• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#3461

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าจอมเก๋าทำ 1 ประตูกับเรียกอีก 1 จุดโทษ ช่วย เอซี มิลาน ที่เหลือ 10 คนบุกเชือด โรมา 2-1 รั้งรองจ่าฝูงศึกกัลโช เซเรีย อา

การแข่งขันฟุต.กัลโช เซเรีย อา อิตาลี ฤดูกาล 2021-22 เมื่อวันที่ 31 ต.ค. เป็นคู่บิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์ "หมาป่ากรุงโรม" โรมา เปิดสนาม สตาดิโอ โอลิมปิโก รับการมาเยือนของ "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน


ผลปรากฏว่า "ปีศาจแดงดำ" เป็นที่เหลือผู้เล่น 10 คนหลัง เตโอ เอร์นานเดซ โดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามในนาที 66 บุกเอาชนะได้ 2-1 จากฟรีคิกสุดสวยของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช นาที 26 และจุดโทษของ ฟรองก์ เคสซิเย นาที 57 ส่วน โรมา ได้ประตูตีไข่แตกจาก สเตฟาน เอล ชาลาวี นาที 90+3


จากผลดังกล่าวทำให้ มิลาน มีเพิ่มเป็น 31 คะแนนจาก 11 นัดเท่ากับ นาโปลี จ่าฝูงทว่าประตูได้เสียเป็นรองทำให้อยู่ในอันดับ 2 ตาราง ส่วน โรมา หยุดอยู่ที่ 19 คะแนนจาก 11 นัดอยู่ในอันดับ 4 ของตาราง

ผลการแข่งขันคู่อื่นๆ

อินเตอร์ มิลาน 2-0 อูดิเนเซ
เจนัว 0-0 เวเนเซีย
ซาสซูโอโล 1-2 เอ็มโปลี
ฟิออเรนตินา 3-0 สเปเซีย
ซาแลร์นิตานา 0-1 นาโปลี
#3462

ยอด 'โควิด-19' วันนี้ พบเสียชีวิตเพิ่มอีก 78 ราย ขณะที่พบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มอีก 7,574 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,898,900 ราย 


สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ล่าสุด วันที่ 2 พ.ย. 64 พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่อีก 7,574 ราย เป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 7,059 ราย และผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 515 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 เมษายน 2564 มีจำนวน 1,898,900 ราย หายป่วยกลับบ้าน 8,279 ราย หายป่วยสะสม 1,782,555 ราย กำลังรักษา 98,444 ราย




โดยวันนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 78 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 มียอดสะสมสูงถึง 19,338 ราย. 
#3463
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้(1 พ.ย.) สัญญาทองคำตลาด COMEX เพิ่มขึ้น 11.9 ดอลลาร์ ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และะแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 11.9 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ระดับ 1,795.8 ดอลลาร์/ออนซ์
                
นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 60.8 ในเดือนต.ค. โดยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่แตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือน


สอดคล้องกับการรายงานของไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 58.4 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน จากระดับ 60.7 ในเดือนก.ย. โดยการร่วงลงของดัชนี PMI มีสาเหตุจากการขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิต
 

 นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทองคำ เนื่องจากทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น มีราคาถูกลงและมีความน่าดึงดูดมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น

ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.25% แตะที่ 93.8817 เมื่อคืนนี้
#3464

ราฟาเอล เบนิเตซ บ่นอุบ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ขาดตัวพลิกเกมและสร้างความแตกต่าง หลังบุกแพ้ "หมาป่า" พ่ายในลีก 3 เกมติด แต่เชื่อถ้าขุมกำลังกลับมาสมบูรณ์ ผลงานน่าจะดีขึ้น

ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตัน ทีมดังในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมาระบุว่า ทีมของเขาขาดตัวนักเตะที่สามารถพลิกเกมและสร้างความแตกต่างได้ หลังพลพรรค "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" บุกพ่าย "หมาป่า" วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอรเรอร์ส 1-2 ในเกมลีกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ในเกมลีกเป็นเกมที่ 3 ติดต่อกัน จนทำให้ทีมร่วงลงไปอยู่ที่ 10 ของตารางแล้วในเวลานี้


นายใหญ่ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" กล่าวว่า "เราได้เห็นนักเตะของเราแสดงออกได้ดีขึ้นในครึ่งหลัง หลังทำได้ไม่ดีนักในครึ่งแรก ผมคิดว่าเราเกือบจะได้ผลการแข่งขันที่ต้องการแล้ว แต่สิ่งที่ขาดไปคือนักเตะที่สามารถสร้างความแตกต่างได้ ผมคิดว่าถ้าเรามีขุมกำลังที่สมบูรณ์ นักเตะทุกคนพร้อมลงสนาม เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้มาก และน่าจะทำได้เหมือนกับที่เราทำได้ในครึ่งหลังของเกมนี้ แต่ผมมั่นใจว่านักเตะทุกคนจะมุ่งมั่นที่จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม"
#3465
ตลท.เปิดรับฟังความเห็นปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีความร้อนแรง หลังในปี 2564 ยังไม่ลดลง เผยเสนอรวบมาตรการระดับ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน และห้ามซื้อขายชั่วคราว 1 วันทำการ เป็นมาตรการระดับ 3

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.เปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีความร้อนแรง หลังจากในปี2564 สภาพการซื้อขายมีความร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะในหลักทรัพย์ขนาดเล็ก ทำให้มาตรการกำกับการซื้อขายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถบรรลุวัดถุประสงค์ของการกำกับดูแลในบางหลักทรัพย์ที่สภาพการซื้อขายยังคงเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับได้ แม้หลักทรัพย์ดังกล่าวจะอยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายเป็นระยะเวลานานหรือปรับเพิ่มมาตรการจนถึงระดับสูงสุดที่มี และได้ยกระดับการดำเนินการแล้วก็ตาม

 

อย่างไรก็ตาม ตลท.ได้เสนอให้ปรับปรุงมาตรการกำกับการซื้อขายในปัจจุบัน ให้ดำเนินการป้องกันความเสี่ยงให้เร็วขึ้น โดยการรวบมาตรการระดับ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน ซึ่งให้เริ่มมาตรการระดับ 1 ด้วยการให้ซื้อด้วยบัญชี Cash Balance และห้ามนำหลักทรัพย์ที่กำหนดมาคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย นอกจากนี้ ยังกำหนดเพิ่มการห้ามซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 วันทำการ เป็นมาตรการระดับ 3 ด้วย เพื่อให้ผู้ลงทุนได้พิจารณาทบทวนก่อนตัดสินใจซื้อขาย

ตลท.เปิดเฮียริ่ง หุ้นร้อนแรงหยุดซื้อขาย 1 วัน
ตลท.เปิดเฮียริ่ง หุ้นร้อนแรงหยุดซื้อขาย 1 วัน


สำหรับหลักเกณฑ์ในเรื่องมาตรการกำกับการซื้อขายมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนที่จะซื้อขายในหลักทรัพย์ที่สภาพการซื้อขายไม่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐาน โดยผู้ลงทุนยังคงสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวได้ แต่จะมีการเพิ่มเงื่อนไขบางประการในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้น 

 

ปัจจุบันมาตรการกำกับการซื้อขายแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ (1) การเตือน คือ เตือนบริษัทสมาชิกกรณีพบการส่งคำสั่งที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพการซื้อขาย หรือเตือนผู้ลงทุนให้ทราบถึงข้อเท็จจริงของหลักทรัพย์ก่อนตัดสินใจซื้อขาย และ (2) การจำกัดอำนาจซื้อ คือ การเพิ่มเงื่อนไขบางประการเพื่อลดความเสี่ยงด้านการชำระราคา ได้แก่ ให้ซื้อด้วยการวางเงินสดเต็มจำนวนก่อนซื้อ (หรือซื้อด้วยบัญชีCash Balance), ห้ามนำหลักทรัพย์ที่มีสภาพผิดปกติดังกล่าวเป็นหลักประกันในการคำนวณเป็นวงเงินซื้อขาย และห้ามหักกลบค่าซื้อกับค่าขายภายในวัน (หรือห้าม Net Settlement)

