• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Joe524

#3641


"บจ." เตรียมนำบริษัทลูกขายไอพีโอต่อเนื่อง ล่าสุด 7 บริษัทจ่อระดมทุนเบื้องต้นปี 64-65 "บล.เมย์แบงก์ฯ" ชี้ ช่วยลดภาระบริษัทแม่ เผย อยู่ระหว่างทำดีลสปินออฟธุรกิจสินเชื่อ คาดชัดเจนเร็วๆ นี้ "บล.บัวหลวง" ซุ่มทำดีล หลังส่ง OR เข้าเทรดต้นปีที่ผ่านมา

ในช่วงปี 2564-2565 มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประกาศนำบริษัทลูกเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ (สปินออฟ) โดยยื่นแบบแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว 2 ราย ได้แก่ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ได้ส่งบมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 109.3 ล้านหุ้น และ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ยื่นไฟลิ่งเสนอขาย IPO ของบริษัท บริทาเนีย จำกัด (BRI) ไม่เกิน 252.65 ล้านหุ้น นอกจากนี้ ยังมีอีก บจ.อีก 5 แห่งที่เตรียมยื่นไฟลิ่งบริษัทลูก

นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์​แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บล.เมย์แบงก์ฯ มีลูกค้า บจ.ที่อยู่ระหว่างเตรียมตัวสปินออฟบริษัทลูกจำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเร็วๆ นี้ เพราะระยะเวลาการทำดีลสั้นกว่าการเตรียมความพร้อมระดมทุน IPO เนื่องจากที่บริษัทลูกของ บจ.มีความพร้อมของข้อมูลอยู่แล้ว เช่น การจัดทำบัญชีที่ได้มาตรการเหมือนกับบริษัทแม่ เป็นต้น


โดยการนำบริษัทลูกไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยลดภาระทางการเงินของบริษัทแม่ โดยกระแสการสปินออฟไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงโควิด-19 เพราะมองว่าที่ผ่านมา บจ.ที่แยกลูกออกมาระดมทุนไม่ได้มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในช่วงวิกฤติ ขณะที่ บจ.ที่มีการประกาศเตรียมสปินออฟในช่วงที่ผ่านมา เช่น ORI ที่เตรียมนำ BRI ออกมาระดมทุน เป็นหนึ่งในแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเป็นโฮลดิ้งส์อยู่แล้ว

ขณะที่ช่องทางการระดมทุน แม้บริษัทลูกของ บจ.ส่วนใหญ่จะสามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เครื่องมือการออกหุ้นกู้เหมือนบริษัทแม่ได้ก็ตาม แต่ในส่วนของตลาดหุ้นกู้ที่มีต้นทุนต่ำกว่าเงินกู้ธนาคาร พบว่านักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ยังมีข้อจำกัดที่ต้องลงทุนหุ้นกู้ของ บจ.เท่านั้น นอกจากนี้ การแยกตัวออกมาระดมทุนด้วยตนเองช่วยลดความเสี่ยงที่บริษัทแม่จะต้องเพิ่มทุนเพื่อควบคุมอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ในกรณีที่ต้องการเงินทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจของบริษัทลูกอีกด้วย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า การสปินออฟบริษัทลูกของ บจ.เพื่อให้นักลงทุนสามารถมองภาพธุรกิจได้ง่ายขึ้น และประเมินมูลค่าได้ง่ายขึ้น เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ในตลาดหุ้นซึ่งไม่เท่ากันในแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เทรนด์การสปินออฟเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะบริษัทลูกของ บจ.เริ่มเติบโตและมีศักยภาพที่จะลงทุนได้ด้วยตนเองมากขึ้น

ปัจจุบัน บล.บัวหลวง อยู่ระหว่างจัดทำดีลในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน แต่คาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะเห็นผล ภายหลังในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมาได้นำ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปตท. (PTT) เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปแล้ว และหากย้อนไปปี 2563 ได้นำ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เข้ามาระดมทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
#3642


จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรี พม. ชี้'บิ๊กตู่'  ให้ พม.ดูแลกลุ่มเปราะบางเพราะวิกฤตโควิด หากติดเชื้อจะมีความลำบากที่สุด เร่งส่งถุงยังชีพ พร้อมมอบเงินให้ 13 จังหวัดสีแดงที่เข้าเงื่อนไข หากไม่พอของบกลางเพิ่ม แจง พม.จับมือภาครัฐจัดตั้งศูนย์พักคอย ได้เห็นการช่วยเหลือเกื้อกูล'บวร'  พร้อมทีม ทหาร กทม.จิตอาสาเข้มแข็ง รวมทั้งส่งทีมอาสา พม. 100 คนเข้าช่วยงานรพ.สนาม มทบ.11 ยอมรับเป็น รพ.สนามICU ที่สมบูรณ์ที่สุด ระบบทันสมัย จากทีมแพทย์ของโรงพยาบาลธนบุรี ชื่นชมอีกด้าน 'หมอบุญ วนาสิน' ทุ่มสรรพกำลังช่วย รพ.สนาม มทบ.11 ได้กล่อง แต่ไม่ได้เงิน!

ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ก็ยังมีมุมเล็ก ๆ ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคนไทยไม่ทิ้งกัน แม้จะอยู่ในฐานะที่ไม่ได้ร่ำรวย แต่ความเอื้ออาทร ความเสียสละมีให้เห็นเต็มเปี่ยม พร้อม ๆ กับปรากฏการณ์เหรียญ มี 2 ด้านที่ในโลกของโซเชียลมีเดีย มองเห็นภาพของ นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ถูกโจมตีว่าแหกตาคนทั้งประเทศกับข่าวการนำเข้าวัคซีน mRNA จำนวน 20 ล้านโดส

แต่นี่ก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่หมอบุญ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำงานเพื่อวางระบบให้กับโรงพยาบาลสนามของกองทัพบก เพื่อช่วยผู้ป่วยโควิดที่มีความทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง



นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ระบุว่า กระทรวง พม.ได้จับมือกับ กทม. ก.กลาโหม วัด โรงเรียน เพื่อเข้าไปจัดทำศูนย์พักคอย (Community Isolation – CI) ซึ่งมีอยู่ 50 เขต จำนวน 62 แห่ง เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ป่วยโควิด กลุ่มสีเขียว ที่มีอาการไม่มาก หรือไม่มีอาการ ซึ่งหากจะกักตัวอยู่ที่บ้านอาจจะไม่สะดวก ก็จะให้มาอยู่ที่ CI สถานที่ที่นำมาทำเป็น CI ก็จะมีทั้งวัดที่เคยใช้ในการอบรมสมาธิ   หรือโรงเรียนต่าง ๆ ก็จะถูกนำมาใช้ที่เราเคยรู้จักกันในรูปแบบ 'บวร' นั่นเอง

"ชุมชนดั้งเดิม จะมีการจัดระบบการดูแลได้ดีมาก วัดก็ช่วยทั้งเรื่องที่พักและเป็นสถานที่จัดเตรียมอาหาร 3 มื้อ ของที่มีคนนำมาให้ หรือบริษัทต่าง ๆ นำมาบริจาค มีการจัดสรรกันอย่างดี คนในชุมชน ที่ไม่ป่วยหรือป่วยหายแล้วก็มาเป็นจิตอาสา ดูแลคนป่วยต่อไป กทม.ก็จัดแพทย์ พยาบาล มาดูแล ป่วยหนักก็มีการส่งต่อ ทหารก็มาช่วยจัดเตรียมอุปกรณ์ที่พัก บริหารจัดการในศูนย์"

ขณะเดียวกันกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ พม.ก็ได้มีการส่งถุงยังชีพไปให้ รวมไปถึงคนจนเมื่อมีปัญหาจากวิกฤตโควิดก็สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือมาที่กระทรวง พม.ซึ่งก็มีการพิจารณาช่วยเป็นเงินเช่นกัน แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งเวลานี้งบประมาณปี 2564 เหลืออยู่จำกัดหากไม่พอก็จะขออนุมัติงบกลางจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อมาช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางได้อีก

"นายกฯย้ำมาก ต้องดูแลกลุ่มเปราะบาง คนเหล่านี้หากติดเชื้อ จะลำบากมาก ซึ่ง พม.ได้เข้าไปดู ไปช่วยเหลือ เน้นในพื้นที่สีแดง 13 จังหวัดก่อน เรามีงบเหลือเพียง 70 ล้าน ไม่พอก็ขอเพิ่ม"



