• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#3701

เมื่อ "เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว" กลายเป็นสิ่งจำเป็นในยุคโควิดระบาด หลายคนสงสัยว่าเครื่องที่ซื้อมา ตรวจวัดได้แม่นยำแค่ไหน วิธีตรวจที่ถูกต้องทำอย่างไร แบบไหนที่บ่งชี้ว่าผลตรวจคลาดเคลื่อน ชวนหาคำตอบที่นี่

เมื่อผู้ติดเชื้อในไทยวันนี้ (4 ส.ค.64) ทำนิวไฮอีกครั้ง โดยพบยอดผู้ติดเชื้อทะลุ 2 หมื่นกว่าราย ทำให้ทั้งบุคลาการทางการแพทย์ และอาสาสมัครด่านหน้า ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า โดยเฉพาะอุปกรณ์และยาจำเป็นต่างๆ ก็มีความต้องการพุ่งสูงตามไปด้วย หนึ่งในไอเทมจำเป็นคงหนีไม่พ้น "เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว"

หลายคนยอมควักเงินซื้อ "เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว" ด้วยตนเอง เพราะไม่อยากนั่งรอความช่วยเหลืออย่างเดียว แต่ในท้องตลาดตอนนี้พบว่าอุปกรณ์ดังกล่าวมีทั้งแบบราคาแพง ราคาถูก บางครั้งพบยี่ห้อเดียวกันแต่ราคาต่างกันมาก ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าควรเลือกซื้อแบบไหน? ถึงจะแม่นยำที่สุด และมีวิธีการใช้งานอย่างไร? กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รวบรวมคำตอบมาให้แล้ว ดังนี้


1. รู้หลักการทำงาน "เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว" 

นายแพทย์ธนีย์ ธนียวัน อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด การปลูกถ่ายปอด และวิกฤติบำบัด สหรัฐอเมริกา ได้แชร์ความรู้ผ่านช่องทาง Doctor Tany (2 ส.ค. 64) เกี่ยวกับหลักการทำงานของเครื่องวัดออกซิเจนฯ และวิธีใช้งานเอาไว้ว่า 

เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มีหลักการทำงานคือ ตัวเครื่องจะปล่อยคลื่นแสงออกมา ไปกระทบกับเส้นเลือดฝอยที่ปลายนิ้วมือ แล้วมันก็จะวัดแสงสะท้อนที่ได้ออกมา แสงสะท้อนดังกล่าวจะเป็นตัวบอกว่าในเส้นเลือดของร่างกายมีปริมาณออกซิเจนอยู่มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความถี่ของแสงสะท้อน ที่สะท้อนกลับมาให้ตัวเครื่องวัดค่าได้

2. เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มีประโยชน์ยังไง?

คำถามต่อมาที่หลายคนอาจสงสัยคือ ทำไมต้องใช้ "เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว" มาตรวจค่าออกซิเจนกับผู้ป่วย "โควิด-19" ?

คำตอบคือ เพื่อต้องการดูว่าผู้ป่วยโควิดมีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำหรือไม่ ซึ่งมีประโยชน์มากในกรณีที่ป่วยเป็นโควิด เนื่องจากเมื่อป่วยโควิดแล้ว ผู้ป่วยมักจะเกิดภาวะหนึ่งที่เรียกว่า "Happy Hypoxia" หมายความว่า คนไข้มีภาวะออกซิเจนต่ำแต่กลับดูปกติสบายดี ตรงข้ามกับการป่วยด้วยโรคอื่นๆ ที่หากผู้ป่วยมีภาวะออกซิเจนต่ำขนาดนี้ ร่างกายจะแย่ลงทันทีอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้น การใช้เครื่องมือนี้มาตรวจวัดค่าออกซิเจนในเลือด จึงจะช่วยให้คนป่วยได้รู้ตัวว่าตอนนี้ร่างกายของเขามีภาวะขาดออกซิเจน หรือเชื้อลงปอด หรือเริ่มมีการอักเสบในปอดแล้วหรือยัง นั่นเอง

3. แนะนำวิธีการตรวจวัดที่ถูกต้อง

หมอธนีย์ ยังได้แนะนำถึงวิธีการใช้งานเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ดังนี้

- ควรตรวจวัดที่นิ้วมือที่ไม่ได้ทาเล็บ เพราะสีทาเล็บอาจจะทำให้วัดค่าได้ผิดเพื้ยนไป ต้องล้างเล็บก่อนตรวจวัด

- ควรตรวจขณะที่มืออุ่น ถ้ามือเย็นจะวัดค่าออกซิเจนได้ต่ำลง ดังนั้นก่อนตรวจต้องทำให้มืออุ่นก่อนเสมอ

- ระหว่างตรวจวัดให้หายใจลึกๆ เข้าออก 2-3 ครั้ง วางมือนิ่งและรอผลแสดงที่หน้าจอ

- ควรสลับนิ้วและตรวจวัดซ้ำๆ ด้วย เพื่อผลที่แม่นยำมากขึ้น

- เมื่อผลตรวจโชว์ที่หน้าจอ ต้องเห็นว่าระบุทั้งค่าออกซิเจน และค่าชีพจร ให้สังเกตจุดแสดงผลค่าชีพจรต้องเคลื่อนที่ไปมาตลอดเวลา เพื่อแสดงว่าเครื่องมือใช้ได้ปกติ


4. วิธีอ่านผลตรวจค่าออกซิเจนในเลือด

สิ่งต่อมาที่ต้องรู้คือ วิธีอ่านผลและแปลผลการตรวจ โดยหมอธนีย์มีคำแนะนำ ดังนี้

วัดได้ 95-97% ขึ้นไป คือ ค่าปกติ ออกซิเจนในร่างกายปกติ
วัดได้ 94% ลงไป คือ ผิดปกติ มีภาวะออกซิเจนต่ำ
ทั้งนี้ เครื่องตรวจเหล่านี้โดยปกติจะวัดค่าได้ไม่ตรงเป๊ะๆ จะมีความคลาดเคลื่อนบวกลบอยู่ประมาณ 2%-3% แล้วแต่ตัวเครื่อง ใครที่วัดได้ 100% อาจจะไม่ใช่เรื่องปกติ โดยทั่วไปไม่มีใครที่จะสามารถมีออกซิเจนในเลือดได้ 100% เว้นแต่กำลังได้รับการให้ออกซิเจนด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ ดังนั้นหากวัดค่าได้ 100% เป็นไปได้ว่าเครื่องตรวจมีความคลาดเคลื่อนนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อน่ากังวลใดๆ

แต่หากวัดค่าออกซิเจนในเลือดได้ 94% หรือต่ำว่านั้น ก็ต้องมาเช็คอาการของตนเองก่อนว่า มีอาการป่วยโควิดอยู่หรือไม่ เช่น มีไข้ ไอ หอบเหนื่อย เพลีย ท้องเสีย ไม่ได้กลิ่น ไม่รับรส แบบนี้จึงจะชัดเจนว่าติดโควิด ซึ่งการวัดออกซิเจนได้ต่ำขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าเชื้อลงปอดแล้ว

ถ้าวัดค่าออกซิเจนในเลือดได้ต่ำกว่า 94% แต่ไม่มีอาการป่วยโควิดเหล่านี้เลย เป็นไปได้ว่าตรวจผิดวิธี เช่น อาจจะทาสีเล็บมืออยู่ หรือนิ้วที่ใช้ตรวจเย็นเกินไป ต้องแก้ไขก่อนแล้วตรวจซ้ำอีกที หรืออีกอย่างคือไม่ได้ป่วยโควิด แต่สงสัยได้ว่ามีภาวะของโรคอื่นๆ อยู่ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด ซึ่งก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยให้แน่ชัด


5. เลือกซื้อ "เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว" ยี่ห้อไหนดี?

สำหรับวิธีการเลือกซื้อเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มีคำแนะนำเรื่องนี้จากอาสาสมัครมูลนิธิกระจกเงา ที่เคยโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลไว้ว่า ทางมูลนิธิต้องการรับบริจาคเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้วเพิ่มเติม เนื่องจากบางเครื่องที่มีอยู่ไม่ได้มาตรฐาน วัดค่าไม่ได้ เปิดเครื่องไม่ติด หรือวัดค่าได้คลาดเคลื่อนมากๆ จึงแนะนำเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้วที่ทางทีมงานมูลนิธิได้ตรวจสอบความแม่นยำแล้ว ว่ามี 5 ยี่ห้อ คือ Yuwell, Beurer, Jumper, Microlife, Contec

ทั้งนี้ ราคาของแต่ละยี่ห้อ ทางทีมข่าวฯ ได้สำรวจตามเว็บไซต์ E-Marketplace หลากหลายแห่ง พบว่ามีราคาแตกต่างกันไปดังนี้ 

Yuwell ราคาประมาณ 790-990 บาท
Beurer/Beurer po30 ราคาประมาณ 1,990-2,650 บาท
Jumper ราคาประมาณ 890 - 1,200 บาท
Microlife ราคาประมาณ 2,400-2,700 บาท
Contec ราคาประมาณ 890 - 1,500 บาท
-------------------------

อ้างอิง : 

นายแพทย์ธนีย์ ธนียวัน (2 ส.ค. 64)

มูลนิธิกระจกเงา

ทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจรวบรวมราคา
#3702


อังเดร เดอ กราสส์ กลายเป็นลมกรดจากแคนาดาคนแรกในรอบ 93 ปี ที่ผงาดคว้าเหรียญทองวิ่ง 200 เมตร ในโอลิมปิกเกมส์ มาครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะ 3 นักวิ่งอเมริกัน ในรอบชิงชนะเลิศ

การแข่งขันกรีฑาในโอลิมปิก 2020 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ชิงเหรียญทองของ วิ่ง 200 เมตร ชาย

