• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Panitsupa

#3781


จากข่าวช็อกแฟน.ทั่วโลก เมื่อสโมสรบาร์เซโลนา ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกาสเปน แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (5 ส.ค.) ว่า ถึงแม้ทั้งสโมสรและ "ลิโอเนล เมสซี" ดาวเตะทีมชาติอาร์เจนตินา ได้บรรลุข้อตกลงเรื่องสัญญาฉบับใหม่และมีความประสงค์ชัดเจนว่าต้องการเซ็นสัญญากัน แต่สุดท้ายสิ่งนี้ก็ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากติดขัดเรื่องการเงินและกฎการลงทะเบียนผู้เล่นของลาลีกา

"ด้วยเหตุนี้ เมสซีจึงไม่สามารถอยู่กับบาร์เซโลนาได้อีกต่อไป ทั้งสองฝ่ายรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่ความต้องการของทั้งผู้เล่นและสโมสร ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ สโมสรขออวยพรให้เมสซีโชคดีกับเส้นทางค้าแข้งกับต้นสังกัดใหม่" แถลงการณ์สโมสรบาร์เซโลนา ระบุ

อันที่จริง บาร์เซโลนาบรรลุสัญญาฉบับใหม่กับเมสซียาวถึงปี 2026 ไปแล้ว แต่ด้วยค่าเหนื่อยหลายแสนยูโรต่อสัปดาห์ของเมสซี จะทำให้บาร์เซโลนาใช้เงินเกินกว่าที่ลาลีกากำหนดไว้ จึงไม่ได้รับการอนุมัติจากลาลีกาให้เซ็นสัญญากัน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงกันไว้แล้วก็ตาม

ดาวเตะระดับโลก วัย 34 ปี เซ็นสัญญาฉบับแรกกับบาร์เซโลนาในปี 2000 ขณะอายุเพียง 13 ปี และลงเล่นให้สโมสรทุกรายการรวม 778 นัด ยิงได้ 672 ประตู และมีส่วนช่วยบาร์ซาคว้าแชมป์รวม 35 รายการ จนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาฉบับเดิมเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา

ขณะที่บรรดาสโมสรใหญ่จากหลายประเทศต่างแสดงความสนใจดึงตัวแข้งซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนตินา ที่กลายเป็นนักเตะฟรีเอเยนต์ที่สามารถย้ายทีมได้แบบไม่มีค่าตัว และจะเป็นการย้ายทีมครั้งแรกในเส้นทางอาชีพของเมสซีด้วย


มีรายงานว่า ค่าเหนื่อยในสัญญาฉบับใหม่ที่บาร์ซาตกลงกับเมสซีได้แล้วแต่สุดท้ายล่มไปนั้น สูงถึงประมาณ 70 ล้านยูโรต่อปี หรือคิดเป็นราว 1.13 ล้านยูโรต่อสัปดาห์เลยทีเดียว

ดังนั้น หากประเมินจากความเป็นไปได้ ณ เวลานี้ มีอยู่ 6 สโมสรที่อาจมีศักยภาพและเงินทุนมากพอที่จะเป็นจุดหมายต่อไปของดาวเตะวัย 34 ปี

1. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (เปแอสเช)

ณ ขณะนี้ เปแอสเช ถือเป็นเต็งอันดับ 1 ที่จะได้เมสซีไปร่วมทีม เพราะมีอำนาจเงินเหนือกว่าทีมใหญ่อื่น ๆ

ยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศสสามารถเสนอโอกาสให้เมสซีได้ลงเล่นร่วมกับนักเตะพรสวรรค์มากมาย หลังจากคว้าตัวผู้เล่นใหม่อย่าง จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม มิดฟิลด์เลือดดัตช์, จานลุยจิ ดอนนารุมมา นายด่านทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ยูโร 2020 และเซอร์จิโอ รามอส ปราการหลังจอมเก๋าชาวสเปน


ขณะเดียวกัน เปแอสเชอาจมีภาษีเหนือกว่าทีมอื่น ๆ ตรงที่มีนักเตะชื่อ "เนย์มาร์" แข้งชาวบราซิลที่สนิทกับเมสซีตั้งแต่สมัยเล่นด้วยกันที่บาร์เซโลนา และหากเมสซีย้ายมาประสานงานกับเนย์มาร์อีกครั้ง เปแอสเชจะกลายเป็น "เต็ง 1" คว้าแชมป์ "ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก" ฤดูกาล 2021/22 โดยทันที

2. แมนเชสเตอร์ ซิตี

การได้กลับมาร่วมงานกับ "เปป กวาร์ดิโอลา" อีกครั้งอาจเป็นข้อได้เปรียบสำหรับ "เรือใบสีฟ้า" ที่จะได้ลายเซ็นจอมทัพเลือดอาร์เจนไตน์มาครอง เพราะกุนซือชาวสเปนและเมสซีต่างชื่นชมและให้ความเคารพกัน หลังทั้งคู่เคยร่วมงานที่บาร์เซโลนายุคที่ประสบความสำเร็จที่สุด

ช่วงปี 2008-2012 บาร์ซาภายใต้การคุมทีมของกวาร์ดิโอลาและมีเมสซีเป็นแกนหลักในแนวรุก โกยถ้วยแชมป์รวม 14 รายการ ถือเป็นยุคที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรคาตาลัน

ปัจจุบัน กวาร์ดิโอลาซึ่งเป็นผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตี กำลังเดินหน้าแผนล่าตัว "แฮร์รี เคน" ดาวยิงทีมชาติอังกฤษจากท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส หลังเพิ่งกระชาก "แจ็ค กรีลิช" ตัวรุกเลือดผู้ดีจากแอสตัน วิลลา ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ที่ทีมเรือใบสีฟ้าจะเสริมทัพด้วยการเซ็นสัญญาเมสซีอีกคนนั้น "เหลือน้อยมาก"


- เมสซีฟังแท็กติกจากกวาร์ดิโอลา สมัยยังร่วมงานกันในถิ่นคัมป์นูเมื่อปี 2010 -

ล่าสุด กวาร์ดิโอลายืนยันแล้วว่า แมนฯ ซิตีจะไม่เซ็นสัญญากับเมสซี เพราะทีมเพิ่งทุ่มเงินซื้อกรีลิชและมอบหมายเลข 10 ให้กับแข้งอังกฤษรายนี้ไปแล้ว

"ก่อนหน้านี้คิดว่าเขา (เมสซี) จะอยู่กับบาร์ซาต่อ ดังนั้น เมสซีจึงไม่อยู่ในแผนของเราตอนนี้"

3. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 "ปิศาจแดง" คู่แค้นร่วมเมืองของแมนฯ ซิตี ก็มีโอกาสร่วมวงล่าลายเซ็นของเมสซีเช่นกัน เพราะความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายผู้เล่นที่ผ่านมา พิสูจน์ให้ทุกทีมเห็นแล้วว่า แมนฯ ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่มีความมั่นคงทางการเงินแถวหน้าของโลก

ถึงแม้ "โอเล กุนนาร์ โซลชาร์" กุนซือชาวนอร์เวย์ อาจจะต้องเปลี่ยนระบบการเล่นของทีม เพื่อให้เข้ากับสไตล์ของดาวเตะทีมชาติอาร์เจนตินา แต่ก็น่าจะคุ้มค่าไม่น้อยหากคว้าตัวเมสซีมาร่วมทัพได้ เพราะนอกจากจะได้ตัดหน้าคู่แข่งร่วมเมืองแล้ว ยังเพิ่มโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013 ด้วย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ดูเหมือนว่าตำแหน่ง "มิดฟิลด์ตัวรับ" เป็นจุดที่แมนฯ ยูไนเต็ดต้องการเสริมมากกว่าแนวรุก หลังเพิ่งได้ตัว "เจดอน ซานโช" ปีกจอมเทคนิคทีมชาติอังกฤษจาก "โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์" ที่ตามทาบทามตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลที่แล้ว

วันนี้! เช็คเงินเยียวยา 'ประกันสังคม ม.33' ไม่เข้าบัญชี เช็กสาเหตุ 'www.sso.go.th'
ก่อนซื้อทำอย่างไร เมื่อ 'ฟ้าทะลายโจร' ขาดตลาด ราคาพุ่ง เจอของปลอม
อาคาร 100 ปี 'วังค้างคาว' เคยเป็นของใครมาแล้วบ้าง? ชวนย้อนรอยก่อนเปลี่ยนมือ
4. เชลซี

"สิงห์บลู" สโมสรดังแห่งลอนดอน เจ้าของแชมป์ยุโรปปีล่าสุด เป็นทีมที่ 3 จากพรีเมียร์ลีกที่สามารถดึงตัวดาวเตะระดับโลกอย่างเมสซีมาสวมยูนิฟอร์มได้ เพราะมีเงินทุนสนับสนุนหลายพันล้านจาก "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรชาวรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เชลซีกำลังโฟกัสกับแผนคว้าตัว "โรเมลู ลูกากู" กองหน้าชาวเบลเยียมด้วยค่าตัวสถิติสโมสร แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจเบนเข็มมาที่แข้งอาร์เจนไตน์ได้เช่นกัน

หากได้เมสซีมาร่วมทัพ น่าจะช่วยเพิ่มสถิติถล่มประตูให้กับเชลซีได้ตามที่ "โธมัส ทูเคิล" กุนซือชาวเยอรมันต้องการ ด้วยผลงานซัลโวกว่า 30 ประตูให้กับบาร์ซาในทุกรายการเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

5. ยูเวนตุส

การดึงตัว เมสซี มาประสานงานร่วมกับ "คริสเตียโน โรนัลโด" แข้งระดับโลกชาวโปรตุเกส น่าจะเป็นเกมรุกในฝันของแฟน.หลายคน และ "ยูเวนตุส" ยักษ์ใหญ่แห่งกัลโช เซเรียอา ก็มีศักยภาพมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้

ทีมม้าลายแต่งตั้ง "แม็กซ์ อัลเลกรี" ยอดกุนซือชาวอิตาลีคุมทัพรอบที่สองเมื่อไม่นานนี้ และชื่อชั้นของอัลเลกรี อาจช่วยดึงดูดให้เมสซีอยากมาร่วมงานกับหนึ่งในผู้จัดการทีมแถวหน้าของวงการลูกหนัง

หลังจากทำผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาลที่แล้ว ยูเวนตุสจึงต้องการเสริมทัพที่แข็งแกร่งอยู่แล้วให้น่าเกรงขามยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมสู้ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกในฤดูกาลที่จะถึงนี้

6. อินเตอร์ ไมอามี

ถึงแม้ "เมเจอร์ลีก" ในสหรัฐ อาจเป็นจุดหมายปลายทางที่เมสซีต้องการไปค้าแข้งน้อยที่สุด แต่ก่อนหน้านี้ สื่อหลายสำนักรายงานว่า กัปตันทีมฟ้าขาวมีแผนย้ายไปฟาดแข้งในอเมริกาก่อนแขวนสตั๊ด

เมื่อดูจากชื่อชั้นของทีมในเมเจอร์ลีก ดูเหมือนว่า "อินเตอร์ ไมอามี" จะเป็นทีมจากเมเจอร์ลีกที่ถูกโยงกับการย้ายทีมของเมสซีมากที่สุด เนื่องจาก "เดวิด เบ็คแฮม" อดีตแข้งซูเปอร์สตาร์ชาวอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของสโมสรร่วมของอินเตอร์ ไมอามี กำลังพยายามสร้างทีมให้พร้อมสำหรับการไล่ล่าแชมป์หลายรายการ


จากรายชื่อทั้ง 6 ทีมเหล่านี้ หลายฝ่ายคาดว่า เปแอสเช มีโอกาสมากที่สุดในการดึงตัวเมสซีไปร่วมทัพ และล่าสุดตัวแทนทั้งสองฝ่ายเปิดเจรจากันแล้ว

ฟาบริซิโอ โรมาโน เหยี่ยวข่าวกีฬาชาวอิตาลีซึ่งมีความน่าเชื่อถือสูง รายงานเมื่อวันที่ 6 ส.ค.ว่า เปแอสเช มั่นใจมากที่จะได้เมสซีไปร่วมทีม หลังจากเปิดโต๊ะเจรจากับนักเตะโดยตรง อีกทั้งมีความคืบหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ และคาดว่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้ในไม่ช้า
#3782
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3783


บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนเอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล Best New Asset Management Company Thailand ประจำปี 2564 ในหมวด Fund & Asset Management Newcomer Awards จาก Global Banking & Finance Review สื่อการเงินการลงทุนชั้นนำแห่งประเทศอังกฤษ โดยรางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญพร้อมด้วยประสบการณ์ในด้านการลงทุนของบลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) แม้จะเป็นบลจ. ใหม่ในอุตสาหกรรม โดย บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) เป็นผุ้บริหารเงินลงทุนให้แก่กลุ่มบริษัท เอไอเอ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก[1] ผ่านความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนใน 18 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เสริมด้วยเครือข่ายทางธุรกิจระดับโลก พร้อมทั้งพันธมิตรผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงในระดับสากล

