• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#10682
นักวิชาการ วิทยาลับการจัดการ มหิดล แนะ "5 Foresight of New Consumer" ภาคธุรกิจ บริหารการตลาดให้ตรงใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่เติบโตมากับโลกดิจิทัล

ผศ. ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา เราเห็นกระแสของ Digital Disruption เข้ามามีบทบาทต่อการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตอยู่แล้ว แต่ว่าอิทธิพลอาจยังมีไม่มากนักต่อคนเจเนอเรชันต่างๆ ยกเว้นคนยุคใหม่ที่ถือเป็น Digital Citizens เติบโตมากับโลกดิจิทัลอยู่แล้ว แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีนี้ นับเป็นตัวเร่งขับเคลื่อนให้ดิจิทัลเข้ามาอยู่ในชีวิตผู้คนทุกวัยรวดเร็วอย่างมาก ทั้งส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้คนให้มีความกังวลด้านสุขภาพมากขึ้น 

ผศ. ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผศ. ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ขณะเดียวกันก็มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจบางส่วน เช่น กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว การบริการ และสายสาธารณสุข เหล่านี้ทำให้เกิด New Consumer หรือผู้บริโภคมีพฤติกรรมใหม่ ที่เกิดจากการเรียนรู้ด้านดิจิทัลมากขึ้นด้วยการบีบรัดของสถานการณ์ดังกล่าว โดยมีพฤติกรรมผสมผสานระหว่างโลกออฟไลน์กับออนไลน์ ชอบทั้งทำกิจกรรมนอกบ้าน และยินดีที่จะทำกิจกรรมอยู่ที่บ้าน


จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้คาดการณ์ภาพของพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไป โดยแนะหลักการ "Foresight" 5 ข้อต่อภาคธุรกิจ ดังนี้ 

การซื้อสินค้า/บริการแบบสบายไร้ความยุ่งยาก (Frictionless shopping) เมื่อผู้บริโภคมีความเคยชินกับการสั่งอาหาร สั่งซื้อสินค้าผ่านมือถือ และเริ่มมองว่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเสียเวลารอต่อคิว หรือวนรถหาที่จอดรถในห้างฯ แล้ว ชีวิตต้องง่าย ทุกอย่างจบได้ที่ปลายนิ้วผ่านโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น เจ้าของธุรกิจต้องทำให้ร้านค้าตนเองง่ายต่อการเข้าถึงและสั่งซื้อมีบริการ สั่งง่าย ส่งง่าย มีจุด Drive-thru หรือเดลิเวอรี่ มีช่องทางการสั่งซื้อ เช่น E-Commerce หรือ Social Commerce ให้ลูกค้าค้นเจอง่ายและสั่งจองได้ไม่ยุ่งยาก 

การตลาดที่สร้างยิ้มผู้บริโภค (Entertaining Life) ผู้คนส่วนใหญ่ยังต้องการความบันเทิงในชีวิต เห็นได้จากอินฟลูเอนเซอร์ที่เน้นความสนุกสนานขำขัน จะมีผู้ติดตามมากมายหลายล้านคนหรือ ads ที่ตลกก็สร้างการจดจำได้ดีกว่าโฆษณาทั่ว ๆ ไป ดังนั้น ธุรกิจ/แบรนด์ต้องรู้จักหยิบความขบขันและความสนุกมาใส่ในการสื่อสารสินค้า หรือจัดกิจกรรมไลฟ์สดให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม มากกว่าการเน้นพูดถึงแต่คุณภาพของสินค้าเช่นเดิม

รู้จักและรู้ใจลูกค้าด้วยข้อมูล (Data-driven consumer) ผู้บริโภคมีความคาดหวังจากธุรกิจ/แบรนด์สูงขึ้นว่าต้องรู้ใจ รู้ความต้องการ เพราะในโลกดิจิทัล แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลและรู้จักลูกค้ามาก ยกตัวอย่าง แอปพลิเคชัน Amazon, Netflix มีการนำข้อมูลของลูกค้ามาทำ Recommendation ที่แสดงข้อมูลแนะนำให้สอดคล้องกับความสนใจของลูกค้า เป็นต้น ดังนั้น แบรนด์ต่างๆ จึงถูกคาดหวังว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้านั้นเช่นเดียวกัน 

4. ข้อมูลจากผู้ใช้จริงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ (Community Dependent) การเน้นสื่อสารจากแบรนด์โดยตรงอาจไม่เพียงพอและเน้นใช้สร้างการรับรู้เท่านั้น ลูกค้าในปัจจุบันจะตัดสินใจซื้อโดยพิจารณาข้อมูลจากการรีวิวของผู้ใช้จริง หรือถ้าเป็น KOLs ก็ต้องมีความจริงใจมีความน่าเชื่อถือจริงๆ 

5.  สร้างความเชื่อใจที่จริงจัง (Brands We Trust) ท่ามกลางตัวเลือกสินค้าหรือบริการที่มีมากมาย แบรนด์ต้องสร้างความเชื่อถือไว้วางใจให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น ตอบโจทย์มาตรฐานชีวิตที่สูงขึ้น เน้นความปลอดภัยสุขอนามัยและดีต่อผู้บริโภคและสังคมอย่างจริงจัง เกิดเป็นจุดเน้นที่สำคัญต่อการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่มีเป้าหมายหรือ Purpose ที่ชัดเจนในอนาคตต่อไป 
#10683
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10684
เปิดยุทธศาสตร์ "สยามพิวรรธน์" รุกตลาดรีเทลโลก ประกาศปักหมุด 11 ประเทศใน 3 ปี ประเดิมจับมือพาวิลเลียนกรุ๊ป บิ๊กอสังหาฯมาเลเซีย นำร่องเปิด 3 แบรนด์รวดในธันวาคมนี้ เผยพร้อมผนึกพาร์ทเนอร์ทั้งเอเชีย ยุโรป

นางอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เจ้าของและผู้บริหารสยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่, ไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต เปิดเผยว่า สยามพิวรรธน์พร้อมเดินหน้ารุกตลาดรีเทลในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ด้วยศักยภาพและความพร้อม โดยเริ่มศึกษาและเจรจากับพันธมิตรซึ่งเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเข้าไปลงทุนให้ได้ 11 ประเทศภายในระยะเวลา 3 ปี

 

"วันนี้แพลตฟอร์มของธุรกิจรีเทลเปลี่ยนแปลงไปมาก การที่จะรอให้ลูกค้าเดินมาหาเรา อาจจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นจึงต้องปรับยุทธศาสตร์ ปรับกลยุทธ์ในเชิงรุก ด้วยการเดินหน้าเข้าหาลูกค้า การเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ"

 

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีฐานข้อมูลลูกค้าชาวต่างชาติจำนวนมาก รู้ว่าใครคือกลุ่มเป้าหมาย แต่ละกลุ่มต้องการอะไร เลือกซื้ออะไร ใช้เงินเท่าไร ชอบ-ไม่ชอบอะไร ล้วนเป็นข้อมูลทำให้สามารถคัดสรรและเลือกสิ่งที่ตรงใจลูกค้าได้

สยามพิวรรธน์ ขยับทัพบุกรีเทลโลก 3 ปี 11 ประเทศ
สยามพิวรรธน์ ขยับทัพบุกรีเทลโลก 3 ปี 11 ประเทศ

ทั้งนี้บริษัทเริ่มศึกษาแผนการลงทุนในต่างประเทศมาต่อเนื่อง ก่อนที่จะเริ่มเต็มตัวในช่วงปีก่อน และล่าสุดได้เปิดตัวพันธมิตรรายแรกคือ พาวิลเลียนกรุ๊ป (Pavilion Group) เจ้าของและผู้บริหารห้างระดับไฮเอนท์ และอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์การค้าพาวิลเลียน บูกิต จาลิล (Pavilion Bukit Jalil) ไลฟ์สไตล์มอลล์ที่ใหญ่ที่สุดทางใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์

 


ในการเข้าไปเปิดโซนดิสคัฟเวอรี่ สยาม บนพื้นที่กว่า 1,200 ตร.ม. โดยภายในโซนนี้จะประกอบไปด้วย 3 แบรนด์ ได้แก่ ร้าน ICONCRAFTร้าน Absolute Siam และร้าน Ecotopia ซึ่งทั้ง 3 แบรนด์เป็นคอนเซ็ปท์ สโตร์ที่มีโพสิชั่นนิ่งแตกต่างกัน แต่ทุกร้านจะมีอัตลักษณ์ความเป็นไทย ที่นำเสนอสินค้าไทย จากช่างฝีมือคนไทยในหมวดสินค้าต่างๆ และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย

อุสรา ยงปิยะกุล
อุสรา ยงปิยะกุล

ลูกค้าชาวมาเลเซียถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ มีกำลังซื้อสูง เป็นลูกค้าหลัก มีจำนวนมากติดอันดับ 1 ใน 5 ลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าทั้ง 3 แห่งคือสยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์และสยามดิสคัฟเวอรี ร่วมกับลูกค้าชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลีและยุโรป ขณะที่การใช้จ่ายของลูกค้าคนไทยเฉลี่ยกว่า 2,000 บาทต่อคนต่อครั้ง ขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติเฉลี่ย 3,500 บาทต่อคนต่อครั้ง สูงกว่าคนไทย 30-40%

 

โดยเบื้องต้นทั้ง 3 แบรนด์ที่เปิดให้บริการในมาเลเซีย จะวางจำหน่ายกว่า 1,000 รายการ จากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 300 ราย ถือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้ก้าวสู่ตลาดโลกด้วย สำหรับการลงทุนในมาเลเซีย บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาให้ได้ 3 แห่งภายในระยะเวลา 2 ปี รวมทั้งนำเสนอสินค้าที่มีความเป็นไทย อาทิ สุขสยาม ฯลฯ เพิ่มเติมต่อเนื่องในแพลตฟอร์มต่างๆ ด้วย

สยามพิวรรธน์ ขยับทัพบุกรีเทลโลก 3 ปี 11 ประเทศ
สยามพิวรรธน์ ขยับทัพบุกรีเทลโลก 3 ปี 11 ประเทศ

"หนึ่งในนโยบายหลักของสยามพิวรรธน์ คือต้องการผลักดันแบรนด์ไทยให้เป็นที่รู้จักและสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ ผลักดันให้ Local Hero เติบโตไปสู่การเป็น Global Hero ต่อยอดสู่การค้าขายในเวทีโลก"

 

ทั้งนี้พาวิลเลียน กรุ๊ป เป็นหนึ่งพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้ร่วมเป็น Global Privilege Partners ของสยามพิวรรธน์ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก ที่ผ่านมาได้มอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้าของศูนย์การค้าต่างๆ ที่อยู่ในความร่วมมือมาโดยตลอด นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังมีพันธมิตรมากมายในหลายประเทศ ซึ่งล้วนมีศักยภาพและสามารถต่อยอดในการจับมือร่วมกันในการขยายการลงทุน

