• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - dsmol19

#3701


นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 33.37 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าอยู่ที่ระดับ 33.11 บาท/ดอลลาร์ วันนี้บาทเคลื่อนไหวอย่างผันผวนตลอดวัน โดยมีแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ กลับเข้ามาในตลาด คาดว่าเป็น flow ของฝั่งผู้นำเข้า ส่งผลให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง อย่างไรก็ดีวันนี้ยังไม่มีปัจจัยชี้นำที่สำคัญจากต่างประเทศ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.13-33.37 บาท/ดอลลาร์ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทของวันจันทร์ไว้ที่ 33.25-33.40 บาท/ดอลลาร์ ปัจจัยที่ต้องติดตามวันจันทร์ คือการแถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 2/64 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

หุ้นไทยอ่อนตัวลง ชะลอตัวหนีโควิด ฉุดปิด-4.39 จุด วอลุ่ม 8.2 หมื่นล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันนี้ (13 ส.ค.64) ว่า บรรยากาศวันนี้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างอ่อนตัวลง แม้แนวโน้มไตรมาส 3/64 จะดีแต่ปีนี้มีปัจจัยพิเศษจากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้มองปี 65 อาจชะลอตัว อย่างไรก็ดีมีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มโรงพยาบาลที่ยังฟื้นตัวน้อย

นอกจากนี้ ตลาดบ้านเรายังอยู่ในช่วงใกล้สิ้นสุดการประกาศงบฯที่จะครบกำหนดวันที่ 17 ส.ค.นี้ หลังจากนี้ก็มองงบฯไตรมาส 3/64 มีโอกาสชะลอตัวลงรับผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงต่อเนื่อง แต่กลุ่มพลังงาน, เดินเรือ และปิโตรเคมี ยังเป็นบวก แม้ว่าการฟื้นตัวของการบริโภคในครึ่งปีหลัง (H2/64) ยังไม่ชัดเจน ทั้งนี้ส่งผลให้ตลาดฯปิดวันนี้ที่ระดับ 1,528.32 จุด ลดลง 4.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 82,024.22 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
B ปิดที่ 0.71 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท
TWZ ปิดที่ 0.10 บาท คงที่
7UP ปิดที่ 1.18 บาท ลดลง 0.06 บาท
ACE ปิดที่ 4.22 บาท ลดลง 0.10 บาท
IRPC ปิดที่ 3.78 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท
#3702


เมื่อวันที่ 12 ส.ค. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 4,566 ล้านโดส ใน 201 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 39.1 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 353 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 167 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว

ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 195.18 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (75.9% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 78.51 ล้านโดส สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 22,288,819 โดส โดยฉีดให้กับประชาชนมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 54.20%

ในการฉีดวัคซีน จำนวน 4,566 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ

1. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2564
จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 22,288,819 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น
-เข็มแรก 17,068,105 โดส (25.8% ของประชากร)
-เข็มสอง 4,826,641 โดส (7.3% ของประชากร)
-เข็มสาม 394,073 โดส (0.6% ของประชากร)

2. อัตราการฉีดวัคซีนตั้งแต่ 28 ก.พ.- 12 ส.ค. 64 พบว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้ว 22,288,819 โดส ฉีดเพิ่มขึ้น 570,865 โดส (อัตราการฉีดล่าสุดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. 64 ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนวาระแห่งชาติ 475,302 โดส/วัน

3. อัตราการฉีดวัคซีน ประกอบด้วย
วัคซีน Sinovac
- เข็มที่ 1 7,276,652 โดส
- เข็มที่ 2 3,443,314 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน AstraZeneca
- เข็มที่ 1 8,526,768 โดส
- เข็มที่ 2 892,320 โดส
- เข็มที่ 3 190,288 โดส

วัคซีน Sinopharm
- เข็มที่ 1 1,222,497 โดส
- เข็มที่ 2 472,509 โดส
- เข็มที่ 3 0 โดส

วัคซีน Pfizer
- เข็มที่ 1 42,188 โดส
- เข็มที่ 2 18,498 โดส
- เข็มที่ 3 203,785 โดส

4. การฉีดวัคซีนโควิด-19 แยกตามกลุ่มเป้าหมาย
- บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข เข็มที่1 118.4% เข็มที่2 102.0% เข็มที่3 55.3%
- เจ้าหน้าที่ด่านหน้า เข็มที่1 50.6% เข็มที่2 30.2% เข็มที่3 0%
- อสม เข็มที่1 54.7% เข็มที่2 24.7% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค เข็มที่1 35.2% เข็มที่1 6.2% เข็มที่3 0%
- ประชาชนทั่วไป เข็มที่1 31.2% เข็มที่2 9.0% เข็มที่3 0%
- ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เข็มที่1 32.8% เข็มที่2 2.5% เข็มที่3 0%
- หญิงตั้งครรภ์ เข็มที่1 1.6% เข็มที่2 0.1% เข็มที่3 0%
รวม เข็มที่1 34.1% เข็มที่2 9.7% เข็มที่3 0.8%

5. จังหวัดที่ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบ่งเป็น 2 ชุดข้อมูล
กรุงเทพฯ และปริมณฑล เข็มที่1 53.6% เข็มที่2 12.5% เข็มที่3 0.8% ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เข็มที่1 74.1% เข็มที่2 16.1% เข็มที่3 1.1%
- สมุทรสาคร เข็มที่1 33.7% เข็มที่2 13.5% เข็มที่3 0.5%
- นนทบุรี เข็มที่1 35.2% เข็มที่2 11.7% เข็มที่3 0.5%
- สมุทรปราการ เข็มที่1 34.7% เข็มที่2 6.8% เข็มที่3 0.4%
- ปทุมธานี เข็มที่1 30.5% เข็มที่2 6.8% เข็มที่3 0.3%
- นครปฐม เข็มที่1 19.9% เข็มที่2 4.8% เข็มที่3 0.4%

จังหวัดอื่น ๆ 71 จังหวัด เข็มที่1 15.9% เข็มที่2 5.2% เข็มที่3 0.5%
- ชลบุรี เข็มที่1 27.4% เข็มที่2 8.8% เข็มที่3 0.8%
- พระนครศรีอยุธยา เข็มที่1 15.6% เข็มที่2 4.0% เข็มที่3 0.3%
- สงขลา เข็มที่1 21.5% เข็มที่2 6.7% เข็มที่3 0.9%
- ยะลา เข็มที่1 24.3% เข็มที่2 7.5% เข็มที่3 0.6%
- ปัตตานี เข็มที่1 18.9% เข็มที่2 5.8% เข็มที่3 0.3%
- ฉะเชิงเทรา เข็มที่1 37.0% เข็มที่2 5.0% เข็มที่3 0.5%

6. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 195,188,048 โดส ได้แก่
1. อินโดนีเซีย จำนวน 78,512,091 โดส (19%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, AstraZeneca, Moderna และ Sinopharm
2. ฟิลิปปินส์ จำนวน 26,127,502 โดส (12.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac, Pfizer, Sputnik V, Moderna, J&J และ AstraZeneca
3. มาเลเซีย จำนวน 25,863,563 โดส (50%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, AstraZeneca และ Sinovac
4. ไทย จำนวน 22,288,819 โดส (25.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Sinovac, AstraZeneca และ Sinopharm
5. กัมพูชา จำนวน 15.265,222 โดส (55.8%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, AstraZeneca, J&J และ Sinovac
6. เวียดนาม จำนวน 12,098,821 โดส (11.3%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca, Pfizer, Moderna และ Sinopharm
7. สิงคโปร์ จำนวน 8,458,968 โดส (75.9%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer, Moderna และ Sinovac
8. พม่า จำนวน 3,500,000 โดส (N/A* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
9. ลาว จำนวน 2,871,621 โดส (20.7%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm, Sputnik V, Pfizer, J&J, Sinovac และ AstraZeneca
10. บรูไน จำนวน 201,441 โดส (35.2%* ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca และ Sinopharm
* คำนวณจากจำนวนฉีด/จำนวนประชากร/2 เหมือนกันทุกประเทศ

7. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค
1. เอเชียและตะวันออกกลาง 66.46%
2. อเมริกาเหนือ 11.34%
3. ยุโรป 13.62%
4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.46%
5. แอฟริกา 1.74%
6. โอเชียเนีย 0.38%

8. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด 5 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 70% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก
1. จีน จำนวน 1,808.09 ล้านโดส (64.6% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)
2. อินเดีย จำนวน 519.08 ล้านโดส (19.0%)
3. สหรัฐอเมริกา จำนวน 353.21 ล้านโดส (55.2%)
4. บราซิล จำนวน 155.43 ล้านโดส (38.0%)
5. ญี่ปุ่น จำนวน 105.68 ล้านโดส (41.9%)

9. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด มี 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)
1. มัลดีฟส์ (83.4% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinopharm)
2. บาห์เรน (80.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaley)
3. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (80.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)
4. สิงคโปร์ (75.9%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Sinovac)
5. กาตาร์ (71.8%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)
6. อุรุกวัย (70.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
7. ชิลี (68.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, CanSino, Pfizer/BioNTech และ Sinovac)
8. ภูฏาน (68.4%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech และ Moderna)
9. เดนมาร์ก (68.0%) (ฉีดวัคซีนของ Moderna, Pfizer/BioNTech และ J&J)
10. แคนาดา (67.9%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford Moderna และ Pfizer/BioNTech) 
#3703


จากกรณีหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ หรือ ซีดีซี (U.S. Centers for Disease Control and Prevention) ยกระดับคำเเนะนำต่อพลเมืองสหรัฐในการเดินทางมายังประเทศไทย โดยยกระดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงมากต่อการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐยังได้ปรับคำเตือนสูงสุดขั้นที่ 4 สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีประมาณ 70 ประเทศที่อยู่ในกลุ่มที่ 4 เช่นเดียวกับไทย อาทิ บราซิล ชิลี อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า เบื้องต้น ททท.มองว่าจากกรณีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวไทยบ้าง แต่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โดย ททท.ต้องพยายามทำความเข้าใจกับประเทศต่างๆ ว่าประเทศไทยไม่ได้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดทุกพื้นที่ แต่เป็นการเปิดเฉพาะจังหวัดหรือพื้นที่นำร่อง (แซนด์บ็อกซ์) ที่มีความปลอดภัยสูงสุดเท่านั้น สะท้อนได้จากผู้ที่เดินทางเข้ามา ไม่มีชาวต่างชาติมาติดเชื้อในไทย และไม่มีคนไทยติดเชื้อจากชาวต่างชาติด้วย