ทั้งนี้ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) เริ่มประกอบธุรกิจในปี พ.ศ. 2563 ถือหุ้นโดยกลุ่มบริษัทเอไอเอ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า "เราลงทุนเคียงข้างลูกค้า บริหารจัดการสินทรัพย์ผ่านความชำนาญและประสบการณ์ระดับโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน" ปัจจุบัน บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 800,000 ล้านบาท อันรวมถึงกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นบลจ. ที่มีขนาดใหญ่ใน 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน[2] (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2564)
#3784


ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือกับสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ สำหรับคู่รักมาราธอนอย่างหนุ่ม "แดน วรเวช ดานุวงศ์" กับแฟนสาว "แพตตี้ อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา" ที่ล่าสุดทั้งคู่ก็ขอส่งต่อกำลังใจเล็กๆ ผ่านถุงยังชีพให้ผู้ที่เดือดร้อน

โดยสาว "แพทตี้" ได้โพสต์ภาพคู่ "แดน" ที่รายล้อมไปด้วยถุงยังชีพสีชมพูและสีฟ้า พร้อมแคปชั่น "ถุงยังชีพ ep3 แพคเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจเล็กๆจากอังนะคะ

และขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีที่ร่วมสนับสนุนด้วยนะคะ ขอบคุณชวนป๋วยปี่แปกอ ขอบคุณโรซ่า ขอบคุณไมโล ขอบคุณข้าวแสนดี ขอบคุณยาสีฟันเทพไทย ขอบคุณถุงผ้าเพิ่มพูนอินเตอร์เทรด ด้วยการบริจาค"
#3785


เพราะความคิดถึง(แซลมอน)มันห้ามไม่ไหว !!! วันนี้พวกเราเหล่าร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือโออิชิ ประกอบด้วย โออิชิ แกรนด์, โออิชิ อีทเทอเรียม, และ โออิชิ บุฟเฟต์ จึงพร้อมใจกันสั่งนำเข้าวัตถุดิบชั้นดีจากต่างประเทศ และตระเตรียม "ปลาแซลมอน" คุณภาพ สดใหม่ ไว้บริการนักกิน - แซลมอน เลิฟเวอร์ส อย่างเต็มที่...ให้หายคิดถึง พร้อมแล่สด ๆ แบบซาชิมิ มีให้เลือกตั้งแต่ ขนาดอิ่มจัดหนัก "แซลมอน ซาชิมิ" ขนาดน้ำหนัก 500 กรัม (ครึ่งกิโลกรัม) สำหรับ 1 – 2 คน ราคาสุทธิเพียง 595 บาท ไปจนถึง ขนาดอร่อยจัดเต็ม "แซลมอน ซาชิมิ" ขนาดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม สำหรับ 3 – 4 คน ราคาสุทธิเพียง 1,190 บาท ซึ่งเสิร์ฟพร้อมวาซาบิและโชยุครบครัน โดยพร้อมให้บริการแบบจัดส่ง (Delivery) แล้ววันนี้ ผ่าน "โออิชิ เดลิเวอรี่" ความอร่อยแบบญี่ปุ่นส่งตรงถึงบ้าน โทร. 1773 หรือคลิก OISHIDELIVERY.COM นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ SHOPTEENEE.COM ได้อีกด้วย

ติดตามข้อมูลข่าวสาร หรือโปรโมชั่นที่น่าสนใจเพิ่มเติม คลิกแฟนเพจโออิชิฟู้ดสเตชั่น : www.facebook.com/OishiFoodStation
#3786


คลัสเตอร์อะไรที่ควรพัฒนาในภูมิภาค ในการไขปัญหาข้อแรกที่ว่า "ถ้าจะมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแห่งที่สองในเขตพื้นที่ภาคอื่น ๆ ควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใด?"

คลัสเตอร์อะไรที่ควรพัฒนาในภูมิภาค
ในการไขปัญหาข้อแรกที่ว่า "ถ้าจะมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแห่งที่สองในเขตพื้นที่ภาคอื่น ๆ ควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใด?" จึงต้องคำนึงถึงการก่อตัวของการรวมกลุ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงถึงการมีอยู่ของคลัสเตอร์ในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อเป็นการระบุคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพในพื้นที่ภาคดังกล่าว และเป็นการบ่งชี้ถึงศักยภาพของพื้นที่ประกอบการและความพร้อมของเครือข่ายอุตสาหกรรมโดยอ้อม

ทั้งนี้ การศึกษาในเชิงวิชาการเพื่อระบุถึงการมีอยู่ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ได้มีการดำเนินการอยู่ 2 แนวทาง คือ (1) การศึกษาวิจัยโดยใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพในเชิงลึกประกอบกับการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในระดับพื้นที่ และ (2) ใช้เทคนิคทางด้านปริมาณจากตัวเลขที่เรียกว่า Cluster Mapping1 ซึ่งจะช่วยระบุการมีอยู่ของคลัสเตอร์ภายในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กำหนด

สำหรับการศึกษาเพื่อตอบคำถามครั้งนี้ ผู้เขียนได้เลือกใช้วิธีการศึกษาด้วยเทคนิคเชิงปริมาณตามแนวทางของ European Cluster Observatory ที่เรียกว่า 3 STAR Model เนื่องจาก มีความเรียบง่าย และสามารถวัดเปรียบเทียบได้ โดยจะทำการวัดผลกระทบทางอ้อมจากการอยู่ในพื้นที่ร่วมกันของธุรกิจ (Co-location of Businesses) จากการกระจุกตัวของการจ้างงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการพิจารณา 3 ปัจจัยเป็นลำดับ ประกอบด้วย ขนาด (Size) ระดับความชำนาญพิเศษของพื้นที่ (Specialization) และขอบเขตของอุตสาหกรรมที่พื้นที่จะขับเคลื่อน หรือมุ่งเน้นในการผลิต (Focus) แบ่งเป็นระดับ 0 1 2 และ 3 Stars ตามจำนวนขั้นที่ผ่านเงื่อนไขตามลำดับ โดยใช้ข้อมูลการจ้างงาน และมูลค่าเพิ่มจากสถิติมูลฐานอุตสาหกรรมการผลิตในปี 2554 จำแนกตามประเภทอุตสาหกรรม พ.ศ. 2559 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากการนำระดับการจัดประเภทอุตสาหกรรม TSIC 4 ตำแหน่ง ในระดับประเทศ และภูมิภาคต่าง ๆ มาคำนวณ แล้วคัดเลือกสาขาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เป็นตัวนำในแต่ละเขตพื้นที่จากกลุ่มสาขาอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในระดับของความชำนาญพิเศษ 3 Stars และจำนวนการจ้างงานอย่างน้อย 2 Stars ร่วมกับสาขาที่มีจำนวนการจ้างงานในระดับของความชำนาญพิเศษ 3 Stars และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 Stars ซึ่งถือว่าเป็นสาขาที่มีความสำคัญต่อประเทศ และมีระดับสัดส่วนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากกว่าค่าเฉลี่ยอย่างเพียงพอ แล้วนำมาจัดกลุ่มสาขาอุตสาหกรรมดังกล่าว ให้เป็นคลัสเตอร์


ในเบื้องต้น พบว่า ในแต่ละเขตพื้นที่มีกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพสูง

(1) เขตพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก มีคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย คลัสเตอร์ยานยนต์ และชิ้นส่วน คลัสเตอร์ปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ และคลัสเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงคลัสเตอร์กลุ่มสาขาอื่น ๆ เช่น สาขาการผลิตเครื่องประดับเพชรพลอยแท้ และสิ่งของสาขาการผลิตรองเท้า และสาขาการพิมพ์

(2) เขตพื้นที่ภาคเหนือ มีคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย คลัสเตอร์กลุ่มอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์และอุปกรณ์ถ่ายภาพ คลัสเตอร์เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้สอยในสาขาการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากไม้ และการผลิตสิ่งของ รวมถึงคลัสเตอร์เกษตรแปรรูป อาทิ สาขาผลิตภัณฑ์ยาสูบ ในขณะที่สาขาการแปรรูป และการถนอมผลไม้และผัก และสาขาการผลิตน้ำตาล ยังคงมีระดับสัดส่วนของการสร้างมูลค่าเพิ่ม และสัดส่วนการจ้างงานน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตามลำดับ

(3) เขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย คลัสเตอร์อาหาร และเกษตรแปรรูปในสาขาการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการโม่-สีธัญพืช สาขาการผลิตน้าตาล รวมถึงสาขาการผลิตสตาร์ชและผลิตภัณฑ์จากสตาร์ช

(4) เขตพื้นที่ภาคใต้ มีคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย คลัสเตอร์เกษตรแปรรูปในกลุ่มยางพาราและปาล์มน้ามัน ในขณะที่สาขาการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้าแปรรูปอื่น ๆ ยังคงมีระดับสัดส่วนของการสร้างมูลค่าเพิ่มน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ

นอกจากนี้ จากการพิจารณาผลการศึกษาคลัสเตอร์ ที่มีศักยภาพในมิติการจ้างงาน หรือมูลค่าเพิ่มในระดับ 1 ถึง 3 Stars ของเขตพื้นที่แต่ละภาคควบคู่กับนโยบาย 10 อุตสาหกรรมศักยภาพเป้าหมายของรัฐบาล เพื่อเชื่อมโยงเป้าหมายของการพัฒนาประเทศ กับศักยภาพในระดับพื้นที่ พบว่า สาขาอุตสาหกรรมในกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนที่มีศักยภาพต่อยอดไปสู่กลุ่มยานยนต์สมัยใหม่ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีศักยภาพต่อยอดไปสู่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ กลุ่มปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์ ที่มีศักยภาพต่อยอดไปสู่เคมีชีวภาพ รวมถึง กลุ่มคลัสเตอร์ดิจิทัล คลัสเตอร์การแพทย์ครบวงจร (ในกลุ่มเภสัชภัณฑ์ และเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์) และคลัสเตอร์อากาศยานนั้น มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กระจุกตัวอยู่อย่างหนาแน่นในเขตพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ส่วนกลุ่มคลัสเตอร์อาหาร และเกษตรแปรรูป ที่มีศักยภาพพัฒนาไปสู่อาหารแห่งอนาคต เชื้อเพลิงชีวภาพ และเทคโนโลยีชีวภาพ ในเขตพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก จะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลายกว่า และมีการกระจุกตัวสูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเขตพื้นที่ภาคอื่น ๆ ในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางสาขาในอุตสาหกรรมอาหาร และเกษตรแปรรูป มีการกระจุกตัวอยู่ในเขตพื้นที่ภาคที่เหลือ ตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ เช่น กลุ่มการแปรรูป และการถนอมผลไม้ และผัก กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาสูบ และกลุ่มการผลิตน้าตาลในเขตพื้นที่ภาคเหนือ กลุ่มการผลิตน้าตาล และสตาร์ช ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือกลุ่มยางพารา และปาล์มน้ามัน ในเขตพื้นที่ภาคใต้ เป็นต้น

มีแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์ อย่างไร?
สำหรับการไขปัญหาข้อที่สองที่ว่า "ควรมีแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อย่างไรจึงจะเหมาะสม?" นั้น ต้องย้อนกลับไปที่ความสำคัญของพื้นที่ที่ตั้งของบริษัทต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น โดยพื้นที่ที่มี "องค์ประกอบของปัจจัยแวดล้อม" ที่เอื้อต่อการกระจุกตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในธุรกิจสาขาเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงกัน (หรือคลัสเตอร์) อย่างเหมาะสมจะเป็น ตัวจักรสาคัญที่ขับเคลื่อนให้พื้นที่หรือประเทศนั้นมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง คาถามที่ตามมาคือ "แล้วอะไร คือ ปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมที่ไทยควรผลักดันให้มีขึ้นล่ะ?" จากการค้นคว้าพบว่ามีหลายบทความวิชาการได้พยายามตอบคาถามดังกล่าว รวมถึงแนวคิด Diamond Model ของ Michael E. Porter ที่ได้รับความนิยม นอกจากนั้น ยังมีข้อสังเกตอีกว่าแนวทางในการพัฒนาให้เกิดการรวมกลุ่มในรูปแบบคลัสเตอร์ไม่ใช่จุดสุดท้ายของเรื่อง เพราะคลัสเตอร์ก็มีวงจรของการก่อตัว เจริญเติบโต อิ่มตัว และหมดความสาคัญไปจากระบบเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมหรือผลิตภัณฑ์ รวมทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีคลัสเตอร์ ที่มีระดับการพัฒนาที่มากกว่าประเทศที่กาลังพัฒนา กล่าวคือ คลัสเตอร์จะยิ่งมีความลึกและมีซัพพลายเออร์ที่มีความพิเศษ มีความกว้างของระดับชั้นของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง มีสถาบันสนับสนุนที่มีความครอบคลุม รวมถึงบริษัทที่ตั้งอยู่จะมีความซับซ้อนทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมในระดับที่สูงกว่า ดังนั้น การพัฒนาคลัสเตอร์จึงไม่สามารถหยุดนิ่งได้ และควรส่งเสริมให้เกิดปัจจัยแวดล้อมที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อพัฒนาโครงสร้าง และยกระดับความซับซ้อนของกิจกรรมของคลัสเตอร์ ไปสู่ฐานคุณค่าใหม่อยู่ตลอดเวลา (ซึ่งเป็นวิธีที่มีความยั่งยืน และก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มากกว่าการส่งเสริมให้เกิดคลัสเตอร์ขึ้นโดยตรง) 