รัฐมนตรี พม. กล่าวอีกว่า ในเรื่องของศูนย์พักคอย ยังมีที่เป็นของเอกชน และมีของกองทัพ ที่นำพื้นที่ทหารมาทำเป็นศูนย์พักคอย รวมไปถึงนำไปสร้างเป็นโรงพยาบาลสนามอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงพยาบาลสนามกองทัพบก มณฑลทหารบกที่ 11 เขตหลักสี่ กทม. จัดสร้างขึ้นมานั้น เป็นความร่วมมือของกองทัพ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวง พม. และบริหารจัดการโดยโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ที่มี นพ.บุญ วนาสิน เป็นที่ปรึกษา

"ที่นี่จัดเป็นโรงพยาบาลสนามระดับสูง รองรับผู้ป่วยสีเหลือง สีส้ม สีแดง ที่ดูแลผู้ป่วยระดับ ICU ได้เป็นแห่งแรก มีห้องแยก ติดตั้งระบบไหลเวียงออกซิเจนสำหรับผู้ป่วย ระบบควบคุม กล้องวงจรปิด เครื่องมอเตอร์ติดตามอาการ ระบบเทเลเมดิซีน"

การบริหารจัดการระบบต่าง ๆ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วย โดยเฉพาะทุกจุดจะไม่ให้ใช้มือไปสัมผัส เพราะจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย แม้กระทั่งประตูทางเข้าก็ไม่มีปุ่มกด แต่จะใช้ Motion sensor ในการควบคุมอัตโนมัติ

"ทีมผู้บริหารของโรงพยาบาลธนบุรี บอกว่า ระบบการทำงานจะมีความปลอดภัยมาก แพทย์มีจำกัด เพราะติดเชื้อกันไปเยอะ เราจึงมีระบบกันแพทย์ออกจากคนไข้ มีการใช้เทเลเมดิซีน ปรึกษาดูแลทั้งหมด ส่วนพยาบาลมาจากโรงพยาบาลทหาร และมีบางส่วนมาจากกระทรวงสาธารณสุข แต่ทุกคนต้องเข้าห้องปฐมนิเทศ ฝึกการใช้ เพื่อให้เกิดความคุ้มเคยกับระบบ และเครื่องมือไฮเทคทางการแพทย์ที่ทีมธนบุรีจัดขึ้นมา"

สำหรับทีมแพทย์นั้นจะมาจากโรงพยาบาลธนบุรีทั้งหมด ซึ่งผู้ป่วยหนัก สีแดง สีส้ม ที่เตียงคนไข้ทุกเตียง จะมีกล้อง ซึ่งแพทย์จะให้พยาบาลที่เข้ามาใส่ชุด PPE ดูแลคนไข้ และหมอจะพูดกับคนไข้ผ่านกล้อง ในห้องกระจกที่มองเห็นชัดเจน

"คนไข้สีแดง จะมี 100 กว่าคน จะใช้จอขนาดใหญ่ 70 นิ้ว 9 จอในการควบคุม และทุกเตียงจะมีอุปกรณ์เครื่องช่วยครบทุกเตียง"



พยาบาลอาสา จากต่างโรงพยาบาล จะได้รับการ ปฐมนิเเทศ 5-ุ 7  วัน เพื่อฝึกทำงานเป็นทีม และจะอบรมให้พยาบาล มีความคุ้นเคย กับระบบและเครื่องมือไฮเทค ของแพทย์ 
พยาบาลอาสา จากต่างโรงพยาบาล จะได้รับการ ปฐมนิเเทศ 5-ุ 7 วัน เพื่อฝึกทำงานเป็นทีม และจะอบรมให้พยาบาล มีความคุ้นเคย กับระบบและเครื่องมือไฮเทค ของแพทย์