ทั้งนี้การยกระดับคำเตือนดังกล่าว ไม่ได้ถือเป็นการห้ามเดินทาง แต่เป็นเพียงการแนะนำเท่านั้น ซึ่งสหรัฐไม่ได้เป็นประเทศแรกที่ยกระดับคำเตือนหรือคำแนะนำในการเดินทางมาประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงมากขึ้น โดยที่ผ่านมามีสหภาพยุโรปได้ถอดรายชื่อประเทศไทยออกจากลิสต์ประเทศที่ปลอดภัย (EU White List) จากการระบาดของโควิด-19 แต่ก็เห็นว่ายังมีพลเมืองในสหภาพยุโรปเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะคนกลุ่มนี้มั่นใจเรื่องภูมิคุ้มกันหลังได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ รวมถึงเมื่อชาวต่างชาติมาเที่ยวไทย ก็ไม่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวพื้นที่ที่มีการระบาดสูงได้

"ถือเป็นจุดที่ ททท.จะต้องประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศมากที่สุดและเร็วที่สุด ด้วยการแยกพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยออกมาจากภาพรวมทั้งประเทศไทย เพื่อทำความเข้าใจแก่ชาวต่างชาติว่าพื้นที่นำร่องเปิดรับนักท่องเที่ยวที่กำหนดไว้ มีความปลอดภัยจริงๆ" ผู้ว่าการ ททท.กล่าว
#3704


กลุ่มบางจากฯ โดยบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) ร่วมจัด โครงการปันกันอิ่ม เฟสพิเศษ ในโอกาสวันแม่แห่งชาติ สนับสนุนภารกิจกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มอบอาหารกล่องแก่ชุมชนรวม 57 แห่ง ในพื้นที่ 9 เขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและผู้ด้อยโอกาส

และสนับสนุนอาหารจากผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยและร้านพันธมิตรในสถานีบริการน้ำมันบางจากอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 20,000 อิ่ม ระหว่างวันที่  12-15 สิงหาคม 2564

ก่อนหน้านี้ บริษัท บางจากฯ ได้จัดโครงการบางจากฯ ปันกันอิ่มเฟสที่ 1 และขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการเฟสที่ 2 และยังมีโครงการปันกันอิ่มในพื้นที่พระโขนง – บางนา ปันกันอิ่มให้แคมป์คนงานก่อสร้าง และปันกันอิ่มรอบโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ช่วยอุดหนุนเจ้าของธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระแก่ผู้รับที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

โดยระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม ได้สนับสนุนร้านอาหารในพื้นที่รอบโรงกลั่น ในพื้นที่เขตพระโขนง-บางนา รวมถึงร้านอาหารและผู้ประกอบการรายย่อยและร้านพันธมิตรในสถานีบริการน้ำมันบางจากในกทม. ปริมณฑล รวมเกือบ 100 ร้าน และส่งมอบอาหารรวมกว่า 40,000 อิ่ม ผ่านทุกโครงการ
#3705


ราคาน้ำมันขยับขึ้น 2% ในวันอังคาร(10ส.ค.) ดีดตัวจากดิ่งลงแรงเมื่อเร็วๆนี้ ท่ามกลางสัญญาณอุปสงค์ฟื้นตัวในสหรัฐฯ แม้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนวอลล์สตรีทปิดผสมผสาน หลังวุฒิสภาเห็นชอบแพ็คเกจโครงสร้างพื้นฐาน 1 ล้านล้าน ขณะที่ทองคำก็ปรับขึ้นเช่นกัน

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 1.81 ดอลลาร์ ปิดที่ 68.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 70.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

การแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตาของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ผลักให้เคสผู้ติดเชื้อและผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน

อย่างไรก็ตามด้วยการจ้างงานขยายตัวขึ้นในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้น ช่วยส่งเสริมการบริโภคน้ำมันเบนซิน สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานแห่งสหรัฐฯ(อีไอเอ) ระบุในรายงานประจำเดือน

อีไอเอประมาณการว่าการบริโภคน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 8.8 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2021 เพิ่มขึ้นจากระดับ 8 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2020 แต่กระนั้นเชื่อว่าการบริโภคน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯจะยังคงต่ำกว่าระดับปี 2019 ไปจนถึงปี 2022 สืบเนื่องจากประชาชนจำนวนมากยังคงทำงานจากที่บ้าน

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดผสมผสานในวันอังคาร(10ส.ค.) แต่ดาวโจนส์และเอสแอนด์พี 500 ปิดสูงสุดตลอดกาล ได้แรงหนุนจากหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจ หลังวุฒิสภาสหรัฐฯลงมติเห็นชอบแพ็คเกจโครงสร้างพื้นฐาน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใต้การสนับสนุนจากทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 162.82 จุด (0.46 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 35,264.67 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 4.40 จุด (0.10 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,436.75 จุด แนสแดค ลดลง 72.09 จุด (0.49 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,788.09 จุด

ร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเวลานี้มุ่งหน้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฏร อาจเปิดทางสำหรับการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศในรอบหลายทศวรรษ ทั้งถนน สะพาน สนามบินและเส้นทางน้ำ ขณะเดียวกันวุฒิสภาก็จะเริ่มโหวตในแพ็คเกจงบประมาณ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ทางเดโมแครตวางแผนไว้ว่าจะยกมือเห็นชอบโดยไม่จำเป็นต้องได้รับแรงหนุนใดๆจากรีพับลิกัน

ส่วนราคาทองคำในวันอังคาร(10ส.ค.) ปิดบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วัน จากแรงช้อนซื้อหลังจากร่วงลงหนักก่อนหน้านี้ โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 5.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,731.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์

(ที่มา:รอยเตอร์)
#3706


กำแพงเพชร – คลังจังหวัดกำแพงเพชรชี้ระเบียบการเงินมีผู้รับผิดชอบแต่ละขั้นตอนชัดเจน..เชื่อเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี สสจ.กำแพงเพชร ยักยอกงบโควิดกว่า 12 ล้าน ปกติทำหรืออนุมัติคนเดียวไม่ได้แน่

ความคืบหน้ากรณี เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกำแพงเพชร โอนเงินเพื่อใช้ในกิจการดูแลป้องกันรักษาการแพร่ ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจังหวัดกำแพงเพชร เข้าบัญชีตนเองเป็นเงินกว่า 12 ล้านบาท ซึ่งเบื้องต้นหน่วยงานต้นสังกัดได้ออกคำสั่งให้ออกไว้ก่อนแล้วนั้น

นางยุภารัตน์ เนื่องจำนงค์ คลังจังหวัดกำแพงเพชร เปิดเผยว่าส่วนตัวยังไม่เห็นข้อมูลรายละเอียดจากหน่วยงานดังกล่าว แต่ในฐานะที่ดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณของจังหวัดผ่านคลัง โดยทั่วไปแล้วจะมีการวางระบบการเงินและบัญชีไว้อย่างชัดเจน

แต่เงินดังกล่าวทราบว่าเป็นการโอนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้าหน่วยงานต้นสังกัดคือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกําแพงเพชร เพื่อดำเนินการตามหนังสือสั่งการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องภายในของสำนักงานสาธารณสุข ที่จะต้องบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ด้วยหลักการเก็บรักษา-การเบิกจ่าย เงินหลวงนั้น จะมีระเบียบข้อกฎหมายผู้รับผิดชอบในแต่ละระดับที่ชัดเจน ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ผู้จัดทำเอกสาร ผ่านหัวหน้างานหรือหัวหน้าฝ่ายไปจนถึงผู้อนุมัติ ทุกคนต้องมีอำนาจความรับผิดชอบเกี่ยวกับงบประมาณและการดำเนินงานในแต่ละครั้งที่แตกต่างกันไป

ส่วนที่ว่าพนักงานจ้างสามารถที่จะแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่รับผิดชอบได้หรือไม่นั้น ตามระเบียบได้เปิดช่องให้ไว้ว่า หากเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของหน่วยงานมีคนไม่เพียงพอ ก็สามารถแต่งตั้งพนักงานดังกล่าวให้ดำเนินการที่เกี่ยวกับการเงินได้ แต่ต้องคำนึงถึงความเสียหายของส่วนราชการเป็นหลัก

และการเบิกจ่าย งบประมาณตามกิจกรรมต่างๆ ก็จะมีลำดับขั้นตอน ควบคู่รายละเอียดของเอกสาร เสนอให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องและอนุมัติตามขั้นตอน และหลังจากที่โอนเงินจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างหรือหน่วยงานย่อยแล้ว ก็จะต้องรายงานเสนอรายละเอียดเพื่อเป็นการตรวจสอบอีกครั้ง

ซึ่งจะเห็นได้ว่าหากกระบวนการทำมือและการทำทางอิเล็กทรอนิกส์ มีการตรวจสอบที่ถูกต้องตรงกันแล้ว ความผิดพลาดก็ย่อมไม่เกิดขึ้น แต่ในกรณีดังกล่าว คงจะต้องตรวจสอบว่าเกิดจากจุดบกพร่องในขั้นตอนไหนต่อไป และเชื่อว่าการเบิกจ่ายงบประมาณในแต่ละครั้งนั้น ระเบียบ หลักเกณฑ์การเบิกจ่ายจะทำหรืออนุมัติคนเดียวไม่ได้แน่นอน
#3707
ข้าวอินทรีย์สำหรับแม่ให้นมลูก
ข้าวอินทรีย์ไทยมีราคาแพง  ส่งออกข้าวอินทรีย์  ตลาดข้าวอินทรีย์  ข้าวออร์แกนิค

9 เหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ .....ควรรับประทานข้าวกล้องออร์แกนิค (ข้าวอินทรีย์กรมการข้าว)
        การรับประทาน "#ข้าวกล้องออร์แกนิค หรือ ข้าวอินทรีย์สุรินทร์ " ส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน ข้าวกล้องเป็นข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี จึงยังคงไว้ด้วยคุณค่าสารอาหารมากกว่าขาวที่ถูกขัดสีแล้ว  เรามากันทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกิน  "#ข้าวกล้องออร์แกนิค"  ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้