ประกอบกับเมื่อพิจารณาร่วมกับบริบทการพัฒนาของไทยแล้ว โดยในบริบทของไทยมี 5 ประการ ที่ควรริเริ่มให้มีขึ้นประกอบด้วย

(1) การพัฒนาปัจจัยทุน (Capitals) โดยดำเนินการยกระดับศักยภาพของปัจจัยทุนด้านต่าง ๆ ในระดับประเทศเพื่อเชื่อมโยงสู่การพัฒนาระดับภาค ทั้งที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ การพัฒนาทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ และวัตถุดิบ รวมถึงแรงงานขั้นพื้นฐาน และปัจจัยก้าวหน้า ได้แก่ การพัฒนาทุนมนุษย์ และแรงงานฝีมือ การพัฒนาทุนทางการเงิน รวมถึงทุนทางปัญญา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ไทยควรคำนึงถึงในการวางรากฐาน ให้พร้อมต่อการก้าวไปสู่อุตสาหกรรมอนาคต

(2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (Infrastructures) ที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง อาทิ ถนน ทางรถไฟ สนามบิน รวมถึงระบบการสื่อสาร และโทรคมนาคม ภายในภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ภาคต่าง ๆ เข้าสู่เขตพื้นที่ภาคกลาง และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของประเทศ และท่าเรือสำคัญ ไปจนถึงการจัดการผังเมือง/บริการสาธารณะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย เพื่อช่วยดึงดูด และรักษาบุคลากรแรงงานฝีมือ และผู้ประกอบการให้เข้ามาอาศัยในพื้นที่

(3) การส่งเสริมหน่วยเศรษฐกิจที่เป็นกุญแจสำคัญ (Key Economic Actors) เนื่องจากคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพสูง ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของตัวบริษัท และอุตสาหกรรมที่เข้ามาเป็นสมาชิก จึงควรดำเนินการส่งเสริม เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัท/อุตสาหกรรมในประเทศ ไปพร้อมกับการดึงดูดการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติในส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สร้างเป็นสมาชิกในเครือข่ายการผลิตเพื่อขับเคลื่อนจากอุตสาหกรรมฐานเดิมไปสู่อุตสาหกรรมอนาคต เพื่อเป็นการวางตำแหน่งการแข่งขันของไทยในเครือข่าย การผลิตโลกอย่างยั่งยืน

(4) การสร้างสภาพแวดล้อมในการแข่งขัน และร่วมมือที่เหมาะสม (Co-operative Condition) สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม และการรวมกลุ่ม/พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับการดำเนินการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และเครือข่ายสถาบันการศึกษา/สถาบันวิจัย โดยใช้กลไกต่าง ๆ อาทิ ก่อตั้งหน่วยงานส่งเสริมการพัฒนาคลัสเตอร์ (Cluster Development Agent: CDA) เพื่อผลักดันและดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคลัสเตอร์ หรือการริเริ่มจัดตั้งประชาคมการวิจัย (Research Consortia) ทุนเพื่อการวิจัยร่วม (Joint Research Fund) และการวิจัยร่วม (Joint Projects) เป็นต้น

(5) การพัฒนาตลาด (Demand) เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดจากการพัฒนาตลาดภายในประเทศ และ/หรือเชื่อมโยงสู่ตลาดต่างประเทศ โดยกำหนดให้ไทยอยู่ในตำแหน่งในการแข่งขันทางการตลาด และเครือข่ายการผลิตระดับอาเซียน/โลกอย่างเหมาะสม

ประเด็นสำคัญ คือ...การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจที่สอง สาม สี่.... จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับเขตพื้นที่ภาคกลาง และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของเครือข่ายการผลิต และโลจิสติกส์ของประเทศอย่างใกล้ชิด โดยการขับเคลื่อนการพัฒนาคลัสเตอร์ในพื้นที่นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย และภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้สนับสนุนมากกว่าผู้เล่น ดังนั้น การชักจูงภาคเอกชนที่มีความพร้อมในการนำ และมองเห็นโอกาสให้เป็นแนวร่วมสำคัญในการผลักดันการพัฒนาคลัสเตอร์ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สาคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดเชิงนโยบายไปสู่การพัฒนาที่เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

เอกสารอ้างอิง:
Bresnahan, T., Gambardella, A., and Saxenian A. (2001). Old economy' inputs for 'new economy' outcomes: cluster formation in the new Silicon Valleys. Industrial and Corporate Change, Oxford University Press, No.4 Vol.10, 2001.

Dzisah, J. and Etzkowitz, H. (2008). Triple helix circulation: the heart of innovation and development. International Journal of Technology Management & Sustainable Development, Vol 7, No 2, Sep 2008, pp. 101-115(15).

Europe INNOVA. (2008). The concept of clusters and cluster policies and their role for competitiveness and innovation: main statistical results and lessons learned. Commission staff working document SEC (2008) 2637.

International Trade Department. (2009). Clusters for competitiveness. A practical guide and policy implications for developing cluster initiatives. 2009.
#3787


แม้ไลน์ (LINE) แอปพลิเคชันส่งข้อความแชตยอดฮิตจะไม่ได้ประกาศตรงไปตรงมาว่า วางเป้าหมายของธุรกิจ LINE for Business ปี 2564-2565 ไว้ที่การผลักดันตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศไทย แต่ LINE ก็มั่นใจว่าทิศทางธุรกิจที่จะเกิดในปีนี้ จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้าใจ และเห็นเทรนด์ที่ 'มากพอ' จนให้ธุรกิจไทยเข้ามาประสานพลังเป็นองค์รวม ติดปีกให้ไทยสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในยุคนิวนอร์มัล

ถามว่าทำได้อย่างไร? เรื่องนี้ประเมินเบื้องต้นได้จากกองทัพแบรนด์และหน่วยงานที่มาเปิดบัญชีทางการบน LINE หรือที่เรียกว่า LINE OA (LINE Official Account) LINE เชื่อว่าด้วยศักยภาพของแพลตฟอร์ม LINE ที่เข้าถึงคนไทยกว่า 49 ล้านคน บริการ LINE OA จึงมีโอกาสกลายเป็นตัวกลางสำคัญให้บริษัทและองค์กรภาครัฐสามารถให้ข้อมูลหรือให้บริการบางส่วนได้โดยที่คนไทยไม่ต้องเดินทางมายังสถานที่ให้บริการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโลกธุรกิจวันนี้

LINE ยืนยันว่า LINE OA มียอดใช้งานสูงผิดปกติ ย้อนไปช่วง พ.ค. ปีที่แล้ว LINE ประกาศว่าจำนวนหน่วยงานที่มาเปิดบัญชีทางการเป็น LINE OA เพิ่มขึ้นมาเป็น 4 ล้านราย ขยายขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มี 3 ล้านราย มาปี 64 ดาวรุ่งอย่าง LINE ยังคงยึดตัวเลขเดิมคือ 4 ล้านรายไว้ พร้อมกับย้ำว่าในสถานการณ์ที่ไม่มีโควิด-19 ยอด LINE OA ไม่ได้เติบโตปีละ 1 ล้านราย แต่มักต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำได้

ภาวะนี้สะท้อนโอกาสของ LINE OA โดยเฉพาะปี 64-65 ที่ LINE วางโฟกัสไปที่ธุรกิจร้านอาหารและค้าปลีก ผ่านบริการชื่อมายช็อป (MyShop) และมายเรสเตอรอง (MyRestaurant) ที่เปิดพื้นที่ให้ร้านค้ารับออเดอร์และบริการลูกค้าได้ฟรีในขณะนี้ ก่อนที่จะมีการออกแบบให้บริการมีความคุ้มค่าต่อธุรกิจมากขึ้น เพื่อปูทางสู่การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ที่จะเริ่มเก็บค่าบริการในช่วงปี 65

***ไม่ใช่เก็บเงินจากของที่เคยฟรี

นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ LINE ประเทศไทย กล่าวถึงแนวทางพัฒนาบริการ MyShop และ MyRestaurant ในปีหน้าว่าจะไม่มีการเปลี่ยนฟีเจอร์ให้บริการฟรีมาเป็นเก็บค่าบริการ แต่ LINE จะมีคุณสมบัติที่ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วจึงค่อยเก็บค่าบริการ 

'เราอาจจะต้องขอเงินเป็นรายได้เราด้วย' นรสิทธิ์ระบุ 'เป้าหมายของ LINE คือการพัฒนาโซลูชันให้ใช้ง่าย เน้นให้ธุรกิจใช้ LINE OA ในการบริหารธุรกิจได้มากขึ้น ปัจจุบัน LINE ทำงานร่วมกับพันธมิตรหลายราย มีการเอา API มาปรับใช้เพื่อให้ธุรกิจใช้ LINE เป็นหน้าร้านได้ง่ายขึ้น เจาะกลุ่มคนไทยได้ทุกอายุ เรียกว่าถ้าใครหรือแบรนด์ใด ต้องการเข้าถึงคนไทยมากขึ้น ก็จะมาที่ LINE OA เชื่อว่าจะเป็นก้าวที่พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ'

ผลดีของเศรษฐกิจ จะไปอยู่ที่กระเป๋าเงินของ LINE ด้วย
ผลดีของเศรษฐกิจ จะไปอยู่ที่กระเป๋าเงินของ LINE ด้วย

LINE OA เป็นโซลูชันหลักที่ LINE ให้บริการลูกค้าธุรกิจและ SME ภายใต้แบรนด์ LINE for Business ธุรกิจนี้ต่อยอดไปมากจากที่ LINE เคยเป็นเพียงแอปพลิเคชันแชตที่ใช้เพื่อรับส่งความช่วยเหลือในช่วงวิกฤตแผ่นดินไหวใหญ่ที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2554 แล้วจึงเข้าสู่เมืองไทยช่วง 9 ปีที่แล้วที่โซเชียลมีเดียกำลังบูม สำหรับไทย เชื่อกันว่าคนไทยเริ่มทดลองใช้ LINE เพราะว่ามีสติกเกอร์น่ารัก ปูทางให้ LINE เริ่มพาธุรกิจมาสู่บริการ LINE OA ซึ่งกลืน 'LINE@' ที่ให้บริการ SME ก่อนหน้านี้เอาไว้ด้วย

LINE เปิดให้บริการ LINE Pay ในช่วง 2 ปีหลังจากนั้น พร้อมกับเริ่มทำธุรกิจคอนเทนต์ เช่น LINE Today จนมีการเปิดบริการ LINE MAN ราว 2-3 ปีต่อมามีการผลักดันธุรกิจ LINE ไปสู่วงการดิจิทัลไฟแนนซ์ มีการร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยเปิดเป็น LINE BK แล้วขยายไปเปิดธุรกิจอีคอมเมิร์ซผ่าน LINE Shopping ที่เข้าถึงผู้บริโภคตรงๆ ร่วมกับการขยายธุรกิจสติกเกอร์ให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น และการทำโอเพ่นแชต ซึ่งสร้างเป็นชุมชนที่สมาชิกสามารถพูดคุยได้แบบไม่เปิดเผยตัวตน

สิ่งที่ไลน์มองต่อจากนี้คือการปิดช่องว่าง LINE มองตัวเองเป็นแพลตฟอร์มที่ปิดช่องว่างระหว่างวัยหรือ generation จากตอนนี้ที่คิดว่ามีแต่ผู้ใช้วัยรุ่น แต่ขณะนี้ย่ายายก็หันมาใช้งาน LINE ทุกคนสามารถมาพบเจอกันบน LINE

'วันนี้ทุกคนมีกลุ่ม LINE ครอบครัว, LINE หมู่บ้านและ LINE เครือญาติ ภารกิจที่มองก็คือการทำให้ LINE ใช้งานง่ายมากขึ้นและดีมากขึ้น เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น เพราะว่าประเทศไทยใช้ social ไม่เหมือนตะวันตก คนประเทศอื่นไม่ให้แชตส่วนตัวในการทำงาน แต่คนไทยไม่ถือสา และใช้ LINE ส่วนตัวในการทำงาน'