ปรากฎว่า อังเดร เดอ กราสส์ สุดยอดลมกรดชาวแคนาดา วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1 ด้วยเวลา 19.62 วินาที ผงาดคว้าเหรียญทองไปครองได้สำเร็จ

ขณะที่เหรียญเงิน ได้แก่ เคนเนธ เบดนาเร็ก จากสหรัฐอเมริกา ที่ทำได้ 19.68 วินาที และเหรียญทองแดง ตกเป็นของ โนอาห์ ไลลส์ อีกหนึ่งนักวิ่งอเมริกา ที่ทำได้ 19.74 วินาที ส่วน อีร์ริยอน ไนท์ตัน นักวิ่งดาวรุ่งวัย 17 ปีชาวอเมริกัน เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 4 ทำเวลาไป 19.93 วินาที

การคว้าเหรียญทองในครั้งนี้ของลมกรดวัย 26 ปี ถือเป็นเหรียญที่ 2 ของตัวเองในโอลิมปิกครั้งนี้ หลังจากก่อนหน้านี้เขาได้เหรียญทองแดงในวิ่ง 100 เมตรมาแล้ว

นอกจากนี้ อังเดร เดอ กราสส์ ยังกลายเป็นนักวิ่งจากแคนาดา คนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ที่คว้าเหรียญทองวิ่ง 200 เมตรไปครอง ต่อจาก โรเบิร์ต เคอร์ ที่เคยทำเอาไว้เมื่อปี 1908 และเพอร์ซี วิลเลียมส์ ที่ทำได้ในปี 1928 ซึ่งเจ้าตัวถือเป็นลมกรดแคนาดาคนแรกในรอบ 93 ปี ที่ได้ทองในการวิ่ง 200 เมตรอีกด้วย
#3703


หนึ่งในเทรดใหญ่ของโลกที่เห็นได้ชัดเจนคือ "พลังงานสะอาด" จนทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวของต่างหันมาลงทุนเปิดตัวธุรกิจให้สอดคล้อง   จนทำให้ธุรกิจเดิมจาก พลังงานฟอสซิล อย่าง "ถ่านหิน" หรือ  "น้ำมัน"  อาจจะกลายเป็นของล้าหลังในอีก 10 ปีข้างหน้า  

ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องไร้เสน่ห์การลงทุนแต่ทำไหมยังเห็นตัวเลขราคาน้ำมันหรือถ่านหินกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  เฉพาะราคาน้ำมันหลังจุดต่ำสุดปี 2563 สามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์บาร์เรล อานิสงค์การลดมาตรการล็อกดาวน์ ในต่างประเทศ ทำให้เกิดความต้องการที่ถูกอั้นเอาไว้ดึงราคาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจหุ้นน้ำมัน และ ปิโตรเคมี


อีกด้านราคาถ่านหินที่ถือว่าหลายประเทศไม่สนับสนุนให้เกิดธุรกิจดังกล่าว มีการกีดกันด้วยซ้ำจาก ภาษีคาร์บอนเครดิต ไม่ปล่อยสินเชื่อลงทุน ไม่เปิดสัมปทานเหมืองถ่านหินใหม่ๆ  เพื่อหันไปใช้พลังงานสะอาดแทนแต่กลับทำให้ราคาถ่านหินครึ่งปีแรก2564  ทะลุหลักร้อย ที่ 152.37 ดอลลาร์ต่อตัน ( 30 ก.ค.64)

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปลายปี 2563 ราคาถ่านหินอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อตัน ส่งผลทำให้ 6 เดือนแรก ราคาขยับขึ้นมาถึง 117 %  วึ่งระหว่างทางราคายังขึ้นไปทำสูงสุดที่ 146 ดอลลาร์ต่อตัน สูงสุดในรอบ 12 ปี ท่ามกลางความต้องการใช้ที่สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย

โดยยังมีความต้องการจากผู้บริโภครายใหญ่จีน อินเดีย เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลี เข้ามาเพิ่มเติมยิ่งจีนที่ใช้มาตรการเข้มในธุรกินี้จนห้ามนำเข้าถ่านหินจากออสเตรเลียเลยออกผลไปที่จีนต้องนำเข้าจากแหล่งอื่นทดทแน เช่น อินโดนีเซีย

ดังนั้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาถ่านหินโดยตรงจึงปรับตัวขึ้นเนื่องต่อเนื่อง รายเล็กใตลาด บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA  ราคาหุ้นขยับจากระดับ 5 บาท (พ.ค. 64) จนไปยืนที่ 15-16 บาท (มิ.ย.64 ) จนเกือบไปแตะที่ 20 บาท ซึ่งวานนี้ (3 ส.ค.) ราคาหุ้นปิดที่ 18.60 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คิงส์ฟอร์ด ให้ราคาเป้าหมายที่  24.50 บาท ในฐานผู้ที่มีแหล่งผลิตถ่านหินในอินโดนีเซียที่ได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินในตลาด Seaborne ที่ยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลความต้องการใช้ที่สูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสถานการณ์ โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย

ถัดมาหุ้น บริษัท บ้านปู จำกัด  (มหาชน) หรือ BANPU เป็นรายใหญ่ในตลาด ที่กำลังเข้าสู่พลังงานสะอาดมากขึ้นผ่านการลงทุนของบนิษัทลูก บริษัท บ้านปูเพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP   ทำให้มีการเปิดแผนการเพิ่มทุนเป็นเท่าตัวจนราคาหุ้นสะดุดลงหลังขึ้นมาถึง 16 บาท กลางมิ.ย. ที่ผ่านมา

ด้วยแผนเพิ่มทุนออกมากว่า 30000 ล้านบาท ก่อนจะมีการปรับตัวเลขใหม่เป็นเพิ่มทุน 2.96 หมื่นล้านบาท  (ลดลงจากแผนเดิม 7%) ด้วยการออกหหุ้นเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม 1,692 ล้านหุ้น สัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ1 หุ้นใหม่  และใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอร์แรนต์ ( BANPU-W4 แจกฟรีราคาใช้สิทธิ 5 บาท และ BANPU-W5 แจกฟรี ที่ราคาใช้สิทธิ 7.50 บาท )  พร้อมยกเลิกแผนออก BANPU-W6   ซึ่งจะมีการประชุมขออนุมัติผู้ถือหุ้น 9 ส.ค. นี้

ส่งผลทำให้ราคาหุ้นกลับมารีบาวด์ภายใต้การแผนเพิ่มทุนมุ่งเน้นไปที่การเข้าซื้อกิจการและขยายธุรกิจพลังงานสะอาด   ขณะที่ธุรกิจหลัก บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดไตรมาส 2 ปี 2564 กำไร 1.4 พันล้านบาท  (จากขาดทุนสุทธิ 2.5 พันล้านบาท ใน 2Q63, -10% QoQ) จากราคาถ่านหินเพิ่มขึ้นถึง 98% ( YoY )และ 21% ( QoQ)  มีราคาขายถ่านหินเฉลี่ย (ASP) จะเพิ่มขึ้น 18% (QoQ) เป็น 78 ดอลลาร์ต่อตัน  
#3704


คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ "แอชตัน อโศก" มูลค่า 6,481 ล้านบาท ซึ่งพัฒนาโดยบริษัทลูกอย่าง "บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ยังคงเป็นประเด็นร้อนของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่อาจลุกลามไปยังพัฒนาโครงการอื่นๆทั้งห้างค้าปลีก โรงแรม ที่อยู่อาศัย ในกรณีที่มีการใช้ทางเชื่อมกับระบบสาธารณูปโภคของรัฐ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกฏหมายเวนคืนที่ดิน 

ทันทีที่มีคำพิพากษาศาลออกมา วันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา "อนันดาฯ" บิ๊กอสังหาริมทรัพย์ ต้องเร่งแจงลูกบ้าน เพื่อลดผลกระทบ ความกังวลใจที่เกิดขึ้น ล่าสุด บริษัทได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมถึงแนวทางการแก้ปัญหา และยืนยันจะอยู่เคียงข้างลูกบ้าน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้โครงการขายเกือบหมด มียอดโอนแล้ว 87% คิดเป็นมูลค่า 5,639 ล้านบาท 


ทางเข้าโครงการแอชตัน อโศก

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการแก้ปัญหาโครงการแอชตัน อโศก เบื้องต้น บริษัทได้เตรียมข้อมูล และระดมทีมกฎหมายเพื่อดำเนินการยื่นอุทรณ์คำพิพากษาคดีเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน จากนั้นคาดว่ากระบวนการทางศาลจะใช้เวลา 3-5 ปี 

ทั้งนี้ ระหว่างกระบวนกานทางศาล บริษัทยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างลูกบ้าน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การดูแลจะดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(Stakeholders) ตลอดจนผู้ถือหุ้นอื่นๆ 

 นอกจากนี้ บริษัท ได้นำข้อมูลพร้อมชี้แจงเกี่ยวกับการซื้อที่ดินซึ่งอยู่ใกล้แยกอโศก เพื่อพัฒนาโครงการแอชตัน อโศก เนื่อที่กว่า 2 ไร่ แต่ทางเข้าออกหลักมีระยะเพียง 6.4 เมตรเท่านั้น จึงได้ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง รอบคอบ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการซื้อที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการศึกษาข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ทางเข้า-ออก ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) จากโครงการอื่นๆแล้ว 

ประกอบกับเวลานั้น รฟม. มีแนวคิดในการพัฒนาเมืองที่เรียกว่า Transit Oriented Development หรือ TOD  คือการพัฒนาที่เน้นระบบขนส่งมวลชน โดยออกแบบพื้นที่รอบสถานีให้ผสมผสานระหว่างศูนย์พานิชยกรรมร้านค้า ที่พักอาศัย แหล่งงาน ฯ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสารและการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนที่สะดวก ในนี้มีการระบุรายละเอียดให้สามารถประกอบธุรกิจที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ได้ด้วย รวมถึงการให้กำหนดอัตราค่าตอบแทนการอนุญาตให้ใช้ที่ดินรฟม.เป็นทางผ่าน 