สยามพิวรรธน์ ขยับทัพบุกรีเทลโลก 3 ปี 11 ประเทศ
สยามพิวรรธน์ ขยับทัพบุกรีเทลโลก 3 ปี 11 ประเทศ

โดยขณะนี้เริ่มศึกษาและเจรจาแล้วในหลายประเทศ อาทิ จีน ยุโรป สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ ขณะที่บางประเทศพร้อมที่จะให้เข้าไปลงทุนเร็วที่สุด โดยเบื้องต้นวางแผนงานที่จะเข้าไปลงทุนใน 11 ประเทศในระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้

 

นางอุสรา กล่าวอีกว่า รีเทลวันนี้เปิดกว้าง มีหลากหลายแพลตฟอร์มที่ให้เข้าไปทำได้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความพร้อม ซึ่งวันนี้เองสยามพิวรรธน์ก็เข้าร่วมในหลายแพลตฟอร์ม ทั้งแพลตฟอร์มที่มีอยู่ในประเทศนั้นๆ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ที่บริษัทได้เข้าไปร่วม พร้อมนำสินค้าไปวางจำหน่ายแล้ว รวมทั้งแพลตฟอร์มที่บริษัทร่วมกับพาร์ทเนอร์พัฒนาขึ้นเอง

สยามพิวรรธน์ ขยับทัพบุกรีเทลโลก 3 ปี 11 ประเทศ
สยามพิวรรธน์ ขยับทัพบุกรีเทลโลก 3 ปี 11 ประเทศ

อย่างไรก็ดี แม้วันนี้กลุ่มธุรกิจค้าปลีกจะสร้างรายได้ในสัดส่วนราว 20% ของผลประกอบการรวมทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นหนึ่งใน Strategic Unit ของสยามพิวรรธน์ การประกาศขยายธุรกิจในต่างประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญที่เขย่าวงการรีเทลโลกไม่น้อย
#10685
ผญ.มากินข้าวน้ำตาลต่ำข้าวโภชนาการสูงคุณภาพดีสำหรับคุณแม่ให้นมลูก
โครงการข้าวอินทรีย์  เครือข่ายข้าวอินทรีย์สุรินทร์  การผลิตข้าวอินทรีย์ต้นทุนต่ำ  ปรับเปลี่ยนปลูกข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวปลอดสารพิษ)
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวเพื่อสุขภาพสุรินทร์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  ข้าวมะลินิลออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2. ข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.   ข้าวหอมมะลิสุขภาพ, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิก, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7. ข้าวหอมผกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.  กลุ่มข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.ข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :   ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวหอมมะลิออแกนิก
2.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
3.  ข้าวปะกาอำปึลออแกนิคสำหรับทารก  ข้าวสุขภาพผกาอำปึล(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารพิษจังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค 6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลออร์แกนิค
7.  กลุ่มข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์กรมการข้าว

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#10686
  ข้าวสุขภาพปลอดสารเคมี Low Gi  น้ำตาลต่ำ วัยรุ่นควรกินข้าวออร์แกนิก  ข้าวทุ่งกุลาร้องไห้ จ.สุรินทร์
ข้าวอินทรีย์เมืองสุรินทร์ข้าวออแกนิคสำหรับทารก  ขายข้าวอินทรีย์ส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" /  ข้าวกล้องมะลินิลออร์แกนิค คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์เลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ปลูกข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลินิล แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--12cbh7f2bxa6ba6b0a4lsdyb.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ 
3.  ข้าวสุขภาพปะกาอำปึล
4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ออร์แกนิค จ.สุรินทร์
5.  ขายข้าวกล้องหอมมะลิแดงอินทรีย์6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์สุรินทร์7. ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 
 
#10687
คปภ. จัดยิ่งใหญ่สุดยอดงาน "Thailand InsurTech Fair 2021: มหกรรมด้านประกันภัย" แบบ Virtual ครั้งแรกในประเทศไทย ระหว่าง 26-30 ตุลาคม 2564 เพื่อให้บริการผลิตภัณฑ์ราคาพิเศษแก่ประชาชน รับส่วนลดสูงถึง 35%

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. ร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย ประกอบด้วย สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย และสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน จัดงาน "Thailand InsurTech Fair 2021" มหกรรมด้านประกันภัย สุดยอดงานประจำปีที่ได้รวบรวมผลิตภัณฑ์ประกันภัยจากทุกบริษัทชั้นนำทั่วไทย และผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านการประกันภัยหรืออินชัวร์เทค (InsurTech) จากทั่วทุกมุมโลก    ให้ได้เรียนรู้ เข้าถึงสินค้าและบริการ ด้านการประกันภัยในรูปแบบต่าง ๆ

 

อีกทั้งยังได้รู้จักเครือข่าย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แล:อัปเดตพร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรม ๆ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อนำต่อยอดธุรกิจให้เกิดคุณค่าสูงสุดกับผู้บริโภคและธุรกิจ โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-30 ตุลาคม 2564 นี้ พร้อมเชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้จะเป็นเวทีระดมความคิดเห็นกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัย สนับสนุนรูปแบบการเข้าถึงการประกันภัยและสร้างการเรียนรู้ให้แก่ประชาชน รวมไปถึงส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย

 

เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การจัดงานมหกรรมด้านประกันภัย หรือ  "Thailand InsurTech Fair 2021"  ถือว่าเป็นการจัดงานในรูปแบบออนไลน์ Virtual ครั้งแรกในประเทศไทย นับเป็นการปรับโมเดลและยกระดับการจัดงานจากที่ผ่าน ๆ มาของสำนักงาน คปภ. ด้วยผลสืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จนเกิดวิถีชีวิตใหม่ New Normal  ประกอบกับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของนวัตกรรมเทคโนโลยีจนก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างรวดเร็ว