ในเมื่อทุกคนใช้ชีวิตบน LINE บริษัทจึงวางแผนใหม่ต่อยอดจากปีที่ผ่านมา LINE มองตัวเองเป็น Mass adapter enabler เพราะทั้งกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มผู้สูงวัยทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัดล้วนสามารถใช้งานได้เร็วเมื่อมี LINE เป็นสื่อกลาง เรียกว่าเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วขึ้น และเข้าใจการใช้งานได้มากขึ้น

ปีนี้ เชื่อว่าจะมีการใช้บริการการเงินใน LINE มากขึ้น ทะลุ 1 พันล้านทรานเซกชัน
ปีนี้ เชื่อว่าจะมีการใช้บริการการเงินใน LINE มากขึ้น ทะลุ 1 พันล้านทรานเซกชัน

LINE อธิบายว่าที่ผ่านมา บริษัทเน้นให้หน่วยงานที่ต้องการเข้าถึงคอนซูเมอร์มากขึ้น ได้ใช้งาน open API ซึ่งเป็นเหมือนปลั๊กที่เชื่อมทุกเทคโนโลยีให้ต่อติดกับ LINE และสามารถใช้ LINE เป็นหน้าบ้านให้คนทั้งประเทศใช้งานได้

ปรากฏว่าปีที่ผ่านมา หลายธนาคารไทยหันมาใช้งาน LINE มากขึ้น และในขณะที่แบรนด์ทั่วไปมักใช้ LINE แค่สื่อสารกับลูกค้า แต่กลุ่มธนาคารเป็นเซกเมนต์แรกที่ให้บริการ 'ง่ายๆ' บน LINE เลย ผลคือ LINE พบยอดเติบโตของการใช้งาน Digital Banking ผ่าน LINE API ตั้งแต่ปี 2562 มาจนถึงต้นปี 2564 ในรายเดือน (Monthly API Message) เพิ่มขึ้นถึง 80% การให้บริการ Digital Banking service ก้าวกระโดดมากขึ้นถึง 2.8 เท่า แปลว่ามีผู้เข้ามาใช้งานบริการการเงินจริงจังบน LINE ไม่ใช่แค่รับข่าวสารเท่านั้น

ตัวอย่างน่าสนใจคือ ธนาคารกสิกรไทยเปิดให้ผู้ใช้ LINE เปลี่ยนวงเงินบัตรโดยไม่ต้องไปที่สาขา สามารถยืนยันตัวตนได้โดยไม่ต้องโทรศัพท์ติดต่อเจ้าหน้าที่ ขณะที่ธนาคารกรุงไทยเปิดให้เช็คยอดเงินในบัญชีได้เลย ด้านธนาคารกรุงศรีอยุธยาก้าวไปอีกขั้นด้วยการเปิดให้เลือกวางแผนการลงทุนและซื้อกองทุนได้บน LINE เช่นเดียวกับธนาคารไทยพาณิชย์ที่เป็นเจ้าแรกซึ่งใช้ API ของ LINE ยังมี ธกส. ที่ตรวจผลสลากผ่าน LINE ได้เลย

'ในขณะที่ทั่วโลกพบว่าประชากรไทยใช้ mobile banking มากที่สุดในโลก ปีนี้เชื่อว่าจะมีการใช้บริการการเงินใน LINE มากขึ้น ทะลุ 1 พันล้านทรานเซกชัน'

***ปี 65 ขอเป็นส่วนเสริม

จาก Mass adapter enabler บทบาทของ LINE จะถูกเปลี่ยนเป็นส่วนเสริมเพื่อให้ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น โดย LINE มองว่าจะรองรับทั้งส่วนเวิร์กฟอร์มโฮม การประชุมออนไลน์ และการรับวัคซีน

นรสิทธิ์อธิบายว่าการแพร่ระบาดทำให้เกิดวิกฤตจริง แต่ก็มีโอกาสแฝงอยู่ เบื้องต้นพบว่าแบรนด์หรูที่เป็น luxury segment ซึ่งมีมานานแต่ไม่ได้เร่งการขายบนออนไลน์มาก เพราะสินค้ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่ลูกค้ามักไปซื้อที่ต่างประเทศหรือร้าน duty free แต่เมื่อการท่องเที่ยวหยุดชะงัก แบรนด์กลุ่มนี้จึงมองว่าเป็นโอกาสที่จะขายบนออนไลน์ โดยตั้งแต่ปี 62 พบว่าใน luxury segment มี LINE OA เพิ่มขึ้น 60% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องสำอาง รองลงมาเป็นแฟชั่น และกลุ่มยานยนต์

'จุดที่น่าแปลกใจ คือก่อนนี้กลุ่ม luxury ยังไม่กล้าลองขายออนไลน์ แต่ตอนนี้ทุกแบรนด์มี LINE OA กันหมด ตรงนี้ไทยถือเป็นประเทศแรกที่มีการขายสินค้ากลุ่มนี้ผ่านแชต ที่น่าสนใจคือคนไทยแชตเพื่อซื้อสินค้า luxury จริงจัง พบว่าคนไทยมากกว่า 8 แสนคนเป็นเพื่อนผู้ติดตามแบรนด์เครื่องสำอาง ขณะที่ 2 แสนคนเป็นเพื่อนกับค่ายรถ และ 9 หมื่นคนเป็นเพื่อนกับแบรนด์แฟชั่นหรูอย่างชาแนลและดิออร์ จำนวนการแชตแบบ 1 ต่อ 1 มีมากกว่า 5,000 แชตต่อวัน เชื่อว่ากลางปี 65 แบรนด์หรูจะขยับมาให้บริการลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 บนออนไลน์ได้สมบูรณ์'

ธุรกิจร้านอาหาร และค้าปลีก เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนมากซึ่งได้รับผลกระทบหนักและมีส่งผลต่อ GDP ค่อนข้างสูง ในปีนี้ถึงปีหน้า LINE ตั้งเป้าผลักดัน 2 กลุ่มนี้เพื่อสนับสนุน GDP ไทยให้ไปต่อได้ในช่วงวิกฤต
ธุรกิจร้านอาหาร และค้าปลีก เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนมากซึ่งได้รับผลกระทบหนักและมีส่งผลต่อ GDP ค่อนข้างสูง ในปีนี้ถึงปีหน้า LINE ตั้งเป้าผลักดัน 2 กลุ่มนี้เพื่อสนับสนุน GDP ไทยให้ไปต่อได้ในช่วงวิกฤต

ในภาพรวม LINE ย้ำว่าต้องการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยผ่านการระบาดไปได้ และสามารถปรับตัวเรียนรู้เพื่อแข่งขันได้บนเวทีโลกในช่วงหลังโควิด-19 ปัญหาคือขณะนี้ไทยกำลังอยู่ในวิกฤตสูญเสียตำแหน่งผู้นำตลาดโลกในหลายด้าน

'ขณะนี้ไทยต้องรู้ตัวและปรับตัวเอง ศักยภาพคนไทยมีมาก SME ไทยก็ไม่ธรรมดา มีการใช้เทคโนโลยีปรับตัวดีกว่าหลายประเทศ แต่ไทยก็ยังต้องทำหลายเรื่องในปีนี้'

ผู้บริหารย้ำว่า SME ไทยเป็นส่วนสำคัญเพราะเป็นเซกเมนต์ที่มีผลกับ GDP ไทยสูงมากคิดเป็นสัดส่วน 45% ในกลุ่มนี้ LINE พบว่ากลุ่มธุรกิจ SME ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 คือ ธุรกิจอาหาร ซึ่งส่งผลต่อ GDP ลดลงถึง 37% รองลงมาคือ ธุรกิจขนส่ง และค้าปลีก ในอัตราส่วนที่ลดลง 21% และ 3.7% ตามลำดับ

ท่ามกลางวิกฤตนี้ LINE พบว่าอัตราการเติบโตของ LINE OA โดยธุรกิจกลุ่มร้านอาหารมีอัตราการเปิดใช้งาน LINE OA เพิ่มขึ้น (YoY) สูงสุดถึง 212% รองลงมาคือธุรกิจกลุ่มค้าปลีกที่ 191% ดังนั้น LINE จึงเน้นเรื่องการเปลี่ยนเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้
'LINE มีวิศวกรไทย 100% ไม่มีคนต่างชาติ ทุกคนพัฒนาโซลูชันจากสิ่งที่คนไทยต้องการ วันนี้ LINE มองเห็นว่าอุตสาหกรรมที่เดือดร้อนมากที่สุดคืออาหาร จึงพัฒนาเป็นบริการที่ตอบโจทย์เมืองไทยโดยเฉพาะ'

ตัวอย่างบริการสำหรับประเทศไทยคือ LINE MyShop ซึ่งผู้บริหารการันตีว่าเป็นบริการที่เปิดให้คนไทยสามารถเปิดหน้าร้านออนไลน์ได้ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับค่ายโซเชียลมีเดียอื่น เช่นเดียวกับ MyRestaurant ที่ง่ายและมีการปรับเปลี่ยนตลอดเพื่อให้ธุรกิจก้าวทัน จุดนี้เป็นผลจากความร่วมมือกับ 'LINE วงใน' ที่เปิดการสื่อสารให้ลูกค้าและร้านติดต่อกันได้ง่ายขึ้น และลูกค้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปหารายการอาหารในแอป LINE MAN แก้ปัญหาค้นร้านไม่พบ ซึ่งไทยมีร้านอาหารจำนวนมากติดอันดับโลก
'การที่ร้านอาหารสามารถเปิดขายผ่าน LINE OA จะทำให้สามารถบอกต่อลูกค้าย่านใกล้เคียง สามารถนำ LINE OA ไปเผยแพร่เพื่อให้คนในชุมชนได้รู้ ซึ่งง่ายกว่าในการเข้าไปหาใน LINE MAN'

นอกเหนือจากนี้ ผู้บริหารมองว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยมีหลากหลาย แต่การใช้ดิจิทัลที่มีมูลค่ากลับไปที่ GDP ของประเทศไทยนั้นยังมีไม่มาก จุดนี้ LINE จึงวางบทบาทว่าต้องให้ความรู้ ให้ร้านทราบว่าไม่ใช่แค่การให้ความสำคัญกับความสะอาดหรืออร่อย แต่แท้จริงแล้ว จะต้องใช้ข้อมูล

'การจัดการร้านที่ดีควรให้ความสำคัญเรื่องการจัดการเวลา ต้นทุน และสินค้าคงคลัง จุดนี้หลายร้านในเมืองไทยยังไม่รู้ LINE จึงหวังว่าจะเพิ่มช่องทางเพื่อให้ร้านค้าสามารถคลิกอ่านเพิ่มความรู้ว่าการจัดการร้านแบบครบวงจรด้วยข้อมูลในระดับสากลนั้นเป็นอย่างไร หากทำได้สิ่งนี้จะกระทบไปที่ GDP' นรสิทธิ์ระบุ 'ไม่ใช่แค่ว่า คนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เรายังพัฒนาได้อีกมากในเรื่องของเศรษฐกิจ เราอยากให้ทุกคนได้รู้ว่า จะใช้บริการนี้ได้อย่างไร'

LINE มีแผนจะเน้นที่ผู้ค้าที่เป็นแบรนด์ เหตุผลคือร้านค้ากลุ่มที่อยู่ในประเภท 'ซื้อมาขายไป' เป็นธุรกิจที่ไม่มีผลต่อ GDP มากนัก เนื่องจากจะต้องซื้อสินค้าราคาต่ำกว่า เพื่อนำมาขายในราคาสูง ทำให้เกิดภาวะที่สินค้าเหมือนกันต้องตัดราคากัน สุดท้ายลูกค้าก็ต้องหาสินค้าที่ถูกกว่าแม้จะคุณภาพไม่เท่ากัน

นอกจากภาคธุรกิจแล้ว กลุ่มองค์กรที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศไทย คือ กลุ่มบริการสาธารณะต่างๆ Public sector เหล่านี้ใช้ LINE OA ในอัตราเติบโต 30% สถิติชี้ว่ามีผู้ติดตามหน่วยงานอย่างการไฟฟ้านครหลวงจำนวนมากเกิน 1.7 ล้านคน

เชื่อว่ากลางปี 65 แบรนด์หรูจะขยับมาให้บริการลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 บนออนไลน์ได้สมบูรณ์
เชื่อว่ากลางปี 65 แบรนด์หรูจะขยับมาให้บริการลูกค้าแบบ 1 ต่อ 1 บนออนไลน์ได้สมบูรณ์

ที่สุดแล้ว นรสิทธิ์ไม่มองว่าการเน้นที่อาหารและค้าปลีกจะเป็นนโยบายเดิมที่ทำให้ LINE ย่ำอยู่กับที่ เพราะธุรกิจร้านอาหาร และค้าปลีก เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนมากซึ่งได้รับผลกระทบหนักและมีส่งผลต่อ GDP ค่อนข้างสูง ในปีนี้ LINE จึงคิดว่า 2 กลุ่มธุรกิจนี้แม้จะไม่ใช่กลุ่มเซกเมนต์ใหม่ แต่ยังคงมีน้ำหนักความสำคัญต่อภาพเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่มาก การผลักดัน 2 กลุ่มนี้จึงเป็นการผลักดันและสนับสนุน GDP ให้ไปต่อได้ในช่วงวิกฤตนี้