1. ข้าวมะลินิลเพื่อสุขภาพ , ข้าวกล้องออร์แกนิคมีเส้นใยอาหาร ซึ่งช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกและมะเร็งลำไส้
2.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลินิล, ข้าวกล้องออร์แกนิคเมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันการเกิดปากนกกระจอก เนื่องจากมีวิตามินบี 2
3.   ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิคบรรเทาอาการอ่อนเพลีย อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ
4.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิ, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน และเส้นผม
5.  ข้าวปะกาอำปึลออร์แกนิค, ข้าวกล้องออร์แกนิคมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
6.   ข้าวปะกาอำปึลอินทรีย์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีเกลือแร่ และวิตามินรวมกันกว่า 20ชนิด ซึ่งช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.  ข้าวผกาอำปึลอินทรีย์กรมการข้าว, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีโปรตีนมากกว่า 20-30% ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ
8.   ข้าวหอมมะลิแดงปลอดสารพิษ, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแคลเซียมจำเป็นที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเกิดตะคริว ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ
9.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์สุรินทร์, ข้าวกล้องออร์แกนิกมีแป้งมีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น มีผลทำให้สุขภาพจิตใจของคุณแม่ตั้งครรภ์ดีขึ้น เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง สดชื่น แจ่มใส

หลังจากรู้คุณค่าของ "ข้าวกล้องออร์แกนิค"  กันแล้ว อย่าลืมซื้อ "ข้าวกล้องออร์แกนิก"  มาทานกันนะคะ

ข้าว Hor.Boutique ข้าวไรซ์เบอรี่ หรือ ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่   ข้าวอินทรีย์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website :   ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์สุรินทร์
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิออร์แกนิค
2. ข้าวกล้องหอมมะลิเพื่อสุขภาพ
3.  ข้าวสุขภาพปะกาอำปึล   ข้าวผกาอำปึลปลอดสารพิษ(ข้าวพื้นถิ่นออแกนิกสุรินทร์) 4.  ขายข้าวสารหอมมะลิผสมหลายสายพันธุ์สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องอินทรีย์หอมมะลิแดง 6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลปลอดสารพิษ
7.  ข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์  ข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์

#ข้าวคนท้อง  #ข้าวสำหรับคนท้อง   #ข้าวคนตั้งครรภ์   #ข้าวสำหรับคนตั้งครรภ์  #คนท้องกินข้าวกล้อง  #คุณแม่ตั้งครรภ์
#3708


เปิดจองวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) รอบพิเศษ ของโรงพยาบาลเครือพริ้นซิเพิล เริ่มตั้งแต่วันที่ 8-12 สิงหาคม 2564 นี้ จนกว่ายอดจองจะเต็ม เพราะมีจำนวนจำกัด เช็คเงื่อนไขอื่นๆ ดังนี้


โรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์

สถานะ : เปิดให้จองวัคซีนตั้งแต่ วันที่ 8-12 ส.ค. 64  (ตั้งแต่ตอนนี้ จนกว่าจำนวนจำกัดจะเต็ม)

เปิดรับลงทะเบียน: 8 ส.ค. 64 เวลา 8.00น.

ปิดรับลงทะเบียน: 12 ส.ค. 64 เวลา 12.00น.

บุคคลทั่วไปที่สนใจลงทะเบียนฉีดวัคซีนทางเลือก "โมเดอร์นา" สามารถลงทะเบียนกับทางโรงพยาบาลได้ โดยจะต้องเสียค่าบริการเอง 

ราคาต่อเข็ม: จำนวน 1,650 บาท / เข็ม และราคาจำนวนสองเข็ม 3,300 บาท (ราคานี้เป็นไปตามข้อกำหนดของสมาคมโรงพยาบาลเอกชน)

สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

รายละเอียดการลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนทางเลือก Moderna "ล็อตเพิ่มเติม": 


1.เข้าสู่เว็บไซต์: โดยเตรียมข้อมูลดังต่อไปนี้ "เลือกลงรายบุคคลหรือในนามองค์กร, ข้อมูลส่วนตัวผู้ลงทะเบียน พร้อมเลขบัตรประจำตัวประชาชน และเบอร์โทรศัพท์มือถือ และอีเมล์ที่ใช้งานอยู่"


2.กดปุ่ม "ลงทะเบียนจองวัคซีน ล็อต 2" เพื่อทำการกรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนจองวัคซีนโมเดอร์นา เจเนอเรชั่น 1 ล็อต 2/ โดยหากมีผู้ใช้งานจำนวนมาก ห้ามปิดหน้าจอ เพราะลำดับการจัดสรรจะถูกนำไปอยู่ท้ายสุดใหม่ ให้ทำการรอเพราะมีผู้เข้าใช้งานจำนวนมาก


3.เลือกโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือเพื่อทำการเข้ารับวัคซีน และหากต้องการลงทะเบียนให้คนอื่นให้ทำการลงใหม่อีกครั้ง

4.กรอกข้อมูลของผู้ลงทะเบียนให้ครบถ้วน เช่น บัตรประชาชน เบอร์มือถือ อีเมล์ หากไม่มีอีเมล์ หลังจากลงทะเบียนแล้วให้กรอก noreply-customer@princhealth.com แล้วติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อรับข้อมูลการยืนยันการจอง


5.เลือกประเภทและจำนวนโดสที่ต้องการจอง โดยมีทั้ง "ฉีดวัคซีนใหม่" (Full Dose) สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีนเลย และ "ฉีดกระตุ้น" (Booster Dose) สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แต่ต้องการฉีดกระตุ้น


6.ทบทวนและยืนยันข้อมูลการลงทะเบียน โดยกดยืนยันข้อมูล เมื่อทำรายการสำเร็จแล้วระบบจะสส่งรายละเอียดไปยังอีเมล์ของท่านภายใน 48 ชั่วโมง หากไม่ได้รับอีเมล์ ให้ตรวจสอบในถังสแปม/ และเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน จะมี SMS แจ้งเตือน ให้ท่านเข้าชำระเงินอีกครั้ง

คำแนะนำเบื้องต้นในการเลือกฉีดวัคซีนโมเดอร์นา: หากท่านรับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วและมีความประสงค์ในการรับวัคซีนชนิด mRNA ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 เดือน (อาจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง ตามผลการวิจัยที่ได้รับการรับรองทางการแพทย์หรือประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข) และหากมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งระยะห่าง ระยะเวลาให้บริการ และเงื่อนไขอื่นๆ รพ.จะแจ้งให้ทราบภายหลัง

หมายเหตุ:

-กรุณาศึกษาขั้นตอนการลงทะเบียนในโพสต์นี้ก่อนทำการลงทะเบียน

-การเปิดจองและชำระเงินครั้งนี้ เป็นไปตามมติสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้ทำการสำรวจปริมาณความสนใจเข้ารับวัคซีนโมเดอร์นา เพื่อนำส่งข้อมูลให้ทางองค์การเภสัชกรรม

-แบบฟอร์มลงทะเบียนนี้ สามารถใช้เพื่อลงทะเบียนแสดงความสนใจเบื้องต้นในการเข้ารับวัคซีนโมเดอร์นา ล็อตเพิ่มเติม คาดพร้อมให้บริการไตรมาสที่ 1 ในปี 2565 โดยการลงทะเบียนของท่านจะถูกจัดเข้าลำดับคิว ในการจัดสรรวัคซีน เมื่อมีความคืบหน้า ทางโรงพยาบาลจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

-ทางโรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จะทำการจัดสรรวัคซีน ให้กับผู้ที่ลงทะเบียนตามลำดับการลงทะเบียนแสดงความสนใจ

รายละเอียดการจอง :  โรงพยาบาลเครือพริ้นซิเพิล1  หรือ โรงพยาบาลเครือพริ้นซิเพิล2

ติดต่อ :  028048959
#3709


นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า   กรมปศุสัตว์มีหน้าที่กำกับดูแลและส่งเสริมการส่งออกสินค้าเนื้อไก่ ซึ่งในสถานการณ์โรคโควิดระบาดนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบดูแลการผลิตเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์อย่างเข้มงวดต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดส่งออกเนื้อไก่ครึ่งปี2564เพิ่มขึ้นจำนวน 5 แสนตัน มูลค่า 56,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.1 และ 0.9 ตามลำดับ

              อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์มีหน้าที่กำกับดูแลด้านความปลอดภัยอาหาร โดยเฉพาะสินค้าปศุสัตว์      ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการป้องกันโรคระบาดโควิดไม่ให้ปนเปื้อนกับสินค้า จึงมีนโยบายสนับสนุนให้ผู้ประกอบการทำบับเบิ้ลแอนด์ซี (Bubble and Seal) ตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรคควบคู่ไปกับการดำเนินการตามมาตรการของกรมปศุสัตว์อย่างเข้มงวดตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่อาหารสัตว์ ฟาร์มมาตรฐาน GAP โรงฆ่าสัตว์และโรงแปรรูปที่ถูกสุขอนามัย มาตรการป้องกันโรคโควิด    ในโรงงานมุ่งเน้น 3 ด้าน

ได้แก่ 1) ด้านพนักงาน หรือผู้ที่ต้องสัมผัสอาหารต้องมีการเฝ้าระวังสุขภาพและผ่านการตรวจโรคโควิด-19 ก่อนเข้าปฏิบัติงาน 2) ด้านสถานที่ผลิต ให้รักษาความสะอาดเรียบร้อยตามหลักสุขลักษณะที่ดีในการผลิต (GMP) โดยมีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช่ในการผลิตด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อในไลน์การผลิต 3) ด้านสินค้า มีการตรวจสอบประสิทธิภาพ   ในการควบคุมความปลอดภัยอาหารอย่างเข้มงวด มีการเก็บตัวอย่างตรวจการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสินค้า อุปกรณ์ สิ่งแวดล้อม จุดสัมผัสและจุดเสี่ยงในอาคารผลิต เพื่อประกันการปลอดเชื้อ จากการสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าตรวจจำนวน 2,940 ตัวอย่าง ทุกตัวอย่างตรวจไม่พบการปนเปื้อนเชื้อโควิด

"โรงงานที่พนักงานตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดอาจได้รับผลกระทบเนื่องจากถูกสั่งปิด และ   ขาดแรงงาน ส่วนเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่อาจได้รับผลกระทบจากการรอนำไก่เข้าเชือดซึ่งโรงงานในบางจังหวัดถูกสั่งปิดเป็นเวลาสั้นๆ 5-7 วัน แต่บางจังหวัดอาจถูกสั่งปิด 14 วันไก่จะมีน้ำหนักมากและถูกกดราคา สำหรับการส่งออกยังไม่มีหน่วยงานของประเทศผู้นำเข้า   ของต่างประเทศได้แสดงความกังวลมาแต่อย่างใด  ยกเว้นสาธารณรัฐประชาชนจีนหากพบว่าโรงงานใดที่ตรวจพบคนงานติดเชื้อ     กรมปศุสัตว์ต้องชะลอการส่งออกชั่วคราวตามข้อกำหนดจีน" 

ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิด           ในภาพรวมได้ พนักงานหายป่วยกลับมาทำงาน รวมถึงการมีแรงงานเข้ามาชดเชย ก็มั่นใจว่า ปัจจุบันในปี 2564 สินค้าเนื้อไก่มีปริมาณการส่งออกมีจำนวน 504,754 ตัน มูลค่า 56,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า สิ้นปีนี้ยอดส่งออกเนื้อไก่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ     ร้อยละ 2-3 เทียบกับปี 2563 หรือที่ปริมาณ 1,219,909 ตัน มูลค่า 141,786 ล้านบาท อย่างแน่นอน
#3710
บ้านเดี่ยวหรูหลังใหญ่พุทธมณฑลสาย1  ขายคาซ่าแกรนด์สาย1 แปลงมุมหน้าสวนหน้าสโมสร 2 หลังติดกัน ในหมู่บ้านดีบรรยากาศแบบตะวันตก  ขายบ้านเดี่ยวหรูพุทธมณฑลสาย1  Build-in ทั้งหลัง บ้านเดี่ยว2หลัง เนื้อที่156 ตรว


ขายบ้านเดี่ยวหรูคาซ่าแกรนด์สาย1 บ้านเดี่ยวหรูหลังใหญ่
ขายคาซ่าแกรนด์สาย1แปลงมุมทั้งสองหลัง หลังบ้านติดกัน รวม 7 ห้องนอน 8 ห้องน้ำ จอดรถในร่มรวม 5 คัน ลงเสาเข็มเพิ่มเติม ตกแต่ง Build-in ทั้งหลัง พร้อมห้องเก็บเสียง 1 ห้อง พื้นที่ใช้สอยรวม 560 ตรม ที่ดินรวม 156 ตรว ราคาสองหลังคู่ 34.5 ล้าน


บ้านเดี่ยวสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณูปโภคระดับรีสอร์ทหรู
CASA GRAND Phetkasem Sai1 ขายบ้านเดี่ยวหรูพุทธมณฑลสาย1
สิ่งอำนวยความสะดวก ฟิตเนสคลับเฮาส์ สระว่ายนํ้า 
สิ่งอำนวยความสะดวก ฟิตเนสคลับเฮาส์ สระว่ายนํ้า
– สวนสาธารณะส่วนรวม พร้อมลู่วิ่ง
– คลับเฮาส์,
– สระว่ายน้ำ (พร้อมะสระเด็ก),
– ฟิตเนส,
– ระบบ รปภ24ชม
-ระบบCCTV,


สถานที่ใกล้เคียง
-ใกล้เดอะมอลล์บางแค
-ใกล้โลตัสบางแค
-รพ.พญาไท3
-รพ.เกษมราษฎร์ บางแค
-มหาวิทยาลัยสยาม
-รร.อนุบาลแด่นหล้า


ทำเลที่ตั้ง
คาซ่าแกรนด์เพชรเกษมสาย1 CASA GRAND Phetkasem Sai1
ทำเล บางแค, ตลิ่งชัน, ทวีวัฒนา, ภาษีเจริญ
ขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้า MRT ส่วนต่อขยาย (รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน)
ที่ตั้ง ถนนพุทธมณฑลสาย 1 เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร

ขายบ้านเดี่ยวสองหลังคู่ 34.5 ล้าน สนใจ คุณไป๊ป์ 0867779444

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://asungha987.com/?p=3062

คำค้น
บ้านเดี่ยวคาซ่าแกรนด์สาย1, ขายบ้านเดี่ยวหรูคาซ่าแกรนด์สาย1, ขายบ้านหรูพุทธมณฑลสาย1สาธารณูปโภคระดับรีสอร์ทหรู, ขายบ้านเดี่ยวหรูพุทธมณฑลสาย1
 
#3711


"คอปเปอร์ ไวร์ด "กวาดรายได้รวม 944.83 ล้านบาท โตกว่า 60% กำไรสุทธิ 6.95 ล้านบาท เติบโต 494% แม้ต้องรับมือสถานการณ์โควิดระบาดรุนแรง  สินค้ากลุ่ม Apple โดดเด่น ได้รับการตอบรับต่อเนื่องจากปลายปีก่อน  ขณะ มีสาขาภายใต้การบริหารแล้ว 45 สาขา และช่องทางออนไลน์ที่เติบโตแรงกว่า 90% จับตาครึ่งปีหลังแรงรับไฮซีซั่น หนุนเป้าหมายรายได้ปีนี้วางไว้โต 20% 

นายปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 2/2564 ของบริษัทฯ และบริษัทฯ ย่อย มีรายได้รวมอยู่ที่ 944.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 353.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 59.78 และมีกําไรสุทธิ 6.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 5.78 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 494.02 สะท้อนสินค้าเทคโนโลยีเติบโตอยู่ในกระแสความต้องการของผู้บริโภค และการบริหารจัดการภายในทำได้มีประสิทธิภาพ ภายใต้มาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19)

สำหรับรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 944.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกัน ของปีก่อน 356.97 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 60.72 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายสินค้า คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ และสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้า Apple เป็นจำนวนร้อยละ 83.07 ของรายได้และบริการสุทธิ เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 80.51 ขณะที่รายได้จากการขายสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ มีสัดส่วนร้อยละ 32.71 ของรายได้จากการขายและบริการสุทธิ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 37.79

"ในไตรมาสสองของปีนี้สินค้ากลุ่ม Apple มีการเติบโตที่ดีขึ้น จากยอดขาย iPhone 12 รวมทั้ง iPad และ MacBook ที่วางจำหน่ายในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีมากในปัจจุบัน รวมทั้งกระแสการทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ สนับสนุนความต้องการสินค้า และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่มากยิ่งขึ้น ขณะที่ สินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์แม้จะปรับลดลงในไตรมาสนี้ แต่จะกลับมาสร้างการเติบโตได้อีกมาก จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G IoT AR และ VR คาดจะเข้ามากระตุ้นตลาดให้คึกคัก" นายปรเมศร์ กล่าว

ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางออนไลน์มีสัดส่วนร้อยละ 11.64 ของรายได้จากการขายและบริการ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 92.97 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยบริษัทฯ จะพยายามขยายการเติบโตผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อเป็นอีกช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่ง

ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีร้านค้าปลีกภายใต้การบริหารงานจํานวน 45 สาขา (จากไตรมาส 2/2563 มีจำนวน 44 สาขา) ประกอบด้วย ร้าน .life (ดอทไลฟ์) จํานวน 23 สาขา ร้าน Apple Brand Shop จํานวน 17 สาขา (แบ่งเป็น iStudio by copperwired จํานวน 13 สาขา U-Store by copperwired จํานวน 3 สาขา และ Ai_ จํานวน 1 สาขา) และศูนย์บริการ iServe จํานวน 5 สาขา สืบเนื่องจากมาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2563 ถึง 2 กุมภาพันธ์ 2564 บริษัทฯ ได้ปิดร้านค้าปลีกจํานวน 2 สาขา เป็นการชั่วคราว (ใน 6 เดือนแรกของปี 2563 ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ถึง 16 พฤษภาคม 2563 บริษัทฯ ได้ปิดร้านค้าปลีกจํานวน 41 สาขา)

สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1,983.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 607.98 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.20 และมีกำไรสุทธิรวมจำนวน 31.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้้นจากปีก่อนจำนวน 19.16 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 149.92 อัตรากำไรสุทธิต่อรายได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.61 จากร้อยละ 0.93 ในงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจเป้าหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อน 20% ตามที่วางไว้ โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่สินค้าใหม่ทยอยเปิดตัวและวางจำหน่าย รวมทั้ง การบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ และช่องทางการจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพ นำออนไลน์เสริมทัพ โดยในปีนี้วางแผนเปิดสาขาใหม่ 7 สาขา ยังคงตามแผนเดิม และส่วนใหญ่จะเร่งเปิดในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากต้องระมัดระวัง และคำนึงถึงโอกาสอันเหมาะสม ควบคู่การจับมือพันธมิตรชั้นนำอย่างเอไอเอส เพิ่มความได้เปรียบในการจัดทำแผนการตลาดร่วมกัน และตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยการใช้ชีวิตแบบ Smart Living ได้อย่างสมบูรณ์

ล่าสุด บริษัทฯ ได้ประกาศซื้อกิจการ IBIZ Plus รุกตลาดร้านโทรศัพท์มือถือ-อุปกรณ์เสริม มูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เตรียมจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย และเพิ่ม Product Mix ในมือ ภายใต้แบรนด์ AIS, Telewiz, Buddy, Samsung และ Xiaomi ในประเทศไทย เสริมจากการเป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่สินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์ และแบรนด์ Apple คาดจะเป็นปัจจัยสำคัญรับโอกาสยุคเทคโนโลยีบูมในปี 2565 ให้มีสาขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
#3712


"สสจ.นครสวรรค์" แจงปมป้าย"อนุทิน"มอบไฟเซอร์" ยืนยันไม่เคยใช้งาน สั่งเก็บก่อนรัฐมนตรีเดินทางมาถึง ขอความเป็นธรรมให้ทุกฝ่าย อย่ามองเป็นการเมือง ถามเจตนาคนนำภาพไปแชร์ต้องการอะไรทั้งที่รู้แก่ใจ
ภายหลังมีภาพสาธารณสุข จ.นครสวรรค์ เตรียมต้อนรับนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อมอบวัคซีนไฟเซอร์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์

 

ล่าสุด นายแพทย์อดิสรณ์ วรรธนะศักดิ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวกรณีมีภาพข่าวเรื่อง "ป้ายมอบวัคซีนไฟเซอร์" บนเวทีขณะนายอนุทิน มาตรวจเยี่ยมแผนการควบคุมโรคระบาด และให้กำลังใจคนทำงานเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของการเข้าใจที่คาดเคลื่อนของผู้ร่วมงาน และนำภาพที่ไม่เป้นความจริงทั้งหมดไปเผยแพร่ จนกลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและเป็นการเมืองเกินไป เนื่องจากป้ายดังกล่าวไม่ได้ใช้งานบนเวทีเลย

"เห็นว่าหากนำป้ายดังกล่าวมาติดบนเวที จะกลายเป็นประเด็นทางการเมือง จึงสั่งเก็บป้ายก่อนที่รัฐมนตรีจะเดินทางมาเป็นชั่วโมง และก็เป็นเรื่องจริงๆซึ่งหมายความว่าตนที่อยู่ในงาน นำภาพป้ายออกไปเผยแพร่ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าป้ายไม่ได้ใช้ ซึ่งไม่ทราบว่าเจตนาเพื่ออะไร บุคลากรสาธารณะสุขไม่ใช่นักการเมือง แต่ถูกดึงเข้าไปยุ่งกับการเมืองด้วย"

นายแพทย์อดิสรณ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่เคยตำหนิเจ้าหน้าที่ซึ่งทำป้ายดังกล่าวมาหวังให้กำลังใจ และสร้างสีสันบนเวทเข้าใจเจตนาดีว่าต้องการให้กำลังใจ รัฐมนตรีฯและรองนายกฯ เพราะคิดว่าคนระดับรองนายกฯเดินทางมาเยี่ยมเยือน ก็น่าจะให้กำลังใจกันแต่เมื่อทีมงานเห็นป้ายบนเวทีข้อความดังกล่าว

 

"เกรงว่าจะเป็นประเด็นการเมืองจึงสั่งปลดป้ายทันที ก่อนที่รัฐมนตรีจะเดินทางมานานนับชั่วโมงและไม่เคยใช้ป้ายนั้นอีกเลย ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐมนตรีฯ คือท่านไม่ทราบเรื่องอะไรเลย ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกัน บุคลากรทางการแพทย์ไม่ใช่นักการเมือง เราไม่ยุ่งกับการเมืองแต่อย่างใด"

ขณะนี้บุคคลากรทางการแพทย์ของจังหวัดนครสวรรค์มีขวัญกำลังใจดี ไม่เสียกำลังใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจะขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะว่าแพทย์ พยาบาล จะเสียกำลังใจไม่ได้ เนื่องจากคนไข้เข้ามารักษากันวันละ200-300 คน ทุกคนต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อประชาชน ซึ่งเรื่องนี้ขอสังคมอย่ามองเป็นเรื่องการเมืองจนเกินพอดี

 

"ยืนยันไม่เคยใช้งาน สั่งเก็บก่อนรัฐมนตรีเดินทางมาถึง ขอความเป็นธรรมให้ทุกฝ่าย อย่ามองเป็นการเมืองเกินไป ถามเจตนาคนนำภาพไปแชร์ต้องการอะไรทั้งที่รู้แก่ใจ"
#3713

     เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 8 สิงหาคม 2564 ในการแถลงสถานการณ์โควิด 19 ของกระทรวงสาธารณสุข ในประเด็น "การกระจายวัคซีนไฟเซอร์" ผู้สื่อข่าวถามถึงการประเมินสถานการณ์จากการล็อกดาวน์ และแผนการกระจายวัคซีนในเดือนส.ค.นี้โดยเฉพาะในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้มพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด  นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า ภายหลังการล็อกดาวน์แนวโน้มจะเป็นอย่างไรนั้น ในพื้นที่ที่มีแต่ผู้ป่วยนำเข้า คือติดเชื้อมาจากจังหวัดอื่นและกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา จังหวัดต่างๆมีการบริหารจัดการได้ดี เมื่อผู้ป่วยเดินทางไปไปถึงรายงานตัวแล้วเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาล ไม่ให้ไปแพร่เชื้อต่อ สถานการณ์น่าจะควบคุมได้ หลังจากรักษา 2 สัปดาห์ ส่วนใหญ่คงหาย อาจจะมีคนอาการมากที่ต้องรักษาต่อเนื่องอีก 2-3 สัปดาห์ ในส่วนจังหวัดเหล่านี้สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น

            ส่วนจังหวัดที่ติดเชื้อในพื้นที่ตนเองบ้าง อาจต้องใช้ระยะเวลานานออกไปอีกระยะหนึ่ง เพื่อให้การป้องกันควบคุมโรคสงบลง คิดว่าใช้เวลา 1 เดือน  ถ้าไม่ระบาดมากและสามารถควบคุมให้อยู่ในจำนวนที่ไม่มากเกินขีดความสามารถของพื้นที่ที่จะรองรับได้ ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ภาคกลางบน ภาคเหนือตอนล่าง และภาคใต้บางพื้นที่

พื้นที่ที่น่าเป็นห่วงคือกทม.และปริมณฑล โดยพื้นที่ กทม.มีสัญญาณอาจจะชะลอตัว ดูจากจำนวนผู้ที่เสียชีวิต ไม่ได้พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดและไม่เกิน 100 คนต่อวัน รวมถึง การลงพื้นที่ชุมชนเพื่อตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจเอทีแค เจอผู้ติดเชื้อตัวเลขประมาณ 10 %  ในช่วง 2 วันหลังที่ผ่านมา ไม่ได้เพิ่มเป็น 20% หรือ 40 % แสดงว่าการติดเชื้อค่อนข้างคงที่ และวัคซีนฉีดมากแล้ว โดยผู้สูงอายุที่มีทะเบียนอยู่ในกทม.ฉีดแล้ว 88 %  อีกไม่กี่วันน่าจะเกิน 90 % ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่ได้มีทะเบียนบ้านในกทม.มีการฉีดมากขึ้น โดยรวมผู้สูงอายุในกทม.ฉีดวัคซีนโควิด19ได้เกิน 70 % แล้ว 

  ส่วนกลุ่มโรคเรื้อรังมีการทยอยฉีดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน เมื่อมีภูมิคุ้มกันโอกาวป่วยหนักและเสียชีวิตก็น้อยลง ดังนั้น  พื้นที่กทม.น่าจะชะลอตัวในช่วงใกล้ๆนี้ แต่ปริมณ ฑล อาจจะใช้เวลาออกไปอีกระยะหนึ่ง เพราะเกิดระบาดทีหลังและการฉีดวัคซีนยังไม่เท่ากับกทม. โดยมีเป้าหมายให้ได้ 70 %  ในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรังและหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์  12 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งมีโอกาสบรรลุเป้าหมายในปลายเดือนนี้

      "ประชาชนขอความร่วมมืออย่าให้ติดเชื้อเพิ่ม โดยปฏิบัติตามคำแนะนำ ออกจากบ้านให้น้อยที่สุด ลดความเสี่ยงที่จะรับเชื้อนอกบ้าน เมื่อมีอาการรีบรับการตรวจ โดยขณะนี้แนะนำให้ใช้ชุดตรวจเอทีเค ซึ่ง 80 %ของคนติดเชื้อเป็นสีเขียวมีอาการไม่มาก 20% เป็นสีเหลืองมีอาการมากขึ้น และอาการกลุ่มสีแดง 5  % นอกจากนี้ ต้องลดความเสี่ยงของผู้สูงอายุในบ้าน   และป้องกันการแพร่เชื้อในบ้านให้ดี  มาตรการต่างๆขอให้ทำให้เข้มข้นขึ้น หวังว่าที่เหลืออีก 1 สัปดาห์ จะเห็นตัวเลขลดลงได้"นพ.โสภณกล่าว  

'ไทยร่วมใจ' เปิดจอง 'ลงทะเบียนฉีดวัคซีน' เข็มแรกผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป รับสูงสุด 400 ร้อยคนต่อวัน
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยังหนัก! พบติดเชื้อเพิ่ม 19,983 ราย เสียชีวิต 138 ราย ไม่รวม ATK อีก 2,577 ราย
ถอนงานวิจัย 'ฟ้าทะลายโจร' ลดปอดอักเสบ เหตุหลักฐาน 'ไม่เพียงพอ'
นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า  สำหรับแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ในเดือนส.ค.นี้ซึ่งจะมีวัคซีนราว 10 ล้านโดสรวมทั้งวัคซีนซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนก้า แต่ละสัปดาห์จะมีการจัดส่งไปต่างจังหวัดประมาณ 2 ล้านโดส เพราะคาดว่าจะมีวัคซีนเข้ามาสัปดาห์ละ ประมาณ 2-2.5 ล้านโดส  ซึ่งวัคซีนประมาณ 10 ล้านโดสของเดือนส.ค.นี้จะกระจาย 80 % ไปต่างจังหวัด ในจำนวนนี้ ครึ่งหนึ่งไป 29 จังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เนื่องจากเป็นพื่นที่ที่มีความเร่งด่วนมากกว่า เพราะมีผู้ป่วย มีการระบาดเกิดขึ้นอยู่ จะทำให้คนในพื้นที่โดยเน้นฉีดกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรังและหญิงตั้งครรภ์  ฉีดให้ได้เร็วสุด โดยตั้งเป้าฉีดกลุ่มนี้ให้ได้ 70 %  เพื่อให้ป้องกันคนส่วนใหญ่และลดโอกาสแพร่ระบาดในพื้นที่

         "ช่วงนี้ประเทศไทยมีวัคซีนโควิด9ทั้งซิโนแวค ซิโนฟาห์ม ที่เป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายความปลอดภัยค่อนข้างสูง ประสิทธิภาพป้องกันเสียชีวิต ป่วยหนักยังดีอยู่ และป้องกันติดเชื้อลดลงด้วยสายพันธุ์ดลตา และวัคซีนตัวอื่น คือ แอสตร้าและ ไฟเซอร์ที่การป้องกันติดเชื้อลดลงเช่นกัน เพราะฉะนั้นขอให้เข้ารับการฉัดวัคซีนไม่ว่าตัวใดก็ตามที่มีให้บริการในพื้นที่ของท่าน ให้รีบไปรับการฉีดวัคซีนถ้าเป็นกลุ่มเสี่ยง  และเมื่อฉีดแล้วให้เฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย แต่การฉีดวัคซีนประโยชน์ยังมากกว่าความเสี่ยงที่ได้รับจากผลข้างเคียง"นพ.โสภณกล่าว
#3714


ริมถนนนักลงทุน เสิร์ฟความเคลื่อนไหวแวดวงตลาดหุ้น หนึ่งความเคลื่อนไหวน่าสนใจ ยกให้ '3กระแสร้อนแรง' แวดวง 'ตลาดหุ้นไทย' วัคซีนทิพย์หมอบุญ-หุ้น DELTA ราคาสวิงวันแรก หลังหลุด Cash Balance ก่อนปิดท้าย GULF ปิดดีลซื้อ INTUCH ขึ้นแท่นหุ้นใหญ่ 42.25%

๐ ประเด็นร้อนแรงสุดในรอบสัปดาห์นี้คงต้องยกให้ 'วัคซีนไฟเซอร์' ของ 'หมอบุญ วนาสิน' เจ้าของ บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ที่หมอบุญออกมายอมรับว่านำเข้าวัคซีน mRNA ไม่สำเร็จ หรือจะบอกว่า 90% นำเข้าไม่ได้แล้ว เพราะติดอุปสรรคจากภาครัฐและยังมีข้อจำกัดในหลายๆ เรื่อง ทั้งที่จ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าไว้แล้วและโดนยึดเงินมัดจำจากนายหน้าไปแล้ว

๐ แต่เรื่องนำเข้าวัคซีนเหมือนไม่สำเร็จของ 'หมอบุญ' ทุกคนจะรับรู้แล้ว ทว่าราคาหุ้น THG ที่วิ่งไปไหนต่อไหนแล้วในช่วงก่อนหน้านี้คงห้ามให้คนสงสัยไม่ได้... ฉะนั้น ทั้ง ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยต้องส่งหนังสือให้หมอบุญ และ THG รีบชี้แจงด่วนๆ ส่งผลให้ราคาหุ้น THG ร่วงหนัก หลังราคาหุ้นทำ 'จุดสูงสุด' ที่ราคา 33.50 บาท (เมื่อ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา) เรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดในตลาดหุ้น แต่มีมานานแล้ว 

๐ เป็น 'หุ้นมหาเทพ' ในแง่ของการเคลื่อนไหวราคาขึ้น-ลง สำหรับ บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่ปิดท้ายสัปดาห์ (6 ส.ค.) ราคาหุ้นกลับมาเคลื่อนไหว 'ร้อนแรง' อีกครั้ง สวนทางดัชนีหุ้นไทยร่วง !! ฟาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุ สาเหตุที่ทำให้ราคา 'หุ้น DELTA' ปรับตัวขึ้นมองได้รับปัจจัยหนุน หลังหลุดมาตรการกำกับการซื้อขาย ทั้งการห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ตั้งแต่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมาเป็นวันแรก ที่สามารถซื้อด้วยบัญชีมาร์จิ้นได้ 

๐ ร้อนถึง !! 'ดร.ภากร ปีตธวัชชัย' เอ็มดี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องออกมาดับความร้อนแรงหุ้น DELTA แต่หัววันด้วยการเตือนผู้ลงทุนระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายในหุ้น DELTA หลัง 6 ส.ค.ที่ผ่านมา สภาพการซื้อขายมีความผันผวนต่อเนื่อง ดังนั้น ก็อาจจะเข้าเงื่อนไขมาตรการกำกับการซื้อขายในระดับ 3 ได้ โดยที่ผู้ลงทุนต้องซื้อด้วยบัญชี cash balance ห้ามนำหลักทรัพย์ DELTA มาวางเป็นหลักประกันในการเพิ่มวงเงิน และห้ามซื้อขายแบบ net settlement

๐ บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ปิดดีลซื้อ หุ้น อินทัช โฮลดิ้งส์ หรือ INTUCH ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 จำนวน 42.25% แล้ว 'ยุพาพิน วังวิวัฒน์' แย้มคาดในไตรมาส 3 ปี 64 จะเริ่มบันทึกงบของ INTUCH เข้ามาในงบรวมของ GULF ภายหลังได้ทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ โดยได้หุ้นมาจำนวน 23.32% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับหุ้นที่บริษัทถืออยู่เดิม ส่งผลให้บริษัทถือหุ้น INTUCH รวมเป็น 42.25% ในเบื้องต้นบริษัทจะได้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนประมาณ 1,600 ล้านบาท จากกรณีที่ INTUCH ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 1.23 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 2 ก.ย. 64 

๐ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ สำหรับ บมจ. ธนพิริยะ หรือ TNP ล่าสุดโชว์ตัวเลข 'กำไรสุทธิ' ไตรมาส 2 ปี 2564 สวยหรูอยู่ที่ 43.94 ล้านบาท เติบโต 56.10% 'ธวัชชัย พุฒิพิริยะ' นายใหญ่ TNP ยิ้มแก้มปริรับยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น และ การขยายสาขาใหม่เสริม แย้มโควิด-19 หนุนดีมานด์โตหลังประชาชนกักตุนสินค้า บวกมาตรการรัฐกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆ ผลงานสวยหรูเฉกเช่นนี้ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.05 บาทต่อหุ้น XD 3 ก.ย.นี้ !!
#3715


การระบาดโควิดระลอกที่ 4 ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ได้พัฒนากลายพันธุ์ มีความรุนแรงและแพร่กระจายรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งการกระจายวัคซีนยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายและรวดเร็วเพียงพอกับการแพร่ระบาด ปัจจุบันยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รอบ 4 ทำสถิตนิวไฮเกือบทุกวัน โดยพุ่งเกินวันละ 2 หมื่นรายต่อวัน และยังไม่มีสัญญาณว่าแนวโน้มของการติดเชื้อจะลดลง ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของไทยเกินจะรับไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้กระจายไปภาคอุตสาหกรรมกระทบต่อการการผลิตของไทย

1,500 โรงงาน คือยอดที่เป็นทางการจากการตรวจสอบที่พนักงานในโรงงานติดเชื้อโควิด-19  และยังมีอีกหลายโรงงานที่มีการติดเชื้อ  ซึ่งการตรวจโควิดด้วยตนเอง หรือชุดตรวจ ตรวจโควิด-19 หรือที่เรียกว่า  Antigen Test Kit หรือ ATK  จึงเป็นทางออกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในการการตรวจเชิงรุกเพื่อคัดกรองหาผู้ติดเชื้อ COVID-19 อย่างรวดเร็ว และเข้าสู่ขั้นตอนการดูแลรักษาผู้ป่วยตามระบบของสาธารณสุข

"วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ระบุว่า    สถานการณ์การระบาดของโรงงานผลิตอาหาร หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด- 19 จาก 99 โรงงาน  ยังไม่ขยายวงกว้าง โดยโรงงานใช้มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เน้นการตรวจเชิงรุกมากขึ้นโดยใช้ชุดตรวจ ATK เพื่อแยกแรงงานที่ติดเชื้อออกจากแรงงานที่ไม่ติดเชื้อ เพื่อให้ส่วนที่เหลือยังคงทำงานได้ แทนการปิดทั้งโรงงานซึ่งถ้าหากใช้มาตรการปิดทั้งโรงงานจะส่งผลให้อาหารขาดแคลนได้ในอนาคต

"โรงงานต้องการให้รัฐดูแลราคาชุดตรวจให้ราคาไม่แพง เข้าถึงง่าย จะช่วยทำให้โรงงานสามารถสุ่มตรวจพนักงานได้บ่อยครั้งมากขึ้น เป็นการป้องกันเบื้องต้นภายในโรงงาน"

ชุดตรวจ ATK  จึงมีความสำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรมเพื่อแยกผู้ป่วยและคนปกติออกจากกันเพื่อให้โรงงานสามารถเดินเครื่องการผลิตได้บางส่วนแต่ชุดตรวจ ATK  ไม่เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งยังไม่นับรวมความต้องการของประชาชนที่ต้องการซื้อชุดตรวจ ATK   เช่นกัน ที่สำคัญ"ราคา"ของชุดตรวจ ATK  เริ่มมีราคาแพงและหายากมากขึ้น

"สนั่น อังอุบลกุล " ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า   หอการค้ายังได้มีการติดต่อผู้นำเข้า ATK ที่ได้รับการรับรองแล้วมาให้สมาชิกฯ ได้ติดต่อซื้อตรงในราคาพิเศษที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการใช้ในสถานประกอบการ ชุดตรวจนี้ไม่เพียงแต่จำเป็นต่อภาคการผลิตเท่านั้นแต่ยังจำเป็นต่อภาคธุรกิจอื่นๆ ด้วย ซึ่งหลายๆประเทศก็ได้มีการใช้ Rapid ATK ในการควบคู่ไปกับการกลับมาเปิดดำเนินธุรกิจต่างๆ

ทางหอการค้าไทยได้เสนอให้รัฐบาลรัฐบาลในการสนับสนุนและจำหน่าย Rapid Antigen test Kit (ATK) ในราคาที่ถูก มีความหลากหลาย มีคุณภาพ และหาซื้อได้ง่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนสามารถเข้าถึงได้  ซึ่งประเทศไทยควรเร่งดำเนินการจัดหาเพิ่มขึ้น รวมถึงควรสนับสนุนให้สามารถซื้อขายได้ในรูปแบบ B2B ระหว่างผู้นำเข้าและผู้ประกอบการ ภายใต้การควบคุมดูแล คุณภาพและมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนั้นควรมีการให้ความรู้ ความเข้าใจถึงวิธีใช้งานและวิธีกำจัดภายหลังการใช้งานด้วย และในระยะถัดไปควรมีการวางแผนเพื่อมีส่งเสริมการลงทุนให้มีการผลิต ATK ในประเทศ โดยสามารถให้เอกชนร่วมเข้าไปสนับสนุนในส่วนนี้ได้

ล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้มี 26 บริษัทที่จดทะเบียนนำเข้าชุดตรวจ ATK และอยู่ในระหว่างการนำเข้า ส่วนชุดตรวจ ATK ที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้มีประมาณ 5-7 ยี่ห้อเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการส่งผลให้มีราคาสูง ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งจัดหาชุดตรวจ ATKให้เพียงพอและมีราคาถูกเพราะส่วนจะเป็นด่านแรกที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถสามารถป้องกันไม่ให้การติดเชื้อขยายเป็นวงกว้างออกไปจนกระทบต่อการผลิต
#3716


นักวิจัยต่างชาติผลิตวัคซีน "ไฟเซอร์" "โมเดอร์น" ประเภท mRNA ให้คนทั้งโลกใช้ และนักวิจัยไทยก็พยายามพัฒนาวัคซีนโควิดเช่นกัน คาดว่ากลางปีหน้า (2565)วัคซีน ChulaCov19 ประเภทmRNA และวัคซีนใบยา (จะสามารถนำมาใช้ในมนุษย์ได้เป็นแห่งแรกในเอเชีย) รวมถึง วัคซีนเชื้อตาย ของมหาวิทยาลัยมหิดล และวัคซีนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)   

ทั้งหมด ถ้าผ่านขั้นทดลอง จนแน่ใจว่า มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสร้างภูมิคุ้มกันโควิดสายพันธุ์ใหม่ได้ ก็จะทยอยออกมา

ล่าสุด ทีมงานนักวิจัยคนไทยผู้พัฒนาวัคซีนโควิดทุกทีมกำลังทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อประชาชนไทย เพราะตั้งแต่โควิดระบาดระลอก 3 ทุกคนต่างเศร้าเสียใจที่คนไทยติดเชื้อไวรัสโควิด แล้วจากไปเหมือนใบไม้ร่วง 

แม้วัคซีนสัญชาติไทยจะออกมาช้า แต่ได้ใช้แน่นอน อาจใช้เป็นวัคซีนป้องกันโควิดเข็ม 3,4,5... เพราะการฉีดวัคซีนหนึ่งเข็มสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้นาน 6-12 เดือน  ยกเว้นมีการคิดค้นใหม่ เพื่อให้วัคซีนสร้างภูมิคุ้มได้ยาวนานกว่านั้น

ถ้าอย่างนั้นมาดูสิ วัคซีนจากนักวิจัยไทยไปถึงไหนแล้ว



(ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับวัคซีนที่ทดลองในอาสาสมัครมนุษย์ -ภาพจากเฟซบุ๊ก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ )

1.วัคซีน ChulaCov19 

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในมนุษย์)


-ประเภท mRNA 

ผลิตจากชิ้นส่วนขนาดจิ๋วสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา (โดยไม่มีการใช้ตัวเชื้อแต่อย่างใด) ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไป จะทำการสร้างเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (spike protein) 

และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันไว้เตรียมต่อสู้กับไวรัสเมื่อไปสัมผัสเชื้อ เมื่อวัคซีนชนิด mRNA ทำหน้าที่ให้ร่างกายสร้างโปรตีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไปโดยไม่มีการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด


-ผู้พัฒนาวัคซีน

ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ของโลกคือ Prof. Drew Weissman


-การทดลองที่ผ่านมา

หลังจากทดลองในลิงและหนู พบว่า สามารถยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดและสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง จึงนำมาสู่การผลิตการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1ให้กับอาสาสมัครเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอายุ จำนวน 72 คน 

กลุ่มแรก เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 18-55 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน

กลุ่มที่สอง เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 65-75 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน

ในจำนวนสองกลุ่มข้างต้นจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม, 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม เพื่อดูว่า วัคซีน ChulaCov19 มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ปริมาณเท่าไร เพราะปัจจุบันโมเดอร์นาใช้วัคซีนปริมาณ 100 ไมโครกรัม ส่วนไฟเซอร์ใช้ 30 ไมโครกรัม 

ถ้าการทดลองได้รู้ขนาดที่ปลอดภัยและกระตุ้นภูมิได้สูง จะเข้าสู่การทดสอบระยะที่ 2 จำนวน 150-300 คน คาดว่าเริ่มต้นฉีดเดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป


-จุดเด่น ChulaCov19

จากการทดสอบ มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ ความทนต่ออุณหภูมิของวัคซีน พบว่าวัคซีน ChulaCov19 อยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ ทำให้การจัดเก็บรักษาง่ายกว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น 


-ความคืบหน้าวัคซีน

กำลังจะทดสอบในอาสาสมัครคนไทยเฟส 1 เพิ่มเติมในกลุ่มผู้สูงอายุ  คาดว่าจะรู้ผลว่าสร้างภูมิคุ้มกันปลายเดือนตุลาคม 2564 และคาดอีกว่าจะเป็นวัคซีนที่ผลิตสำหรับการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นเข็มที่ 3 สำหรับคนไทยโดยมีเป้าหมายว่าจะผลิตออกมา พร้อมขึ้นทะเบียนอย.ได้ในเดือนเมษายน 2565

(ที่มาข้อมูล : เฟซบุ๊คคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ) 

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวไว้ในเฟซบุ๊คดังกล่าวว่า หากองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ได้ว่า "วัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้องกระตุ้นภูมิเท่าไร" ก็จะช่วยลดขั้นตอนได้ สมมติว่าเกณฑ์วัคซีนโควิด-19 ที่ดีต้องสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่า 80 IU (International Unit)

"ถ้าวัคซีน ChulaCov19 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าค่านี้แสดงว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ก็สามารถยกเว้นการทำทดสอบทางคลินิกระยะที่สามได้ วัคซีนนี้อาจได้รับอนุมัติให้ผลิตเพื่อใช้ในคนจำนวนมากได้ภายในก่อนกลางปีหน้า"


(วัคซีน ChulaCov19 ประเภท mRNA อยู่ในขั้นตอนทดลองในมนุษย์ เดือนสิงหาคม 64)




2. วัคซีนจากใบยา

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในอาสาสมัคร)


-ประเภทโปรตีนจากใบยา

เทคโนโลยีการผลิตโมเลกุลโปรตีนจากพืช คือใส่ยีนเข้าไปในพืช แล้วใช้กระบวนการผลิตของพืช ผลิตโปรตีนที่เราต้องการ โปรตีนที่ได้จึงมีความบริสุทธิ์ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เป็นเทคโนโลยีที่มีมากว่า 15 ปี เคยใช้รักษาโรคอีโบล่า


-ผู้พัฒนาวัคซีน

รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ คนต้นคิดวัคซีนจากใบยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี และผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ ประธานกรรมการบริหาร ทั้งสองทำงานแบบสตาร์ทอัพ ในนามบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ในความดูแลของ CU Enterprise

โดยการวิจัยพัฒนาวัคซีนชนิด Protein Subunit ดำเนินการโดยบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จํากัด ,คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


(ในห้องทดลองบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด) 

-การทดลอง 

-วัคซีนใบยาได้ผ่านการทดสอบในหนูและลิง ด้วยการฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ผลการทดสอบปรากฏว่าลิงมีความปลอดภัย และไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ

ผลเลือดในลิงที่ใช้ทดลองมีค่าเอนไซม์ตับปกติ อีกทั้งจำนวนเม็ดเดือดแดงและเม็ดเลือดขาวอยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้เมื่อนำเปปไทด์ไปกระตุ้นเซลล์ของลิงพบว่า มีการกระตุ้น T Cell ได้ดี ซึ่งนับว่าการทดลองดังกล่าวประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

-โดยกระบวนการผลิตวัคซีนที่ใช้พืช สามารถผลิตเป็นจำนวนครั้งละมาก ๆ ได้ และสามารถยกระดับจากการผลิตวัคซีนในห้องทดลอง มาเป็นการผลิตวัคซีนระดับอุตสาหกรรมได้ทันที

การผลิตวัคซีนจากใบยาสูบนี้สามารถผลิตได้ประมาณ 10,000 โดสต่อเดือนในห้องทดลองขนาดเล็กเท่านั้น จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคระบาดในอนาคต


-จุดเด่นวัคซีนใบยา

การผลิตจากพืช เมื่อเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ในอนาคต ทีมวิจัยสามารถนำรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์นั้นๆ มาผลิตเป็นวัคซีนใช้ได้ทันที เหมาะกับการผลิตวัคซีนที่เชื้อไวรัสมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกมาตลอด ไม่ต้องเสียเวลานำเข้าวัคซีนเฉพาะบางสายพันธุ์จากต่างประเทศ

วัคซีนมีส่วนประกอบที่เป็นโปรตีน จึงค่อนมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ในส่วนของประสิทธิภาพจะต้องมีการทดลองในมนุษย์กันต่อไปจึงสามารถวัดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


-ความคืบหน้า

สิงหาคม-กันยายน 2564  ทดลองอาสาสมัครกลุ่มแรกจำนวน 50 คน อายุ 18 - 60 ปี โดยอาสาสมัครต้องมีสุขภาพแข็งแรงและไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน การทดสอบวัคซีน จะเริ่มในเดือนกันยายน

อาสาสมัครจะได้รับการฉีดวัคซีนจำนวนสองเข็ม เว้นระยะเวลาห่างกัน 3 สัปดาห์ เมื่อทดสอบกับอาสาสมัครกลุ่มแรกเสร็จเราก็จะทดสอบวัคซีนกับอาสาสมัครกลุ่มอายุ 60–75 ปี ต่อไป คาดว่าวัคซีนใบยาจะพร้อมฉีดให้คนไทยช่วงกลางปี 2565

รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ คนต้นคิดวัคซีนจากใบยา ให้ข้อมูลกับ"กรุงเทพธุรกิจ"ไว้ว่า เทคโนโลยีการผลิตโมเลกุลโปรตีนจากพืช คือใส่ยีนเข้าไปในพืช แล้วใช้กระบวนการผลิตของพืช ผลิตโปรตีนที่เราต้องการ โปรตีนที่ได้จึงมีความบริสุทธิ์ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

"พืชที่เราปลูก ไม่ได้ใส่สารพันธุกรรม เป็นพืชธรรมชาติ จนกว่าจะโตเหมาะสม เราก็ฉีดอะโกรแบททีเรียม(การถ่ายโอนดีเอ็นเอ )เข้าไป หลังจากนั้น 4-5 วัน เราก็ตัดพืชมาสกัดโปรตีนที่ต้องการนำไปทดสอบ ต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกว่า วันไหนพืชจะผลิตโปรตีนได้มากที่สุด"

หากถามว่า ทำไมต้องเป็นวัคซีนจากใบยา อาจารย์วรัญญู ให้ข้อมูลว่า

"มีโรคมากมายในโลกนี้ ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องก้น ไม่ว่าเทคโนโลยีแบบไหนจะดีแค่ไหน ก็ต้องศึกษา เทคโนโลยีจากโมเลกุลโปรตีนพืชสามารถทำออกมาได้เร็ว ต่อให้ไม่ได้ผล เราก็รู้เร็ว เปลี่ยนได้เร็วการทำวัคซีนโควิดเราใช้ฐานความรู้ไวรัสซาร์สและเมอร์สมาพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ทำแบบนี้"

3. วัคซีนมหาวิทยาลัยมหิดล 

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในอาสาสมัคร)

-ชนิดเชื้อตาย HXP-GPOVac 

พัฒนาโดย คณะเวชศาสตร์เขตร้อน  มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม สถาบัน PATH และ The University of Texas at Austin


นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เคยให้ข้อมูลความคืบหน้าไว้ในกรุงเทพธุรกิจว่า

"รายงานผลการทดสอบอย่างเป็นทางการ จะเลือกวัคซีน 2 สูตรที่ดีที่สุดจากการทดลองไป 5 สูตร เพื่อนำมมาทำการทดลองระยะที่ 2 ในอาสาสมัคร 250 คนในเดือนสิงหาคมนี้ และเลือก 1 สูตรที่ดีที่สุดเพื่อทดลองในระยะที่ 3 "

ส่วนการทดลองระยะที่ 3 ในภาคสนามกับอาสาสมัคร 1,000 - 10,000 คน โดยวัคซีนที่ผ่านการวิจัยในมนุษย์ทั้ง 3 ระยะแล้วจะถูกนำไปขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา เพื่อเริ่มการผลิตต่อไป


ขอวัคซีนให้คนไทยทุกคน อย่างเท่าเทียม เสมอภาพ 

...................