"เพื่อให้การกำกับดูแลการซื้อขายสอดรับกับสภาพการซื้อขายที่ร้อนแรงขึ้นในปี 2564 โดยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน และ % Tumover Velocity ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมาก ซึ่งข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน

2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 96,463 ล้านบาท ด้วย %Turnover Velociy ที่ 0.51% จากปีก่อนที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 68,607 ล้านบาท ด้วย % Tumover Velociy ที่ 0.42%, เพิ่มประสิทธิภาพมาตรการเดิมที่ประสิทธิผลลดลง จากจำนวนหลักทรัพย์ที่เข้ามาตรการในระดับสูงสุดมากขึ้น และสภาพการซื้อขายยังคงปรับตัวไม่สอดรับกับพื้นฐานแม้อยู่ในระดับมาตรการขั้นสูงสุดแล้วก็ตามและสอดคล้องกับมาตรการของตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่กำหนดให้การห้ามซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว เป็นหนึ่งในมาตรการกำกับการซื้อขาย เช่น เกาหลี, ไต้หวัน เป็นต้น"
#3466

อินโดนีเซียเป็นประเทศแรกของโลก ที่ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้งานฉุกเฉิน ให้กับวัคซีนต้านโควิด-19 ของโนวาแวกซ์ ของโลก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ว่า บริษัทโนวาแวกซ์ หนึ่งในผู้ผลิตด้านชีวเภสัชภัณฑ์ของสหรัฐ ประกาศว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีโปรตีนซับยูนิต ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นกรณีฉุกเฉิน เพื่อใช้งานในอินโดนีเซียเป็นประเทศแรกของโลก โดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย ( เอสไอไอ ) ผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก จะเป็นผู้ผลิตวัคซีนดังกล่าว และจำหน่ายโดยใช้ชื่อทางการค้า "โควาแวกซ์"



ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นกลุ่มประเทศแรกในโลก ร่วมกับอินเดีย และฟิลิปปินส์ ที่โนวาแวกซ์ยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียนรับรองการใช้งานวัคซีนโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้บริหารของโนวาแวกซ์ให้เหตุผลว่า ต้องการให้ประเทศ "ซึ่งมีความจำเป็นอย่างแท้จริง" ได้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพก่อน


สำหรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่โนวาแวกซ์พัฒนานั้น "ให้ประสิทธิผลในภาพรวม 90.4%" โดยสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ "หลายสายพันธุ์" ตามการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญจากผลการทดสอบทางคลินิกระยะที่สาม เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา
ขณะที่ลดอัตราการติดเชื้อให้กับกลุ่มเสี่ยง พบว่าวัคซีนของโนวาแวกซ์สามารถป้องกันได้ 91% และเพิ่มประสิทธิภาพเป็น 100% ในการป้องกันอาการป่วยปานกลางและรุนแรง แต่ลดลงเหลือ "ประมาณ 70%" ต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่โนวาแวกซ์ "ยังระบุไม่ได้"
#3467
"กรุงไทย" จัดมหกรรมบ้านมือสอง ขนทรัพย์ NPA ชั้นดีจากทำเลต่างๆ ทั่วไทยกว่า 4,400 รายการลดราคายิ่งใหญ่ สูงสุด 55% มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นดีๆ จะอยู่เองหรือเก็งกำไร ยังไงก็คุ้ม Krungthai NPA MEGA Sale 2564 ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. – 5 ธ.ค. 2564

หากใครกำลังมองหาทรัพย์มือสอง คุณภาพดี ไม่ว่าจะเพื่ออยู่อาศัย หรือการลงทุน ปีนี้ ธนาคารกรุงไทย นำทรัพย์ NPA พร้อมขาย คุณภาพดี ที่คัดสรรมาทั่วไทยกว่า 4,400 รายการ มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท ในราคาเริ่มที่หลักแสน ประกอบด้วย ที่ดินเปล่า บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ โฮมออฟฟิศ โรงงาน โรงแรม โกดัง หอพัก อพาร์ทเม้นท์ และอาคารสำนักงาน ที่เหมาะสำหรับทุกกลุ่มลูกค้า นำมาลดราคาสูงสุดถึง 55% นับว่าเป็นโอกาสทองของคนอยากมีบ้านเป็นของตนเอง หรือชื่นชอบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อทำธุรกิจ มองหาที่ดินเพื่อเก็งกำไร ตลอดจนการรีโทเวทบ้านเก่า เอามาปรับปรุงใหม่ขาย พบทุกความต้องการได้ที่ Krungthai NPA MEGA Sale 2564 ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. – 5 ธ.ค. 2564



นอกจากจะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 55% สำหรับลูกค้าที่จองหรือทำสัญญาภายในงาน Krungthai NPA MEGA Sale 2564 จะได้รับสิทธิพิเศษชำระค่าโอนกรรมสิทธิ์เพียง 1% แล้ว ทางธนาคารกรุงไทย ยังสนับสนุนด้านสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษสำหรับการซื้อทรัพย์ NPA เพื่อที่อยู่อาศัย โดยลดดอกเบี้ยสินเชื่อ 0.5% ในปีแรก เพื่อให้สามารถซื้อทรัพย์ของธนาคารได้ง่ายขึ้น



ADVERTISEMENT


สำหรับผู้ที่สนใจหรือกำลังมองหาและสนใจทรัพย์มือสอง สามารถเข้าไปดูรายการทรัพย์ได้ที่ https://npa.krungthai.com โดยสามารถเลือกค้นหาทรัพย์แบบระบุเงื่อนไขเฉพาะเจาะจงได้ด้วย เช่น ประเภททรัพย์ ช่วงราคา ที่อยู่ของทรัพย์ เมื่อคลิกเลือกทรัพย์ NPA ที่ต้องการจะพบข้อมูลแสดงรายละเอียดของทรัพย์และข้อมูลผู้ติดต่อไว้อย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการแสดงตำแหน่งที่ตั้งของทรัพย์ พร้อมระบบนำทางไปยังทรัพย์ NPA ที่สนใจได้ด้วย



ผู้ที่สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดต่อซื้อขายผ่านทีมขายได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-208-8333 หรือธนาคารกรุงไทยทุกสาขาใกล้บ้านคุณ

#Krungthai #กรุงไทย #KrungthaiNPA #ทรัพย์สินพร้อมขาย #บ้านมือสอง #KrunthaiMegaSale
#3468
สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเผยโควิดส่งผลกระทบหนัก คนไทยติดเชื้อรวม 1.85 ล้านราย ส่งผลให้มูลค่าค้าปลีกและบริการสูญหายกว่า 8 แสนล้านบาท มีคนว่างงานเพิ่มขึ้น3.2 ล้านคน หนี้ภาคธุรกิจและครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เสนอแผน 7S Recoveryเร่งฟื้นฟูประเทศ หวังปลุกเศรษฐกิจไทยโค้งแรกปี 65 ฟื้น 1.5 ล้านล้านบาท

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเปิดเผยว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศภูมิภาคอาเซียนที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำสุด และยังมีแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่ลึกและกว้าง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบจากโควิด รัฐบาลจึงต้องเร่งเครื่องเพื่อผลักดันให้ฟื้นตัวโดยเร็วจากปัจจุบันที่จีดีพีติดลบอย่างต่อเนื่องด้วยการวางกลยุทธ์และแผนรองรับในการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว แนวทางของการฟื้นฟูจึงควรต้องเริ่มจากการกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชนไปจนถึงการวางรากฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน

ทั้งนี้สมาคมฯ ขอนำเสนอแนวทาง 7 S Recovery เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยโดยเร่งด่วน ดังนี้ 1.Stimulus Consumption ประเทศไทย ณ ขณะนี้ต้องการการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระบบไม่ใช่แค่เยียวยา แต่ต้องเป็นการฟื้นฟูให้ลุกขึ้นมาเดินหน้าธุรกิจ ก้าวแรกคงต้องเป็นหน้าที่ภาครัฐที่ต้องอัดฉีดเม็ดเงิน เข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว ตรงเป้า และมีประสิทธิภาพเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ส่งเสริมให้คนไทย เที่ยวไทย ใช้ของไทยในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงไตรมาสหนึ่งของปีหน้า (พ.ย.64-มิ.ย.65)