โดยบริษัทให้ค่าตอบแทนแก่รฟม. เป็นมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท  ด้วยการสร้างอาคารที่จอดรถความสูง 7 ชั้น เบื้องต้นมีการวางเงินมัดจำแล้วจำนวนหนึ่ง 

อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าวบริษัทย้ำว่าโครงการ แอชตัน อโศก ไม่ใช่รายแรกที่ใช้ทางเข้า-ออกของ รฟม. เพราะที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานขออนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องภายใต้กฎระเบียบและข้อบังคับของภาครัฐอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากส่วนงานราชการที่เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน ทั้งการได้รับอนุมัติจาก 8 หน่วยงานราขการ เช่น สำนักงานนโยบายและแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) สำนักงานเขตวัฒนา กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมที่ดิน ฯ


ผังที่ดินโครงการแอชตัน อโศก

บริษัทยังได้รับใบอนุญาต 9 ฉบับ เช่น ใบอนุญาตใช้ทางของรฟม. ใบอนุญาติเชื่อมทางสาธารณะ ใบรับแจ้งการก่อสร้างตามมาตรา 39 ทวิ 3 ใบ ฯ นอกจากนี้ ยังขอความเห็นก่อนดำเนินการ 7 หน่วยงาน เช่น รฟม. กองควบคุมอาคาร สำนักการจราจร สำนักงานที่ดินฯ ผ่านความเห็นชอบจาก 5  คณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการ รฟม. คณะกรรมการ พิจารณาแบบของสำนักงานควบคุมอาคารว่าแบบก่อสร้างถูกต้อง เป็นต้น 

"บริษัทมั่นใจอย่างยิ่งว่าในกระบวนการดำเนินโครงการแอชตัน อโศก ที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้องและสุจริต ชอบด้วยกฎหมายทุกขั้นตอน"


ทั้งนี้ เมื่อมีคำพิพากษาของศาลออกมา บริษัทเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะกรณีดังกล่าวเปรียบเสมือนอุกาบาตหรือสินามิที่กระเทือนต่อเศรษฐกิจมหาศาล กระทบความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย 

"ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์เหนื่อยอยู่แล้ว เจอแบบนี้ตอกย้ำว่าอยากให้เราตายเร็วใช่ไหม"

สำหรับโครงการเป็นอาคารชุดสูง 51 ชั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 666 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 6,400 ล้านบาท การโอนห้องชุดแล้ว87% มูลค่ากว่า 5,639 ล้านบาท มีผู้พักอาศัย  578 ครัวเรือน แบ่งเป็นคนไทย 438 ราย และลูกค้าต่างชาติ 140 รายจากทั้งสิ้น 20 ประเทศ ปัจจุบันโครงการยังเหลือขายมูลค่า 842 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่า 2.48% ของมูลค่าโครงการเหลือขายทั้งหมด 33,973 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบดังกล่าว ยังส่งผลให้บริษัทต้องเลื่อนการออกหุ้นกู้มูลค่า 6,000 ล้านบาท ออกไปประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้นักลงทุนพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน  

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา  ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  ปัญหาโครงการแอชตัน อโศกไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯเท่านั้น แต่ยังกระเทือนวงการธุรกิจอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบธนาคาร ห้างค้าปลีก โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรมที่ขอทางเชื่อมกับกฎหมายเวนคืนที่ดินทั้งหมด เฉพาะโครงการอสังหาฯ ยังมีอีก 13 โครงการ ที่มีลักษณะคล้ายกันกับอนันดา โดยเป็นโครงการเฉพาะ รฟม. 6 โครงการ ดังนั้น จึงเห็นควรหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาเป็นวาระแห่งชาติ 


แม้ยืนยันทำถูกต้อง แต่ยังมี 13 โครงการเข้าข่ายเดียวกับแอชตัน อโศก เฉพาะ รฟม.มีกว่า 6 โครงการ  

"ปัจจุบันอสังหาฯย่ำแย่อยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทยังมาถูกกระทบกับเรื่องนี้ด้วย ซึ่งยอมรับว่าเป็นโจทย์ยากที่สุดในชีวิต เพราะธุรกิจ เศรษฐกิจได้รับผลกระทบในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่ายืนอยู่บนความถูกต้อง เพราะได้รับการอนุญาตจาก 8 หน่วยงาน ใบอนุญาต 9 ฉบับ และเชื่อว่าวิกฤติครั้งนี้ อนันดาฯจะผ่านไปได้" 
#3705



สุดาพร สีสอนดี กำปั้นหญิงทีมชาติไทย โชว์ฟอร์มปราบแชมป์ยูธโอลิมปิกจากสหราชอาณาจักร ก่อนการันตีมีเหรียญทองแดงคล้องคอเรียบร้อยในศึกโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น เมื่อันที่ 3 สิงหาคม 2564

ศึกมวยสากลสมัครเล่น โตเกียว 2020 ที่สนามเรียวโกคุ โกกุกิกัง ประเทศญี่ปุ่น รุ่นน้ำหนัก 60 กก.หญิง สุดาพร สีสอนดี ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ของทัพกำปั้นไทย เดินขึ้นสังเวียนรอบ 8 คนสุดท้าย เพื่อลุ้นชิงเหรียญรางวัล

ไฟต์สำคัญนี้ สุดาพร เผชิญหน้า แคโรไลน์ ดูบัวส์ เจ้าของแชมป์ ยูธ โอลิมปิก จากสหราชอาณาจักร ยกแรก ต่างฝ่ายต่างระแวดระวัง แต่ สุดาพร ก็หาจังหวะส่งหมัดเข้าเป้าเก็บคะแนนได้ดี จนชนะไปก่อนยกแรก 3-2 เสียง

ยกสอง ดูบัวส์ แก้เกมหาจังหวะสวนหมัดใส่นักชกไทยได้ดีจนกรรมการให้นักชกจากจีบีชนะยกนี้ 3-2 เสียง สุดท้ายยกตัดสิน ดูบัวส์ เดินลุยเหวี่ยงหมัดเพื่อตัดสินแต่ "เจ้าแต้ว" รอหาจังหวะแล้วสวนหมัดใส่แบบเยือกเย็น สุดท้ายกรรมการตัดสินให้นักชกไทย ชนะ 3-2 เสียง

ผลงานไฟต์นี้ทำให้ สุดาพร เข้าไปเจอกับ เคลลี แฮร์ริงตัน จากไอร์แลนด์ และแน่นอนที่สุดคือมีเหรียญทองแดง การันตีไว้ให้อุ่นใจเป็นที่เรียบร้อย
#3706


ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) เดินหน้าสร้างสังคมแห่งความรับผิดชอบอย่างทั่วถึงและยั่งยืนประกาศความสำเร็จของแบบทดสอบดริ้งค์ไอคิวควิซ (DRINKiQ Quiz) ที่เปิดตัวไปเมื่อกันยายนปีที่ผ่านมาซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีด้วยยอดการทำควิซมากกว่า 34,000 ครั้ง

โดยมีผลสำรวจทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เผยว่าคนไทยที่เข้ามาทำแบบทดสอบดริ้งค์ไอคิวควิซจำนวน 98.6% อยากปรับพฤติกรรมการดื่มให้ดียิ่งขึ้นเพื่อผู้อื่นหลังทำแบบทดสอบ ผู้ทำแบบทดสอบจำนวน 90.6% จะแนะนำให้ผู้อื่นดื่มให้ดียิ่งขึ้น และผู้ทำแบบทดสอบ 97.9% ระบุว่าควิซนี้ช่วยให้เข้าใจเรื่องการดื่มอย่างพอดีมากขึ้น

ทั้งนี้ เว็บไซต์ดริ้งค์ไอคิว (DRINKiQ) โฉมใหม่จะเข้ามาสานต่อความสำเร็จของแบบทดสอบ ดริ้งค์ไอคิวควิซด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความรู้เรื่องการดื่มให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ดื่มหรือไม่ดื่ม ด้วยช่องทางออนไลน์ที่สะดวกในการเข้าถึง ซึ่งจะช่วยสร้างสังคมแห่งการดื่มอย่างรับผิดชอบ



นางสาวชัชฎา จันทรางศุ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DMHT ผู้นำด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พรีเมียมระดับโลก กล่าวว่า "ดิอาจิโอให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการดื่มอย่างรับผิดชอบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานด้านความยั่งยืน SOCIETY 2030: SPIRIT OF PROGRESS และยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกที่จะลดการดื่มอย่างเป็นอันตรายทั่วโลกให้ได้ 10% ภายในปี 2568

ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการลดการดื่มอย่างเป็นอันตรายคือการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง DMHT มุ่งมั่นให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ผ่านโครงการดริ้งค์ไอคิวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558 โดยเน้นในรูปแบบสื่อออนไลน์ เพื่อให้ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งผู้ที่ดื่มและไม่ดื่มแอลกอฮอล์ สามารถเข้าถึงความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ทั้งในรูปแบบแพลตฟอร์ม E-Learning ตามมาด้วยควิซออนไลน์ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายน 2563 และมียอดการเข้าทำควิซมากกว่า 34,000 ครั้ง ความคิดเห็นของผู้ทำควิซยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่าดริ้งค์ไอคิวควิซสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อการดื่มแอลกอฮอล์"

DMHT ได้มีการทำแบบสำรวจทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อสำรวจทัศนคติของผู้ที่ทำแบบทดสอบดริ้งค์ไอคิวควิซเพื่อวัดประสิทธิภาพของแบบทดสอบ และพบว่าแบบทดสอบมีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้บริโภคเกี่ยวกับการดื่มในทิศทางที่ดีขึ้น โดย 98.6% ของผู้ทำแบบทดสอบระบุว่าตนเองมีความคิดอยากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มให้ดียิ่งขึ้นเพื่อผู้อื่น 90.6% ระบุว่าจะชักชวนผู้อื่นเข้ามาทำควิซ และ 97.9% ของผู้ทำแบบทดสอบระบุว่าควิซนี้ช่วยให้เข้าใจเรื่องการดื่มอย่างพอดีมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ทำแบบสำรวจ ทั้งผู้ที่ดื่มและไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ยังระบุอีกด้วยว่าพวกเขาได้ความรู้ใหม่ๆ และแก้ไขความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ จากการทำแบบทดสอบดริ้งค์ไอคิวควิซ

เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จของแบบทดสอบดริ้งค์ไอคิวควิซ DMHT จึงเปิดตัวเว็บไซต์ดริ้งค์ไอคิวโฉมใหม่ (https://www.drinkiq.com/th-th/) เพื่อเป็นพื้นที่ในการให้ความรู้เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น และยังสะดวกในการเข้าถึงทุกที่ ทุกเวลา โดยในเว็บไซต์ใหม่นี้จะมีทั้งข้อมูลที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างแอลกอฮอล์กับร่างกาย แอลกอฮอล์กับจิตใจ บทความที่จะช่วยสำรวจตนเองว่ากำลังมีปัญหาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์หรือไม่ รวมถึงความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่จะช่วยแก้ไขความเข้าใจที่ผิด เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจดื่มอย่างมีสติ และสามารถแนะนำคนใกล้ชิดให้ดื่มได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ยังมีแบบทดสอบดริ้งค์ไอคิวควิซ และแบบทดสอบที่ใช้ประเมินความเสี่ยงของพฤติกรรมการดื่มของตนเองและคนรอบข้าง รวมถึงช่องทางติดต่อของหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือผู้มีปัญหาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์อีกด้วย
#3707
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#3708



นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานการเตรียมส่งออกข้าวไทยจำนวน 44,000 ตัน ไปยังอิรักเป็นครั้งแรก ในรอบ 7 ปี เรียกคืนความเชื่อมั่นข้าวไทยในตลาดอิรัก โดยรัฐบาลพร้อมผลักดันภาคเอกชน และผู้ส่งออกไทย เปิดตลาดข้าวไทยในประเทศใหม่ๆ เพิ่มเติมจาก 3 ตลาดหลัก ได้แก่ ตลาดพรีเมียม ตลาดทั่วไป และตลาดเฉพาะ ซึ่งการส่งออกข้าวไปอิรักครั้งนี้ ยังจะส่งผลดีแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอีกด้วย

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ข้าวขาว 100% ของไทยจำนวน 44,000 ตัน ซึ่งจะส่งออกไปในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ ถือเป็นข้าวไทยล็อตแรกที่ถูกส่งออกไปยังตลาดอิรักในรอบ 7 ปี หลังจากที่อิรักได้ระงับการนำเข้าข้าวจากไทย ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้ ผู้ส่งออกไทยจะสามารถส่งออกข้าวไทยไปยังอิรักได้ต่อเนื่อง รวมทั้งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ผู้ส่งออกไทยทำการตลาดสินค้าเกษตรไทยในประเทศเอเชีย ตะวันออกกลาง และภูมิภาคอื่นๆอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประชาสัมพันธ์ข้าวและสินค้าเกษตรไทย เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลก ทดแทนความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและวิกฤตโควิด-19

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952147
#3709



เมื่อพูดถึงรถบรรทุก ความสนใจอาจไม่มากเท่ารถยนต์ขนาดเล็กทั่วไป จะเป็น รถเก๋ง ปิกอัพ หรือ เอสยูวี ก็ตาม เพราะเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้ว ตลาดรถบรรทุกมีความสำคัญอย่างมาก และหลายคนกำหนดให้เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ

การที่หลายคนกำหนดให้เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ เพราะแน่นอนว่ารถบรรทุกคงไม่มีใครซื้อไปขับเล่น แต่ซื้อไปสำหรับประกอบอาชีพ ประกอบธุรกิจ ดังนั้นหากตลาดรถบรรทุกมีความเคลื่อนไหวที่ดี ก็แสดงว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีทิศทางที่ดีด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นขนส่ง โลจิสติกส์ เกษตรกรรม หรือว่า ก่อสร้าง เป็นต้น

และสำหรับปีนี้ แม้ว่าตลาดจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แต่ปรากฏว่าช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา กลับอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มียอดจดทะเบียนจากกรมการขนส่งทางบก 8,192 คัน เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 

จักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ผู้จำหน่ายรถบรรทุก เอ็ม เอ เอ็น กล่าวว่าตัวเลขจดทะเบียนดังกล่าวเป็นรถขนาด 7 ตัน ขึ้นไป หรือกลุ่มรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่สุดในไทย 

และสิ่งที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่ง คือ เมื่อดูยอดขายรายเดือน ก็พบว่าเติบโตทุกเดือนเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เห็นภาพว่าตลาดมีทิศทางขาขึ้น 

อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่รุนแรงขึ้น ก็ต้องจับตาดูต่อไปว่าจะมีผลมากน้อยแค่ไหน แต่เบื้องต้นเมื่อประเมินตามสถานการณ์ อาจเห็นภาพตลาดรถบรรทุกเติบโตแบบชะลอตัว จนถึงเดือน ต.ค. จากนั้นจะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง 


ทั้งนี้มองว่าตลาดรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่เติบโต เป็นเพราะหลายธุรกิจ อุตสาหกรรมขยายตัว รวมถึงภาคขนส่ง แม้ว่าจะมีบางกลุ่มที่สถานการณ์ไม่ดี แต่บางกลุ่มก็ยังเดินหน้าได้ดี

"ผู้ประกอบการขนส่ง-โลจิสติกส์ ก็ปรับตัวเช่นกัน ไม่ได้เสนอแค่เรื่องของการขนส่ง แต่นำเสนอแพคเกจบริการ ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดี ส่วนรายล็ก อาจจะได้รับผลระทบมากกว่า เพราะการแข่งขันรุนแรง ทำให้หลายคนนำเรื่องของราคามาใช้ ทำให้ได้รับผลกระทบมากขึ้น"

และการแข่งขันนำเสนอแพคเกจบริการให้กับลูกค้า มองว่าจะเป็นผลดีต่อตลาดรถยุโรป ซึ่งปัจจุบันยังมีขนาดเล็ก โดยช่วงครึ่งปีมียอดขาย 280 คัน เติบโต 10% ขณะที่ตลาดใหญ่ที่สุดคือรถญี่ปุ่น มียอดขาย 7,561 คัน เติบโต 26% ส่วนอีกตลาดหนึ่งที่เติบโตสูง คือ จีน 196% แต่ว่าขนาดตลาดยังไม่ใหญ่นัก 269 คัน

การที่มองว่าการแข่งขันของภาคขนส่ง-โลจิสติกส์ จะส่งผลดีกับรถยุโรป แม้จะมีราคาที่สูงกว่า แต่ก็เชืื่อว่าจะช่วยให้ภาพลักษณ์ของการดำเนินธุรกิจดีกว่า นำไปสู่การได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น

ในส่วนของ เอ็ม เอ เอ็น ก็มีผลงานที่น่าพอใจ แม้ว่าจะเริ่มทำตลาดเองอย่างจริงจังได้ไม่นาน ช่วงเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว และเริ่มส่งมอบรถได้ช่วงเดือน ธ.ค. แต่ก็สามารถสร้างยอดขายได้ 58 คัน เพิ่มขึ้น 81% มีส่วนแบ่งการตลาด 21% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วทั้งปีที่ทำได้ 9% และมั่นใจว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะมียอดขายอย่างน้อย 100 คัน และส่วนแบ่งตลาด 14-15%

แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายของโควิด-19 แต่เอ็ม เอ เอ็น ก็มั่นใจว่าสามารถฝ่าไปได้ โดยกลยุทธ์ที่ใช้ นอกจากด้านตัวสินค้าที่เชื่อว่ามีคุณภาพ และราคาแข่งขันได้ แม้จะเป็นรถนำเข้า (CBU) จาก เยอรมนีแล้ว ก็คือ พันธมิตรทางการเงินที่หลากหลาย

"ผู้ซื้อรถบรรทุกทั้งหมดจะซื้อผ่านไฟแนนซ์ ซึ่งเราจะไม่บังคับ แต่มีพันธมิตรหลายรายให้ลูกค้าเลือก ทำให้สามารถเลือกข้อเสนอที่พึงพอใจที่สุดได้"

นอกจากนี้ก็ยังมีข้อเสนอด้านการบริการ เช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) ครอบคลุม 24 เดือน ด้วยพันธมิตรที่มีครอบคลุมทั่วประเทศ

"หรือจะเป็นเรื่องการบำรุงรักษา แถมเซอร์วิส คอนแทคท์ 3 ปี หรือ 3 แสน กม. หรือ ออนไซต์ เซอร์วิส บริการบำรุงรักษารถลูกค้าถึงที่ แม้จะแค่คันเดียวก็ตาม ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้าของเราพึงพอใจมาก"

ทางด้านเครือข่ายจำหน่าย ก็มีแผนจะเปิดเพิ่มหลังจากเปิดที่หาดใหญ่ไปไม่นาน โดยเล็งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่นครราชสีมา และภาคเหนืออีก 1 แห่ง 

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951933
#3710



เรื่องอาหารการกินคือสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน ควรมุ่งเน้นกินอาหารที่ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดี แต่หลายครั้งที่คนเรามักจะลืมว่ามีสิ่งที่ไม่ควรกินมากเกินควร เมื่อเร็วๆนี้เว็บไซต์ไทม์ส ออฟ อินเดีย รวบรวมชนิดของกินที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายเพิ่มและแน่นขึ้น