 


ดังนั้นจึงความจำเป็นที่ต้องเร่งนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้กับอุตสาหกรรมประกันภัยผ่านการจัดงานครั้งนี้ โดยมุ่งหวังเพื่อการส่งเสริมภาคธุรกิจประกันภัย และส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบบริการประกันภัยแบบทั่วถึงอย่างไร้รอยต่อเพื่อผลประโยชน์สูงสุดในยุคดิจิทัล ด้วยนวัตกรรมบริการ หรือ Service Innovation ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสังคมในยุค Next Normal 

สำหรับรูปแบบการจัดงานครั้งนี้  ซึ่งถือว่าแตกต่างจากงานเดิม สัปดาห์ประกันภัยที่จัดงานมากกว่า 8 ปี   โดยผู้เข้าร่วมงานสามารถทำการลงทะเบียนผ่าน www.tif2021.com ได้ตั้งแต่วันนี้  ทั้งนี้ไม่จำกัดจำนวนคนเข้างาน   ภายในงานจะได้พบกับซื้อสินค้าประกันภัยในราคาสุดพิเศษ พร้อมทั้งเรียนรู้และอัปเดตข้อมูลเทคโนโลยี ด้านการประกันภัย (InsurTech) เพื่อเพิ่มโอกาสด้านความปลอดภัย ความมั่นคงในชีวิต และทรัพย์สินของคุณและครอบครัว ในยุค New  Normal

 

สำหรับกลุ่มผู้บริหารมั่นใจว่าจะอัปเดตเทรนด์ใหม่ในแวดวงเทคโนโลยีด้านการประกันภัย (InsurTech) จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทั่วโลก เพื่อจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ        ไม่ว่าจะเป็นกับกลุ่มบริโภคเดิมกับผลิตภัณฑ์เดิม หรือกลุ่มผู้บริโภคเดิมกับผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือกลุ่มผู้บริโภคใหม่และผลิตภัณฑ์ใหม่ และค้นหา New S-Curve จาก speakers มากประสบการณ์  ด้านนักลงทุนได้พบปะ ร่วมลงทุน     ในบริษัทอินชัวร์เทคไฟแรงในตลาดที่มีโอกาสเติบโตได้สูง และเป็นที่จับตามองในวงการสตาร์ทอัพ

             พร้อมทั้งกลุ่มอินชัวร์เทคสตาร์ทอัพจะได้มีโอกาสในการนำเสนอผลงานและสร้างคอนเนคชั่นกับผู้บริหารบริษัทประกันภัยและกลุ่มนักลงทุน รวมไปถึงผู้เข้าร่วมงาน หากไอเดียเป็นที่น่าสนใจ อาจจะกลายเป็น unicorn    ตัวต่อไปของประเทศไทย และบริษัทสายเทคฯ มั่นใจว่างานนี้จะสามารถเพิ่มช่องทางเจาะตลาดธุรกิจอินชัวร์เทค ผ่านการนำเสนอโซลูชันและเทคโนโลยีแก่ผู้บริหารทุกระดับชั้น จากทุกบริษัทประกันภัยในประเทศไทยที่เข้าร่วมงาน เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งในกลุ่มตัวแทนนายหน้าประกันภัย  จะได้ข้อมูลเคล็ดลับการบริหารงานประกันภัยให้มีประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคโนโลยี  เทคนิคการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภคในทุกๆ มิติ  และเรียนรู้การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ next generation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แบบไร้ขีดจำกัด สำหรับตัวแทนและนายหน้าประกันภัย

"หวังว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นการสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมประกันภัยปรับตัวให้ทันกับความก้าวล้ำของเทคโนโลยีและนวัตกรรมภายใต้ระบบนิเวศน์ที่เหมาะสม และให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นต่อการประเมินทางเลือกและประกอบการตัดสินใจซื้อประกันภัยได้ตรงกับความต้องการและความเสี่ยงภัยของตนเองได้อย่างแท้จริง อีกทั้ง ให้ประชาชนยังสามารถเลือกซื้อประกันภัยในราคาพิเศษลดสูงสุด 30% ตลอดงานนี้" เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
#10689
ยินดีให้บริการ ทุกขนาดพื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#10691
คลัง เผย ยอดใช้จ่าย คนละครึ่ง สะสมทะลุ 8 หมื่นล้านบาท ขณะที่การใช้จ่ายผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ ล่าสุดใช้จ่ายแล้วกว่า 112 ล้านบาท

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการเปิดให้ผู้ใช้โครงการ "คนละครึ่ง ระยะที่ 3" ให้สามารถใช้สิทธิซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์ม ขณะนี้ ซึ่งมี 2 ราย ได้แก่ แกร๊บ และ ไลน์แมน โดยพบว่า ข้อมูลการใช้จ่ายสะสมผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มล่าสุด ตั้งแต่ วันที่ 4 – 7 ตุลาคม 2564โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีการใช้จ่ายสะสม 112.4  ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 57.9 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 54.5 ล้านบาท สำหรับ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้มีการใช้จ่ายสะสม 94,703 บาท และมีผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการฯ สามารถขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มแล้วกว่า 54,000 ราย