4.วัคซีนสวทช. 

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)พัฒนาวัคซีนโควิดออกมา 2 ชนิด

1. Adenovirus ที่มีการแสดงออกของโปรตีนสไปค์ ออกแบบโดยการพ่นเข้าจมูกผ่านละอองฝอย รูปแบบนี้น่าจะเป็นวัคซีนที่ใกล้เคียงกับหลายๆ ที่ ที่กำลังทดสอบในเฟส1-2 ของทีม 

นักวิจัย สวทช. ผ่านการทดสอบในหนูทดลองที่ฉีดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว พบว่า หนูทดลอง นอกจากไม่มีอาการป่วย ยังมีน้ำหนักขึ้นสูงกว่ากลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามอย่างเห็นได้ชัด ผลการทดสอบความปลอดภัยไม่มีปัญหา

การผลิตในระดับ GMP ร่วมมือกับ KinGen BioTech เรากำลังจะทดสอบวัคซีนนี้ในอาสาสมัครมนุษย์ในรูปแบบที่สร้างจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าในเร็วๆนี้(เดือนสิงหาคม 64) ผลงานวิจัยกำลังเร่งรวบรวมผลส่งเข้าตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ

2. Influenza virus ที่มีการแสดงออกของโปรตีน RBD ของสไปค์ ตัวนี้กำลังต่อคิวทดสอบประสิทธิภาพการคุ้มโรคโควิด-19

และผลการวิจัยเรื่องระดับภูมิคุ้มกันในหนูทดลองได้ตีพิมพ์ไปแล้ว วัคซีนตัวนี้ร่วมมือกับทีมองค์การเภสัชกรรม และมีแผนจะออกมาทดสอบเป็นตัวต่อมา

"ในเรื่องของการกลายพันธุ์ที่หลายคนเป็นห่วง ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง หนึ่ง.คนที่ได้รับวัคซีนต้องฉีด 2 เข็ม ไม่ใช่ฉีดเข็มแรกแล้วไม่ฉีดต่อ เพราะภูมิคุ้มกันจากเข็มแรก จะเข้าไปจับไวรัสแบบอ่อนๆ หลวมๆ ทำให้ไวรัสเปลี่ยนตัวเองได้และการกลายพันธุ์เกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่มีการฉีดเข็มที่สอง

(ที่มาข้อมูล : เพจ Anan Jongkaewwattana)

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เคยให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า  

"เราต้องการวัคซีนที่แข็งแรงจับไวรัสได้ ทำลายให้ตายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ให้เวลามันปรับตัวเปลี่ยนแปลงตัวเอง"
#3717


สถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้หลายคนได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่าคุณแม่ที่มีลูกน้อยที่ต้องการได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน งานนี้ก็ทำให้ดาราสาวใจบุญอย่าง "ออม สุชาร์ มานะยิ่ง" ออกมาจัดโปรเจค #milkformom2 ช่วยเหลือเหล่าคุณแม่จำนวน 3,200 คน ด้วยการโอนเงินไว้ซื้อของให้ลูกน้อย

โดยสาว "ออม สุชาร์" ก็ได้โพสต์ภาพยิ้มอิ่มใจกับ พร้อมเขียนข้อความว่า "ในที่สุด!!!!! #milkformom2 ครบแล้วค่า 3,200 คุณแม่ ออมและทีมงานโอนเงินไปให้คุณแม่ที่ได้รับผลกระทบในช่วงสถาณการณ์โควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ หวังจะเกิดประโยชน์อย่างมากที่สุดเลยนะค้า คุณแม่สามารถตรวจสอบชื่อจากในเพจ Aom Sushar Official ได้ค่ะ

ขอขอบคุณทีมงานจิตอาสาทุกท่านที่มาช่วยกันในโปรเจคนี้นะคะ ทุกคนมีภาระหน้าของตัวเองแต่ก็สลับสับเปลี่ยนกันมาช่วยออม ออมขอบคุณมากจริงๆค่ะ

และออมกับพี่แอมต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่สามารถช่วยเหลือจะคุณแม่ได้ครบทุกท่านที่ส่งเข้ามา แต่จะขอเป็นกำลังใจให้ เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันค่ะ และขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ของออมและพี่แอมที่ได้ร่วมสบทบทุนมาเพิ่มเติมในโครงการนี้ด้วยนะคะ หากเกิดข้อผิดพลาดประการใด ทางออมและทีมงานต้องขอภัยด้วยนะคะ" งานนี้ก็มีแฟนๆ เข้ามาร่วมอนุโมทนาบุญกันเพียบ
#3718


Community Isolation หรือ ศูนย์พักคอย 4 มุมเมือง ภายใต้การสนับสนุนของ "เมืองไทยประกันภัย" และ "มูลนิธิมาดามแป้ง" โดย "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ เปิดรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวแล้ว 2 แห่งแรก ในเขตบึงกุ่มและวังทองหลาง พร้อมส่งทีมอาสากล้าใหม่เข้าอบรมเป็นผู้ช่วยร่วมทำงานกับบุคลากรทางการแพทย์

สำหรับ Community Isolation เขตบึงกุ่ม ได้จัดตั้งขึ้นที่ โรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของโรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ด้วยขนาด 124 เตียง ขณะนี้ทดลองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวแล้ว 10 ราย และอีกเขตที่เปิดบริการเรียบร้อยแล้วคือ วิทยาลัยพาณิชยการอินทราชัย ในเขตวังทองหลาง โดยโรงพยาบาลลาดพร้าว ซึ่งมีขนาด 100 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้ว 14 ราย โดยทั้งสองแห่งนี้จะทยอยรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวโดยรอบชุมชน ที่ได้ลงทะเบียนตามระบบไว้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะเต็มอัตราภายในสัปดาห์นี้

นางนวลพรรณ ล่ำซำ ซีอีโอ บมจ. เมืองไทยประกันภัย และในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง กล่าวว่า "นอกจากการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในศูนย์ทั้ง 4 ศูนย์ ได้แก่ บึงกุ่ม, วังทองหลาง, ราษฎร์บูรณะ และภาษีเจริญ แล้ว เรายังจัดส่งทีมอาสากล้าใหม่กลุ่มแรก นำร่องจำนวน 12 คน เข้าร่วมการอบรมกับทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ประจำศูนย์ต่าง ๆ ที่เปิดบริการทั้ง 4 ศูนย์ เพื่อแบ่งเบาภาระงานของแพทย์ พยาบาลในโรงพยาบาลแต่ละแห่งที่มีกำลังคนไม่เพียงพอ และยังเป็นการเพิ่มทักษะให้แก่กลุ่มอาสากล้าใหม่ในการดูแลผู้ป่วยในชุมชนของตนเอง เพื่อรับมือกับปรากฏการณ์ New High จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องอีกด้วย"

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้ สามารถบริจาคและสมทบทุนได้ที่บัญชี ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 092-2-61340-0 ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้ หรือร่วมสมัครเป็นทีมอาสากล้าใหม่กับเราได้ที่ http://bitly.ws/dsfM

#ส่งต่อน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน #มูลนิธิมาดามแป้ง #เมืองไทยประกันภัย
#3719


ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 271.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 35,064.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 26.44 จุด หรือ 0.60% ปิดที่ 4,429.10 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 114.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 14,895.12 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 385,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 4% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19

โมเดอร์นาเปิดเผยว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 4,200 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 เดือนระหว่างเดือนเม.ย.-มิ.ย. หรือราว 140,000 ล้านบาท

โมเดอร์นา ระบุว่า บริษัทจะผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 800-1,000 ล้านโดสในปีนี้ และขณะนี้บริษัทได้ลงนามในสัญญาส่งมอบวัคซีนวงเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ 12,000 ล้านดอลลาร์ในปีหน้า

ทั้งนี้ โมเดอร์นามีกำไร 6.46 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.96 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ 4,350 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4,200 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในไตรมาส 2 ของโมเดอร์นายังคงต่ำกว่ายอดขายของไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 7,800 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 หรือราว 260,000 ล้านบาท และบริษัทได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนในปีนี้สู่ระดับ 33,500 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 26,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวเลขจ้างงานตัวสุดท้าย ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 926,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี)

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล

นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ส่งสัญญาณในการกล่าวถ้อยแถลงวานนี้ว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดา กล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

คำกล่าวของนายแคลริดาสอดคล้องกับถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด โดยนายวอลเลอร์ระบุว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 6.7% สู่ระดับ 7.57 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.41 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ การนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ 2.391 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 1.459 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
#3720


"เดอะ ด็อกเตอร์" ในวัย 42 ปี สร้างชื่อจากการคว้าแชมป์โลกได้ทุกรุ่นที่ลงทำการแข่งขัน ตั้งแต่ 125 ซีซี, 250 ซีซี อย่างละ 1 สมัย และโมโต จีพี อีกถึง 7 สมัย โดยฤดูกาล 2021 เจ้าตัวย้ายจาก มอนสเตอร์ ยามาฮ่า ไปอยู่กับ เปโตรนาส ยามาฮ่า แต่ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

"มันยากที่จะพูดออกมา เมื่อรู้ว่าปีหน้าผมจะไม่ได้ลงแข่งขันมอเตอร์ไซค์อีกแล้ว" รอสซี เริ่มกล่าว

"ถือเป็นช่วงเวลาที่ลืมไม่ลง มันเยี่ยมมาก ผมสนุกกับมันมากๆ มันคือการเดินทางที่แสนยาวนาน และสนุกสุดๆ ไปเลย"

"ตลอดระยะเวลา 25-26 ปี ในศึกชิงแชมป์โลก มันยอดเยี่ยมมาก และปีหน้าชีวิตของผมจะเปลี่ยนไป" ยอดนักบิดชาวอิตาเลียน ทิ้งท้าย

ทั้งนี้เจ้าของตำนานหมายเลข 46 คว้าชัยไปทั้งหมด 115 สนาม ขึ้นโพเดียมไป 235 ครั้ง พร้อมกับคว้าตำแหน่งโพล ไป 65 ครั้ง นับตั้งแต่เริ่มลงชิงชัยในรุ่น 125 ซีซี เมื่อปี 1996

อย่างไรก็ตามเจ้าตัวยืนยันว่าหลังจากนี้จะหันไปทุ่มเทกับการบริหารทีมมอเตอร์ไซค์ของเขาเอง อย่าง อารัมโค เรซซิ่ง ทีม วีอาร์ 46 ที่จะมาลงชิงชัยโมโต จีพี ในปี 2022