ใครที่ชอบเติมน้ำตาลเพิ่มในอาหารหรือเครื่องดื่ม ต้องจำกัดน้ำตาลให้น้อยลง อาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไปสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มการผลิตโปรตีนที่เพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ อย่าง C-reactive protein และ interleukin-6 ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน น้ำตาลในเลือดสูงก็เป็นอันตรายต่อการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ทำให้เกิดความไม่สมดุล ส่งผลต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในภายหลังและทำให้ร่างกายไวต่อการติดเชื้อมากขึ้น เครื่องปรุงอีกชนิดคือเกลือ ที่อยู่ในของขบเคี้ยวอย่างมันฝรั่งทอด ขนมอบ อาหารแช่แข็ง หากมีเกลือในร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบ เพราะเกลือสามารถยับยั้งการทำงานปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการตอบสนองต่อการอักเสบ เปลี่ยนแปลงแบคทีเรียในลำไส้

อาหารทอดก็ควรพึงระวัง เพราะมีกลุ่มสาร Advanced glycation end products (AGEs) เกิดขึ้นเมื่อน้ำตาลทำปฏิกิริยากับโปรตีนหรือไขมันช่วงปรุงอาหารที่อุณหภูมิสูง AGEs ที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิดการอักเสบและเซลล์ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง กลไกการต้านอนุมูลอิสระลดลง นอกจากนี้ ก็มีคาเฟอีนหากได้รับมากเกินไป อาจรบกวนการนอนหลับจนเพิ่มการตอบสนองต่อการอักเสบและทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และท้ายสุดคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หากดื่มเกินระดับปานกลาง (ผู้หญิง 1 แก้ว/วัน ผู้ชาย 2 แก้ว/วัน) อาจส่งผลเสียต่อการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายและเพิ่มความไวต่อการเจ็บป่วย เช่น โรคปอดบวม และปัญหาระบบทางเดินหายใจ.

https:// www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2120307
#3711



นายอเลฮานโดร โอโซริโอ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่าได้ประกาศศึกสู้โควิดระลอก 4 ผนึกพันธมิตร "KBank-CRG-PTG" (ธนาคารกสิกรไทย (KBank) บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จํากัด (มหาชน) (PTG) และอีกหลายเครือข่ายพันธมิตร ผ่าน 4 กิจกรรมหลักซึ่งจะเริ่มต้นส.ค. ส่งโครงการ "สู้ไปด้วยกัน" เร่งสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ภายใต้งบประมาณรวมกว่า 160 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้ป่วยที่แยกกักตัวที่บ้าน โรงพยาบาลและองค์กรการกุศล รวมถึงพาร์ทเนอร์คนขับ เพื่อมุ่งบรรเทาความเดือดร้อนให้คนไทย พร้อมเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กให้สามารถประคับประคองธุรกิจต่อไปได้ ทั้งนี้ 4 กิจกรรมหลักภายใต้โครงการ "สู้ไปด้วยกัน" ประกอบด้วย พร้อมใจสู้คู่ร้านค้า โดยแกร็บร่วมกับ KBank "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ควบคู่ไปกับการจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายและกระแสเงินสดหมุนเวียนให้กับธุรกิจร้านอาหาร มอบเงินสนับสนุนให้กับพาร์ทเนอร์ร้านค้าที่ใช้บัญชีกสิกรไทยในอัตรา 15% ของยอดขายในเดือน ส.ค. (จำกัดวงเงินสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อร้าน) โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.grabmerchantth.com/grabfood-kbank


เตรียมจัดแคมเปญ "ร่วมด้วย ช่วยเปย์" เพื่อมอบส่วนลดค่าอาหาร 50% เมื่อสั่งอาหารผ่าน GrabFood พร้อมช่วยโปรโมตร้านอาหารขนาดเล็กทั่วประเทศผ่านสื่อและแอพลิเคชั่น โดยติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็วๆ นี้ พร้อมใจสู้คู่สังคมไทย: โดยแกร็บร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วย พร้อมส่งเสริมการบริจาคสมทบทุนโรงพยาบาลเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19ร่วมกับ CRG เพื่อช่วยจัดส่งอาหารจากแบรนด์ในเครือด้วยบริการ GrabExpress ให้กับผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านภายใต้การดูแลของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นอกจากนี้ ยังได้มอบส่วนลดค่าบริการให้กับเครือข่ายช่วยเหลือสังคม อาทิ เพจเราต้องรอด และโรงพยาบาลศิริราช ในการจัดส่งอาหารหรือยาให้กับผู้ป่วย


นอกจากนี้ชวนผู้ใช้บริการเปลี่ยนคะแนน GrabRewards เป็นเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนมูลนิธิของโรงพยาบาลต่างๆ อาทิ มูลนิธิรามาธิบดี โดยแกร็บจะร่วมสมทบทุนอีกเท่าตัวของยอดบริจาคทั้งหมดด้วย พร้อมใจสู้คู่พี่คนขับ: สร้างความอุ่นใจและพร้อมให้ความช่วยเหลือพาร์ทเนอร์คนขับที่ถือเป็นด่านหน้าในการให้บริการการเดินทางและการจัดส่งอาหาร-พัสดุผนึก PTG มอบสิทธิประโยชน์ในการเข้ารับบริการพ่นฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและผู้จัดส่งอาหารของแกร็บที่สถานีบริการปั๊มน้ำมันพีที 855 สาขาทั่วประเทศไทยตลอดเดือนสิงหาคมฟรี รวมไปถึงกล่องใส่อาหาร ร่วมกับ GQ Apparel ทยอยมอบหน้ากากผ้ารุ่น GQWhite™ Mask พร้อมลายสกรีน Vaccinated จำนวน 150,000 ชิ้นให้กับพาร์ทเนอร์คนขับที่ได้รับวัคซีนแล้ว พร้อมใจสู้คู่คนไทย: โดยการมอบส่วนลดค่าบริการส่งอาหารและพัสดุผ่าน GrabFood GrabMart และ GrabExpress เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค ทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอยในช่วงไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมถึง 19 กันยายน 2564 และมอบส่วนลดสูงสุด 80% สำหรับผู้ใช้ใหม่ (3 ครั้งต่อผู้ใช้) เพียงใส่โค้ด "WITHYOU80" มอบส่วนลดสูงสุด 30% สำหรับผู้ใช้เดิม (3 ครั้งต่อผู้ใช้) เพียงใส่โค้ด "WITHYOU30"
#3712



"แบรนด์กีฬา" เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ "แบรนด์แฟชั่น" และหลายแบรนด์ก็มีที่มาที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยเอกลักษณ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือการออกแบบที่ดึงดูดใจตลาดวัยรุ่น

"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ชวนดู "10 เบื้องลึกเบื้องหลัง แบรนด์กีฬาท็อปฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมในปี 2564 นี้บ้าง?"


01: ไนกี้ (Nike)

คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักแบรนด์ "ไนกี้" (Nike) หนึ่งในแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุด และปัจจุบันยังมีการออกแบบสุดว้าว ด้วยเทคนิค-นวัตกรรมที่ช่วยสร้างประสิทธิภาพให้กับผู้สวมใส่ที่ดีขึ้นทุกวันๆ 

ไนกี้ก่อตั้งเมื่อปี 1964 โดย บิล บาวเวอร์แมน (Bill Bowerman) และฟิล ไนท์ (Phil Knight) โดยชื่อแบรนด์มีแรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายกรีก และแบรนด์เป็นที่รู้จักจากสโลแกนคุ้นหูอย่าง "Just Do It" ที่สร้างแรงบันดาลใจและส่งต่อพลังในการลงมือทำ

ไนกี้โดดเด่นในการออกแบบ "รองเท้าวิ่ง" ที่สุดในตลาดสนีกเกอร์ มีรองเท้าวิ่งหลายรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างไร้กาลเวลา เช่น แอร์ จอร์แดน (Air Jordan) เทรลแมกซ์ (Trailmax) นอกเหนือจากการออกแบบที่ดีแล้ว นวัตกรรมที่ใช้ในการผลิตยังใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

ในแง่ของสปอนเซอร์ ไนกี้เป็นแบรนด์ที่มีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงตัวใหญ่ๆ หลายคนในวงการกีฬามาทำการโฆษณาให้ ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo) ไทเกอร์ วูดส์ (Tiger Woods) หรือ ราฟาเอล นาดาล (Rafael Nadal) อีกทั้งตัวแบรนด์เองยังให้การสนับสนุนกีฬาระดับชาติในหลายๆ ประเทศรวมถึงมีการเคลื่อนไหวในประเด็นทางสังคม ซึ่งได้ฐานกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ตื่นตัวกับเรื่องเหล่านี้ด้วย


02: เอสิกส์ (Asics)

"เอสิกส์"  (Asics) แบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาสัญชาติญี่ปุ่น ก่อตั้งที่โกเบ ปี 1977 โดดเด่นในไลน์สินค้าประเภทรองเท้าผ้าใบและชุดกีฬาซึ่งสวมใส่แล้วสะดวกสบาย ดูกะทัดรัดในแบบเอเชีย

โดยที่มาของชื่อแบรนด์นั้นได้มีความหมายที่ย่อมาจากวลีโบราณที่มีความหมายว่า "หากอธิษฐานต่อพระเจ้า เราควรอธิษฐานเผื่อจิตใจของร่างกายตนเองเพื่อให้แข็งแรงด้วย" (Anima Sana in Corpore Sano) ซึ่งวลีที่ว่านี้ยังเป็นปรัชญาของแบรนด์อีกด้วย 

นอกจากนี้ในงานการแข่งขัน โอลิมปิก 2020 ยังสังเกตเห็นได้ว่า ทีมนักกีฬาจากไชนีสไทเป (Chinese Taipei) ไต้หวัน ได้สวมใส่ชุดแต่งกายแบรนด์กีฬานี้ในช่วงการแข่งขันที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้วย


03: อาดิดาส (Adidas)