นอกจากนี้ ยังได้มีการสร้างที่พักให้กับพยาบาลที่เข้ามาปฏิบัติงานที่นี่ เพื่อให้มีความสะดวกสบาย เวลาพักผ่อน และระบบคัดกรองคนไข้สีต่าง ๆ ห้องน้ำของคนป่วยก็มีการแยกสัดส่วนได้ดีมาก ยังมีการสร้างห้องแล็บขึ้นมาใหม่ เพียงแค่ 2 ชั่วโมง ผลแล็บก็ออกแล้ว ซึ่งโรงพยาบาลสนาม มณฑลทหารบกที่ 11 มีประมาณ 600 กว่าเตียง สามารถใช้ห้องแล็บที่นี่ได้หมด เพราะโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ ไม่ใช่มีเพียงสีเหลือง สีแดง ยังมีการนำโรงยิมทั้ง 3 โรง มาจัดทำเป็นโรงพยาบาลสนามระดับสีเขียว เพราะเมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้นอยู่ในระดับเป็นสีเขียวจะส่งต่อไป Hospitel หรือโรงพยาบาลสนามอื่นต่อไป

"ห้องปลี่ยนชุด PPE ของพยาบาล เป็นห้องความดันลบ ปลอดเชื้อจริงๆ ห้องขยะติดแอร์ เพราะว่าไม่ต้องการให้ขยะเพาะเชื้อ และ กทม. มีหน้าที่ไปกำจัดต่อไป"

รัฐมนตรีจุติ บอกอีกว่า ทีมแพทย์ยืนยันว่า โรงพยาบาลสนาม มทบ.11 มีความทันสมัยที่สุดและมีเครื่องมือที่พร้อมมาก และใกล้ ๆ อาคารผู้ติดเชื้อ จะเห็นเป็นแท่งสูง ๆ ขนาดใหญ่ นั่นคือ แท่งผลิตออกซิเจน 23,000 ลิตร เตรียมไว้รองรับผู้ป่วย เพื่อไม่ต้องการให้คนไข้มีความเสี่ยงเวลาที่ออกซิเจนหมด

"ผมเปลี่ยนความรู้สึกเรื่องของหมอบุญ ไปมาก เมื่อมาดูสิ่งที่หมอบุญ ส่งทีมงานมาทำให้กับโรงพยาบาลสนามของทหาร ทั้งระบบ เครื่องออกซิเจนที่เอามาติด เขาบอกว่าลดความเสี่ยงให้คนไข้ได้ด้วย เขามองความปลอดภัยรอบด้าน ทำแบบของโรงพยาบาลเอกชนเลย ก็ไม่รู้ว่าหมอบุญจะเอาแท่งนี้คืนไปหรือเปล่า เมื่อโควิดจบลง"



รัฐมนตรีจุติ บอกอีกว่าการเข้ามาทำงานครั้งนี้มั่นใจว่า หมอบุญ เลือกแล้วที่จะรับกล่องไม่ใช่เงินค่าตอบแทน เพราะคนป่วยติดเชื้ออยู่ 14 วัน สปสช.จ่ายให้แค่ 5 หมื่น แต่เรามองย้อนไปดูแค่ค่าห้อง ICU ต่อเตียงค่ารักษาก็ 1,200,000 บาทแล้ว

"ผมก็ถามทีมแพทย์เขาว่า หมอบุญ ไม่มาดูเหรอ เขาบอกไม่มา แต่ทีมผู้บริหาร หรือทีมแพทย์ที่เข้ามาดูเป็นคนของหมดบุญทั้งหมด"

ดังนั้นการจะรับรู้แต่สื่อโซเชียลเพียงอย่างเดียวบางทีก็ทำให้เกิดมุมมองเชิงลบ แต่ถ้าได้ไปสัมผัสสิ่งที่เป็นจริงก็จะทำให้เห็นอีกมุมหนึ่งของเหรียญเช่นกัน

"เหรียญมี 2 ด้าน ได้เห็นอีกด้านของหมอบุญ ส่งทีมแพทย์ รพ.ธนบุรี มาวางระบบทำโรงพยาบาลสนาม มทบ.11 มีความพร้อมมาก รองรับผู้ป่วยสีส้ม สีแดง ทีมงานถูกฝึกให้คุ้นเคย เวลาวิกฤตกู้ชีพคนไข้ งานนี้หมอบุญเอากล่องไม่เอาเงิน"

โดย รพ.สนามกองทัพบก มณฑลทหารบกที่ 11 นั้น ได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร ธุรกิจเฮลท์แคร์ภายใต้การดำเนินงานของ ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) ในด้านเครื่องมือแพทย์ 45 ล้านบาท ค่าปรับปรุงสถานที่ 25 ล้านบาท และค่าวางระบบไอที ประมาณ 4 ล้านบาท