'สิ่งที่จะมาเปลี่ยนการใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายด้านของคนไทยให้มีผลต่อ GDP คือการแก้ปัญหาผู้ประกอบการที่วันนี้ไม่ได้รับข้อมูลเพียงพอ หลายคนเข้าใจว่าแค่โพสต์-เปิดร้าน หรือซื้อโฆษณาก็สามารถทำ e-commerce ได้แล้ว หลายคนบ่นว่าทำไมขายไม่ได้ แต่วันนี้ LINE มีการพูดคุยมากขึ้น ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นไกด์ไลน์ให้คนไทย ผู้ประกอบการไทยมีข้อมูล และมีมุมมองการใช้ออนไลน์ให้ประสิทธิภาพกับธุรกิจ และธุรกิจมีกำไรมากขึ้น จุดนี้จะสำคัญมากกว่า GDP และจะสู้กับสินค้าระดับโลกได้'

ปัญหานี้ถือว่าสำคัญ นรสิทธิ์อธิบายว่าเพราะขณะนี้ทุกคนสามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศได้เลยโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนไทย มีเพียงกำแพงภาษีที่กั้นไว้ จุดนี้คนไทยจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือและได้รับการผลักดัน แม้จะยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากนักในปี 65 เนื่องจากวิกฤติกำลังซื้อไทยหดตัว อุตสาหกรรมได้รับผลกระทบทั้งหมด

'สิ่งที่หวังว่าจะเกิดในปีนี้คือ การเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยเข้าใจ และเห็นเทรนด์ที่มากพอ ให้ธุรกิจเข้ามาร่วมกัน ประสานกันเป็นองค์รวม จะได้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น'

แน่นอนว่าผลดีจะไปอยู่ที่กระเป๋าเงินของ LINE ด้วย ในขณะที่หลายธุรกิจติดลบ สถิติรายได้ของ LINE Corp. ย้อนหลัง 5 ไตรมาสถือว่าน่าประทับใจ ด้วยอายุ 10 ขวบ ปัจจุบัน LINE มีผู้ใช้งานมากกว่า 186 ล้านคนต่อเดือนทั่วโลก (สถิติธันวาคม 2020)

ในภาพรวม LINE Corp. ทำรายได้รวม 62,900 ล้านเยน (18,861 ล้านบาท) ในไตรมาส 3 ปี 63 เพิ่มขึ้นเกิน 12.4% รายได้จากธุรกิจหลักมาจากการแสดงโฆษณาผ่านบริการบนแอปโดยเฉพาะ LINE OA และ Sponsored Stickers รวมถึงการโฆษณาบน LINE Part Time Job ขณะที่รายได้จากธุรกิจสื่อสารมาจากธุรกิจสติกเกอร์ และธุรกิจคอนเทนต์มีแหล่งรายได้สำคัญคือบริการ LINE Game

ไฮไลท์ของ LINE ยังอยู่ที่รายได้ในธุรกิจเสริม หรือที่ LINE เรียกเป็นธุรกิจกลยุทธ์ (strategy) ธุรกิจนี้ประกอบด้วยบริการฟินเทคเช่น LINE Pay รวมถึงบริการ AI, LINE Friends และ e-commerce ธุรกิจส่วนนี้เองที่มีอัตราเติบโตเป็นเลข 2 หลักทุกปี สวนทางกับธุรกิจหลักที่เติบโต 1 หลักเท่านั้น

LINE มองไกลแล้ว ขอให้คนไทย (และ GDP ไทย) ไปได้ไกลด้วยเช่นกัน.
#3788


นางสาวสุวดี พันธุ์พานิช เลขานุการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) มีหนังสือลงวันที่ 4 ส.ค.2564 โดยใช้อำนาจมาตรา 58 (1) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) ให้ผู้บริหารบริษัทฯ ชี้แจงข้อมูลและนำส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อสำนักงาน ก.ล.ต. และเปิดเผยคำชี้แจงดังกล่าวผ่านระบบสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใน 7 วันนับตั้งแต่วันที่ในหนังสือ

บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า บริษัทฯ ได้รับหนังสือจาก สำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว โดยจะดำเนินการชี้แจงโดยละเอียดตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยขอให้ข้อมูลเบื้องดันได้ดังนี้

1. บริษัทฯ "ไม่ได้ให้ข้อมูลการทำสัญญาหรือจะทำสัญญาร่วมกับกระทรวงกลาโหม" ตามที่ได้ชี้แจงไปแล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือกับองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐเพื่อร่วมกันนำเข้าวัคชีนจริง โดยจะเปิดเป็นเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้สำนักงาน ก.ล.ต.

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

2. บริษัทฯ ไม่ได้ใช้เงินสด เงินกู้ หรือทรัพย์สินของบริษัทฯ ในการวางมัดจำหรือค่าปรับมัดจำวัคซีน

3. วัคชีนจำนวน 20 ล้านโดสที่ได้มีการเจรจากับผู้แทนจำหน่ายแล้วนั้น ยังไม่มีการลงนามสั่งซื้อจากหน่วยงานที่มีหน้าที่ตามระเบียบของรัฐ แต่บริษัทฯ ยังไม่ละทิ้งความพยายาม โดยจำนวนวัคชีน และระยะเวลาการนำเข้าวัคซีนไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อนึ่ง ขอเรียนให้ท่านทราบว่า "แม้บริษัทฯ ไม่ใช่ผู้มีหน้าที่ในการดำเนินการสั่งซื้อวัดซีนโควิด 19 ตามกำหนดของรัฐ" แต่เป็นการ ทำหน้าที่ในฐานะเอกชนและพลเมือง ที่ไม่เพิกเฉยต่อสถานการณ์การระบาดของโรคที่มีในปัจจุบัน เพื่อช่วยให้วิกฤตนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว
#3789


มาเก๊าสั่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในประชากรทั้งหมด 600,000 คน หลังพบผู้ติดเชื้อยืนยันรวม 4 รายเมื่อวานนี้ (3 ส.ค.)

หนังสือพิมพ์ The Standard ของฮ่องกงรายงานว่า ทางการมาเก๊าพบสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน 4 คนติดโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าเชื้ออาจจะแพร่ออกสู่ชุมชน

ก่อนหน้านั้น หน่วยงานด้านสาธารณสุขเมืองจูไห่ (Zhuhai) ได้แจ้งเตือนไปยังหน่วยงานสาธารณสุขของมาเก๊า ว่า มีชาวมาเก๊า 2 คนเข้ารับการตรวจเชื้อที่เมืองแห่งนี้ และผลออกมาเป็นบวก

สามีภรรยาคู่นี้ได้เดินทางกลับไปยังมาเก๊าแล้วตอนที่มีการแจ้งเตือน และได้ถูกส่งตัวไปตรวจและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาบุตร 2 คนของทั้งคู่ก็ได้รับการยืนยันว่าติดโควิด-19 ด้วย

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในมาเก๊ารายงานว่า มีการล็อกดาวน์อาคารที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับโรงพยาบาล Kiang Wu Hospital เมื่อวันอังคาร (3 ส.ค.)

สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ทางการมาเก๊าได้ตั้งสถานีตรวจกรดนิวคลิอิกขึ้น 41 แห่งทั่วเมือง ซึ่งจะทำการตรวจเชื้ออย่างต่อเนื่องไม่หยุดเป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน โดยประชาชนสามารถเข้ารับการตรวจได้ทันทีโดยไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้า

ตามข้อมูลจากฝ่ายบริหารฮ่องกง มาเก๊ามียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมเพียง 59 ราย และยังไม่มีผู้เสียชีวิตเลย

ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารฮ่องกงได้ประกาศถอดมาเก๊าออกจากรายชื่อสถานที่ที่ประชาชนสามารถเดินทางกลับเข้าฮ่องกงได้โดยไม่ต้องกักตัว ทำให้ตอนนี้บัญชี 'Return2HK' เหลือเพียงสถานที่ต่างๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น

ที่มา : รอยเตอร์, The Standard (HK)
#3790


นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ทำการศึกษาแนวโน้มตลาดของสินค้าต่าง ๆ ตามนโยบายที่ได้รับจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้นำมาแจ้งทิศทางและช่วยแนะนำให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทยได้มีการปรับตัว และเพิ่มโอกาสในการทำตลาด โดยได้ทำการศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งพบว่าแนวคิดแฟชั่นหมุนเวียน (Circular Fashion) กำลังเป็นที่นิยมที่นำมาใช้ในการวางแผนและออกแบบการผลิตเพื่อลดการเกิดของเสียและมลพิษ การผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุที่ปลอดภัยและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ การเพิ่มระยะเวลาใช้งานเสื้อผ้า รวมทั้งการนำเสื้อผ้าเก่ามาผลิตเป็นเสื้อผ้าใหม่ เกิดการหมุนเวียนเป็นวงจรต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรได้อย่างสูงสุด

ทั้งนี้ นอกจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจของอุตสาหกรรมแฟชั่นแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เพราะการที่ร้านค้าต้องปิดตัวลง ผู้คนต้องทำงานที่บ้าน และลดการใช้ชีวิตทางสังคม ทำให้ยอดการจำหน่ายเสื้อผ้าลดลง ซึ่งผลการสำรวจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคทั่วโลกในปี 2563 ระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคมีรายได้ลดลง และอุตสาหกรรมแฟชั่นถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากผู้บริโภคกว่า 51% จะลดการใช้จ่ายในการซื้อเสื้อผ้ารองเท้าลงและมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญต่อความคุ้มค่าในการใช้จ่ายมากขึ้น และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ ใช้งานได้ยาวนานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

นอกจากนี้ ได้มีผลการสำรวจว่า ผู้บริโภคกลุ่ม Millennial (ผู้ที่อายุระหว่าง 24-37 ปี) และ Gen Z (ผู้ที่อายุระหว่าง 13-23 ปี) ใส่ใจเป็นพิเศษต่อสินค้ารักษ์โลก และกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอุตสาหกรรมที่มีต่อสิงแวดล้อม รวมทั้งมีความตระหนักถึงการลดการใช้พลาสติกและคาดหวังให้แบรนด์สินค้าต่าง ๆ สนับสนุนแนวคิดเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

นายภูสิตกล่าวว่า จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้เห็นว่าแฟชั่นหมุนเวียน เป็นแนวคิดที่จะช่วยสร้างช่องทางการตลาดใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสถานการณ์ปัจจุบันไปพร้อม ๆ กับช่วยลดขยะและลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะเห็นได้จากในวงการแฟชั่นเริ่มเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจบ้างแล้ว เช่น ธุรกิจให้เช่าเสื้อผ้า ธุรกิจขายเสื้อผ้ามือสอง รวมไปถึงการผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุรีไซเคิล หรือวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ผู้ผลิต ผู้ส่งออกของไทย ก็ควรที่จะศึกษาและวางแผนการทำตลาดภายใต้แนวคิดนี้เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม สนค.เห็นว่า ในส่วนของผู้บริโภค หากตระหนักถึงการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาจทำได้โดยเลือกสินค้าที่มีคุณภาพหรือเลือกใช้เสื้อผ้าจากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนทิ้งเสื้อผ้า พยายามซ่อมแซมเสื้อผ้าเพื่อใช้งานให้นานขึ้น บริจาคเสื้อผ้า และแยกขยะเสื้อผ้า สิ่งทอ เมื่อต้องการทิ้ง เพราะเสื้อผ้าสิ่งทอเหล่านี้ สามารถนำไปรีไซเคิลให้กลายเป็นเสื้อผ้าใหม่หรือสินค้าประเภทอื่นได้

ปัจจุบัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมตามการเติบโตของธุรกิจแฟชั่น โดยเฉพาะกระแส Fast Fashion ซึ่งเป็นเทรนด์เสื้อผ้าที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและผู้ประกอบการต้องผลิตสินค้าออกมาให้ทันความต้องการ เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความทันสมัยและซื้อบ่อยขึ้น อาจกลับทำให้สินค้าคุณภาพด้อยลง ใช้งานได้ไม่นาน และใช้ซ้ำได้น้อยครั้ง เสื้อผ้าปริมาณมหาศาลจึงต้องกลายเป็นขยะในที่สุด โดยแต่ละปีจะพบว่ามีเสื้อผ้าและสิ่งทอกว่า 85% ถูกทิ้ง และมีเพียง 15% ที่ได้รับการรีไซเคิลหรือนำไปบริจาค
#3791


