• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Panitsupa

#10621
ยินดีให้บริการ ทุกขนาดพื้นที่ ติดต่อ 080-022-3804
#10622
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10624
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10625


สปป.ลาวได้อนุมัติการขุดและซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลในการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีภาระหนี้ ปราบปรามการขุดสกุลเงินดิจิทัลในประเทศจีน

จากรายงานของ laotiantimes กล่าวว่า รัฐบาลลาวได้อนุญาตให้บริษัท 6 แห่งทำการค้าและขุด cryptocurrencies ในขณะที่กระทรวงที่เกี่ยวข้องจะต้องร่างข้อบังคับที่ควบคุมการใช้งาน โดยประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรีอนุญาติให้ บริษัท 6 แห่งสามารถทดลองทำเหมืองและซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, Ethereum และ Litecoin ซึ่งบริษัทที่ได้รับไฟเขียว ได้แก่ Wap Data Technology Laos, Phongsubthavy Road & Bridge Construction Co., Sisaket Construction Company Limited, Boupha Road-Bridge Design Survey Co., Ltd., Joint Development Bank และ Phousy Group

ขณะที่กระทรวงต่างๆ นำโดยกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการวางแผนและการลงทุน กระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ และกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ จะทำงานร่วมกับธนาคารแห่งลาวและ Electricite du Laos เพื่อทำการวิจัยและตัดสินใจเกี่ยวกับกฎและข้อบังคับที่ควบคุมการใช้ cryptocurrencies ในประเทศลาว

ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศลาว (BOL) ได้ออกประกาศเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อเตือนประชาชนเกี่ยวกับการใช้ cryptocurrencies ที่ไม่ได้รับการควบคุม ซึ่งรวมถึง Bitcoin, Ethereum และ Litecoin ซึ่งกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกับเงินสำรองสกุลเงินจริง

ทั้งนี้แม้จะมีคำเตือนจากทางการ หลายคนยังคงซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลและมองว่าโครงการทดลองใช้เป็นปูทางสำหรับการอนุญาตอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต
#10626


วันที่ 19 ก.ย. เพจ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เผยแพร่บทความเรื่อง Evergrande เมื่อยักษ์อสังหาจีนล้ม โลกจะสะเทือนหรือไม่ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ระบุว่า ...

ข่าวเกี่ยวกับบริษัทเอเวอร์แกรนด์กรุ้ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศจีนในด้านของยอดขายกำลังจะผิดนัดชำระหนี้และอาจจะต้องประกาศล้มละลายถ้าไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ทำให้เกิดการปั่นป่วนไปทั่วตลาดการเงินและตลาดหุ้นของจีน-และโลก เหตุผลก็เพราะว่านี่คือบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่มีหนี้น่าจะ "มากที่สุดในโลก" บริษัทหนึ่ง โดยคาดว่าจะมีหนี้ถึง 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 10 ล้านล้านบาทไทย การล้มละลายจะทำให้บริษัทเจ้าหนี้ทั้งที่เป็นซับพลายเออร์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้จำนวนมากล้มไปด้วยหรือไม่ นอกจากนั้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนจะตกต่ำลงจนก่อให้เกิดปัญหาตามมามากน้อยแค่ไหน และสุดท้ายแล้วก็คือ จะเกิด "วิกฤติ" ทางการเงินและตลาดหุ้นอย่างที่เคยเกิดขึ้นในไทยเช่นกรณีต้มยำกุ้งในปี 2540 และในโลกอย่างในกรณีของซับไพร์มในสหรัฐปี 2551 หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่จะคุยกัน

ผมคิดว่าสถานการณ์การล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์นั้นน่าจะมีความคล้ายคลึงกับเลย์แมนบราเธอร์ บริษัทการเงินที่เข้าไป "ปล่อยสินเชื่อ" ให้กับคนที่เข้าไปเล่น "เก็งกำไร" จากการซื้อขายบ้านผ่านตราสารการเงินที่เป็นหนี้ที่มีบ้านเป็นหลักประกัน โดยคนที่เข้าไปซื้อบ้านนั้นจำนวนมากไม่ได้มีฐานะหรือรายได้เพียงพอที่จะซื้อบ้าน แต่ซื้อเพราะมีสถาบันปล่อยกู้ให้ พวกเขาซื้อเพราะเห็นว่าบ้านมีราคาเพิ่มขึ้นเร็ว ถ้าผ่อนไม่ไหวก็สามารถขายต่อมีกำไร เลย์แมนบราเธอร์ก่อนที่จะล้มละลายมีการกู้เงินและสินทรัพย์ประมาณ 600,000 ล้านเหรียญหรือประมาณ 20 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็น 2 เท่าของเอเวอร์แกรนด์ในวันนี้ แต่มีทุนเพียง 20,000 ล้านเหรียญ หรือมีหนี้เป็น 30 เท่าของทุน ดังนั้น ในทางเทคนิคแล้ว ถ้าราคาของอสังหาริมทรัพย์ลดลงแค่ 3-5% เงินทุนก็จะหายไปหมด ล้มละลายทันที และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของอเมริกา "แตก" นั่นคือคนไม่มีปัญญาผ่อนและต้องถูกบังคับขายอสังหาริมทรัพย์ทิ้งซึ่งทำให้ราคาลดลงและทำให้คนที่ยังผ่อนอยู่ก็ขายต่อเนื่องกันเป็นเป็นทอด ๆ