ขณะเดียวกันต้องเพิ่มวงเงินโครงการคนละครึ่ง และยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมทั้งนำโครงการช้อปดีมีคืนกลับมาใช้โดยเพิ่มวงเงินเป็น 2 แสนบาท จากเดือนธันวาคมข้ามปีจนถึงเดือนก.พ.65 รัฐบาลจะต้องมีนโยบายลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภค ด้วยการลดค่าสาธารณูปโภค ค่าอินเตอร์เน็ต นับจากเดือนธ.ค.64-มิ.ย.65โดยรวมแล้ว S แรก จะสามารถสร้างเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จากนี้ไปจนถึงเดือนมิ.ย.65 ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านบาท หรือราว 10% ของ GDP

2. Support Employment การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อการจ้างงานโดยเฉพาะภาคการค้าและบริการที่มีการจ้างงานกว่า 11.2 ล้านคน และส่วนใหญ่ก็เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งคาดว่าแรงงานในกลุ่มนี้จะมีคนว่างงานและผู้เสมือนว่างงาน (ผู้ที่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) ไม่น้อยกว่า 3.2 ล้านคน ภาครัฐต้องมีนโยบายมาตรการรักษาการจ้างงาน ลดภาระค่าใช้จ่ายด้วยมาตรการภาษี เพื่อไม่ให้มีการลดพนักงานหรือเลิกจ้าง ทดลองใช้การจ้างงานแบบรายชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับการบริการต่อผู้บริโภคที่มาเป็นช่วงเวลา โดยให้ใช้กับธุรกิจค้าปลีกและร้านอาหารเป็นการเฉพาะก่อน มาตรการ Upskill Reskill และ New Skill แก่แรงงานเพื่อให้ทักษะตรงตามความต้องการ และส่งเสริมการเรียนรู้ทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

3.Strengthen SME จากข้อมูลของ สสว. พบว่า จำนวน SME ทั่วประเทศ มีกว่า 3,070,177 ราย ซึ่ง 44.58% อยู่ในภาคการค้าปลีก และ 35.73% อยู่ในภาคบริการ อาหารและเครื่องดื่ม รัฐต้องจัดหาแหล่งเงินทุนอย่างเร่งด่วน เพื่อพยุง SME เหล่านี้ ให้อยู่รอด โดยเฉพาะ SME ขนาดย่อมที่เข้าถึงแหล่งทุนได้ยากกว่ารายใหญ่ รวมทั้งควรมีมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ให้กับ SME รายที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพื่อให้ธุรกิจกลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว รักษาระดับการจ้างงาน ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจไทยกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง

ADVERTISEMENT


4.Speed Up Digital Economy รัฐบาลต้องมีนโยบายในการลดกฎระเบียบ และพัฒนาระบบ Cloud Computing, AI และ Data Center ให้พร้อมรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น รัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างวงจรบวกในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้กับผู้ที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับโลกออนไลน์ เพราะทักษะดิจิทัลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้

5.Simplify Regulation ปรับกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่จะช่วยให้การประกอบธุรกิจง่ายและสะดวกมากขึ้น (Ease of Doing Business) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้โดยตรง และลดค่าเสียโอกาสของธุรกิจได้ถึง 1.3 แสนล้านบาทต่อปี หรือ 0.8% ของจีดีพีไทย การแก้ไขกระบวนการดังกล่าวจะเป็นการฟื้นเศรษฐกิจได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

6.Sustainable Public Health ระบบสาธารณสุขเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญและละเลยไม่ได้ Monitoring ควบคุม และระมัดระวัง การแพร่ระบาดของโควิดอย่างใกล้ชิด สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีและตรงจุด อาทิ หากเปิดประเทศแล้วมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ขอให้พิจารณาล็อกดาวน์ในพื้นที่โซนที่เกิดการแพร่กระจายของโรค ไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์ทั้งประเทศ Protection ผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการ Covid Free Setting อย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อป้องกันการระบาด Build Herd Immunity รัฐต้องเร่งการฉีดวัคซีนให้ครบ 2 โดส อย่างน้อย 70% ของประชาชนไทยทั้งประเทศเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่หรือเร่งฉีดให้ครบโดสในพื้นที่จังหวัดนำร่องการเปิดประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา Stay Healthy ประชาชนการ์ดต้องไม่ตก และต้องเคร่งครัดมาตรฐานด้านสุขอนามัยแบบ Universal Prevention

7.Spike Up Private Investment ภาครัฐต้องมีการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพราะจะทำให้เกิดการผลิตและการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การบริโภคของประชาชนขยายตัวได้อย่างทันทีและจะนำไปสู่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เล็งเห็นว่านี่คือช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นโค้งสุดท้ายของวิกฤตโควิดและเป็นโค้งแรกแห่งความหวังใหม่ของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในปัจจุบันจึงต้องมองข้ามช็อตถึงอนาคต มากกว่าการพึ่งพาการเยียวยาเพียงอย่างเดียว ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยกลยุทธ์ที่เข้มแข็ง ลงมือปฏิบัติจริงจังและทันที เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับโควิดอย่างไม่ประมาทบนพื้นฐานของมาตรการความปลอดภัย เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคัก พร้อมสำหรับการเปิดประเทศต้อนรับทุกคนอย่างไร้กังวล
#3469

เมื่อวันที่ 31 ต.ค.64 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ (1 พ.ย.64) จะเป็นวันแรกที่เปิดประเทศรับผู้เดินทางและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งล่าสุด ศบค.ได้ปรับระดับสถานการณ์ย่อยแต่ละพื้นที่เพื่อรองรับการเปิดประเทศ โดยลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) เหลือ 7 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เนื่องจากยังมีการติดเชื้อสูง โดยยังห้ามออกนอกเคหสถาน เวลา 23.00 - 03.00 น. ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครอบคลุม เพื่อควบคุมโรคและลดการแพร่เชื้อ ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) เพิ่มขึ้นเป็น 38 จังหวัดพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 23 จังหวัด นอกจากนี้ ยังปรับลดสถานการณ์โดยกำหนดพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 5 จังหวัด ได้แก่ นครพนม น่าน บึงกาฬ มุกดาหาร และสกลนคร เนื่องจากมีการติดเชื้อต่ำ และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) 4 จังหวัด ได้แก่ กทม. กระบี่ พังงา และภูเก็ต เปิดทั้งจังหวัด ส่วนอีก 13 จังหวัดที่เหลือเป็นการเปิดเฉพาะบางพื้นที่ ซึ่งจะใช้มาตรการเดียวกับพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว)

นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า พื้นที่สีเหลืองและสีฟ้า กิจการกิจกรรมหลายๆ อย่างสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้เกือบปกติ แต่พื้นที่สีเหลืองยังไม่ได้เปิดให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ส่วนพื้นที่สีฟ้าแม้จะดื่มในร้านอาหารได้ แต่ได้มอบให้คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครพิจารณาออกแนวทางการให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารอย่างปลอดภัย เพื่อลดการแพร่เชื้อโควิด 19 อย่างไรก็ตาม หากงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้จะดีที่สุด เนื่องจากเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดการถอดหน้ากาก และทำให้ขาดสติ การป้องกันตนเองลดลง ส่วนสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ อยู่ระหว่างให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม และจัดทำมาตรการเพื่อรองรับการผ่อนคลายกิจการในระยะถัดไป