เมื่อวันที่ 3 ส.ค. นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่มีครม. เมื่อวันที่ 13 ก.ค.64 และ 20 ก.ค.64 โดยมีรายละเอียดในส่วนของผู้ประกอบอาชีพอิสระมาตรา 40 คือ รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้ 5,000 บาท ต่อคน และยังให้สิทธิผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนตาม ม. 40 ภายในเดือนเดือนก.ค. 2564 เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท เช่นกัน ปรากฏว่าจนถึงวันที่ 31 ก.ค.มีผู้ขึ้นทะเบียนสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งสมัครด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซต์ www.sso.go.th และเครือข่ายประกันสังคม แต่ยังไม่ได้ชำระเงินสมทบงวดแรก ทำให้สถานะความเป็นผู้ประกันตนของยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งผลต่อการรับเงินเยียวยา

"ขอแจ้งให้ผู้สมัคร ม.40 รีบดำเนินมาชำระเงินสมทบงวดแรกให้ทันภายในวันที่ 10 ส.ค.2564 นี้ โดยสามารถชำระเงินผ่านช่องทางที่สะดวก ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิส (7-11) เคาน์เตอร์เทสโก้โลตัส เคาน์เตอร์บิ๊กซี เคาน์เตอร์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัดมหาชน หรือผ่าน Mobile Application ShoppyPay และตู้บุญเติม ฟรีค่าธรรมเนียมทุกช่องทาง" นางสาวลัดดา กล่าว

รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวย้ำว่า นอกจากการชำระเงินสมทบมาตรา 40 เพื่อรับเงินเยียวยาในพื้นที่เยียวยา 13 จังหวัด แล้ว การชำระเงินสมทบมาตรา 40 อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทุก ๆ เดือน ก็จะทำให้ท่านได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนทุกกรณี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับ "แรงงานอิสระ" ที่เพิ่งสมัครเข้าระบบประกันสังคม ม.40 รายใหม่ และอยากทราบว่า ชื่อของตนเอง เข้าสู่ระบบประกันสังคมหรือยังนั้น

สำนักงานประกันสังคม ให้ข้อมูลว่า การสมัครเป็น "ผู้ประกันตนตาม มาตรา 40" จะมีสถานะความเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมาย เมื่อจ่ายเงินสมทบงวดแรกแล้ว เท่านั้น

โดยผู้ประกันตนทุกราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33,39 หรือ มาตรา 40 ต่างก็สามารถ ตรวจสอบสถานะ การเป็นผู้ประกันตนด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ผ่านระบบ อีเซอร์วิส ของประกันสังคม ผ่านเว็บไซต์ของประกันสังคม 

หากมีข้อสงสัยสอบถามสายด่วนประกันสังคม 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ คุณสมบัติของ "แรงงานอิสระ" หรือผู้ประกอบ "อาชีพอิสระ" ที่จะสมัครประกันสังคม มาตรา 40 ได้มีดังนี้

- มีสัญชาติไทย
- อายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์
- แรงงานอิสระหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ
- ไม่เป็นลูกจ้างในบริษัท ห้างร้าน โรงงาน (ม.33)
- ไม่เป็นผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (ม.39)
- ไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ
- ผู้ถือบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยขึ้นต้นด้วยเลข 0,6,7 (ยกเว้นขึ้นต้นด้วย000)
- ผู้พิการที่รับรู้สิทธิก็สมัครได้

โดยผู้ประกันตน สามารถเลือกจ่ายเงินสมทบได้ 3 ทางเลือก ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ ที่แตกต่างกัน ดังนี้

ทางเลือกที่ 1 จ่าย 70 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต
ทางเลือกที่ 2 จ่าย 100 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ
ทางเลือกที่ 3 จ่าย 300 บาท : เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ สงเคราะห์บุตร
ทั้งนี้ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดหนัก และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน จึงได้สั่งการให้ลดการจ่ายเงินสมทบ จากเดิมการจ่ายเงินสมทบ สำหรับ ประกันสังคมมาตรา 40 มีด้วยกัน 3 ทางเลือก คือ 70 บาท, 100 บาท และ 300 บาท แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด ได้มีการปรับลดอัตราเงินสมทบ 40% เป็นเวลา 6 เดือน (1 ส.ค.64 - 31 ม.ค.65) เหลือเป็นเงินที่ต้องจ่ายสมทบ คือ 42 บาท, 60 บาท และ 180 บาท ตามลำดับ
#3792


ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยสายงานสินเชื่อธุรกิจ วิเคราะห์การระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างชัดเจน  โดยเฉพาะในกลุ่มกำลังซื้อที่เป็นกลุ่มตลาดโรงงาน อีกทั้งภาพรวมการเปิดโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีปริมาณลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การปรับตัวและมองหาช่องว่างของตลาดยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในสถานการณ์การระบาดที่ยังไม่เห็นบทสรุป

การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 3 เริ่มมีผลกระทบชัดเจน ในพื้นที่ที่กำลังซื้อหลักเป็นพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมหรือกลุ่มโรงงานซึ่งมีโอกาสที่จะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลกระทบโดยตรงจากรายได้ที่ไม่แน่นอนและการระบาดของคลัสเตอร์ใหม่ในกลุ่มโรงงาน สะท้อนให้เห็นจากยอดการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านใหม่ (นิติบุคคล) ในไตรมาสแรกปีนี้ของกลุ่มสินค้าทาวน์เฮ้าส์ ที่ปรับตัวลดลงมากในจังหวัดนครปฐม (-88%)  สมุทรสาคร (-45%) และ สมุทรปราการ (-28%)  
ส่วนภาพรวมการเปิดโครงการใหม่พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลในไตรมาสแรกปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 โดยมีจำนวนยูนิตเปิดใหม่รวม 12,985 ยูนิต ลดลง 7,212 ยูนิต (-35%) จากการที่ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัวโดยจับกลุ่มเป้าหมายที่ยังมีกำลังซื้อและได้รับผลกระทบจากโควิด-19  ไม่มาก พบว่ากลุ่มสินค้าที่มียูนิตเปิดขายสูงสุดคือคอนโดมิเนียม โดยมียูนิตขายใหม่เข้ามาในตลาด 5,857 ยูนิต ลดลง (-15%) จากไตรมาสแรก 2563 ซึ่งกลุ่มนี้เริ่มเห็นภาพการชะลอเปิดตัวตั้งแต่ต้นปี 2563  รองลงมาคือ กลุ่มทาวน์เฮ้าส์มียูนิตเปิดขายใหม่ 4,159 ยูนิต ลดลง (-56%) จากไตรมาสแรก 2563 ส่วนบ้านเดี่ยวมียูนิตเปิดขายใหม่ 1,274 ยูนิตลดลง (-44%) จากช่วงเดียวกัน  

กลุ่มโครงการที่เปิดใหม่และขายดี เป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3-5 ล้านบาท และกลุ่ม 5-10 ล้านบาท ซึ่งถ้าเจาะลึกลงไปในรายสินค้าจะเห็นว่ากลุ่มทาวน์เฮ้าส์เป็นสินค้าเปิดใหม่ที่ขายดีที่สุด โดยกลุ่มระดับราคาที่ขายดีเป็นช่วงระดับราคา 3-4 ล้านบาท (ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น) และระดับราคา 5-7 ล้านบาท (ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น) และที่น่าสนใจคือ บ้านแฝดในระดับราคา 5-7 ล้านบาทในพื้นที่เมืองรอบนอก ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนบ้านเดี่ยวที่ขยับราคาสูงขึ้นเป็น 8-10 ล้านบาท โดยพื้นที่ที่ทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝดมีการเปิดขายใหม่มากที่สุด คือโซนฝั่งบางนา-ศรีนครินทร์ รามอินทรา รังสิต-ลำลูกกา (ไม่เกินแนววงแหวนตะวันออก) ส่วนกลุ่มคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่และขายดีมีแนวโน้มที่จะปรับราคาลดลงเป็นกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท
ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่แน่ชัดว่ายาวนานเพียงใด ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าและอาจจะไม่ได้ตามเป้าหมายในปี 2564  การติดเชื้อโควิด-19 ที่กระจายเพิ่มในกลุ่มแรงงานก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น กลุ่มกำลังซื้อใหม่ยังมีอัตราการว่างงานสูง กลุ่มกำลังซื้อต่างชาติที่ยังไม่กลับมาในปีนี้  หรือการอนุมัติสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดขึ้น จะเป็นอุปสรรคที่ชะลอความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้ตลาดมีแนวโน้มหดตัวลงเป็นกลุ่มกำลังซื้อที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น และเกิดการแข่งขันแย่งตลาดที่ยังมีกำลังซื้อดังกล่าว  


ด้วยเหตุนี้ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยสายงานสินเชื่อธุรกิจ เห็นว่าการปรับตัวและมองหาโอกาสจากช่องว่างของตลาดเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่อุปสงค์ชะลอตัว อาทิ การเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบน้อย การกำหนดเซ็กเมนต์โดยนำเสนอสินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น

 การสร้างรูปแบบบริการที่รองรับสถานการณ์การใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มัล การบริหารสภาพคล่องของกระแสเงินสด การบริหารจัดการต้นทุนและความสมดุลของสต็อคบ้านที่ก่อสร้างกับอัตราการขายที่เหมาะสม การกำหนดแผนสำรองกรณีกลุ่มเซ็กเมนต์เดิมไม่สร้างยอดขาย การปรับรูปแบบสินค้าได้เร็ว การมองหาโอกาสในทำเลใหม่ๆ และกลุ่มเซ็กเมนต์ที่อุปทานในพื้นที่มีเหลือไม่มากหรือมีคู่แข่งขันน้อย

รวมทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ในทำเลซึ่งได้ประโยชน์จากการปรับปรุงผังเมืองกรุงเทพมหานคร จะเป็นช่องสำหรับเติมเต็มความต้องการสินค้าในบางระดับราคาที่ไม่สามารถเป็นไปได้ตามผังเมืองเดิม และเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างสถานการณ์ที่โควิด-19 ยังไม่เห็นบทสรุป
#3793


สุดาพร สีสอนดี นักชกหญิงทีมชาติไทย ถึงกับน้ำตาคลอหลังคว้าเหรียญทองแดงมวยสากลสมัครเล่น โอลิมปิก 2020 มาคล้องคอไว้เบื้องต้น ก่อนขอบคุณบิดาผู้ล่วงลับ ที่ผลักดันและสนับสนุนจนมาถึงวันแห่งความสำเร็จ

ขุนพลกำปั้นคนสุดท้ายที่เหลือของทัพไทย ขึ้นสังเวียนมุมน้ำเงินรุ่น 60 กก. ด้วยสีหน้ามั่นใจ ก่อนเดินลุยชกกับ แคโรไลน์ ดูบัวส์ แชมป์ ยูธ โอลิมปิก จากสหราชอาณาจักร ด้วยฟอร์มที่สนุกสูสีและชนะไปแบบเฉือนหวิว 3-2 เสียง

ผลงานนี้ทำให้ "เจ้าแต้ว" การันตีเหรียญทองแดงไปคล้องคอให้อุ่นใจแล้ว และเป็นนักกีฬาไทยคนที่สองที่มีเหรียญโอลิมปิกต่อจาก "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เจ้าของเหรียญทองกีฬาเทควันโด้ ที่ซิวไปได้ก่อนตั้งแต่วันแรก

หลังเกม สุดาพร เผยว่า "ก่อนขึ้นชกก็มีกดดันมากค่ะ แต่เราก็พยายามไม่คิดอะไร ส่วนคู่ต่อสู้วันนี้เป็นมวยต่อยยาว มีหมัดหน้าที่ดี ซึ่งเราศึกษาดูเทปการชกเขามา 3 รอบ แล้วซ้อมกับโค้ช กับน้องๆ เพื่อเตรียมตัวให้ดีที่สุด"

"ไฟต์ต่อไปเจอกับนักชกจากไอร์แลนด์ เราเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่งในศึกชิงแชมป์โลก แต่ก็ต้องกลับไปดูก่อนว่าครั้งนี้เขาต่อยเป็นยังไง แล้วค่อยไปสู้ ไปวัดกันบนเวที"

เมื่อถูกถามถึงช่วงเวลาที่กรรมการผายมือให้ตัวเองเป็นผู้ชนะ นักชกหญิงวัย 29 ปี เผยว่า "ดีใจมาก พูดอะไรไม่ออกเลย เพราะมันคือความฝันของเรา แต่จากนี้วางเป้ายังไง ก็คือขอมองไปทีละรอบดีกว่า"

สุดท้าย สุดาพร ยังให้เครดิตคุณพ่อยอดนคร ที่เสียชีวิตเมื่อ 7 ปีก่อน โดยบอกว่าถ้าไม่มีคุณพ่อก็คงไม่ได้มายืนจุดนี้ "ตอนนี้คิดถึงคนที่บ้าน คิดถึงพ่อ ถ้าไม่มีพ่อก็คงไม่มีวันนี้ เพราะพ่อบังคับให้หนูต่อยมวย (หัวเราะทั้งน้ำตา) ถ้าพ่อยังรับรู้ก็อยากบอกว่าวันนี้หนูทำได้แล้ว"

สำหรับ สุดาพร สีสอนดี มีโปรแกรมขึ้นชกรอบรองชนะเลิศ เจอกับ เคลลี แฮร์ริงตัน จากไอร์แลนด์ วันที่ 5 สิงหาคม 2564 โดยคู่นี้เคยเจอกันมาแล้วในรอบชิงชนะเลิศศึกชิงแชมป์โลก ปี 2018 ที่อินเดีย แล้วเป็น แฮร์ริงตัน ที่ได้เหรียญทอง ส่วน สุดาพร ได้เหรียญเงิน

https:// m.mgronline.com/sport/detail/9640000075814
#3794


เมื่อวันที่ 3 ส.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และไปรษณีย์ไทย ที่จัดโครงการ "เกษตรกรแฮปปี้" เพื่อส่งเสริมการขายผลไม้ไทย

โดยเช้านี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งซื้อมังคุด เงาะ ลำไยกับสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธกส. ผ่านเพจไปรษณีย์ไทย จำนวน 1 ตัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และให้จัดส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปมอบต่อเจ้าหน้าที่และจิตอาสาด่านหน้า พร้อมเชิญชวนคณะรัฐมนตรีร่วมอุดหนุน ช่วยเกษตรกรชาวสวนผลไม้ด้วย

 
นางสาวรัชดา ฯ  ยังเปิดเผยว่า ในที่ประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีชื่นชมการจัดทำการส่งเสริมการขายผลไม้ไทย โครงการ "เกษตรกรHappy"  ซึ่งเป็นอีกมาตรการหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรทั้งภาคเหนือและภาคใต้ ที่ประสบปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำในขณะนี้ สาเหตุสำคัญมาจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้การกระจายผลไม้ทำได้ยากขึ้น ขาดแรงงาน รวมทั้งการส่งออกไปตลาดต่างประเทศ เช่น จีน ก็ติดขัดจากการตรวจเข้มและปัญหาการข้ามแดน 

ดังนั้น กระทรวงพาณิชน์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และไปรษณีย์ไทย ได้จัดโครงการส่งเสริมการขายสินค้าเกษตรออนไลน์บนแพลตฟอร์มของไปรษณีย์ไทย ทาง facebook : Thailandpostmart และเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย www.Thailandpostmart.com ได้แก่ มังคุด จ.นครศรีธรรมราช เงาะ จ.สุราษฎร์ธานี และลำไย จ.พะเยา ด้วยการการตลาดแบบใหม่ใช้ช่องทาง  Line My Shop และ QR Code ให้ผู้ซื้อ/ลูกค้า ทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้และราคาที่นำมาขายและสามารถสแกนซื้อที่ QR Code ของโครงการได้เลย โดยกระทรวงพาณิชย์ จะสนับสนุนค่าขนส่งและค่ากล่องให้กับประชาชนที่สั่งซื้อผลไม้ออนไลน์ผ่าน Thailandpostmart ของไปรษณีย์ซึ่งไปรษณีย์ไทยจัดส่งให้ฟรีทั่วไทยด้วย 


"โครงการเกษตรกรHappy" ยังเป็นการเดินหน้าตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรไทยเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากการค้าออนไลน์สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภค รวมทั้งเพิ่มความปลอดภัยทั้งผู้จำหน่าย และผู้บริโภคในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดด้วย 
#3795


นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ AAV  แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า ตามที่ AAV ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด (บริษัทย่อย) แจ้งประกาศหยุดให้บริการทุกเส้นทางการบินภายในประเทศชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. -8 ส.ค.2564 ความละเอียดทราบแล้วนั้น

บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ยังคงรุนแรงขึ้น และตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำหนดให้ผู้ดำเนินการเดินอากาศยานในเส้นทางการบินภายในประเทศ ห้ามปฏิบัติการบินรับส่งผู้โดยสารเข้าหรือออกพื้นที่ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ในระหว่างสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดสูงของโรค COVID-19 ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 2564เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะสิ้นสุดหรือมีประกาศอื่น ประกอบกับมาตรการจำกัดการเดินทางของภาครัฐที่ยังประกาศใช้ต่อเนื่องนั้น

บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด จึงประกาศขยายระยะเวลาหยุดให้บริการทุกเส้นทางการบินภายในประเทศชั่วคราวจากเดิม12 ก.ค. -8 ส.ค. 2564 ขยายออกไปถึง31 ส.ค. 2564 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงจากภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง


บริษัทฯ และบริษัทย่อย ยังคงติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการกลับมาให้บริการอีกครั้งโดยเร็วที่สุด เมื่อสถานการณ์หรือกฎระเบียบต่างๆ คลี่คลายลง
#3796


กสศ. เดินหน้า Reskill – Upskill ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ผ่านทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างกระบวนการให้เกิดการยกระดับความรู้ ความสามารถ ในการประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพของตนเอง

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานอนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคประชาสังคม) ในคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

กล่าวตอนหนึ่งในเวทีเสวนาออนไลน์ เรียนให้รู้...อยู่ให้รอด ภายใต้วิกฤตโควิด 19 บทเรียนการทำงานทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 ในหัวข้อ "ทุนพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน  ทางรอด ทางเลือกในยุค New Normal" เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมาว่า โครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 หรือ ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ภายใต้การสนับสนุนของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เริ่มดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2562  กสศ. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริม สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือประชากรวัยแรงงานที่เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยใช้ชุมชนเป็นฐานสร้างกระบวนการให้เกิดการยกระดับความรู้ ความสามารถ ในการประกอบอาชีพตามความถนัดและศักยภาพของตนเองให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ เพิ่มทักษะใหม่ที่จำเป็น (Reskill) เสริมทักษะใหม่ในบริบทใหม่ (Upskill) พัฒนาทักษะอาชีพรายบุคคล โดยใช้ทุนชุมชนในการพัฒนาอาชีพ

"เรากำลังเปิดพื้นที่การเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างนิเวศแห่งการเรียนรู้ใหม่ การเรียนรู้รูปแบบนี้เป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ของประเทศ ที่น่าจะเป็นคำตอบให้กับสังคมไทยได้ และที่สำคัญกำลังรอให้คนนำไปขยายผลต่อ"ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าว

ดร.สมคิด แก้วทิพย์ ผู้จัดการโครงการพัฒนาทักษะอาชีพสำหรับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ปี 2563 กล่าวว่า องค์ประกอบที่สำคัญของโครงการฯ นี้ คือ "ระบบการจัดการร่วม" ที่ กสศ.มี "อนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการฯ" และจัดให้มีเจ้าหน้าที่ดูแลการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีการทำงานร่วมกับ "พี่เลี้ยง" ที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศทำหน้าที่ กระตุ้น หนุนเสริมองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้แก่ "หน่วยพัฒนาอาชีพ" ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเข้าไปทำงานและร่วมเรียนรู้กับ "ผู้เข้าร่วมโครงการฯ" ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการฯ องค์ประกอบเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดการบริหารจัดการร่วมเชิงบูรณาการบนฐานพื้นที่ ทำงานเชื่อมประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีจุดร่วมคือการนำปัญหาของพื้นที่เป็นตัวตั้ง

ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ ชี้ว่า เรากำลังสร้าง "ต้นแบบ" การพัฒนาทักษะอาชีพบนฐานทุนชุมชนในมิติใหม่ ที่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ด้วยการเข้าไปดูว่าเขาต้องการแก้ปัญหาอะไร ชุมชนมีต้นทุนอะไร และสุดท้ายเรานำข้อมูลมาวิเคราะห์ออกแบบเป็นหลักสูตรเฉพาะร่วมกับชุมชนที่เหมาะสม เพื่อคลี่คลายปัญหาของชุมชน

ตลอดการทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกลุ่มแรงงานนอกระบบ แรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือ จำนวน 14,414 คน จาก 194  โครงการ ใน 51 จังหวัด ครอบคลุม 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ  เกิดหลักสูตรการยกระดับการประกอบอาชีพที่ตอบโจทย์ท้องถิ่นและตลาดแรงงาน นำไปสู่การเป็นผู้ประกอบการและแรงงานที่มีฝีมือในชุมชน เกิดเครือข่ายคนทำงานรุ่นใหม่ที่เข้ามามีบทบาทในการร่วมพัฒนา อีกทั้งยังเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิชาการ สถาบันการศึกษาในการพัฒนากลไกเสริม เครื่องมือ และชุดความรู้ร่วมกับหน่วยพัฒนาอาชีพ และเกิดเป็นนวัตกรรมการพัฒนาอาชีพในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การพัฒนาส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการ การรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน และเกิดผลิตภัณฑ์ งานบริการที่ถูกยกระดับให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยีออนไลน์

"การใช้ชุมชนเป็นฐานเป็นต้นแบบหนึ่งของ กสศ. ถือเป็นมิติใหม่ของการทำงานเชิงพื้นที่ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน โดย กสศ.เข้าไปหนุนเสริมทักษะความรู้และงบประมาณบางส่วน ทำให้เกิดการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นความสุขมากขึ้น ผมคิดว่ารูปแบบการทำงานแบบบนี้น่าจะเป็นทางเลือกทางรอดของประเทศได้"


ขณะที่ ดร.สมคิด กล่าวเสริมว่า ผลจากการทำโครงการ 2 ปีที่ผ่านมา วันนี้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือ เห็นระบบของการดึงโครงสร้างความรู้ มาร่วมปฏิบัติการในพื้นที่ เป็นระบบการศึกษาใหม่ในการพัฒนาอาชีพโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างทักษะและองค์ความรู้ที่จะนำมาประกอบอาชีพให้เกิดรายได้แล้ว ความรู้ที่เกิดขึ้นยังเป็นเกราะกำบังให้คนในชุมชนเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และที่สำคัญคือ เกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ระหว่างคนในชุมชน คือ "หาได้" และ "ให้ได้" สร้างสังคมแห่งการดูแลกันและสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้

ดร. สมคิด กล่าวสรุปว่า การสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นการยกระดับทักษะความรู้ให้กลุ่มแรงงานสามารถประกอบอาชีพ มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว ถือเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพการศึกษา สังคม วัฒนธรรม ให้ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ อันจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในชุมชน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการลดความเลื่อมล้ำในสังคมโดยใช้ชุมชนเป็นฐานได้อย่างแท้จริง
#3797


กระแสการเลือกใช้ยาสมุนไพรเพื่อช่วยต้านโควิด-19 มีข่าวออกมาให้เห็นกันเรื่อยๆ จากยาฟ้าทะลายโจร มาจนถึงกระชาย และล่าสุดกับ "โกฐจุฬาลัมพา" ที่ล่าสุดนี้มีข่าวออกมาว่า มีการวิจัยในขั้นต้นว่าสมุนไพรชนิดนี้ช่วยต้านโควิด-19 ได้

โดยทางเพจ BIOTHAI (มูลนิธิชีววิถี) ได้ออกให้ข้อมูลว่า มีคณะนักวิจัยจาก Columbia University และ University of Washington สหรัฐอเมริกา ได้วิจัยพบว่า "โกฐจุฬาลัมพา" สามารถต้านเชื้อโควิดได้ในห้องปฏิบัติการ ผลวิจัยดังกล่าว พบว่าสารสกัดโดยน้ำร้อนของสมุนไพรนี้มีฤทธิ์ยับยั้งโควิดได้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ของนักวิจัยในจีน และการส่งเสริมโดยประธานาธิบดีแห่งมาดากัสการ์

สารสกัดรวมของโกฐจุฬาลัมพา (โดยมีตัวอย่างหนึ่งเป็นใบแห้งมีอายุการเก็บมานานกว่า 10 ปี) มีประสิทธิภาพสูงในการยับยั้งเชื้อโควิด ซึ่งรวมทั้งสายพันธุ์แอฟริกา และอังกฤษ โดยนักวิจัยเชื่อว่าสารที่มีบทบาทสำคัญในการยับยั้งไวรัสมรณะนี้นอกจากสาร artemisinin และองค์ประกอบแล้วน่าจะมาจากการทำงานของสารอื่นๆ ในโกฐจุฬาลัมพาด้วย

ในบัญชียาจากสมุนไพรที่มีการใช้ตามองค์ความรู้เดิม ตามประกาศของคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา (ฉบับที่ 5) มีปรากฏการใช้สมุนไพรโกฐจุฬาลัมพาในหลายตำรับ ได้แก่ ยารักษากลุ่มอาการทางระบบไหลเวียนโลหิตหรือยาแก้ลม ซึ่งมีปรากฏในตำรับ "ยาหอมเทพจิตร" และตำรับ "ยาหอมนวโกฐ" ที่มีส่วนประกอบของโกฐจุฬาลัมพาอยู่ในพิกัดโกฐทั้งเก้าร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ อีกในตำรับ