ขณะที่ ข้อมูล ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2564 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 24.76 ล้านราย จากผู้เข้าร่วมโครงการรวม 27.47 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 80,660.3 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 41,016 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 39,644.3 ล้านบาท และ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้  มีประชาชนผู้ใช้สิทธิจำนวน 79,681 คน จากจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ 497,374 ราย โดยมียอดใช้จ่ายสะสมรวมทั้งหมด 2,496  ล้านบาท โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายสะสมที่นำมาคำนวณสิทธิ อี-วอยเชอร์ 1,957 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าสะสม อี-วอยเชอร์ ทั้งสิ้นกว่า 213 ล้านบาท และมูลค่าการใช้จ่ายส่วน อี-วอยเชอร์ 110 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ยังสามารถลงทะเบียนอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่เวลา 06.00 – 22.00 น. ของทุกวัน ซึ่งสิทธิเหลือกว่า 4.4 แสนสิทธิ จาก 28 ล้านสิทธิ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือผ่าน จี-วอลเล็ทบนแอพพลิเคชัน "เป๋าตัง" สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน จี-วอลเล็ทบนแอพพลิเคชัน "เป๋าตัง" ซึ่งยังมีสิทธิคงเหลือกว่า 5.2 แสนสิทธิ จากครบ 1 ล้านสิทธิ
#10692

ผ่าขุมทรัพย์กองทุน "PIF" ของเจ้าชาย "บิน ซัลมาน" แห่งซาอุฯ มหาศาลขนาดไหน หลังเจียดเงิน 300 ล้านปอนด์ซื้อ "นิวคาสเซิล" สโมสรฟุต.เก่าแก่ของอังกฤษ มาบริหารได้สำเร็จ พร้อมขึ้นแท่นเป็นสโมสรลูกหนังรวยที่สุดในโลก

นับจากวันนี้เป็นต้นไป แฟน. "สาลิกาดง" นิวคาสเซิลที่ก่อตั้งมานาน 128  ปี จะได้เดินยืดอกอย่างเต็มที่ หลังทีมรักได้เจ้าของใหม่เป็นกลุ่มทุนซาอุดีอาระเบียที่มีทรัพย์สินมากกว่าเจ้าของสโมสรพรีเมียร์ลีกที่เหลือรวมกัน

เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกได้อนุมัติข้อตกลงซื้อขายสโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ ระหว่างไมค์ แอชลีย์ มหาเศรษฐีอังกฤษเจ้าของสโมสรคนเก่าที่บริหารทีมมา 14 ปี กับ กลุ่มทุนที่นำโดย "พับลิค อินเวสต์เมนต์ ฟันด์" (PIF) กองทุนเพื่อความมั่งคั่งของซาอุดีอาระเบีย ที่มีเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ ทรงอยู่เบื้องหลัง

ผ่าขุมทรัพย์กองทุน "PIF" แห่งซาอุฯ เจ้าของใหม่ "นิวคาสเซิล"
ผ่าขุมทรัพย์กองทุน "PIF" แห่งซาอุฯ เจ้าของใหม่ "นิวคาสเซิล"

กลุ่มทุนแยกจากรัฐ

ก่อนหน้านี้ การเจรจาดีลเทคโอเวอร์มูลค่า 300 ล้านปอนด์ (ราว 1.38 หมื่นล้านบาท) ยืดเยื้อมา 18 เดือน จนกระทั่งพรีเมียร์ลีกได้รับหลักประกันที่มีผลผูกพันตามกฎหมายจากรัฐบาลซาอุฯว่า กลุ่มทุน PIF เป็นการลงทุนที่ "แยกออก" จากรัฐ และรัฐซาอุฯจะไม่เข้าควบคุมสโมสรนิวคาสเซิล เนื่องจากกฎพรีเมียร์ลีกห้ามการเมืองแทรกแซงการจัดการของสโมสร



ภายใต้โครงสร้างใหม่ของนิวคาสเซิล กลุ่มทุน PIF จะถือหุ้นสโมสร 80% ส่วนอีก 10% จะถือโดยบริษัทไซมอน แอนด์ เดวิด รอยเบน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และอีก 10% จะเป็นของบริษัทพีซีพี แคปิตอล พาร์ทเนอร์สของ อแมนดา สเตฟลีย์ นักลงทุนชาวอังกฤษ

ผงาดทีมรวยสุดในโลก

นอกจากนี้ การเทคโอเวอร์นิวคาสเซิลจากเจ้าของทีมคนเก่ายังเป็นการจุดประกายความหวังให้สาวก "ทูน อาร์มี่" ที่เบื่อหน่ายยุคบริหารที่ไร้ความทะเยอทะยานของแอชลีย์ เพราะ "ความงก" ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา

ผ่าขุมทรัพย์กองทุน "PIF" แห่งซาอุฯ เจ้าของใหม่ "นิวคาสเซิล"
ผ่าขุมทรัพย์กองทุน "PIF" แห่งซาอุฯ เจ้าของใหม่ "นิวคาสเซิล"

ขณะเดียวกัน การเข้ามาของกลุ่มทุนกระเป๋าหนักจากซาอุดีอาระเบีย ทำให้นิวคาสเซิลยกสถานะเป็น "สโมสรที่ร่ำรวยที่สุด" ในพรีเมียร์ลีกและระดับโลก ด้วยทรัพย์สินมูลค่าสูงถึง 3.2 แสนล้านปอนด์ หรือประมาณ 14 ล้านล้านบาท มากกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ครองตำแหน่งทีมที่ร่ำรวยที่สุดมาอย่างยาวนาน

เจ้าชายซัลมาน มั่งคั่งเพียงใด

เมื่อได้เจ้าของทีมคนใหม่ แฟน.สาลิกาดงน่าจะอยากรู้จักเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มากขึ้น รวมถึงมีทรัพย์สินร่ำรวยมหาศาลขนาดไหน