"ขอย้ำว่าแม้จะมีการผ่อนคลายกิจการกิจกรรมต่างๆ มากขึ้นในแต่ละพื้นที่ เพื่อเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แต่สิ่งสำคัญคือ ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะมาตรการส่วนบุคคล ป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา เว้นระยะห่าง ล้างมือ สวมหน้ากาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดการติดเชื้อและแพร่เชื้อ แม้จะมีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ได้ครอบคลุมสูงขึ้นก็ตาม ส่วนสถานประกอบการต่างๆ ยังต้องเข้มมาตรการ COVID Free Setting เพื่อให้เป็นสถานที่ปลอดโควิด ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน เพื่อลดการแพร่ระบาด เปิดประเทศอย่างปลอดภัย เพราะหากหย่อนยานมาตรการ เมื่อมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอาจต้องปิดสถานที่หรือกิจการ ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบและไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย ส่วนมาตรการทางด้านสาธารณสุขยังมีความพร้อม ทั้งการสอบสวนควบคุมโรค การตรวจหาเชื้อ และการรักษาพยาบาล" นพ.เกียรติภูมิกล่าว
#3470
รมว.แรงงาน ห่วงการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยในงานซ่อมบำรุงประจำปี เตือนนายจ้างระวังดูแลให้ปฏิบัติตามขั้นตอนและกฎระเบียบที่กฎหมายกำหนด สั่งพนักงานตรวจความปลอดภัยทั่วประเทศเร่งรัดการตรวจกำกับสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาสิ้นปีสถานประกอบกิจการ

จะมีการหยุดไลน์การผลิตเพื่อทำความสะอาดหรือซ่อมบำรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ของระบบท่อและถังบรรจุสารเคมี ระบบบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งอาคารสถานที่ ซึ่งการทำความสะอาดหรือซ่อมบำรุงอาจทำโดยลูกจ้างของบริษัทหรืออาจจ้างบุคคลภายนอกเข้ามาดำเนินการ โดยที่ผ่านมามักปรากฏเป็นข่าวการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยขณะทำการซ่อมบำรุงขึ้นบ่อยครั้ง เช่น เกิดระเบิด เพลิงไหม้ สารเคมีรั่วไหล ไฟฟ้าช็อต ตกจากที่สูง รวมทั้งเสียชีวิตจากที่อับอากาศ ซึ่งการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยแต่ละครั้งสร้างความสูญเสียทั้งร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของลูกจ้างและนายจ้าง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน

ได้ให้ความห่วงใยเรื่องความปลอดภัยในการทำงานต่อนายจ้างและลูกจ้าง กำชับให้ดูแลป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ กระทรวงแรงงานจึงสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเร่งรัดการตรวจกำกับให้สถานประกอบกิจการปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ไฟฟ้า สารเคมีอันตราย ที่อับอากาศ และการทำงานในที่สูง และขอความร่วมมือนายจ้างให้กำกับดูแลการปฏิบัติงานของลูกจ้างและผู้รับเหมาให้ปฏิบัติตามขั้นตอนและกฎระเบียบที่กำหนดไว้ในข้อบังคับและคู่มือว่าด้วยความปลอดภัยในการทำงานอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดจากอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยจากการทำงาน

นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร. ขานรับข้อสั่งการของท่านรมว. สุชาติ ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยจากการทำงานซ่อมบำรุงประจำปีของสถานประกอบกิจการ กรมจึงได้สั่งการให้พนักงานตรวจความปลอดภัยของหน่วยปฏิบัติทั่วประเทศเร่งรัดการตรวจกำกับสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัย

รวมทั้งสถานประกอบกิจการที่จะมีการซ่อมบำรุงประจำปีซึ่งสภาพการทำงานมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยมากกว่าการทำงานปกติ เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานใกล้ชิดหรือสัมผัสกับแหล่งอันตรายซึ่งอาจอยู่ในสภาพที่ชำรุดหรือขาดการบำรุงรักษา เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า ถังเก็บสารเคมี ที่อับอากาศ เป็นต้น

ถ้าไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอก็จะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยร้ายแรงได้ ดังนั้นก่อนการปฏิบัติงานซ่อมบำรุงนายจ้างจะต้องจัดทำแผนการปฏิบัติงาน วิเคราะห์งานและประเมินความเสี่ยง กำหนดมาตรการและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย แจ้งให้ลูกจ้างทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำงานและแจกคู่มือปฏิบัติงาน มีระบบการขออนุญาตการทำงาน (Permit to work system) พร้อมมอบหมายให้หัวหน้างานกำกับดูแลการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาการทำงาน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของลูกจ้าง นายจ้าง รวมทั้งผู้รับเหมา หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์ความปลอดภัยในการทำงาน กองความปลอดภัยแรงงาน0 2448 9128-39 ต่อ 603-610
#3471
รัฐบาลสหราชอาณาจักรเตรียมบริจาควัคซีนโควิด-19 อีก 20 ล้านโด๊ส ไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ภายในสิ้นปีนี้

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 30 ต.ค.ว่านายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ประกาศต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ "จี20" ที่กรุงโรม เมื่อวันเสาร์ ว่ารัฐบาลสหราชอาณาจักรพร้อมบริจาควัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด ให้แก่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมกันอีก 20 ล้านโด๊ส ภายในสิ้นปีนี้ โดยวัคซีน 10 ล้านโด๊ส ส่งมอบผ่านโครงการโคแวกซ์ ขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) แล้ว เท่ากับว่ายังเหลืออีก 10 ล้านโด๊ส ซึ่งจะมีการส่งมอบ "ภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า"


แผนการดังกล่าวเท่ากับว่า ตลอดปีนี้ สหราชอาณาจักรบริจาควัคซีนให้แก่นานาประเทศ 30.6 ล้านโด๊ส ขณะที่ในปีหน้า จอห์นสันกล่าวว่า รัฐบาลมีแผนบริจาควัคซีนของแอสตราเซเนกา/ออกซฟอร์ด อีกอย่างน้อย 20 ล้านโด๊ส และวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน อีกอย่างน้อย 20 ล้านโด๊ส โดยจะยังเป็นการส่งมอบผ่านโครงการโคแวกซ์เช่นเดิม



อนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 แห่ง หรือ "จี7" ประกาศแผนบริจาควัคซีนต้านโควิด-19 รวมกัน 1,000 ล้านโด๊ส ให้แก่โครงการโคแวกซ์ โดยวัคซีนครึ่งหนึ่งมาจากสหรัฐ และ 100 ล้านโด๊สจากสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม ดับเบิลยูเอชโอวิจารณ์ว่า วัคซีนยังคง "กระจุกตัว" อยู่แต่ในกลุ่มประเทศร่ำรวย และการที่วัคซีนแทบทุกแบบในตอนนี้ ต้องใช้ 2 เข็มต่อคน และเริ่มมีการฉีด "เข็มที่สาม" เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหรือเป็นบูสเตอร์กันแล้ว โลกจึงอาจต้องการวัคซีนประมาณ 11,000 ล้านโด๊ส เพื่อควบคุมวิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งนี้ให้ได้.
#3472


เปิด 5 อันดับ "กองทุนยั่งยืน" ในไทย ผลตอบแทนสูงสุดรอบ 1 ปี นำโดย TISESG-A  49.9% รองมา KT-ESG-A 36.7% "มอร์นิ่งสตาร์" ชี้ยิลด์สูงกว่าการลงทุนทั่วไป ไตรมาส 3/64 มูลค่าทรัพย์สินทั่วโลกโตเกือบเท่าตัว แนะเช็คแผนที่ความยั่งยืน เผยไทยอยู่ระดับปานกลาง-อันดับสองในอาเซียน

เทรนด์การลงทุนอย่างยั่งยืน หรือ การลงทุน ESG (Environmental, E) สังคม (Social, S) และบรรษัทภิบาล (Governance, G) ในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดโควิดทั่วโลกปี 2563-2564 ทำให้ตลาดการลงทุนทั่วโลกผันผวน  ดังนั้น "นักลงทุนไทย" หันมาสนใจการลงทุนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ 