ในกรณีของเลย์แมนนั้น วิธีการ "ให้กู้" ที่กล่าวถึงนั้น ที่จริงเป็นเรื่องของการออกตราสารหนี้มาแทนเงินกู้คุณภาพต่ำเรียกว่า "ซับไพร์ม" ที่ซับซ้อนมากและมีการขายตราสารเหล่านั้นออกไปซึ่งก็มีสถาบันการเงินอื่นซื้อต่อและขายต่อไป ว่าที่จริงตราสารเหล่านั้นไม่ใช่ออกเฉพาะโดยเลย์แมนแต่มีสถาบันการเงินอื่นออกกันมากมายเป็นระบบ มันเป็นเครื่องมือการลงทุนที่แปลงจากการปล่อยกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นบ้านอยู่อาศัยของคนทั่ว ๆ ไปมาเป็นตราสารทางการเงินที่เอาไปซื้อขายกันในตลาดคล้าย ๆ กับหุ้นหรือพันธบัตร ดังนั้น คนที่เกี่ยวข้องซึ่งส่วนใหญ่ก็คือสถาบันก็เจ๊งหรือขาดทุนมหาศาลไปด้วยเมื่อฟองสบู่อสังหา "แตก" ซึ่งคนที่ "จุดประกาย" ก็คือเลย์แมนบราเธอร์

ในกรณีวิกฤติปี 40 ของไทยเองนั้น ภาวะอสังหาริมทรัพย์ที่ร้อนแรงมากก่อนปี 2540 นั้น น่าจะเกิดจากการที่เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตสูงมาก คนรุ่นเบบี้บูมที่กำลังมั่งคั่งขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มแต่งงานและมีลูกเล็กจึงต้องการที่อยู่อาศัยที่เป็นของตนเองมากขึ้น คอนโดมีเนียมซึ่งเป็น "ของใหม่" ที่คนไทยไม่คุ้นเคยก็เกิดขึ้นในช่วงนั้น ดังนั้น อสังหาริมทรัพย์จึงบูมมาก มีการเปิดโครงการที่เปิดให้จองเพียงวันเดียวก็มีคนจองหมดและคนที่พลาดจะต้องไป "ซื้อใบจอง" ต่อจากคนที่อาจจะไปเข้าคิวรอ "ตั้งแต่ตีสี่" บริษัทอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นมากมายและขยายงานอย่างรวดเร็วโดยอาศัยการกู้เงินจำนวนมากจากสถาบันการเงินโดยเฉพาะที่เป็นบริษัทเงินทุน และเงินที่กู้ในช่วงนั้นจำนวนมากก็เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินบาทมาก โดยที่ผู้กู้เองก็ไม่วิตกว่าค่าเงินบาทจะลดลงแล้วตนเองจะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะแบ้งค์ชาติใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบ "คงที่"

อย่างไรก็ตาม เมื่อภาวะเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงอย่างแรงอานิสงค์จากการส่งออกที่มีปัญหาไม่สามารถแข่งขันได้เพราะค่าเงินที่แข็งเกินไป ประกอบกับการการลงทุนที่ขาดประสิทธิภาพเพราะลงทุนมากเกินไปในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนเพียงพอ ส่งผลให้ฐานะการเงินของประเทศมีปัญหา เกิดการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินอย่างหนักจนเงินสำรองเงินตราต่างประเทศแทบจะหมด รัฐบาลจึงต้องยกเลิกการกำหนดค่าเงินคงที่และ "ลดค่าเงิน" ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจโดยเฉพาะคนที่กู้เงินดอลลาร์มีปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นมหาศาลได้ และนั่นก็ส่งผลต่อถึงสถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้ที่ต้อง "ล้ม" ตามไปด้วย ดังนั้น กรณีของวิกฤติปี 40 นั้น อสังหาริมทรัพย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤติ ไมได้เป็นตัวหลักอย่างในกรณีของซับไพร์ม และในทั้งสองกรณีนั้น มีความเกี่ยวโยงไปถึงระบบสถาบันการเงินสูงมาก

วิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนั้น ถ้ามองย้อนไปในอดีต ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเกิดจากสถาบันการเงินซึ่งเป็นตัวเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งระบบ ถ้าสถาบันการเงินถูกกระทบโดยเฉพาะจากการที่ลูกหนี้มีปัญหาซึ่งอาจจะทำให้สถาบันการเงินล้มละลาย ผู้ให้กู้หรือผู้ฝากเงินขาดความไว้วางใจก็จะถอนเงินออกทำให้สถาบันการเงินขาดสภาพคล่องและก็จะล้มละลายทันที และการล้มละลายของสถาบันการเงินแห่งหนึ่งมักจะทำให้เกิดปัญหาต่อสถาบันอีกแห่งหนึ่งด้วยเพราะสถาบันการเงินต่างก็มักจะมีรายการกู้ยืมระหว่างกันจำนวนมาก สถาบันการเงินที่ไม่มีปัญหาในช่วงแรกก็จะมีปัญหาตามมาเป็นลูกโซ่ และแน่นอนว่าถ้าสถาบันการเงินทั้งระบบมีปัญหา เศรษฐกิจทั้งระบบก็มีปัญหา ผลก็คือ เกิดความเสียหายทั้งระบบ กลายเป็นวิกฤติระดับชาติหรือบางครั้งนานาชาติ การขาด "สภาพคล่อง" ทางการเงินจึงเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤติได้ง่าย

ในกรณีของเอเวอร์แกรนด์นั้น บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนซึ่งมีการเติบโตร้อนแรงมาต่อเนื่องยาวนานอานิสงค์จากการที่จีนมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วมากที่ทำให้คนจีนมีรายได้มากขึ้นมากและต้องการซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่แค่อยู่อาศัย แต่ถือว่าเป็นการลงทุนด้วย ดังนั้น อุตสาหกรรมก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากและมีสัดส่วนใน GDP สูงมากถึงประมาณ 10 สิบเปอร์เซ็นต์ และลูกหนี้เงินกู้ของธนาคารจำนวนมหาศาลก็เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของราคาของอสังหาริมทรัพย์ก็ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่อาจจะเป็น "ฟองสบู่" ในหลาย ๆ เมือง และนักวิเคราะห์บางคนก็มองว่ามีโอกาสที่ฟองสบู่อสังหาจีนอาจจะ "แตก" ได้ในวันหนึ่ง และถ้าฟองสบู่แตก ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจจีนอาจจะเกิด "วิกฤติ" อย่างที่เคยเกิดในหลายแห่งทั่วโลก

การผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศและมีหนี้มหาศาลนั้น หลายคนคิดว่ามันอาจจะเป็นตัว "จุดประกาย" ให้เกิดวิกฤติตามมาถ้าไม่มีคนมาช่วยแก้ไขไม่ให้บริษัทล้มละลายซึ่งจะส่งผลต่อคนที่เกี่ยวข้องจำนวนมากรวมถึงสถาบันการเงินและนักลงทุนของบริษัท นาทีนี้ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีใครนอกจากรัฐบาลจีนที่จะสามารถเข้ามากู้หรือแก้ไขปัญหานี้ได้ ในส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าสิ่งที่จะเป็นไปน่าจะออกในแนวทางดังต่อไปนี้

ข้อแรกก็คือ ผมคิดว่าเอเวอร์แกรนด์น่าจะ "ไม่รอด" เมื่อคำนึงถึงนโยบายของสีจิ้นผิงเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่เน้น "ทุนนิยม" และเอื้อต่อธุรกิจขนาดใหญ่มาเป็นการเน้นสร้างความเท่าเทียมให้กับประชาชน ดังนั้น ผมคิดว่ารัฐบาลจีนคงปล่อยให้เอเวอร์แกรนด์ล้มละลายและรัฐบาลก็จะดูแลแค่ลูกค้ารายย่อยที่ซื้อบ้านของบริษัท ส่วนเจ้าหนี้รายใหญ่โดยเฉพาะที่เป็นสถาบันการเงินและนักลงทุนในตลาดทุนก็จะต้องรับผิดชอบความเสียหายกันเอง

ข้อสองก็คือ ผมคิดว่าสถาบันการเงินส่วนใหญ่ที่เป็นเจ้าหนี้นั้น น่าจะมีจำนวนมากและไม่น่าจะมีรายไหนที่จะปล่อยกู้มากจนเสียหายหนักขนาดที่จะล้มได้อันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับเอเวอร์แกรนด์รวมถึงซัพพลายเออร์ซึ่งก็น่าจะกระจายไปมากเช่นเดียวกัน ดังนั้น การล้มต่อเนื่องน่าจะมีน้อย

สุดท้ายก็คือ "ฟองสบู่" ของอสังหาริมทรัพย์จีนนั้น คงไม่แตกเพราะเอเวอร์แกรนด์เจ๊ง ผมคิดว่าอุตสาหกรรมอสังหาของจีนใหญ่กว่าขนาดของเอเวอร์แกรนด์มาก ราคาของอสังหาอาจจะปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อมีการ "ชำระบัญชี" คือการตัดขายสินทรัพย์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วซึ่งแน่นอนว่าในราคาที่ลดลง แต่เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินของจีนซึ่งก็น่าจะคล้ายสถานการณ์ของโลกที่สูงมากในช่วงนี้ ก็น่าจะทำให้มีคนต้องการซื้ออสังหาที่ถูกเทขายออกมามาก ผลก็คือ คนที่ถือทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่อาจจะไม่ได้ขาดทุนรุนแรงและก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งระบบ ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ กรณีของเอเวอร์แกรนด์ไม่น่าจะก่อวิกฤติอะไรต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนของจีนและของโลก

ขอบคุณข้อมูล เพจ สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
#10627


ผลสำรวจพบนักลงทุนกว่าครึ่งเลือกลงทุนในคริปโต นำโดยนักลงทุนยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียนั้นมีอัตราการยอมรับสูงสุด และผู้ตอบแบบสำรวจ 44% เชื่อว่า ตลาดเงินตราดิจิตอลจะยังคงเติบโตต่อไปอีกหลายปี ขณะที่คริปโตยอดนิยมยังคงเป็นบิตคอยน์ ตามด้วยอีเธอเรียมและไลต์คอยน์

การสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยฟิเดลลิตี้ ดิจิตอล แอสเส็ตส์ ผู้ให้บริการทางการเงินที่มุ่งเน้นสินทรัพย์ดิจิตอล พบว่า นักลงทุนที่ตอบแบบสำรวจ 52% หันมาลงทุนซื้อหวยออนไลน์ถูกกฎหมายในคริปโตเคอร์เรนซีในปีนี้ นำโดยนักลงทุนยุโรปและเอเชีย ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุน 44% ยังประกาศว่า สถานการณ์ในตลาดเมื่อปีที่แล้วเพิ่มแนวโน้มในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอล และยังเชื่อว่า ตลาดคริปโตจะยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็วไปอีกหลายปี

การสำรวจนี้จัดทำขึ้นระหว่างเดือนธันวาคมปีที่แล้วถึงเดือนเมษายนปีนี้ โดยสอบถามความคิดเห็นทางออนไลน์และโทรศัพท์ครอบคลุมบุคลากรมืออาชีพ 1,100 คนที่เป็นตัวแทนของมหาเศรษฐีและนักลงทุนประเภทสถาบันในยุโรป อเมริกา และเอเชีย

สำหรับในยุโรปนั้น นักลงทุนที่ขยับขยายไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 45% ในปี 2020 เป็น 56% ในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 11%

ปีนี้ยังเป็นปีที่สองติดต่อกันที่นักลงทุนยุโรปแสดงความกระตือรือร้นในสินทรัพย์ดิจิตอลมากกว่านักลงทุนอเมริกัน โดยการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลในอเมริกาขยับขึ้นแค่ 6% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 33% ขณะที่เอเชียมีอัตราการยอมรับสูงสุด กล่าวคือมีนักลงทุนถึง 71% ที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลในขณะนี้

ขณะเดียวกัน นักลงทุนอเมริกัน 18% บอกว่า ซื้อหรือลงทุนในสินทรัพย์ดิจิตอลผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุนในปีนี้ เทียบกับแค่ 8% ในปีที่ผ่านมา

ด้านนักลงทุนยุโรปเลือกซื้อสินทรัพย์ดิจิตอลโดยตรงมากกว่า โดย 41% บอกว่า ลงทุนในรูปแบบนี้ หรือเพิ่มขึ้นจาก 29% ในปี 2020 และแบ่งไปลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนเพิ่มขึ้นจาก 14% เป็น 29%

ในเอเชียนั้น นักลงทุน 52% ซื้อสินทรัพย์ดิจิตอลโดยตรง และ 39% ซื้อผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุน

ฟิเดลลิตี้ ดิจิตอล แอสเส็ตส์ระบุว่า ดูเหมือนนักลงทุนในอเมริกาล้าหลังนักลงทุนยุโรปและเอเชียในแง่การลงทุนโดยตรง กล่าวคือมีแค่ 21% ที่ถือครองบิตคอยน์ เทียบกับ 46% และ 45% ในยุโรปและเอเชียตามลำดับ

รายงานระบุว่า แนวโน้มนี้ซึ่งจะยังคงดำเนินต่อไปนั้นส่วนหนึ่งเนื่องจากมีผลิตภัณฑ์การลงทุนภายใต้การควบคุมของหน่วยงานรัฐที่ให้การเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิตอลเพิ่มขึ้นในตลาดยุโรป ซึ่งนำเสนอโครงสร้างที่คุ้นเคยสำหรับนักลงทุนรายย่อย และยังอาจช่วยสร้างความไว้วางใจในหมู่นักลงทุนประเภทสถาบันไปพร้อมกัน


นอกจากนั้นนักลงทุนยุโรปยังมีแนวโน้มถือครองสินทรัพย์ทางเลือกมากกว่านักลงทุนอเมริกันที่เลือกลงทุนในหุ้นและพันธบัตรเป็นหลักในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

การสำรวจยังพบว่า บิตคอยน์ (BTC) ยังคงเป็นคริปโตเบอร์หนึ่งในทั้งสามภูมิภาค โดยอยู่ในการครอบครองของนักลงทุนอเมริกัน 21%, ยุโรป 46% และเอเชีย 45%

อันดับสองคือ อีเธอเรียม (ETH) ที่นักลงทุนอเมริกัน 10% ถือครอง, 27% สำหรับยุโรป และ 22% ในเอเชีย ตามด้วยไลต์คอยน์ (LTC) ที่ดึงดูดนักลงทุนอเมริกัน 6%, ยุโรป 15% และเอเชีย 14%

เป็นที่น่าสังเกตว่า นักลงทุนอเมริกันถือครองบิตคอยน์เพิ่มขึ้นแค่ 2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ขณะที่ในยุโรป บิตคอยน์และอีเธอเรียมเป็นสองสกุลที่ขับเคลื่อนการยอมรับมากที่สุด โดยบิตคอยน์นั้นได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น 13% จาก 33% ในปี 2020 และอีเธอเรียมได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจาก 13% ในปีที่ผ่านมา
#10629


"ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์" เผยได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์จากสำนักงาน ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 109.30 ล้านหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถูกกฎหมายเชื่อถือได้ตามแผนที่วางไว้ มุ่งมั่นเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจแบบครบวงจรที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน

นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจแบบครบวงจร เปิดเผยว่า จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินงานธุรกิจของบริษัทฯ กว่า 20 ปี ที่มีความพร้อมทางด้านบุคลากร แหล่งเงินทุน และการเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเปลี่ยนแปลง พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมโดยรวม ส่งผลให้ TFM มีความสามารถในการเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจที่มีคุณภาพดี มีความสม่ำเสมอ มีประสิทธิผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ รวมถึงสามารถผลิตสินค้าที่หลากหลายและครอบคลุมการเพาะเลี้ยงตลอดวงจรชีวิตของสัตว์น้ำในราคาที่แข่งขันได้

บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำแบบครบวงจรที่มีคุณภาพดีที่สุดเพื่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นนำความเชี่ยวชาญ เทคนิคการผลิต และนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะทาง เช่น การเป็นผู้บุกเบิกการใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูปเพาะเลี้ยงปลากะพง เป็นต้น รวมถึงการคิดค้นสูตรการผลิตใหม่ๆ เช่น สูตรการผลิตอาหารสัตว์น้ำที่ลดปริมาณปลาป่นและน้ำมันปลา สูตรการผลิตอาหารปลาสลิดและอาหารปู เป็นต้น

ปัจจุบัน TFM มีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์สินค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่ โปรฟีด (PROFEED) นานามิ (NANAMI) อีโก้ฟีด (EGOFEED) แอคควาฟีด (AQUAFEED) และดี-โกรว์ (D-GROW) เป็นต้น ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ (1) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารกุ้ง โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้นำในกลุ่มตลาดอาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 17 ของปริมาณอาหารกุ้งในไทย (ปี 2563) (2) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารปลา (รวมอาหารกบและอาหารปู) แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1.อาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพงและปลาเก๋า 2.อาหารปลาน้ำจืด เช่น อาหารปลานิลและปลาดุก 3.อาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน สำหรับการอนุบาลลูกปลา และ 4.อาหารกบ โดย TFM เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำกลุ่มตลาดอาหารปลากะพง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลาที่มีราคาจำหน่ายและอัตรากำไรค่อนข้างสูงกว่าอาหารปลาประเภทอื่นๆ โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดอาหารปลากะพงประมาณร้อยละ 24 ของปริมาณอาหารปลากะพงไทย (ปี 2563) และ (3) ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์บก แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.อาหารสุกร 2.อาหารสัตว์ปีก ได้แก่ อาหารไก่ อาหารเป็ด และอาหารนกกระทา โดยบริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์บกปลายปี 2561 และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพ่อใจ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง คือ (1) โรงงานมหาชัย ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และ (2) โรงงานระโนด อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพและเหมาะแก่การประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์น้ำ เนื่องจากภาคกลางและภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีการเพาะพันธุ์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่สำคัญของประเทศ โดยทั้ง 2 โรงงานมีกำลังการผลิตรวม 273,000 ตันต่อปี (ณ 30 มิ.ย.64) แบ่งเป็นอาหารกุ้ง 153,000 ตันต่อปี อาหารปลา 90,000 ตันต่อปี และอาหารสัตว์บก 30,000 ตันต่อปี รวมถึงเป็นสายการผลิตแบบอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติที่มีระบบการควบคุมและสั่งงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถติดตามข้อมูลในการผลิตระหว่างกระบวนการผลิตได้ทันที (Real time) ทั้งนี้ TFM มีกลุ่มลูกค้าหลัก คือ ร้านค้าจำหน่ายอาหารสัตว์ และฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์

สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,370.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,964.6 ล้านบาท มีปริมาณการขายเติบโตขึ้นเป็น 90,770 ตัน เติบโต 19.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากปริมาณการขายอาหารกุ้ง อาหารปลา และอาหารสัตว์บกที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ TFM ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อมุ่งเน้นการทำการตลาดกับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการมุ่งเน้นการทำตลาดปลาอื่นๆ ในประเทศ เพื่อทดแทนช่วงที่ปริมาณความต้องการบริโภคปลากะพงลดลง นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2564 ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในการผลิตและจำหน่ายอาหารปลาของ AMG-TFM ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TFM ถือหุ้นร้อยละ 51 และตั้งอยู่ในประเทศปากีสถาน ส่งผลให้ปริมาณการขายอาหารปลาในต่างประเทศเติบโตขึ้น ขณะที่ปริมาณการขายอาหารสัตว์บกมีแนวโน้มเติบโตจากกลุ่มลูกค้าเดิมและการจัดหาลูกค้ารายใหม่ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า

นายพิเชษฐ สิทธิอํานวย กรรมการผู้อํานวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจากที่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (แบบไฟลิ่ง) และแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม เพื่อเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 500.0 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 2 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 820 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 410.0 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 109.30 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90.0 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) จำนวน 19.3 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 21.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในอินโดนีเซีย ชำระคืนเงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต

"หลังจาก ก.ล.ต.อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) และ TFM อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเสนอขายหุ้นไอพีโอดังกล่าว เชื่อว่าด้วยพื้นฐานและประสบการณ์การดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี ในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจและผู้นำในอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของคนไทย โดยใช้นวัตกรรมความเชี่ยวชาญมาต่อยอดสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตให้แก่ธุรกิจ จึงมั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นไอพีโอของ TFM จะได้รับการตอบที่ดีจากนักลงทุน" นายพิเชษฐ กล่าว
#10630


วันนี้ (18 ก.ย.) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ว่า ภาพรวมขณะนี้ดีขึ้น ประชาชนสามารถใช้ชีวิตวิถีใหม่อยู่กับสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ได้อย่างเคร่งครัดตามมาตรการป้องกันตนขั้นสูงสุดแบบครอบจักรวาล เช่น การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ รักษาระยะห่าง งดไปในสถานที่แออัด เป็นต้น ส่วนการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กพ. - 16 กันยายน 2564 ฉีดวัคซีนรวม 43,342,103 โดส โดยฉีดครบ 2 เข็ม จำนวน 14,285,995 โดส และฉีดเข็มที่ 1 ไปแล้ว จำนวน 28,436,015 โดส ซึ่งฉีดได้ประมาณ 9 แสนโดสต่อวัน พร้อมทั้งเร่งรัดให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ให้ได้ ร้อยละ 50 อย่างช้าภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ตามเป้าของกระทรวงสาธารณสุข

"กระทรวงสาธารณสุข เตรียมแผนระดมพลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชน 1 ล้านโดสเป็นอย่างน้อยในทุกเข็ม ในวันมหิดล วันที่ 24 กันยายน 2564 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและปลัดกระทรวงสาธารณสุข จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ฉีด ขอให้รีบรับบริการฉีดวัคซีนที่สถานบริการใกล้บ้าน" นายแพทย์โอภาส กล่าว

นายแพทย์โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้วัคซีนที่ใช้ในประเทศไทยมี 4 ชนิด คือ ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ ซึ่งผ่านการรับรองทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยจากองค์การอนามัยโลกและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยวัคซีนหลักที่ใช้ฉีดเข็มที่ 1 คือ ซิโนแวคและเข็มที่ 2 แอสตร้าเซนเนก้า ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ จากผลการศึกษาวิจัยในประเทศพบว่า วัคซีนทั้งสองชนิดนี้จะเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ใช้เวลาสั้นกว่าวัคซีนสูตรปกติ รายใดที่พบว่ามีปัญหาแพ้วัคซีนเข็มแรก เช่น มีผื่นขึ้นบวมแดงหรือหายใจติดขัด จะเปลี่ยนชนิดที่มีความปลอดภัยแทน ทั้งนี้ จะฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้แก่ผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากภูมิคุ้มกันเริ่มลดลงหลังฉีด 3-6 เดือน โดยประชาชนที่จะเข้ารับการฉีด จะได้รับการแจ้งข้อความ SMS ผ่านทางแอปพลิเคชันหมอพร้อม หรือลงทะเบียนที่สถานพยาบาลเดิม และเข้ารับบริการที่จุดฉีดวัคซีนกลางในแต่ละพื้นที่กำหนด เช่น ในกรุงเทพฯ ที่สถานีกลางบางซื่อ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ส่วนกลุ่มนักเรียน 12-17 ปี ที่จะเริ่มฉีดไฟเซอร์เข็มที่ 1 ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ จะคำนึงถึงประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และเป็นไปตามเจตจำนงของผู้ปกครองเป็นสำคัญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการบริหารจัดการระบบการฉีดให้รัดกุมและมีความปลอดภัยสูงสุด
#10631
ขายบ้านบางระจัน 126วา ขายถูก โทร 0837124115
#10632


กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงข้อสงสัยกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเพราะเหตุมีครรภ์ ถือว่านายจ้างมีความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นางโสภา เกียรตินิรชา โฆษกกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวกรณีลูกจ้างหญิงร้องเรียนว่า นายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุมีครรภ์ และนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้าง ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนั้น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้มอบหมายให้สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดนนทบุรี (สสค.นนทบุรี) ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าลูกจ้างได้ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 (สรพ.5) เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 ว่าบริษัทเลิกจ้างเพราะเหตุมีการตั้งครรภ์ และลูกจ้างผู้ร้องมีความประสงค์เรียกร้องเงินตามกฎหมาย ได้แก่ ค่าจ้างจากการทำงาน ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ทั้งนี้ สรพ.5 ได้ส่งคำร้องให้ สสค.นนทบุรี ดำเนินการเนื่องจากเป็นที่ตั้งของสถานประกอบกิจการ โดยพนักงานตรวจแรงงานได้สอบข้อเท็จจริงในส่วนของลูกจ้างและรวบรวมหลักฐานเอกสารและจะเรียกนายจ้างมาให้ข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการต่อไป หากปรากฏว่านายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุมีครรภ์จริง ถือว่านายจ้างกระทำความผิดฐานฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 ที่ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ พนักงานตรวจแรงงานจะมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามและไม่นำคดีขึ้นสู่ศาล ถือว่านายจ้างได้กระทำความผิดอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับอีกด้วย

โดยกฎหมายคุ้มครองแรงงานถูกกฎหมายเชื่อถือได้ได้กำหนดให้นายจ้างต้องปฏิบัติต่อลูกจ้างหญิงมีครรภ์เป็นพิเศษ ได้แก่ การกำหนดลักษณะงานบางประเภทที่ห้ามมิให้ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทำงาน เช่น งานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ งานยก แบก หาม หาบ ทูน ลากหรือเข็นของหนักเกิน 15 กิโลกรัม หรืองานที่ทำในเรือ เป็นต้น รวมไปถึงการกำหนดห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างหญิงซึ่งมีครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 22.00 น. ถึง 06.00 น. เนื่องจากหญิงมีครรภ์ต้องได้รับการพักผ่อนในเวลาที่เหมาะสมและเพียงพอ และต้องไม่ให้ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุด เว้นแต่จะเป็น กรณีที่ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ หรืองานเกี่ยวกับการเงินหรือบัญชีนายจ้างอาจจะให้ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่ไม่กระทบต่อสุขภาพของลูกจ้างหญิงมีครรภ์โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป
#10634



เรื่องหนักอกหนักใจของคนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย คือไม่ว่าใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวใดก็แพ้ไปหมด แต่ปัญหานี้แก้ได้เพียงแค่ลองใช้อิมัลชั่น Biotherm Life Plankton™ Sensitive Emulsion เนื้อบางเบา ที่สามารถฟื้นคืนสภาพผิวให้กลับมาแลดูแข็งแรงได้อย่างอ่อนโยน พร้อมช่วยให้ผิวหน้ากลับมาแลดูสุขภาพดีได้อีกครั้ง ช่วยให้ผู้หญิงที่เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแล้วเกิดการแพ้ เปลี่ยนมุมมองใหม่แห่งการบำรุงผิว เพื่อผิวที่แลดูแข็งแรงขึ้น โดยไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรืออาการระคายเคือง 


สัมผัสบางเบานุ่มดุจครีม เข้มข้นประดุจเซรั่มของ Life Plankton™ Sensitive Emulsion พร้อมปลอบประโลมผิวหน้าของผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย เนื่องด้วยเนื้อสัมผัสสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมปลอบประโลมผิวที่เคยถูกทำร้ายมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของช่วยฟื้นบำรุงปราการผิว รวมถึงลดเลือนรอยแดงต่าง ๆ เพื่อผิวที่แลดูสุขภาพดี ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความเรียบเนียนของผิวและแลดูกระชับขึ้น รวมถึงมีสีผิวที่แลดูสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น อีกทั้งภายในอิมัลชั่นขวดนี้ก็ไม่มีส่วนผสมใด ๆ ที่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า เพราะปราศจากพาราเบน แอลกอฮอล์ สารแต่งสี น้ำมันแร่ และสารก่อภูมิแพ้จากน้ำหอม อีกทั้งผ่านการทดสอบแล้วว่าปลอดภัยต่อผู้ที่มีปัญหาผิวบอบบาง หรือมีแนวโน้มว่าจะเกิดการแพ้ขึ้นได้ 