ผ่าขุมทรัพย์กองทุน "PIF" แห่งซาอุฯ เจ้าของใหม่ "นิวคาสเซิล"
ผ่าขุมทรัพย์กองทุน "PIF" แห่งซาอุฯ เจ้าของใหม่ "นิวคาสเซิล"


เจ้าชายบิน ซัลมาน พระชนมายุ 36 ปี ไม่เพียงแต่เป็นมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย แต่ยังดำรงตำแหน่งผู้ปกครองประเทศในนามของรัฐบาล โดยรับตำแหน่ง "รองนายกรัฐมนตรี" เป็นประธานสภากิจการฝ่ายเศรษฐกิจและพัฒนา รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมด้วย

นอกจากนี้ เจ้าชายบิน ซัลมาน ยังนั่งตำแหน่งประธานของกองทุน PIF ซึ่งเป็นกลุ่มทุนที่ดำเนินการเข้าเทคโอเวอร์นิวคาสเซิล และมีทรัพย์สินอยู่ในการดูแลมูลค่าถึง 4.3 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณ 14.57 ล้านล้านบาท) ด้วยกัน

ขณะเดียวกัน สิ่งที่การันตีความมั่งคั่งของเจ้าชายบิน ซัลมาน ได้อย่างชัดเจนคือ การถูกบันทึกว่าเป็นเจ้าของคฤหาสน์ราคาแพงที่สุดในโลก

เมื่อปี 2015 เจ้าชายแห่งซาอุฯ จ่ายเงิน 230 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 10,587 ล้านบาท ซื้อคฤหาสน์สุดโอ่อ่า ทางตะวันตกของกรุงปารีส ฝรั่งเศส บนพื้นที่กว่า 5 หมื่นตารางเมตร ซึ่งมี 10 ห้องนอนและมีสระว่ายน้ำทั้งข้างในและข้างนอก เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์

ด้วยทรัพย์สินในราชวงศ์ที่มีอยู่มากกว่า 1 ล้านล้านปอนด์ (ประมาณ 46 ล้านล้านบาท) เจ้าชายบิน ซัลมาน จึงตัดสินใจไม่ยากนักที่จะทุ่มเงินกว่า 380 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1.75 หมื่นล้านบาท) ซื้อเรือยอชต์ขนาดใหญ่ 439 ฟุต จาก "ยูริ ชีฟเลอร์" มหาเศรษฐีธุรกิจวอดก้าของรัสเซีย เมื่อปี 2015 โดยเรือลำนี้ชื่อ "เซรีน" ถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งใน 10 เรือยอชต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

------------

อ้างอิง: CNBC, BBC, AFP
#10693
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10694


"ดีแทค" วางโรดแมปองค์กรแห่งอนาคต รับพันธกิจ "ดีทั่วดีถึง" สร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็ม พร้อมเปลี่ยนผ่านโมเดลปฏิบัติการสู่ดิจิทัล ปูทางดีแทคแอปสู่ "ซูเปอร์แอป"

หลังจาก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2532 พร้อมดำเนินธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในย่านความถี่ 800 เมกะเฮิรตซ์ และ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ภายใต้สัญญา ร่วมการงานซึ่งอยู่ในรูปแบบ "สร้าง-โอน-ดำเนินงาน" จาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (เดิมคือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย)และดำเนินการมาสู่ปีที่ 32 ในปัจจุบัน (ปี 2564)

และ จากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีครั้งใหญ่ มาพร้อมกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลง ที่เป็นแรงขับเคลื่อน 'ดีแทค' ครั้งใหญ่ พร้อมเร่งสปีดการใช้งานดิจิทัลลูกค้าดีแทค ตั้งเป้าผู้ใช้งานดิจิทัลทะลุ 10 ล้านคนต่อเดือน เพิ่มยอดลูกค้าใหม่ผ่านดิจิทัล 5 เท่า


ฮาว ริ เร็น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เราเห็นการเติบโตของการใช้ดิจิทัลที่มากขึ้นอย่างเป็นปรากฎการณ์ในกลุ่มลูกค้าดีแทค

โดย 'ดีแทค' ได้กำหนดวาระติดสปีดดิจิทัลเป็นสำคัญ โดยเเบ่งเป็นส่วน 3 ส่วน ได้แก่ 1.ยกเครื่องระบบปฏิบัติการเป็นดิจิทัล ?(Digitize the core) 2. เร่งเปลี่ยนผ่านบริการให้บริการและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในแบบเฉพาะตัว (Accelerate digital interaction) และ3.การขยายบริการดิจิทัลให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากขึ้นผ่านโมเดลการทำงานแบบเอไจล์กับพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมอื่น (Go beyond connectivity) โดยออกแบบบริการให้เข้าถึงทุกคนได้มากขึ้น

ADVERTISEMENT



สร้างธุรกิจหลักให้เป็นดิจิทัล
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของการลงทุนในระบบดิจิทัลของดีแทค ช่วยสร้างประสบการณ์ของลูกค้าให้ได้รับการบริการที่ปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก อันเป็นผลมาจากอัตราการปรับใช้ดิจิทัลเพิ่มขึ้น ศูนย์บริการดีแทคได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบดิจิทัลเป็นแบบไร้กระดาษ 100% ด้วยระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพจากการที่ใช้คนทำงานจำนวนมาก ร้านตัวแทนจำหน่ายมากกว่า 90% ได้ใช้เครื่องมือดิจิทัลในกิจกรรมการขายและบริการในแต่ละวัน

ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายดีแทคดิจิทัลทะลุ 70% ทั้งแบบเติมเงิน ชำระค่าบริการ และการซื้อบริการเสริมผ่านช่องทางของดีแทคเองและช่องทางอื่นๆ

ดีแทค ปั้นผู้ประกอบการวัยเก๋าเสริมสกิลดิจิทัลรุ่นแรก250คน รับอนาคตเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนโครงสร้าง
ดีแทค เสริมสภาพคล่องการเงินลูกค้าช่วงโควิด ปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลบนมือถือ 
กระตุ้นการใช้งานดีแทคแอป
ปัจจุบันลูกค้าดีแทคมากกว่า 46% ใช้งานดิจิทัลแอคทีฟต่อเดือน และด้วยกลยุทธ์ในการมุ่งเน้นให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมในแบบ "ดีทั่วดีถึง" ส่งผลให้อัตราผู้ใช้งานผ่าน ดีแทคแอปในกลุ่มลูกค้าในระบบเติมเงินโตขึ้น 3 เท่า และพบการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นถึง 124% ในกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด ซึ่งดีแทคได้พัฒนาและคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มต่างๆ สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

สะท้อนได้จากการพัฒนา dtac app Lite ซึ่งเป็นโมบายแอปที่ไม่ต้องดาวน์โหลดไว้ในเครื่องแต่สามารถให้บริการต่างๆ ได้เหมือนดีแทคแอป ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการด้วยเงื่อนไขทางเทคโนโลยี ทำให้มีลูกค้าดีแทคสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลได้มากขึ้น โดยแต่ละวันมีลูกค้าดีแทคราว 1 ล้านคนใช้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลของดีแทค

การสร้างสรรค์กิจกรรมในรูปแบบของเกม และสิทธิพิเศษจากดีแทครีวอร์ด Coins เป็นการดึงดูดให้ลูกค้าให้สนุกสนานในการใช้งานดิจิทัล ได้มีส่วนร่วม และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทำให้ลูกค้าเข้าสู่แพลตฟอร์มและเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นดิจิทัลในวงที่กว้างขึ้นด้วยรูปแบบการเล่นเกมลุ้นรางวัล

สำหรับช่องทางบริการ Omni-channel ยังมีแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถวิเคราะห์และนำเสนอบริการที่ตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงช่องทางดิจิทัลเท่านั้นแต่ยังสามารถขยายการให้บริการไปในช่องทางร้านค้าอื่นๆทั้งหมดได้อีกด้วย

ขยายช่องทางขายดิจิทัล เข้าถึงลูกค้า
ช่องทางการขายดิจิทัลได้ขยายออกไปอย่างไร้รอยต่อ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ด้วยการก้าวข้ามช่องทางในดีแทคเองขยายสู่ตลาด เช่น Shopee, Lazada และ JD Central รวมถึงโซเชียลมีเดียอย่าง LINE , Facebook และ WeChat

โซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นอีคอมเมิร์ซที่ขับเคลื่อนโดยโซเชียลมีเดีย ได้เติบโตขึ้นเป็นโมเดลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการผสมผสานระหว่างช่องทางดิจิทัลและหน้าร้าน ลูกค้าจะสามารถทำธุรกรรมดิจิทัลที่คุ้นเคยได้อย่างง่ายดาย ดีแทคได้พลิกโฉมการให้บริการ จากออนไลน์สู่ออฟไลน์ ในช่วงการระบาดโควิด-19 ซึ่งทำให้การให้บริการลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่น

เป็นมากกว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคม
นอกเหนือจากการเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมแบบเดิมแล้ว ดีแทคยังตั้งเป้าที่จะขยายบริการไปบริการที่มีการเข้าถึงน้อยและอัตราการเติบโตสูง ด้วยการร่วมมือในเชิงกลยุทธ์กับผู้เล่นในอุตสาหกรรม ดีแทคตั้งเป้าที่จะพัฒนาสู่อีโคซิสเต็มของพันธมิตรที่ลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากทั้งข้อเสนอที่ดีที่สุดของพันธมิตรและประสบการณ์ดีแทคที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน ด้วยโมเดลนี้ ดีแทคจะมีความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลง เติบโต และขยายบริการไปสู่บริการที่ "มากกว่า" โทรคมนาคม สะท้อนจากความร่วมมือจากบริการใจดี มีวงเงินให้ยืม ร่วมกับ LINE BK และเว็บเติมเกม Gaming Nation ได้แสดงให้เห็นความสำเร็จเบื้องต้นจากการเป็นมากกว่าผู้ให้บริการโทรคมนาคมในรูปแบบใหม่

"ดีแทคจะเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมและเป็นพันธมิตรกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมที่มีกลยุทธ์มากขึ้น เพื่อนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ ให้กับลูกค้าด้วยการมุ่งเน้นที่ชัดเจนในการส่งต่อดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ดีแทคตั้งเป้าที่จะนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ แก่ผู้ใช้ที่ใช้งานอยู่ 10 ล้านคนต่อเดือน และการเติบโต 5 เท่าของการเข้าซื้อกิจการดิจิทัลในปี 2566" ริ เร็น กล่าว
#10695
"ไทยบีเอ็มเอ" คาดเอกเชนออกหุ้นกู้ไตรมาส4/64 มูลค่า 2.18 แสนล้าน หวั่นเฟดขึ้นดอกเบี้ย ดันต้นทุนขายปีหน้าเพิ่มขึ้น หนุนทั้งปีทะลุ 1 ล้านล้าน จากปัจจุบันมียอดออกแล้ว 8.4 แสนล้าน