เพราะจากนี้ไป การลงทุนอาจไม่ใช่การสร้างผลตอบแทนที่สูงเพียงอย่างเดียว แต่หากต้องคำนึงปัจจัยด้าน ESG  ช่วยให้มองความเสี่ยงรอบด้าน สร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าหรือใกล้เคียงกับการลงทุนทั่วไปแล้ว 

ข้อมูลจาก "มอร์นิ่งสตาร์ รีเซิร์ส (ประเทศไทย) พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2564  "การลงทุนยั่งยืนในสหรัฐฯ"  สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนทั่วไป โดยดัขนี Morningstar U.S. Sustainability Index ให้ผลตอบแทน 8.8% สูงกว่า Morningstar U.S. Large-Mid Cap Index ที่ 8.5% 

ขณะที่ ภาพรวม"กองทุนยั่งยืนทั่วโลก" รอบไตรมาส 3/2564  มีมูลค่า  3.9 ล้านล้านดอลลาร์ เติบโตเกือบเท่าตัวในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา และมีมากกว่า 7,000 กองทุนเติบโตขึ้นถึง 51%  มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า 1.3 แสนล้านดอลลาร์สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน  สาเหตุหลักมาจาก"เกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลในโซนยุโรป"  และการเพิ่มขึ้นของกองทุนในยุโรป ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดที่ 88%  

หากกลับส่อง กองทุนยั่งยืน ( ESG)  ในไทย  "มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ซ"  พบว่า  "กองทุนยั่งยืน"ที่ทำผลตอบแทนสูงสุด 5 อันดับแรก ในตลาดกองทุนรวมไทย  รอบ  1  ปี ดังนี้

1.กองทุนเปิด ทิสโก้ ESG เพื่อสังคม ชนิดสะสมผลตอบแทน 

: TISESG-A  ผลตอบแทน 49.9%

2.กองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี ชนิดสะสมมูลค่า

: KT-ESG-A   ผลตอบแทน 36.7%

3.กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า

: K-CHANGE-A(A) ผลตอบแทน 35.6%

4.กองทุนเปิดเคเคพี SET50 ESG  

:  KKP SET50 ESG   ผลตอบแทน 34.9%

5. กองทุนเปิด ยูไนเต็ด อิควิตี้ ซัสเทนเนเบิล โกล. ฟันด์  

: UESG  ผลตอบแทน  34.0%

เปิดแผนที่ การลงทุนยั่งยืนทั่วโลก ไทยติดอันดับสองในอาเซียน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


ทั้งนี้ "กองทุนยั่งยืน"ของไทยในไตรมาส 3/2564 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 5.4 หมื่นล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเพียง 2.6% จากไตรมาสที่ 2/2564 อยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบา   

โดยในไตรมาสดังกล่าว มีจำนวนกองทุนยั่งยืนทั้งสิ้น 56 กองทุน เป็นกองทุนใหม่ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ( บลจ.)  ยังเดินหน้าเปิดขายราว8 กองทุน และทั้งหมดเป็นการลงทุนต่างประเทศ  

ในจำนวนนี้มี 2 กองทุนที่มีมูลค่า IPO ที่ระดับพันล้าน คือ กองทุน BCAP Clean Innovation ที่เป็นการลงทุนแบบกองทุนรวมหน่วยลงทุน และกองทุน Krungsri Equity Sustainable Global Growth เป็นกองทุนฟีดเดอร์ไปลงทุนที่ AB Sustainable Global Thematic Portfolio ซึ่งมีการระบุว่าเป็นกองทุน Article 9 ตามเกณฑ์ SFDR ของทางยุโรป นอกจากนี้กองทุนเปิดใหม่กองอื่นก็มีการลงทุนในกองทุน Article 8 หรือ Article 9 เช่นกัน

(กองทุน Article 9 ตามเกณฑ์ SFDR ของทางยุโรป หมายถึง กองทุนมีเป้าหมายด้านความยั่งยืนเป็นวัตถุประสงค์การลงทุน กองทุนมาสเตอร์ดังกล่าวได้รับการจัด Morningstar Sustainability Rating ระดับ 5 globe /  Article 8 หมายถึงกองทุนที่ "promote" การลงทุนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสังคม  ) 

อีกทั้งปัจจุบันมี "กองทุนฟีดเดอร์ "  จำนวน 35 กอง (นับทุกชนิดหน่วยลงทุน) ที่ลงทุนในกองทุน Article 8 หรือ 9 ตามเกณฑ์ SFDR  โดยกองทุนมาสเตอร์ฟันด์เหล่านี้ส่วนใหญ่ได้ Morningstar Sustainability Rating ระดับ 3 globe ขึ้นไป แสดงถึง "กองทุนมีความเสี่ยง ESG ที่อยู่ในระดับกลางถึงต่ำ" 

 

 

 

 

 

 

 


"ชญานี จึงมานนท์"  นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) กล่าวว่า  แม้การลงทุนในกองทุนยั่งยืนของไทยหรือแถบเอเชีย อาจยังไม่กว้างขวางหรือมีตลาดขนาดใหญ่นักเมื่อเทียบกับทางยุโรปหรืออเมริกา แต่ก็ถือว่าเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

แนะว่า "นักลงทุนอาจลองเริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนยั่งยืนได้จากหน้า Sustainable Investing เพื่อทำความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนพิจารณาลงทุนกองทุนยั่งยืน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตและมีตัวเลือกให้นักลงทุนมากขึ้นในอนาคต"

แต่ ผู้ลงทุนรู้หรือไม่ว่า? การลงทุนยั่งยืน"ประเทศ/ตลาดไหน มีความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด  โดยผู้ลงทุน ลองมาเช็คได้ตาม "แผนที่ความยั่งยืนทั่วโลกฉบับ Morningstar"  ล่าสุดได้ทำการศึกษาข้อมูลความยั่งยืนในตลาดหุ้นจำนวน 48 ตลาดทั่วโลก หรือเทียบเท่า 97% ของ global market cap  โดยใช้ Morningstar Country Index เป็นตัวแทน   สรุปได้ดังนี้ 

ประเทศไทย: ระดับปานกลาง-อันดับสองในอาเซียน

เป็นที่น่าสนใจว่า  "คะแนนความยั่งยืนของประเทศไทย"  จัดอยู่ในกลุ่มสีเหลืองหรือระดับปานกลาง หรืออันดับสองในอาเซียน รองจากสิงคโปร์

หากดูในรายบริษัทจะพบว่า holding อันดับต้นๆ ของ Index นั้นจะประกอบด้วยกลุ่มพลังงาน ค้าปลีก ธนาคาร สื่อสาร เช่น PTT, CPALL, ADVANC, SCB เป็นต้น ซึ่งใน 10 อันดับแรกนั้นมีน้ำหนักเกือบ 40% ของพอร์ต

แต่ส่วนใหญ่จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มบริษัที่มีความเสี่ยง Medium ไปจนถึง Severe และไม่มีหุ้นตัวใดใน Index ได้ระดับ Negligible ซึ่งสะท้อนไปยังคะแนน Country Index ที่อยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับตลาดอื่นทั่วโลก

เปิดแผนที่ การลงทุนยั่งยืนทั่วโลก ไทยติดอันดับสองในอาเซียน

ทวีปยุโรป: ผู้นำด้านความยั่งยืนระดับโลก

ทวีปยุโรปถือได้ว่าเป็นผู้นำของความยั่งยืนระดับโลก เห็นได้จากในแผนที่ที่เป็นโซนสีเขียวเข้ม โดยเนเธอร์แลนด์เป็นตลาดที่มีความยั่งยืนสูงสุด จากสัดส่วนของธุรกิจจัดการข้อมูลอย่าง Wolters Kluwer หรือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อย่าง Unibail-Rodamco-Westfield ที่มีความเสี่ยงอยู่ระดับต่ำสุด (Negligible) รวมทั้ง ASML Holding ที่สัดส่วนใน Index สูงสุดและมี ESG Risk Score ระดับ Low