"อาดิดาส" (Adidas) อีกหนึ่งท็อปแบรนด์กีฬาที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักและมีติดบ้าน ด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ จาก "แถบสามแถบ" ซึ่งเป็นสไตล์ที่เรียบแต่มีความโดดเด่น ดู "มินิมัล" ซึ่งเป็นรสนิยมประเภทที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยม 

ก่อตั้งขึ้นในปี 1949 ในส่วนของต้นกำเนิดชื่อแบรนด์ หลายคนอาจยังไม่รู้มาก่อนว่า ที่มาที่แท้จริงของชื่อแบรนด์อาดิดาสนี้ มีต้นตอมาจากชื่อของผู้ก่อตั้งที่ชื่อว่า อดอล์ฟ แดสเลอร์ (Adolf Dassler; Adi) ไม่ได้มีต้นตอที่แท้จริงมาจากคำนี้ "ทั้งวันฉันฝันถึงแต่การเล่นซอคเกอร์" (All Day I Dream About Soccer) ที่มีคนคิดตั้งข้อสงสัยกัน  

ขณะเดียวกันอาดิดาสยังให้การสนับสนุนนักกีฬาเบอร์ใหญ่ระดับโลกด้วย เช่น ลิโอเนล เมสซี (Lionel Messi ) หรือเจมส์ ฮาร์เดน (James Harden) ทั้งนี้ยังให้การสนับสนุนชุดทีมฟุตบอลในหลายๆ ประเทศด้วย

และในแง่ของการออกแบบคอลเล็กชั่นที่โด่งดังและมีการพูดถึงคงหลีกหนีไม่พ้นไลน์สินค้า ยีสซี่ (YEEZY) ที่ได้แร็ปเปอร์ชื่อดังอย่าง คานเย เวสต์ (Kanye West) มาร่วมออกแบบด้วย นอกเหนือจากนี้ไลน์สินค้าอื่นๆ ที่เป็นที่นิยมยังมีอีก เช่น สแตน สมิธ (Stan Smith) และแซมบา (Samba) เป็นต้น


04: หลี่หนิง (Li-Ning)

"หลี่หนิง" (Li-Ning; 李宁有限公司) แบรนด์กีฬาสุดยอดท็อปฮิตในประเทศจีนที่สุดในตอนนี้ ก่อตั้งเมื่อปี 1989 โดยผู้ก่อตั้งที่ชื่อ "หลี่ หนิง" ซึ่งเป็นอดีตนักยิมนาสติก ที่มีฉายาเป็นที่รู้จักในนาม "เจ้าชายแห่งวงการยิมนาสติก" ณ วันนี้ทำกำไรกว่า 4 แสนล้านบาท

โดยผู้ก่อตั้งนั้นได้หันมาทำแบรนด์เมื่อตอนที่ตัดสินใจอำลาวงการกีฬาในวัย 25 ปี เพราะอาการบาดเจ็บเท้าจนไม่สามารถลงแข่งขันได้ และด้วยความมีชื่อเสียงทำให้หลี่หนิงออกมาเปิดแบรนด์ตัวเองต่อหลังจากที่เลิกแข่งกีฬาไป

ตัวแบรนด์ได้รับความนิยมมากขึ้นตั้งแต่ปี 2010 สามารถดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นจีนเป็นหลัก รวมถึงกลุ่มผู้ใหญ่ด้วย นอกจากนั้นมีเพียงแค่ 2% เท่านั้นที่เป็นกำไรจากต่างประเทศ 

พร้อมกันนี้แบรนด์หลี่หนิงเองยังได้สนับสนุนนักกีฬาชื่อดังอย่าง ดเวย์น เวด (Dwyane Wade) และล่าสุดในงานโอลิมปิก 2020 นี้ กองทัพนักกีฬาประเทศจีนยังได้ใส่ชุดและเครื่องแต่งกายจากแบรนด์หลี่หนิงในช่วงการแข่งขันด้วย

หากพูดถึงความนิยมแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะพูดถึงพระเอกซีรีส์ดังอย่าง "เซียวจ้าน" ที่ตบเท้าเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์หลี่หนิงไปเมื่อเดือนมีนาคม ปีนี้ด้วย ทำให้กลุ่มวัยรุ่นและแฟนคลับตามแห่กันมาซื้อและใช้สินค้าแบรนด์นี้มากยิ่งขึ้นไปอีก


05: รีบอค (Reebok)

"รีบอค" (Reebok) แบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬาสัญชาติอังกฤษ เป็นที่นิยมในหมู่นักวิ่งและคนออกกำลังกายตามฟิตเนส-ยิม โดยเน้นไปที่การออกแบบไลน์สินค้า เสื้อ-กางเกงวิ่ง รองเท้า และอุปกรณ์เสริมในการออกกำลังกายอื่นๆ 

แบรนด์สัญชาติอังกฤษนี้ได้ทำการก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1895 โดยโจเซฟ วิลเลียม ฟอสเตอร์ (Joseph William Foster) โดยความหมายของชื่อแบรนด์สื่อถึง การจุติความสง่างามอย่างรวดเร็วว่องไว 

ทั้งนี้แรกเริ่มเดิมทีแบรนด์รีบอคเป็นที่พูดถึงในเรื่องการออกแบบ "รองเท้าวิ่งที่มีหนามแหลม" เป็นเอกลักษณ์เพื่อใช้ในการออกกำลังกาย ซึ่งทำให้วิ่งได้อย่างปลอดภัยดี


06: อันเดอร์ อาร์เมอร์ (Under Armour)

"อันเดอร์ อาร์เมอร์" (Under Armour) หนึ่งในแบรนด์เครื่องแต่งกายที่นิยมในหมู่คนออกกำลังกาย สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งในปี 1996 เป็นที่นิยมทั้งในอเมริกา เอเชีย และทั่วโลก เป็นเบอร์รองจากไนกี้

แบรนด์นี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดย อดีตนักฟุตบอลอย่าง เควิน แพลงก์ (Kevin Plank) ซึ่งผุดไอเดียสร้างสรรค์แก้ปัญหาได้ถูกจุดสำหรับผู้เล่นกีฬาในสถานที่โล่งแจ้งที่ต้องมีเหงื่อออกมาก โดยเควินได้ออกแบบเสื้อกล้ามที่มีคุณสมบัติในการซับเหงื่อที่เป็นที่ตื่นตาตื่นใจในตอนนั้น 

ในส่วนของต้นตอที่มาของชื่อแบรนด์ อันเดอร์ อาร์เมอร์ ผู้ก่อตั้งเดิมทีต้องการใช้ชื่อแบรนด์ว่า "บอดี้ อาร์เมอร์" (Body Armour) แต่มีปัญหาเรื่องเครื่องหมายทางการค้าจึงได้ตัดสินใจเลือกใช้ชื่อแบรนด์ว่า "อันเดอร์ อาร์เมอร์" แบบที่ทุกคนรู้จักกัน ณ วันนี้
#3714



วันนี้ (30 กรกฎาคม 2564) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดการประชุม Science and Technology Organization Forum (STO Forum) ครั้งที่ 3/2564 โดยเชิญผู้บริหารหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย เข้าร่วมระดมสมองหารือถึงแนวทางการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และแนวทางการสนับสนุนงบประมาณกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุนส่งเสริม ววน.) สำหรับโครงการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนระบบวิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาประเทศ

โอกาสนี้ รศ.ดร. ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการ สกสว. กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของ สกสว. กับหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ในการร่วมกันกำหนดเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ซึ่งเป็นความคืบหน้าจากการดำเนินการตามแผนงานต่าง ๆ ความร่วมมือการพัฒนานี้จะนำไปสู่การพัฒนาวิทยาศาสตร์ไทยแบบไร้รอยต่อ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ได้มีนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศที่สามารถก่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด


ทางด้าน ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สกสว. ได้นำเสนอถึงแนวทางการสนับสนุนงบประมาณกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำหรับโครงการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี โดยที่ผ่านมา สกสว. ได้ระดมความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้ได้กรอบกิจกรรมสำคัญและรายละเอียดของลักษณะโครงการที่มีเป้าหมายในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี จากนั้น สกสว. ได้เสนอกรอบแนวคิดและแนวทางการสนับสนุน "โครงการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี" ซึ่งที่ผ่านมาได้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการด้านการพัฒนาระบบนวัตกรรม และคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.)

โดยกองทุนส่งเสริม ววน. มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ในหลากหลายมิติ ครอบคลุมถึงการพัฒนาต้นทุนทรัพยากรที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพ และการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ เทคโนโลยี และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นเป็นไปตามกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ อววน. โดยมีกิจกรรมสำคัญสำหรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) การพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2) การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงและตอบโจทย์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญ 3) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน ววน. และโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ 4) การให้บริการเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างแพร่หลาย 5) การสื่อสารและสร้างเครือข่ายเชิงกลยุทธ์ด้าน ววน.