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า  คาดบริษัทเอกชนออกหุ้นกู้ไตรมาส 4ปี 2564 ประมาณ  218,930 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นกู้ออกใหม่ จำนวน  111,930ล้านบาท และอีกราว 107,000 ล้านบาท เป็นการออกเพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนด   เนื่องจากภาคเอกชนที่เป็นผู้ออกหุ้นกู้ คาดว่าหากเฟดเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนการออกหุ้นกู้สูงขึ้นในปีหน้า ดังนั้นจึงใช้จังหวะช่วงที่เหลือปีนี้ออกหุ้นกู้อย่างต่อเนื่อง  

ดังนั้นคาดว่าการออกหุ้นกู้ของภาคเอกเชน มีโอกาสแตะ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้900,000 ล้านบาท ถือว่ากลับมาเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกับเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19ที่ทำสถิตินิวไฮทะลุ 1 ล้านล้านบาท

"แม้บอนด์ยิลด์ในตลาดตราสารหนี้ไทยจะมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางในตลาดโลก แต่ส่วนชดเชยความเสี่ยง (Credit spread) ของหุ้นกู้ที่ปรับลดลง ประกอบกับสภาพคล่องในระบบ ทำให้ต้นทุนของผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชนไม่ได้เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปี ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการออกหุ้นกู้ ดังนั้น การออกหุ้นกู้ระยะยาวของปีนี้จะไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้" 



นางสาวอริยา กล่าวว่า  ในช่วง9 เดือนแรกปีนี้ มียอดการออกหุ้นกู้รวมทั้งสิ้น 817,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 840,000 ล้านบาท   โดยกลุ่มธุรกิจที่เสนอขายสูงสุด 5 กลุ่มแรกยังมีสัดส่วนคงเดิม  ได้แก่ พลังงาน  (Energy) 20.6%, อสังหาฯ (PROP) 15.1%, การเงิน (FIN ) 13.6%, คอมเมิร์ซ (Commerce) 12.8% และอาหาร ( FOOD) 11.8%

ส่วนทางด้านความเสี่ยงหุ้นกู้ไฮยิลด์ผิดนัดชำระหนี้  น่าจะมีแนวโน้มเชิงบวกมากกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด -19 คลี่คลายและเปิดประเทศได้  โดยในปีนี้พบว่า มีจำนวนบริษัทเพิ่มขึ้น แต่มูลค่าน้อยลงกว่าปีก่อน  ปัจจุบันอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท ไม่รวมการบินไทย แบ่งเป็นบริษัทใหม่ที่ขอยืดชำระหนี้ รุ่นใหม่ จำนวน 4 บริษัท มูลค่า 3,800 ล้านบาท  ส่วนบริษัทเดิมในปีก่อนที่ยืดชำระหนี้ รุ่นใหม่ มีจำนวน  7  บริษัท มูลค่า่ 9,300 ล้านบาท  

นอกจากนี้หุ้นกู้กลุ่มไฮยิลด์ ที่ออกในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ เป็นหุ้นกู้มีประกันในสัดส่วนที่สูงขึ้นกว่า 80% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการค้ำประกันโดยนิิติบุคคล และหุ้นกู้กลุ่มอสังหาฯ ยังไม่มีีความน่ากังวลต่อความเสี่ยงเอเวอร์แกรนด์ เพราะกลุ่มอสังหาฯ มีสัดส่วนหุ้นกู้คงค้างราว 11%หรือคิดเป็นมูลค่าราว 440,077 ล้านบาท จากมูลค่าหุ้นกู้คงค้างในระบบราว 4.2 ล้านล้านบาท

ด้านกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (ฟันด์โฟลว์) ในปีนี้คาดว่า ยังเป็นแรงซื้อสะสมสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยหากในช่วงที่เหลือของปีนี้ เฟดไม่มีประเด็นเซอร์ไพรส์ตลาด


นายภูดินันท์ เศรษฐนันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ พัฒนาผลิตภัณฑ์การเงิน ธุรกิจผลิตภัณฑ์การเงิน และผู้บริหารการขายลูกค้าบุคคลธนกิจ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT)กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารคาดเป็นตัวแทนจำหน่ายหุ้นกู้ 1.8 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.1 หมื่นล้านบาทและปีหน้าคาดการณ์โตต่อเนื่องอีก 30%

ทั้งนี้จากภาวะดอกเบี้ยต่ำ ที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะต่ำไปอีกสักระยะ ส่งผลให้การฝากเงินได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.25-0.50% เท่านั้น  ซึ่งธนาคารมองเห็นโอกาสในการช่วยให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ การสนับสนุนนักลงทุนให้เข้าไปลงทุนผ่านตลาดรองตราสารหนี้ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยหากดูผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี ของหุ้นกู้ระดับ AAA พบว่าให้ผลตอบแทนสูงถึง 2.5% ขณะที่หากเป็นระดับ BBB ให้ผลตอบแทนสูง3-4%ซึ่งในวันที่ 10ต.ค.นี้ ซีไอเอ็มบีไทย เตรียมออกขายหุ้นกู้ผ่านซีไอเอ็มบีด้วย ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3%

"เรามองว่าตลาดหุ้นกู้น่าจะโตได้อีกมาก ในต่างประเทศตลาดหุ้นกู้โตกว่าเงินกู้ธนาคาร 2-3เท่า แต่ไทยตลาดหุ้นกู้อยู่ที่ 14ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกู้แบงก์อยู่ที่16ล้านล้านบาท ดังนั้นเรามองว่าในระยะข้างหน้าตลาดหุ้นกู้มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก "