า ด้วยความที่เป็นวัสดุที่แข็งแรงมากขนาดนี้ ทำให้สามารถใช้กับงานโครงสร้างข้างในได้ด้วยเช่นเดียวกัน

2. กันซึมผนัง
หากกล่าวถึงโครงสร้างตึกที่จำต้องทนแดด ทนฝน ทนต่อทุกอุณหภูมิรองจากดาดฟ้าก็คือฝาผนังหรือกำแพงนั่นเอง เนื่องจากว่าจำต้องเจอกับสภาพอากาศที่หลากหลายทำให้เสี่ยงต่อการเกิดรอยแตกร้าวได้ถ้าเกิดไม่ได้ป้องกันด้วยน้ำยากันซึมเช่นเดียวกันกับบนดาดฟ้า





อะคริลิคกันซึม มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันกับโพลียูริเทน เพียงแต่ว่ามีความยืดหยุ่นน้อยกว่า มักใช้ในงานฉาบผนังอาคารเพื่อป้องกันการแตกร้าวรวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับฝาผนังอาคาร แต่ว่าด้วยความที่วัสดุทั้งสองไม่ได้มีความแตกต่างกันมากเท่าใดนัก อะคริลิคกันซึมจึงมักถูกใช้สำหรับดาดฟ้าหรือหลังคาของอาคารด้วยเช่นกัน

3. กันซึมพื้น/กระเบื้อง
บริเวณที่ถ้าเกิดพูดเรื่องน้ำรั่วซึม จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือพื้นนั่นเอง เนื่องจากบริเวณพื้นนี่แหละที่มีน้ำขังมากที่สุดและมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดน้ำรั่วซึมไปยังโครงสร้างส่วนอื่นๆของอาคารมากกว่าผนังเสียอีก ดังนั้น น้ำยากันซึมสำหรับพื้นก็มีความสำคัญสำหรับส่วนประกอบของอาคารด้วยเหมือนกัน





โพลิเมอร์กันซึมสามารถใช้ได้ทั้งยังข้างในตึกและภายนอกอาคารที่มีวัสดุอื่นปิดทับ เนื่องจากว่ามีความยืดหยุ่นสูงแล้วก็มีความสามารถในการคงทนแม้ว่าจะมีน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ทำให้สามารถทาทับบนกระเบื้องเก่าได้เลยโดยไม่ต้องรื้อถอนออกและสามารถทาสี หรือปูกระเบื้องทับได้

น้ำยากันซึมแต่ละชนิดมีคุณลักษณะต่างกันไป และก็มีความเหมาะสมกับแต่ละสภาพผิวแตกต่างกัน ฉะนั้น ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกันกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการใช้ เนื่องจากว่าอย่างที่เกริ่นนำไว้ว่าระบบกันซึมของตึกถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากขององค์ประกอบตึกทุกหลัง