ฮ่องกง-ไต้หวัน: ผู้นำในเอเชีย

ขณะที่ฮ่องกงเป็นตลาดนอกยุโรปที่มีระดับความยั่งยืนสูงสุด หรือที่อันดับ 4 ซึ่งมี AIA Group เป็นสัดส่วนสูงสุดพร้อมกับมีความเสี่ยงที่ต่ำและจัดการความเสี่ยง ESG ที่มีอยู่ได้อย่างดี มีการพัฒนาบุคลากรที่เข้มแข็ง รวมทั้งแสดงถึงการให้ความสำคัญด้าน ESG โดยมีการตั้งมีคณะกรรมการเป็นการเฉพาะ ไต้หวันเป็นอีกตลาดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มความยั่งยืนระดับดีสุดซึ่งเป็นผลจาก Taiwan Semiconductor ที่มี ESG Risk ระดับ Low ซึ่งมีสัดส่วนใน Index สูงที่สุด

สหรัฐอเมริกา: อันดับ 13 จากบางบริษัทมีความเสี่ยงระดับสูง

สหรัฐอเมริกาอยู่ในอันดับ 13 ซึ่งมีบริษัทยักษ์ใหญ่เช่น Apple, Microsoft, Berkshire Hathaway และ Visa เป็นผู้นำด้านความยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกันมี Facebook, Amazon และ Johnson & Johnson ที่มีความเสี่ยง ESG ระดับสูง ซึ่งเกิดจากบางประเด็นเชิงลบของแต่ละบริษัทเช่น ประเด็นข้อมูลหรือความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน Facebook หรือแนวปฏิบัติกับแรงงานในห่วงโซ่อุปทานของ Amazon ที่อยู่ในระดับไม่ดีนัก และทาง Johnson & Johnson ยังเกิดการฟ้องร้องหลายกรณีจากมาตรฐานความปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์

อย่างไรก็ดี หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการออกกฎเกณฑ์เรื่องการเปิดเผยรายงานของบริษัทจดทะเบียน โดยลดภาระในการส่งรายงานแบบ 56-1 และแบบ 56-2 (Annual report)  และให้บริษัทรายงานข้อมูลในแบบรายงานใหม่ที่เรียกว่า One Report ซึ่งโครงสร้างเนื้อหาในรายงานที่สำคัญ คือ บริษัทจะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลการจัดการที่เกี่ยวกับ E S และ G ร่วมด้วย รายงานฉบับดังกล่าวจะเริ่มบังคับใช้และมีการเปิดเผยสำหรับผลการดำเนินงานในรอบระยะเวลาสิ้นสุดปี 2564 เป็นต้นไป

นับว่า ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่จะสามารถช่วยให้ผู้ลงทุนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือนักลงทุนสถาบันรับทราบแนวทางหรือนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้อย่างชัดเจนและเปรียบเทียบกันได้มากขึ้น และจะช่วยให้การลงทุนอย่างยั่งยืนในประเทศไทยมีข้อมูลประกอบการพิจารณามากขึ้น ทำให้ "กองทุนยั่งยืน" เป็นอีกเทรนด์การลงทุนที่"ห้ามพลาด"ในปีหน้าแน่นอน
#3473
https://www.youtube.com/embed/RgrC0o04CVM

เพลง ชุดล้างใจ
ศิลปิน ลำเพลิน วงศกร feat. มอส คำหมากบิน
คำร้อง ภานุวัฒน์ วิเศษวงษา
ทำนอง ภานุวัฒน์ วิเศษวงษา
เรียบเรียง จินนี่ ภูไท
อัลบั้ม สถานีหัวลำเพลิน

ลำเพลิน
ข่อยอยู่ผู้เดียวบ่ได้ หัวใจสิขาดลงปั๊ดปั๊ด
ข่อยถืกผู้สาวเขาอัปเปอร์คัท ใส่ปลายคางความฮัก
เขาไปออดหลอดฮอดสวรรค์ ถิ่มกันแบบง่ายบักคัก
คั้นใจข่อยมุ่นพอปานส้มผัก โอ้ย บ่จักคำสิเว้า
ออกมาคืนนี้ มาหาหม่องส้วนหัวใจ
มาหาแนวปัวหัวใจ พอให้ลืมผู้สาวเก่า
อ้ายครับๆ ข่อยอยากลืมผู้สาว ออกจากหัวใจ โว
ขอชุดล้างใจ จะยี่ห้อไหนก็ให้จัดมา กับแกล้มอะไรก็ให้จัดมา
หากอ้ายคิดว่าพอซอยข่อยได้
ขอชุดล้างใจ ที่จัดไปแล้วลบลืมความช้ำ
ที่จัดไปแล้วลบคนใจดำ คนที่มาเหยียบมาย่ำหัวใจ
จัดให้ข่อยแน่ พอหายใจได้ต่อ จัดให้ได้บ่ อยากเซาน้ำตาไหล
อยากเมี้ยนหัวใจบ่ให้ยังเขา อีที่มันถิ่มข่อยไป

มอส
อันนารีห่างกัน สามวันเปลี่ยนผันใจเขากะเป็นอื่น
อันโมรากากี คบไปก็มีแต่ทำให้ขมขื่น
อันวันทองสองใจ ฮักหลายส่ำได๋สุดท้ายกะสะอื้น โอ โอย
อันนารีห่างกัน สามวันเปลี่ยนผันใจเขากะเป็นอื่น
อันโมรากากี คบไปก็มีแต่ทำให้ขมขื่น
อันวันทองสองใจ ฮักหลายส่ำได๋สุดท้ายกะสะอื้น
แต่ใจกะยังเสือกบืน ไปฮักเขา

ลำเพลิน
ออกมาคืนนี้ มาหาหม่องส้วนหัวใจ
มาหาแนวปัวหัวใจ พอให้ลืมผู้สาวเก่า
อ้ายครับๆ ข่อยอยากลืมผู้สาว ออกจากหัวใจ โว
ขอชุดล้างใจ จะยี่ห้อไหนก็ให้จัดมา กับแกล้มอะไรก็ให้จัดมา
หากอ้ายคิดว่าพอซอยข่อยได้
ขอชุดล้างใจ ที่จัดไปแล้วลบลืมความช้ำ
ที่จัดไปแล้วลบคนใจดำ คนที่มาเหยียบมาย่ำหัวใจ
จัดให้ข่อยแน่ พอหายใจได้ต่อ
จัดให้ได้บ่ อยากเซาน้ำตาไหล
อยากเมี้ยนหัวใจบ่ให้ยังเขา อีที่มันถิ่มข่อยไป

คอร์ดเพลง ชุดล้างใจ ลำเพลิน วงศกร, มอส คำหมากบิน

อยากกราบหัวใจบ่ให้ยังเขา อีที่มันถิ่มข่อยไป
#3474

หงส์แดงสุดกร่อยนำ 2 ประตู โดนไบรตันแบ่งแต้มในบ้านตัวเองเฉย ส่วนเชลซีไม่พลาดบุกขยี้สาลิกาดง ครองจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ด้วยแต้มทิ้งห่างกว่าเดิม

การแข่งขันฟุต. พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม "หงส์แดง"ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ "นกนางนวล"ไบรตัน

เกมนี้ลิเวอร์พูลจัด โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต ฟีร์มิโน ประสานงานในแดนหน้า ด้านไบรตันมี เลอันโดร ตรอสซาร์ด, อีฟส์ บิสซูมา, อดัม ลัลลานา เป็นตัวจริง

เริ่มเกมมาเพียง 3 นาที ไบรตันได้ลุ้นก่อน อดัม ลัลลานา สปีดหลุดแนวรับเข้าไปเก็บ.ในเขตโทษแล้วสับไกยิง อลิสสัน เบ็กเกอร์ ยังเซฟไว้ได้

นาที 4 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รับ.ได้ทางกราบขวาแล้วเลี้ยงจี้เข้าหาแนวรับ ก่อนตัดสินใจไหลไปหน้าเขตโทษให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ตวัดยิงเสียบตาข่ายสวยงาม ลิเวอร์พูลนำ 1-0