โดยมีสรรพคุณเป็นยาแก้ลมวิงเวียน แก้อาการหน้ามืดตาลาย ใจสั่น คลื่นเหียน อาเจียน และแก้ลมจุกแน่นในท้อง และในยาแก้ไข้ก็มีปรากฏในตำรับ "ยาจันทน์ลีลา" และตำรับ "ยาแก้ไข้ห้าราก" ที่มีส่วนประกอบของโกฐจุฬาลัมพาร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ อีกในตำรับ โดยมีสรรพคุณเป็นยาบรรเทาอาการไข้ตัวร้อน ไข้เปลี่ยนฤดู

ทั้งนี้ งานวิจัยเกี่ยวกับโกฐจุฬาลัมพาช่วยต้านโควิด-19 ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองในห้องปฏิบัติการ การจะเลือกใช้โกฐจุฬาลัมพา เป็นยาสมุนไพรช่วยต้านโควิดจึงต้องตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบ และติดตามผลการทดลองทั้งในไทยและต่างประเทศ

ในเบื้องต้น ทาง BIOTHAI แนะนำข้อควรระวังไว้ว่า ต้นโกฐจุฬาลัมพามีทั้งพันธุ์ดอกสีขาวและดอกสีแดง มีสรรพคุณทางยาเหมือนกัน สามารถนำมาใช้แทนกันได้ นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์ดอกสีเหลือง ชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Artemisia princeps Pamp ด้วย แต่พันธุ์นี้จะมีพิษ ถ้าใช้เกินขนาดก็อาจทำให้เสียชีวิตได้

การใช้ยา ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ควรใช้ตามคำแนะนำของหมอพื้นบ้าน และแพทย์แผนไทย เพราะอาจส่งผลกระทบต่อตับไต หญิงตั้งครรภ์ หรือไข้เลือดออก

https:// m.mgronline.com/travel/detail/9640000075833
#3798


เรียกเสียงฮือฮาอย่างมาก หลังมีสื่อต่างประเทศรายงานว่า "เทเลนอร์ กรุ๊ป" ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC จะโบกมือบ๊ายบาย! ประเทศไทย
เตรียมขายหุ้นทั้งหมดใน DTAC มูลค่ารวม 2 พันล้านดอลลาร์ หรือ ราว 6.6 หมื่นล้านบาท จนส่งผลให้ราคาหุ้น DTAC พุ่งแรงติดจรวจ ในการซื้อขายเมื่อวันที่ 29 ก.ค. หลังมีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดออกมา โดยระหว่างวันราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 36.75 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ 35.75 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท หรือ 11.72%

ก่อนที่สุดท้ายแล้วทางเทเลนอร์ออกมาสยบข่าวลือ โดย เกลนน์ แมนเดลิด ผู้อำนวยการสายงานสื่อสารองค์กร เทเลนอร์ เอเชีย ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า เทเลนอร์ กรุ๊ป จะไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวลือหรือการเก็งกำไรในตลาด พร้อมยืนยันว่าเทเลนอร์ยังคงมุ่งมั่นในการทำธุรกิจในประเทศไทย และกลยุทธ์ในตลาดเอเชียยังไม่เปลี่ยนแปลง

ถือเป็นการคอนเฟิร์มว่า ขณะนี้ เทเลนอร์ กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสารโทรคมนาคมของนอร์เวย์ จะยังคงปักหลักเดินหน้าดำเนินกิจการในประเทศไทยต่อไป หลังเข้าลงทุนในหุ้น DTAC มาร่วม 20 ปี ตั้งแต่ปี 2544 จนมาถึงปัจจุบันกิจการของ DTAC ในไทยยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้และผลกำไรหลักให้กับเทเลนอร์

ทั้งนี้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เทเลนอร์ถือหุ้น DTAC ผ่าน TELENOR ASIA PTE LTD ในสัดส่วน 45.87% และลงทุนทางอ้อมผ่าน บริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด อีกส่วนหนึ่ง ดังนั้น เมื่อลองคำนวณย้อนกลับมาดู หากกระแสข่าวขายกิจการมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ เป็นจริง เท่ากับว่าราคาหุ้น DTAC ที่เทเลนอร์จะขายออกมาต้องมากกว่า 40 บาทต่อหุ้นแน่นอน ซึ่งสูงกว่าราคาในกระดาน จึงเป็นอีกแรงหนุนให้ราคาหุ้นพุ่งแรง

ต้องยอมรับว่ากระแสข่าวขายกิจการ DTAC ในไทยของเทเลนอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีข่าวแพร่สะพัดออกมาเป็นระยะ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย ทั้งการแข่งขันด้านราคา การพัฒนาโครงข่าย การประมูลไลเซ่นส์ ไปจนถึงความเร็วอินเตอร์เน็ตเพื่อมัดใจผู้บริโภค

จนทำให้บริษัทเพลี่ยงพล้ำถูก "TrueMove H" ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชิงมาร์เก็ตแชร์ขึ้นไปเป็นอันดับ 2 และถูก "AIS" ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ที่เป็นเจ้าตลาดทิ้งห่างไปเรื่อยๆ จึงไม่แปลกที่จะมีกระแสข่าวออกมาว่า หรือจะถึงเวลาแล้วที่เทเลนอร์จะต้องยอมยกธงขาว?

แต่ประเด็นนี้ ชารัด เมห์โรทรา ซีอีโอคนปัจจุบันของ DTAC เคยให้มุมมองไว้ว่า อันดับเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ DTAC ต้องสู้กับตัวเองก่อน ถ้ามีบริการที่ดี มีคุณภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เดี๋ยวอันดับจะดีขึ้นเอง ดังนั้นแค่เรื่องมาร์เก็ตแชร์คงไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เทเลนอร์ยอมถอย

สำหรับกระแสข่าวลือรอบล่าสุดนี้ ถูกนำมาเชื่องโยงกับการที่เทเลนอร์ขายกิจการในเมียนมาให้กับ M1 Group จากประเทศเลบานอน มูลค่า 105 ล้านดอลลาร์ หรือ ราว 3.4 พันล้านบาท เมื่อต้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลทางการเมือง เพราะตั้งแต่เกิดรัฐประหารส่งผลกระทบต่อธุรกิจโทรคมนาคมเต็มๆ เนื่องจากถูกจำกัดการให้บริการ มีการสั่งปิดเครือข่าย ซึ่งเทเลนอร์มองว่าสถานการณ์ในเมียนมาคงไม่ได้ดีขึ้นในเร็ววันนี้จึงยอมถอนตัวออกมา

ดังนั้นการขายธุรกิจในเมียนมาคงไม่เกี่ยวกับกิจการในประเทศไทย เพราะในไทยแม้จะถูกคู่แข่งชิงส่วนแบ่งไปเยอะ แต่ DTAC ยังเป็นกิจการหลักที่สร้างรายได้ให้กับเทเลนอร์ และมีสัดส่วนรายได้มากที่สุดในตลาดเอเชีย

แต่ถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้ไหม? ที่เทเลนอร์จะขายหุ้น DTAC ต้องตอบว่าทุกอย่างมีโอกาสเกิดขึ้นได้หมด แต่ที่น่าสนใจ คือ ถ้าขายจริงจะขายให้ใคร ซึ่งดูแล้วโอกาสที่เป็นไปได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นโอเปอเรเตอร์มือถือในตลาดด้วยกัน เพราะไม่ใช่ธุรกิจง่ายๆ ที่ใครจะเข้ามา ต้องอาศัยความชำนาญ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทุกๆ ฝ่าย

โดยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กระแสข่าวที่ออกมามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย เพราะหากผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งในประเทศเข้าซื้อ DTAC จะส่งผลให้มีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% เข้าข่ายผูกขาดทางการค้า ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ซึ่งอาจจะตามมาด้วยเงื่อนไขที่จำกัด Synergy ในการทำธุรกิจ

ขณะที่ในระยะสั้น ADVANC อาจติดปัญหาโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง ส่วน TRUE ยังมีความท้าทายจากภาระหนี้สินที่ยังสูง

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952032
#3799


โรงพยาบาลบุษราคัม Big Cleaning ทำความสะอาดจุดแรกรับผู้ป่วย พร้อมปรับระบบจัดทางด่วนสำหรับกลุ่มเปราะบาง เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยติดเตียง พิการ ให้เข้ารับการประเมินก่อน และจัดโซนผู้ป่วยเพื่อง่ายต่อการดูแล

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบุษราคัม ให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลบุษราคัม ได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ข้อมูลถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 ให้การดูแลผู้ป่วยแล้วจำนวน 13,275 ราย โดยในเช้าวันนี้ได้จัด Big cleaning ทำความสะอาดครั้งใหญ่ในบริเวณจุดแรกรับผู้ป่วย ทั้ง 2 จุด พร้อมปรับระบบประเมินผู้ป่วยแรกรับ โดยเพิ่มทางด่วน Fast Track สำหรับผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยที่ต้องให้ออกซิเจน เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เป็นต้น ให้ได้รับการประเมินอาการก่อน และจัดโซนผู้ป่วยให้ง่ายต่อการดูแลรักษา เนื่องจากระยะหลังพบผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเปราะบางเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้เตรียมนำเก้าอี้รถเข็นเข้าไปยังหอผู้ป่วยจำนวน 231 ตัว และเก้าอี้นั่งสำหรับขับถ่ายข้างเตียงผู้ป่วย จำนวน 62 ตัว เก้าอี้อาบน้ำ จำนวน 5 ตัว เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ป่วย และกำลังจัดหาเตียงลมสำหรับผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยวิกฤติเพิ่มเติม ต้องขอขอบคุณทหารจิตอาสาที่ให้ความร่วมมือ สนับสนุนในการเข้าไปอำนวยความสะดวกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและเปลี่ยนเตียงที่ชำรุด รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเป็นจิตอาสา วัดความดันโลหิต วัดค่าออกซิเจนในเลือด ประสานงานเจ้าหน้าที่กับผู้ป่วย ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

สำหรับสถานการณ์เตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลบุษราคัมวันนี้ มีผู้ป่วยที่นอนรักษาอยู่ 3,233 ราย เป็นกลุ่มสีเหลืองอ่อน 2,771 ราย สีเหลือง 287 ราย สีแดง 175 ราย โดยมีมาตรฐานการรักษาตามแนวทางของกรมการแพทย์ ซึ่งผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อย ที่รักษาหายแล้วครบ 7 - 10 วัน สามารถให้กลับไปกักตัวที่บ้านต่อได้เพื่อที่จะมีเตียงไว้สำหรับผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป
#3800


กระทรวงสาธารณสุข เผยการทำ Home Isolation , Community Isolation ในผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลุ่มสีเขียว ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย ซึ่งพบร้อยละ 85 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด ช่วยลดการใช้เตียงในโรงพยาบาล ช่วยผู้ติดเชื้อที่มีอาการปานกลางและรุนแรง หรือกลุ่มสีเหลือง สีแดงได้รับการดูแลเต็มที่

เมื่อวันที่ 1 ส.ค. นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับมาตรการดูแลผู้ติดเชื้อโควิดให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค จากสายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดได้รวดเร็ว ทำให้พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ความต้องการเตียงจึงมีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด มีประมาณร้อยละ 15 ที่มีอาการปานกลางหรืออาการรุนแรง ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลและต้องการใช้เครื่องมือแพทย์ ซึ่งส่วนมากอยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง รวมถึงคนอ้วน ซึ่งส่วนใหญ่อีกร้อยละ 85 จะมีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการเลย ไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ทำลายเชื้อโรคได้ดี สามารถทำ Home Isolation อยู่ที่บ้านได้ และต้องทำการกันป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อสู่คนในครอบครัวรวมทั้งพี่น้องที่อยู่ด้วย แต่หากไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ จะนำมาอยู่รวมกันเป็น Community Isolation โดยให้ชุมชนช่วยกันดูแล เพื่อจะได้มีเตียงเพียงพอสำหรับให้ผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเหลือง สีแดงได้รับการดูแลอย่างเต็มที่

นายแพทย์ธงชัยกล่าวต่อว่า หลังทราบผลการติดเชื้อ ให้ตรวจสอบอาการตนเอง หากไม่มีไข้ หรือมีไข้ต่ำๆ ไม่มีอาการหายใจเร็ว หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ สามารถอยู่ที่บ้านได้ ให้โทรไปได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 กด 14 จะได้รับการติดต่อกลับพร้อมนำชุดเซ็ตในการดูแลตัวเองที่บ้านไปให้ เช่น ปรอท ที่วัดออกซิเจน ยาฟ้าทะลายโจร หรือยาฟาวิพิราเวียร์ทานที่บ้านได้เลย และจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานติดตามอาการวันละ 2 ครั้ง หากเริ่มมีอาการที่หนักขึ้น เช่น หายใจติดขัด ไอ แน่นหน้าอก ออกซิเจนต่ำ ก็จะมีรถไปรับ มารักษาที่โรงพยาบาล