ทางด้าน รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) ได้นำเสนอแนวทางการบริหารและใช้ประโยชน์จากศูนย์ไซโคลตรอน โดยอธิบายว่า เครื่องไซโคลตรอนถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของประเทศ โดยปัจจุบัน สทน. อยู่ระหว่างการดำเนินการสร้างศูนย์ไซโคลตรอนของประเทศ ซึ่งไซโคลตรอนนั้นเป็นเครื่องเร่งอนุภาคไอออน ปัจจุบันการนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในภาคธุรกิจรวมถึงทางด้านการแพทย์ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการผลิตสารเภสัชรังสี อย่างเช่นไอโซโทปที่ใช้สำหรับการตรวจและรักษาโรคมะเร็ง ปัจจุบันมีการนำเครื่องไซโคลตรอนมาใช้ประโยชน์ในการผลิตสารเภสัชรังสีเกี่ยวกับการทำ Proton Therapy การรักษาโรคมะเร็งด้วยอนุภาคโปรตอน มีข้อดีคือสามารถปล่อยพลังงานเฉพาะตำแหน่งที่ต้องการ ไม่ทำให้เกิดแผล สามารถปล่อยพลังงานเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งในตำแหน่งที่ต้องการ ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น สามารถใช้ในการรักษามะเร็งสมอง เป็นเทคนิคที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน 

อย่างไรก็ตาม สทน. มีแผนการพัฒนาศูนย์ไซโคลตรอนเพื่อให้บริการงานวิจัยในด้านต่างๆ ด้วย ซึ่งการติดตั้งเครื่องคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2564 สามารถเป็นศูนย์กลางในการให้บริการผลิตสารเภสัชรังสี ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาโรคด้วยเภสัชรังสีในราคาที่เข้าถึงได้ ถือเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ

นอกจากนี้การประชุมในวันนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมกันระดมสมองเกี่ยวกับการร่วมกันพัฒนาระบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ รวมถึงแนวทางการสนับสนุนและใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศ
#3715



กุนซือทีมขุนค้อนพร้อมยื่นข้อเสนอราว 20 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นค่าฉีกสัญญาของปราการหลังชาวฝรั่งเศส เพื่อหวังดึงเข้ามาเติมเต็มแนวรับในฤดูกาลหน้า

สำหรับ เคิร์ต ซูมา ย้ายจากแซงต์ เอเตียน มาร่วมทีมเชลซีตั้งแต่ปี 2014 แต่กลับไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างต่อเนื่อง โดยลงสนามไปเพียงแค่ 150 เกมเท่านั้น จาก 5 ฤดูกาลในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แถมยังเคยโดยปล่อยให้ สโต๊ก ซิตี้ และ เอฟเวอร์ตัน ยืมตัวไปใช้งานอีกด้วย

กระทั่งล่าสุด เดลี เมล์ รายงานว่า เดวิด มอยส์ หวังคว้าตัว ซูมา เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของทีม "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในฤดูกาลหน้า โดยพร้อมทุ่มเงินราว 20 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นค่าฉีกสัญญาที่เหลือ

ขณะที่แนวรับวัย 26 ปี ก็ต้องการที่จะค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกต่อไปเช่นกัน และไม่ต้องการเป็นตัวแถมในข้อเสนอของเชลซี เพื่อใช้ลดค่าตัวของ ฌูลส์ กุนเด จากเซบีญาในช่วงซัมเมอร์นี้

นอกจากนี้ นายใหญ่ของทีมเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่า ต้องการซื้อขาด ซูมา ด้วยเงินสดเท่านั้น โดยไม่ต้องได้มาเป็นตัวแถม ในดีลของ ดีแคลน ไรซ์ อย่างแน่นอน.

https:// www.thairath.co.th/sport/eurofootball/premierleague/2153110
#3716
โปรแกรมคำนวนเลข8 เหตุผล ที่คุณต้องใช้ โปรแกรมหวย RICHMANTOOLโปรแกรมหวย ของ Ricmantool เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมา เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก แก่เจ้ามือหวย ลดขั้นตอนการทำงาน ลดขั้นตอนการผิดพลาดที่ อาจจะเกิดการตกหล่น จดซ้ำซ้อน จนทำให้เกิดความเสียหายไปดึงด้านการทำบัญชี และการเงินได้ แนะนำ 8 ข้อดีของ โปรแกรมหวย RICHMANTOOL1.มีหลายเวอร์ชั่นให้เลือกใช้งาน เหมาะสมกับธุรกิจของคุณโปรแกรมของเรา พัฒนามาเพื่อเจ้ามือโดยเฉพาะ เราจึงคำนึงถึงการใช้งานเป็นหลัก ที่เรามีหลายเวอร์ชั่น เพื่อต้องการให้เจ้ามือได้ลองเลือกใช้ หากเป็นรายใหญ่มีตัวแทนเยอะ ก็มีระบบที่สามารถใช้ได้หลายคน หรือ บางท่านทำแค่ภายในครอบครัว ก็สามารถซื้อแบบเวอร์ชั่นเล็กสำหรับใช้งานคนเดียวได้2.พัฒนาโปรแกรมตลอดเวลาโปรแกรมของเราพัฒนาขึ้นเองโดยเจ้าของโปรแกรม ไม่ได้มีการจ้างโปรแกรมเมอร์อื่นๆเข้ามาทำ ดังนั้น เราจึงสามารถพัฒนาเวอร์ชั่นได้อย่างต่อเนื่อง และ อัพเดทได้ ไม่มีวันหมดอายุ3.มีผู้ใช้งานมากกว่า 100,000 Userเราพัฒนาระบบนี้มามากกว่า 5 ปี พร้อมนำฟีดแบ็คจากผู้ใช้งานมาปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ4.มีทีมงาน Support ตลอดเวลาทีมงาน Support ของเรา สแตนบายเพื่อคอยให้การช่วยเหลือ หรือ แก้ไข กับผู้ใช้งาน สามารถติดต่อได้ผ่านช่องทาง email และ Line OA จึงทำให้สามารถตอบคำถาม หรือ แก้ไขปัญหาได้ทันที5.ลดขั้นตอนการทำงานเชื่อได้ว่า ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน หลายๆเจ้าจะต้องมีปวดหัวกับการต้องมานั่งจดเลขทีละตัว หรือ ต้องมานั่งเช็คอีกรอบเพื่อกันการผิดพลาด เพียงแค่มี โปรแกรมหวย richmantool6.ใช้งานง่าย ส่งมาทางไหนก็เอาอยู่ไม่ว่าจะเป็นไฟล์จาก excel หรือ ส่งมาทาง Line ก็สามารถดึงตัวเลขเข้าโปรแกรมได้ทันที นอกจากนี้  ยังสามารถ คีย์เลขชุด 24,60,120,210 ประตู (4,5,6,7 ตัว ) ได้อีกด้วย7.ไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลจะหายเรามีระบบสำรองข้อมูล และ ป้องกันการผิดพลาดของฐานข้อมูลไว้ให้ทุกท่านได้ใช้งาน และยังสามารถนำเข้าข้อมูลมาในโปรแกรมได้อีกด้วย8.สรุปยอด วิเคราะห์ระบบสามารถสรุปยอด กำไร - ขาดทุน และวิเคราะห์ความเสี่ยงก่อนออกตัว ทำให้เจื้อ สามารถเห็นความเป็นไปได้ในการดำเนินการของรอบนั้นๆ ลดการขาดทุนแก่เข้ามือได้อีกด้วยไม่เพียงแค่ 8 ข้อนี้เท่านั้น ที่ระบบเราทำได้ ยังมีอีกเยอะแยะมากมาย อยากแนะนำมาทดลองใช้กันก่อน เพื่อเพิ่มความแม่นยำ และ ลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการขาดทุนได้ เรามีทีมงานทีจะคอยแนะนำการใช้งานให้ท่านเสมอ โปรแกรมของเรา ยอดดาวน์โหลดอันดับ 1 ในประเทศไทย

#3717



นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก กรุ๊ป โดย บริษัท เอ็กโก ลินเดน ทู บริษัทย่อยที่ เอ็กโก    ถือหุ้นทั้งหมด ซึ่งได้ลงทุนในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ผู้ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น "ลินเดน โคเจน" ซึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ในสหรัฐอเมริกา ได้บรรลุข้อตกลงในการรับก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจนจากบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66) โรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า

ทั้งนี้ บริษัท ลินเดน ทอปโก้ จะปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ให้สามารถรองรับก๊าซ    ที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีองค์ประกอบเป็นไฮโดรเจน จากโรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ (Bayway Oil Refinery) ของบริษัท ฟิลิปส์ 66 ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อนำมาผสมเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม การปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซดังกล่าวมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 สามารถรองรับการเผาไหม้เชื้อเพลิงผสมที่มีไฮโดรเจนผสมอยู่ได้สูงสุดถึง 40% ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 ปลดปล่อยปกติในแต่ละปี


ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงานและเชื้อเพลิง อย่างบริษัท เจร่า อเมริกา จำกัด (JERA Americas Inc.) ซึ่งเป็นพันธมิตรของเราในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับการผลิตไฟฟ้าและการขนส่ง

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังได้ลงทุนในโรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงกังดง ในเกาหลีใต้ ซึ่งใช้ไฮโดรเจนเป็นสารตั้งต้นหลักในการผลิตไฟฟ้าและความร้อน การลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง ทั้งโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และโรงไฟฟ้ากังดงนั้น เอ็กโก กรุ๊ป มีเป้าหมายที่จะสั่งสมความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทในอนาคต เมื่อเทคโนโลยีด้านนี้พัฒนาเต็มที่


"เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทลำดับต้นๆ ของประเทศไทย ที่ส่งเสริมและสนับสนุนแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสะอาดสำหรับการผลิตไฟฟ้าของประเทศ บริษัทมุ่งมั่นส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงสะอาดมาผลิตไฟฟ้าและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง" นายเทพรัตน์ กล่าว


สำหรับ โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 1-5 กำลังผลิตรวม 800 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าและให้บริการเสริมความมั่นคงในระบบไฟฟ้าแก่ระบบและโครงข่ายไฟฟ้าในรัฐนิวยอร์ก (NY-ISO Zone J) และโรงไฟฟ้าลินเดน หน่วยที่ 6 กำลังผลิต 172 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าให้แก่ตลาดซื้อขายไฟฟ้า พีเจเอ็ม พีเอส นอร์ธ (PJM PS North) ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ทั้งโครงข่ายไฟฟ้าในรัฐนิวยอร์กและตลาดซื้อขายไฟฟ้าพีเจเอ็ม พีเอส นอร์ธ เป็นตลาดไฟฟ้า 2 แห่งที่มีความต้องการไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้าสำรองสูงที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา

ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน ยังขายไอน้ำและไฟฟ้าภายใต้สัญญาระยะยาวแก่โรงกลั่นน้ำมันเบย์เวย์ ที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน โดยโรงกลั่นฯ เป็นผู้รับซื้อรายใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่น่าลงทุน ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ฟิลิปส์ 66 (Phillips 66)

นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน ยังมีความได้เปรียบด้านการจัดหาเชื้อเพลิง เนื่องจากตั้งอยู่ในเมืองลินเดน รัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งเป็นบริเวณที่สามารถเข้าถึงแหล่งก๊าซธรรมชาติได้หลายแห่ง ผู้ถือหุ้นของบริษัท ลินเดน ทอปโก้ ประกอบด้วย JERA Americas (50%) เอ็กโก กรุ๊ป (28%) DBJ (12%) และ GS-Platform Partners (10%)
#3718




เชื้อโควิด-19 โผล่อาละวาดในเมืองหนันจิง มณฑลเจียงซูทางภาคตะวันออกจีน โดยถือเป็นแหล่งแพร่ระบาดในจีนที่พบการติดเชื้อภายในท้องถิ่นมากที่สุด และดันจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศดีดตัวสูงในรอบครึ่งปีมานี้โดยล่าสุดในวันที่ 27 ก.ค. ผู้ป่วยรายใหม่มีจำนวน 86 ราย

สำหรับการระบาดที่เมืองหนันจิง เริ่มพบเคสติดเชื้อในวันที่ 20 ก.ค.ที่สนามบินนานาชาติลู่โข่วโดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนงานทำความสะอาด อนึ่ง การฉีดวัคซีนของคนทำงานทั้งหมดกว่า 9,000 คนในสนามบินลู่โข่วมีอัตราครอบคลุมถึง 90.87 เปอร์เซนต์แล้ว

หนันจิงได้ลุยตรวจโควิด-19 ขนานใหญ่ ก็พบผู้ป่วยในท้องถิ่นมากขึ้นๆจาก 30 กว่ารายในช่วงวันที่ 25-26 ก.ค. เพิ่มเป็น 47 รายในวันที่ 27 ก.ค. หน่ำซ้ำยังเป็นเชื้อกลายพันธุ์เดลต้าซึ่งมีลักษณะเด่นคือเป็นเชื้อที่ติดง่ายและรวดเร็วฉับไว นอกจากนี้การระบาดยังแพร่ไปอีกสี่มณฑลอย่างอย่างรวดเร็วราวติดจรวด ได้แก่ กว่างตง เสฉวน เหลียวหนิง และอันฮุย ในวันอาทิตย์(25 ก.ค.)ที่ผ่านมา หนันจิงได้ขยายเป็นการตรวจเชื้อฯผู้อาศัยในเมืองทั้งหมด 9.3 ล้านคน

การระบาดโควิดภายในเมืองหนันจิงช่วง 8 วันมานี้มีผู้ป่วยสะสมรวม 153 ราย ในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้ป่วยอาการเบา 81 ราย ผู้ป่วยอาการทั่วไป 68 ราย และผู้ป่วยอาการหนัก 4 ราย ตัวเลขต่างๆเหล่านี้เมื่อเทียบกับยอดผู้ป่วยในประเทศอื่นๆถือได้ว่าต่ำมาก แต่ทว่า สิ่งที่ชาวจีนข้องใจและสงสัยกันมากที่สุด ก็คือกลุ่มผู้ติดเชื้อเกือบทั้งหมดได้ฉีดวัคซีนกันไปแล้ว

"ทำไมคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ติดเชื้อฯได้"

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจีนได้ออกมาตอบข้อสงสัยดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่การวิจัยของศูนย์ควบคุมโรคระบาดแห่งจีน นาย เส้า อีหมิง ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีน ว่าบทบาทหน้าที่ของวัคซีนแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับที่หนึ่ง คือป้องกันการติดเชื้อ คุ้มครองผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วไม่ให้ติดเชื้อโรค, ระดับที่สอง คือป้องกันหรือยับยั้งอาการป่วย ช่วยปกป้องผู้ป่วยอาการเล็กน้อยมีอาการทรุดหนักและเสียชีวิต, ระดับที่สาม คือหากเพิ่งมีสัญญาณการติดเชื้อโรค แต่ในร่างกายมีเชื้อในปริมาณน้อยมาก ก็ยากที่จะนำเชื้อไปติดผู้อื่น กล่าวคือเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อนั่นเอง

เส้า อีหมิง กล่าวว่า คุณค่าของวัคซีนจีนนั้นคือการป้องกันระดับที่สอง อัตราการคุ้มครองมุ่งไปที่การเกิดอาการป่วย ไม่ได้มุ่งไปที่การติดเชื้อ ดังนั้นจึงมีคนที่ฉีดวัคซีนแล้วจำนวนหนึ่งที่อาจติดเชื้อได้



"จากการสังเกตการณ์เคสผู้ป่วยในกว่างตง รุ่ยลี่ ผู้ป่วยที่ฉีดวัคซีนแล้ว โดยรวมแล้วมีอาการเบาหรือเล็กน้อยเท่านั้น โดยโอกาสที่อาการจะทรุดลงไปเป็นอาการหนักนั้นมีอัตราที่ต่ำมากอย่างชัดเจน การดำเนินโรคมีระยะสั้นมาก ดังนั้นจึงพูดได้ว่าการฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองอยู่" หยัง อี้ หัวหน้าแผนกผู้ป่วยอาการหนักของโรงพยาบาลจงต้า สังกัดมหาวิทยาตงหนัน

สื่อแดนมังกรอีกรายอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญจีนกล่าวถึงการระบาดภายในท้องถิ่นหนันจิงซึ่งผู้ติดเชื้อกว่า 90 เปอร์เซนต์ฉีดวัคซีนแล้วว่า ขณะที่อัตราการคุ้มครองของวัคซีนไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์แต่ก็สามารถป้องกันผู้ติดเชื้อมีอาการทรุดหนักและป้องกันการเสียชีวิต อีกประการหนึ่งคือเชื้อที่ระบาดเป็นสายพันธุ์เดลต้ายิ่งทำให้ความสามารถในการคุ้มครองของวัคซีนลดลง

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ในเดือนก.ค.ปีที่แล้วที่มีการอนุมัติใช้วัคซีนในกรณีฉุกเฉินนั้น การฉีดวัคซีนในจีนได้สั่งสมประสบการณ์ก้าวหน้าไปมาก แต่ยังไม่ไม่ถึงขั้นสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ขณะที่การแพร่ระบาดในหลายประเทศขยายวงกว้างไม่หยุดหย่อน ความคุ้มครองจากวัคซีนจึงเป็นที่ต้องการอยู่ ที่สำคัญคือไม่ว่าจะฉีดวัคซีนหรือไม่ฉีดก็ตาม ผู้ที่อยู่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากและในสถานที่ปิด ยังต้องสวมหน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัด
#3719



เมื่อเร็วๆนี้บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ได้เปิดโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงาน G-Cell โดยใช้เทคโนโลยี SemiSolid แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia) ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้น 30 MWh (เมกะวัตต์ชั่วโมง) ต่อปี ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง

โดยโรงงานแบตเตอรี่แห่งนี้ ถือเป็นแห่งแรกของประเทศไทย และแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียฯ กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ชั่วโมง(MW) ด้วยทุน 1,100 ล้านบาท และในอนาคตจะขยายขึ้นเป็น 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง(GWh) ต่อปี ตามเป้าหมายของ GPSC ที่จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อยู่ที่ 8,000 เมกะวัตต์ 

ภายในปี 2573 ตามนโยบายของบริษัทแม่ คือ ปตท. ซึ่งคาดหวังว่า โรงงานแห่งนี้ จะเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมไทยมุ่งสู่พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต และสนับสนุนการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ตามเป้าหมายของรัฐบาล
#3720



กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)เตือนสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19ที่กลับมารุนแรงอีกครั้ง กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของหลายประเทศ ขณะที่มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีคนจนเพิ่มขึ้น ผู้คนออกมาชุมนุมประท้วงเพราะปัญหาปากท้องกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มขึ้น

ไอเอ็มเอฟ ออกรายงานเตือนเมื่อวันอังคาร(27ก.ค.)ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงดำเนินอยู่แต่ก็ยังคงมีความเหลื่อมล้ำอย่างมากระหว่างประเทศที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้า ตลาดเกิดใหม่หลายประเทศและประเทศกำลังพัฒนา เพราะการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ที่ไม่เท่าเทียมกัน และการขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ

รายงานเตือนของไอเอ็มเอฟฉบับล่าสุด มีขึ้นหลังจากประมาณกลางเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในคิวบา ที่เป็นอีกประเทศหนึ่งที่พึ่งพิงรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ต้องเผชิญภาวะชะงักงันจากวิกฤตโรคระบาด จนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพเศรษฐกิจ และการดำเนินชีวิตของประชาชน

ชาวคิวบานับหมื่นคนออกมาเดินขบวนประท้วงในหลายเมือง เพื่อแสดงความไม่พอใจการบริหารจัดการของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบาดของโรคโควิด-19 และมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลนำมาใช้ได้สร้างความยากลำบากให้ชาวคิวบา ก่อให้เกิดความไม่พอใจสะสมจนนำมาสู่การชุมนุมประท้วง

นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุจลาจลและปล้นสะดมร้านค้าในหลายประเทศของแอฟริกาใต้ โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจที่รัฐบาลไม่เร่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชน รวมทั้งความยากลำบากและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นจากเศษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคโควิด-19 ระบาดจำนวน จนส่งผลให้ผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 77 ราย

รายงานฉบับนี้ของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีนเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่จะทำให้ความสามารถในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยแตกต่างกัน

"ประเทศที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์และมีผู้ติดเชื้อโควิด-19จำนวนมากอาจจะไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าที่วางไว้ และสิ่งนี้จะทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)โลก ภายในปี 2568"กีตา โกปินาธ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ไอเอ็มเอฟ ระบุ