นาที 15 ไบรตันเกือบตีเสมอ อีฟส์ บิสซูมา แย่ง.ได้บริเวณกลางสนาม แล้วควบมาคนเดียวจนเห็นช่องส่องจากหน้าเขตโทษ อลิสสัน เบ็กเกอร์ ปัดโดนปลายนิ้วไปชนเสา

นาที 24 อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน พา.ขึ้นมาแล้วเปิดเข้าเขตโทษไปถึง ซาดิโอ มาเน ได้โขกแบบไร้ตัวประกบเข้าไป ลิเวอร์พูลทิ้งห่าง 2-0

นาที 33 เกือบมีสกอร์เพิ่มอีก โรเบิร์ต ซานเชซ เตะ.จากหน้าปากประตูแล้วโดน ซาดิโอ มาเน พุ่งตัวมาบล็อก.กระดอนเข้าสู่ก้นตาข่าย แต่ผู้ตัดสินดูวีเออาร์พบว่าลูกไปโดนแขนมาเน ทำให้ลิเวอร์พูลไม่ได้ประตู

นาที 41 ซอลลี มาร์ช ได้.ทางริมเส้นฝั่งขวา แล้วไหลย้อนหลังให้ อีน็อก มเวปู ตัดสินใจตวัดยิงทันที นายทวารที่ออกมาห่างเส้นประตูเกินพลาดกระโดดปัดไม่ถึง ทำให้ลูกลอยข้ามหัวเข้าตุงตาข่าย ไบรตันไล่มา 1-2 เมื่อจบครึ่งแรก

ครึ่งหลังนาที 48 ลิเวอร์พูลเกือบได้อีกลูก ซาดิโอ มาเน แทง.ทะลุแนวรับให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าไปแตะหลบนายทวารแล้วยิงไม่พลาด แต่ผู้กำกับเส้นยกธงล้ำหน้าก่อนแล้ว


นาที 65 ไบรตันตั้งเกมมาจากหน้าประตูตัวเอง จนมาถึง อดัม ลัลลานา ไหลเข้าเขตโทษให้ เลอันโดร ตรอสซาร์ด ล็อกหลบกองหลังแล้วกดไม่เหลือ สกอร์เสมอกัน 2-2




นาที 76 แฟน.เจ้าถิ่นสะดุ้งโหยง ทาริก แลมพ์ตีย์ พา.ขึ้นมาแล้วจ่ายทะลุแนวรับให้ เลอันโดร ตรอสซาร์ด หลุดเข้าไปแตะหลบนายทวารแล้วยิงเข้าสู่ก้นตาข่าย แต่ตรอสซาร์ดล้ำหน้าไปก่อน จบเกมจึงเสมอกันไป 2-2



ขณะที่ "สาลิกาดง"นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด แพ้คารังต่อ "สิงโตน้ำเงินคราม"เชลซี 0-3

เกมนี้ทีมเยือนได้จาก รีซ เจมส์ นาที 65 และ 77, จอร์จินโญ นาที 79(จุดโทษ)



อีกคู่ที่น่าสนใจ "เรือใบสีฟ้า"แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้คารังต่อ "ปราสาทเรือนแก้ว"คริสตัล พาเลซ 0-2

ทีมเยือนได้จาก วิลฟรีด ซาฮา นาที 6, คอเนอร์ กัลลาเกอร์ นาที 88 โดยเจ้าถิ่นต้องเหลือ 10 คน อายเมอริก ลาปอร์กต์ ถูกไล่ออกนาที 45

ทำให้ผ่านไป 10 นัด เชลซีเก็บเพิ่มเป็น 25 แต้ม นำจ่าฝูงต่อ ส่วนลิเวอร์พูลยังยึดรองจ่าฝูง (22 แต้ม) ตามด้วยอันดับ 3 แมนฯ ซิตี้ (20 แต้ม)

ผลคู่อื่น

เลสเตอร์ ซิตี้ 0-2 อาร์เซนอล

เบิร์นลีย์ 3-1 เบรนต์ฟอร์ด

วัตฟอร์ด 0-1 เซาธ์แฮมป์ตัน
#3475
ธนาคารกสิกรไทย ขยายสิทธิ์ให้พนักงานเกษียณอายุก่อนกำหนดเฉพาะคราว ยื่นได้ตั้งแต่ 8-30 พ.ย.นี้ 4 โดยมีผลพ้นจากการเป็นพนักงานตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65   พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือสู้ภัยโควิดให้พนักงานทุกคน คนละ 10,000 บาท

ธนาคารกสิกรไทย ประกาศ โครงการขยายสิทธิ์เกษียณอายุก่อนกำหนด เป็นการเฉพาะคราว สำหรับพนักงานที่มีอายุ 50-55 ปี และมีอายุงาน 20 ปีขึ้นไป ที่มีความประสงค์จะขอเกษียณอายุก่อนกำหนด ตามข้อเสนอของสหภาพแรงงานฯ ของธนาคาร โดยการดำเนินการครั้งนี้ไม่ใช่โครงการร่วมใจจาก แต่เป็นการขยายสิทธิ์เพิ่มเติมเฉพาะคราวจากโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ซึ่งเป็นสวัสดิการเดิมที่ธนาคารมีให้แก่พนักงานที่มีอายุ 55-60 ปีเป็นปกติอยู่แล้ว 

สำหรับผู้ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ จะได้รับเงินค่าชดเชยเกษียณอายุเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายรวมค่าครองชีพ คูณด้วยจำนวนปีของอายุงาน  และมีสิทธิ์ได้รับเงินโบนัสประจำปี 2564 ด้วย

ทั้งนี้ ธนาคารจะเปิดให้พนักงานที่สนใจยื่นความจำนงระหว่างวันที่ 8-30 พฤศจิกายน 2564 โดยมีผลพ้นจากการเป็นพนักงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565  


ธนาคารไม่มีนโยบายในการเลิกจ้างพนักงาน (Layoff) ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อครอบครัวพนักงานและสังคม  การขยายสิทธิ์สวัสดิการครั้งนี้เป็นการจัดขึ้นเฉพาะคราว เพื่อช่วยเหลือพนักงานที่มีความประสงค์จะขอเกษียณอายุก่อนกำหนดเป็นกรณีพิเศษ ให้มีเงินเป็นสวัสดิการสำหรับใช้จ่ายหรือเป็นทุนสำหรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ  จึงต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ และผู้ที่จะได้รับอนุมัติจะต้องเห็นพ้องต้องกันทั้งตัวพนักงานและธนาคารเท่านั้น และไม่ได้มีการตั้งเป้าหมายจำนวนพนักงานที่จะเข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ 


นอกจากนั้น ธนาคารกสิกรไทย ยังช่วยเหลือและส่งกำลังใจให้แก่พนักงานทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจปฏิบัติงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ทั้งพนักงานที่อยู่แนวหน้าต้องสัมผัสใกล้ชิดในการให้บริการลูกค้า หรืออยู่ในส่วนสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังเพื่อร่วมช่วยบริหารจัดการให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้เป็นปกติ

ธนาคารจึงเห็นสมควรมอบเงินพิเศษที่เรียกว่า "เงินช่วยเหลือเพื่อเป็นกำลังใจสู้ภัยโควิด" จำนวนเงินคนละ 10,000.- บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ให้แก่พนักงานทุกคนของธนาคารกสิกรไทย บริษัทของธนาคาร (K-Companies, กลุ่มบริษัท KBTG) และบริษัทให้บริการสนับสนุนงานแก่ธนาคาร (P-Companies) ที่มีสถานภาพเป็นพนักงานอยู่ ณ วันที่จ่ายเงิน ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 
#3476

เกือบ 76% ของประชากรในจีน ซึ่งมีมากกว่า 1,400 ล้านคน ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบแล้ว ตามการเปิดเผยโดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐบาลกลาง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ว่า คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติ ( เอ็นเอชซี ) รายงานว่า นับตั้งแต่เดือน ม.ค.ปีนี้ จนถึงวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ประมาณ 75.6% ของประชากรจีน หรือราว 1,068 ล้านคน จากประมาณ 1,412 ล้านคน ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ครบตามเงื่อนไขของวัคซีนแต่ละแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบฉีดสองเข็มหรือเข็มเดียว คิดเป็นการใช้วัคซีนแล้วประมาณ 2,245 ล้านโด๊ส