ส่วนผสมที่สำคัญที่อัดแน่นอย่างภายในอิมัลชั่น Biotherm Life Plankton™ Sensitive Emulsion คือส่วนผสมที่เป็นหนึ่งในส่วนผสมระดับตำนานซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของไบโอเธิร์มเลยทีเดียวนั่นคือ LIFE PLANKTON™ เข้มข้นสูงสุดถึง 5% ซึ่งมีคุณสมบัติชั้นดีที่ช่วยในการปลอบประโลมผิวที่เคยอ่อนแอ ทั้งยังทำหน้าที่มอบความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้อีกด้วย และสุดท้ายคือ NEUROSENSINE™ (dipeptide) ส่วนผสมตัวสุดท้ายที่ช่วยยกระดับการปลอบประโลมผิวให้แข็งแรงขึ้นอีกขั้น จึงมอบผิวเรียบที่แลดูเนียนละเอียด และรู้สึกถึงผิวที่แลดูกระชับมากยิ่งขึ้น พร้อมเผยสีผิวบนใบหน้าที่แลูสม่ำเสมอและดูสุขภาพดีมากกว่าที่เคย 


โดยพิสูจน์แล้วจากผู้หญิงทั้ง 51 คนซึ่งทดลองใช้ Life Plankton™ Sensitive Emulsion ขวดนี้จริง ๆ พบทันทีหลังการใช้ว่าอิมัลชั่นขวดนี้ช่วยทำให้ผิวรู้สึกถึงชุ่มชื้นมีชีวิตชีวา เบาสบายผิวหน้าทั้งยังสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ตลอดทั้งวัน โดยภายหลังจากการใช้ 1 สัปดาห์จะรู้สึกว่าผิวของตนดูกระชับ แลดูเนียนนุ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้ทดสอบกับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายแล้วว่าหลังจากใช้งานหนึ่งเดือน 92% พบว่ารู้สึกถึงความกระชับขึ้นของผิว 96% พบว่า ผิวของตนนั้นแลดูนุ่มลื่นมากขึ้น ซึ่งผู้หญิงคนไหนอยากพิสูจน์ประสิทธิภาพของอิมัลชั่นขวดนี้สามารถสั่งซื้อมาทดลองใช้ได้เลยค่ะ 


สเต็ปการดูแลผิวด้วยอิมัลชั่นขวดนี้เริ่มต้นด้วยนำอิมัลชั่น Life Plankton™ Sensitive Emulsion เทลงบนฝ่ามือ โดยควรแนะนำให้ใช้ภายหลังการใช้น้ำตบแพลงตอน  LIFE PLANKTON™ ESSENCE หรือ LIFE PLANKTON™ ELIXIR  เรียบร้อยแล้ว เมื่อเทครีมลงบนฝ่ามือเรียบร้อยแล้วก็ลองใช้ปลายนิ้วเกลี่ยครีมเบา ๆ แล้วลูบไล้ให้ทั่วทั้งใบหน้า โดยเริ่มจากแก้ม จมูก และหน้าผาก นอกจากนี้ อย่าลืมลูบไล้ตามแนวของกระดูก และบริเวณขมับเพื่อเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด 


ซึ่งไม่ยากเลยหากใครต้องการลองใช้ โดยตอนนี้ Biotherm Life Plankton™ Sensitive Emulsion มีเพียงขนาดเดียวเท่านั้นคือปริมาณ 75 ml ในราคา 1,900 บาท โดยทุกคนสามารถซื้อเพียงผลิตภัณฑ์เดียวก็ได้หรือใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่นในไลน์เดียวกันอย่าง เซรั่ม Life Plankton™ Elixir หรือน้ำตบ Life Plankton™ Essence ก็ได้ 


หากสนใจสั่งซื้อสินค้า และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมของอิมัลชั่น รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Biotherm สามารถสั่งซื้อสินค้าสามารถสั่งซื้อทางช่องทางออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.biotherm.co.th/  หรือสอบถามได้ทั้งที่เคาน์เตอร์ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงช่องทางโซเชียล มีเดียของ Biotherm โดยเพียงแค่ใช้คุณก็จะมีผิวที่แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีขึ้นแล้วค่ะ 
 
#10635
ข้อควรระวัง การเรียนรู้ข้าวโภชนาการสูงคุณภาพดีสำหรับคุณแม่ให้นมบุตร
ข้าวอินทรีย์ไทยมีราคาแพง  เครือข่ายข้าวอินทรีย์สุรินทร์  วิธีปลูกข้าวอินทรีย์   การตรวจสอบข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค ( ข้าวออร์แกนิค)
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ  ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1.  ข้าวมะลินิลออแกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.    ข้าวหอมมะลิเกษตรอินทรีย์  , ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิก, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ข้าวสุขภาพปะกาอำปึล, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.  ปลูกข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลออแกนิก, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :  ข้าวหอมมะลิออแกนิคคือ
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิค
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์สุรินทร์
3.ข้าวปะกาอำปึลเพื่อสุขภาพ     ข้าวผกาอำปึลออแกนิค(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารจังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง 6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลorganic
7.  ปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ออแกนิค  กลุ่มข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์