ทั้งนี้ จีนเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ประชาชนที่รับวัคซีนครบแล้วนานเกิน 6 เดือน โดยสงวนสิทธิ์ให้กับบุคลากรการแพทย์ ผู้ที่มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะอาการซึ่งส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน และผู้ที่ประกอบอาชีพซึ่งต้องพบปะกับผู้คนจำนวนมาก


อย่างไรก็ตาม หลายพื้นที่ในจีนยกระดับมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศรวมกันมากกว่า 100 คน ใน 11 เมือง ด้านเอ็นเอชซียืนยันการจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด.
#3477

"หงส์แดง" เตรียมเปิดศึกนอกสนามกับ "แมนฯ ยูไนเต็ด" เพื่อแย่งลายเซ็นของ "คัลวิน ฟิลลิปส์" ห้องเครื่องตัวเก่ง ลีดส์ ยูไนเต็ด

ลิเวอร์พูล ทีมฟอร์มฮอตแห่งศึกพรีเมียร์ลีก เมืองผู้ดี ตกเป็นข่าวเตรียมเปิดศึกนอกสังเวียนหญ้ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อริตลอดกาล เพื่อแย่งลายเซ็นของ คัลวิน ฟิลลิปส์ ห้องเครื่องทีมชาติอังกฤษ ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไปเสริมแกร่งในช่วงซัมเมอร์หน้า

"เดอะ ซัน" สื่อสำนักดังของอังกฤษ รายงานว่า เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล อยากได้ ฟิลลิปส์ ไปร่วมทัพเพื่อเป็นตัวแทนของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และเจมส์ มิลเลอร์ ที่กำลังโรยราลงทุกวัน ทว่าน่าจะต้องลุ้นหนักหน่อยเพราะยังมี แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เล็ง ดาวเตะวัย 25 ปี เอาไว้เช่นกัน โดยเฉพาะหากพวกเขาพลาดหวังจาก เดแคลน ไรซ์ ของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

อย่างไรก็ตาม อ้างอิงจากรายงานของ "เดอ สตาร์" สื่ออีกเจ้าของเมืองผู้ดี หากต้องเลือกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว ฟิลลิปส์ น่าจะมีใจเอนเอียงไปทาง "หงส์แดง" มากกว่า เนื่องจากเกรงว่า การย้ายไปอยู่กับทีมคู่ปรปักษ์ของ ลีดส์ อย่าง "ผีแดง" อาจจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวที่อาศัยอยู่ในยอร์กเชียร์ก็เป็นได้

ทั้งนี้คาดว่า ค่าตัวของ ฟิลลิปส์ น่าจะสูงถึง 60 ล้านปอนด์ หรือ ประมาณ 2,520 ล้านบาท เนื่องจากเขายังเหลือสัญญาในถิ่น เอลแลนด์ โรด จนถึงปี 2024 แถมยังยกระดับตัวเองขึ้นไปเป็นสมาชิกขาประจำของ ทีมชาติอังกฤษ เรียบร้อยแล้วอีกด้วย.
#3478
ตลาดหุ้นเอเชียวันนี้เปิผันผวน นักลงทุนจับตาหุ้นของบริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์ของแอปเปิล อิงค์ หลังผลประกอบการของแอปเปิลในไตรมาส 4/2564 ออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,519.33 จุด เพิ่มขึ้น 0.91 จุด หรือ +0.03%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 28,819.16 จุด ลดลง 0.93 จุด หรือ -0.003% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,466.86 จุด ลดลง 88.87 จุด หรือ -0.35%

บริษัทแอปเปิล อิงค์เปิดเผยรายได้ที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4/2564 โดยนายทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิลระบุว่า  เป็นผลมาจากปัญหาการขาดแคลนชิป รวมทั้งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ห่วงโซ่อุปทานสะดุดลง

ทั้งนี้ กำไรต่อหุ้นของแอปเปิลในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ 1.24 ดอลลาร์ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 8.336 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้ว่าเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.485 หมื่นล้านดอลลาร์
 


ส่วนรายได้จากยอดขาย iPhone อยู่ที่ 3.887 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ยังต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.151 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้จากยอดขาย Mac อยู่ที่ 9.18 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.6% แต่ยังน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 9.23 พันล้านดอลลาร์ และรายได้จากยอดขาย iPad อยู่ที่ 8.25 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21.4% และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 7.23 พันล้านดอลลาร์

ราคาหุ้นแอปเปิลร่วงลง 3.5% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วงเช้านี้ หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้และยอดขายที่ต่ำกว่าคาด

         
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาคซึ่งมีกำหนดเปิดเผยวันนี้ ประกอบด้วยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนต.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย. และยอดค้าปลีกเดือนก.ย.ของเกาหลีใต้, อัตราว่างงานเดือนก.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.ของญี่ปุ่น รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนก.ย. ของออสเตรเลีย
#3479

พ่อเมืองเชียงใหม่ ยังไม่ไว้ใจสถานการณ์โควิด ลงนามประกาศ คณะกรรมการโรคติดต่อ สั่งสถานศึกษาทุกระดับในพื้นที่เสี่ยงชะลอการเปิดเรียนไปอีกครึ่งเดือน หลังยังพบคลัสเตอร์

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก "ประชาสัมพันธ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่" ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า "ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ลงนามประกาศ ให้โรงเรียน สถาบันการศึกษาแห่ง ในพื้นที่ที่พบการระบาดโควิด-19 ชะลอการเปิดเรียนแบบ On site

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ลงนามประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ โดยให้โรงเรียน สถาบันการศึกษาแห่ง ในพื้นที่ที่พบการระบาดของโรคโควิด-19 ชะลอการเปิดการเรียนการสอนแบบ On site ในห้วงระยะวันที่ 1-14 พฤศจิกายน 2564


นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดเชียงใหม่ ลงนามประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ฉบับที่ 41 เรื่อง มาตรการใช้อาคารเรียนหรือสถานที่เพื่อการจัดการเรียนการสอน

ด้วยขณะนี้ยังคงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นกลุ่มก้อน อย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้พิจารณาแล้วเห็นว่า "โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาทุกประเภท/ทุกระดับ/ทุกสังกัด ที่ได้รับอนุญาตให้จัดการเรียนการสอน จากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่แล้ว ในเขตพื้นที่ที่พบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาดังกล่าว พิจารณาชะลอการใช้อาคารหรือสถานที่ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เพื่อจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติ (On site) โดยให้พิจารณาจัดการเรียนการสอนในรูปแบบอื่นแทน ตามมาตรการหรือแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ในห้วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1-14 พฤศจิกายน 2564"
#3480
คลัง เผย จัดเก็บรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2564 สุทธิ 2.3 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 3 แสนล้าน ชี้ 3 กรมภาษีสำคัญ จัดเก็บรายได้ต่ำเป้ารวมกว่า 11%

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 – กันยายน 2564) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จำนวน 2,369,926 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 307,074 ล้านบาท หรือ -11.5% แต่ใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงประกอบกับมีการดำเนินนโยบายการคลังและภาษีเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาภาระแก่ประชาชน และผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องจึงส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลต่ำกว่าที่ประมาณการไว้


ทั้งนี้ ผลการจัดเก็บรายได้ ของ 3 กรมภาษีสำคัญ ในปีงบประมาณ 64 พบว่า กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้ 1,875,292 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 210,008 ล้านบาท หรือ -10.1%

 

กรมสรรพสามิต จัดเก็บได้ 531,606 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 102,394 ล้านบาท หรือ -16.2% และ กรมศุลกากร จัดเก็บได้ 102,395 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2,405 ล้านบาท หรือ -2.3% เมื่อรวมรายได้ของทั้ง 3 กรม พบว่าต่ำกว่าประมาณการรวม 314,807 ล้านบาท หรือ -11.1%