ส่วนการที่ กระทรวง พม.ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น รัฐมนตรีจุติ บอกว่า ทางกองทัพ ได้ขอให้ พม.ส่งอาสาสมัครเข้ามาช่วยจำนวน 100 คน เพราะทีมแพทย์ พยาบาล มีหน้าที่ในการดูแลรักษาคนไข้ ไม่ต้องให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ และการกรอกประวัติคนไข้ ก็ได้จากแอร์โฮสเตส ที่ตกงาน มาจัดการเรื่องข้อมูลคนไข้

"ผมจัดอาสาสมัครให้เรียบร้อย ก็ต้องใช้เงินส่วนตัว ทำประกันโควิดที่ไพบูลย์ประกันภัย ให้กับทุกคน วงเงินคุ้มครองคนละ 5 แสนบาท เพราะหากเขาป่วยก็มีเงินรักษา มีค่ารถให้เขาด้วย เพื่อมาเตรียมเรื่องอาหาร และอื่น ๆ ทุกคนก็มากันด้วยใจที่เสียสละ"

ปัจจุบันทีมงานของ พม.ก็ได้เข้าไปช่วยตามที่กองทัพแจ้งมาแล้ว และการเข้ามาดูโรงพยาบาลสนามมณฑลทหารบกที่ 11 รวมทั้งการไปเยี่ยมศูนย์พักคอย จึงได้เห็นถึงความร่วมมือร่วมแรงที่จะฟันฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกัน!
#3643


นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เผยว่า บริษัทจะทำการเสนอการลงทุนแบบแอคทีฟของกองทุนรวมผสม ที่ลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ จัดตั้งเป็นกองทุนเปิด MFC Thai Opportunity Drama-Addict Fund Series 1 (กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย ออพพอร์ทูนิตี้ ซีรี่ส์ 1) หรือ MTOP1

MTOP1 มีจุดเด่นคือ กองทุนคาดหวังผลตอบแทนเป้าหมาย 5% ใน 5 เดือน เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันที่ 1% ต่อปี โดยสามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-100% ตามภาวะตลาด ซึ่งการลงทุนจะพิจารณาจากปัจจัยเร่งที่จะสามารถทำให้กองทุนบรรลุผลตอบแทนเป้าหมายใน 5 เดือน

ที่ผ่านมาทาง MFC มีกองทุนหลากหลายที่ลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ในต่างประเทศซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ในขณะเดียวกันเราเห็นว่า การลงทุนในประเทศไทยก็มีความน่าสนใจไม่น้อยแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤต COVID-19 ที่หนักหน่วง แต่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมยังสร้างผลประกอบการได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นการลงทุนแบบไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ กองทุน MTOP1 จึงเข้าลงทุนในตราสารแห่งทุน ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ตราสารแห่งหนี้ ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงสูง และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือตราสารอนุพันธ์ โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures เป็นต้น

ภาพรวมตลาดมีปัจจัยสนับสนุนให้กองทุนนี้น่าลงทุน 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) การเร่งผลิตและแจกจ่ายวัคซีนทั่วโลกซึ่งจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่และส่งผลให้แต่ละประเทศสามารถเปิดประเทศได้ส่งผลบวกโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทย 2) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ 3) การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่งผลดีต่อภาคการส่งออกไทย โดยทางผู้จัดการกองทุนมีกลยุทธ์การจัดพอร์ตโฟลิโอโดยเน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีปัจจัยสนับสนุน เฉพาะตัว ซึ่งแม้การแพร่ระบาดระลอกสามในประเทศจะยังควบคุมไม่ได้ในทันที แต่กำไรของหุ้นเหล่านี้ก็จะยังสามารถเติบโตได้ดีและราคาหุ้นมีความแข็งแกร่งแม้ในช่วงตลาดปรับฐาน

ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกและการขนส่งระหว่างประเทศ ซึ่งจะมีผลดำเนินงานแข็งแกร่งสอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจ New S-Curve หรือหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก mega trend เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัญชง หลังรัฐบาลไทยได้ปลดล็อกกัญชงให้เอกชนสามารถนำพืชชนิดนี้มาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ และหุ้นกลุ่มการเงินที่ประกอบธุรกิจบริหารหนี้เสียและทวงหนี้ จากปริมาณหนี้เสียและหนี้พักชำระในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทางธนาคารพาณิชย์จึงต้องทยอยขายหนี้ออกมาปริมาณมาก ปัจจัยนี้จะช่วยให้หุ้นในกลุ่มบริหารหนี้เสียสามารถมีกำไรเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ MTOP1 เปิดขายและให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 16 - 20 สิงหาคม 2564 มูลค่าขั้นต่ำของการซื้อในแต่ละครั้ง 1,000 บาทกองทุน กองทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และมีนโยบายไม่จ่ายเงินปันผล อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหรือ สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนออกจากกองทุนนี้
#3644


นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้จากการขายในไตรมาส 2 ที่ 6,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยกลุ่มประเทศ CLMV เป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจหลัก ผลักดันอัตราการเติบโตในต่างประเทศโดยรวมที่ 76% นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ยังได้พัฒนารถเข็นแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นพลังให้คนไทยฮึดสู้ฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19

สำหรับตลาดในประเทศนั้น OSP ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งการตลาด 55% จากแบรนด์อันดับ 1 อย่างเอ็ม-150 แบรนด์ลิโพ ที่มีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ สร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกในรอบ 22 ปี เปิดตัว 'ลิโพ-ไฟน์' แจ้งเกิดเซกเมนต์ใหม่ให้ "เครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง" และเครื่องดื่มโสมอินซัมที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากส่วนผสมสมุนไพรซึ่งตอบสนองเทรนด์ของตลาดในขณะนี้ได้อย่างตรงจุด ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์นั้น ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่ง 37% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน หลังจากออกสินค้าใหม่เพื่อตอบรับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งผลิตภัณฑ์กล่องใหญ่ขนาด 1 ลิตรสำหรับการบริโภคในครอบครัวได้เป็นประจำ และ 'ซีวิท พลัส' เครื่องดื่มวิตามินซีผสมคอลลาเจน นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้จากการกระจายสินค้าให้แก่เครื่องดื่มวิตามินของกลุ่มยันฮี ซึ่งเป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการเติบโตสูง

นอกจากนี้ การกลับมาเดินเครื่องจักรของโรงแก้วหลังจากปิดปรับปรุงในไตรมาสก่อน สัดส่วนช่องทางการขายที่ดีขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนภายใต้โครงการ Fit Fast Firm อย่างต่อเนื่อง ช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ทำกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 1,824 ล้านบาท เติบโต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

จากผลการดำเนินงานที่เติบโตตามเป้าหมาย ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2564 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 1,352 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OSP กล่าวว่า "จากสถานการณ์ความท้าทายจากโควิด-19 โอสถสภามุ่งเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพ การสร้างพลังทางด้านการตลาดผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร และเริ่มวางรากฐานการนำดิจิทัลมาร์เกตติ้งและนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าใช้ Big Data มาช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพและทรานส์ฟอร์มองค์กรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอนาคต"

นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ร่วมเป็นพลังสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชน ชุมชน และเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ บริษัท เฮ้าส์ โอสถสภา ฟู้ดส์ จำกัด บริษัท โอสถสภา ไทโช ฟาร์มาซูติคอล จำกัด และ บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด จัดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เช่น เครื่องดื่มวิตามินซีแบรนด์ซีวิทยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ลิโพ และเครื่องดื่มผสมสมุนไพร เช่น โสมอินซัม สูตรผสมถั่งเช่า และเอ็ม-150 สูตรผสมกระชายดำรวมกว่า 2 ล้านขวด มอบให้แก่ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และประชาชนที่มารับการฉีดวัคซีน ณ จุดบริการนอกโรงพยาบาล ในเครือข่ายสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยทั้ง 25 แห่งทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนามต่างๆ 161 แห่งทั่วประเทศ 

นอกจากนี้ โอสถสภายังได้ออกแบบและพัฒนาแคปซูลแรงดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อและลดโอกาสในการสัมผัสเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์เมื่อปี 2563 ล่าสุด ทีมวิศวกรของโอสถสภาได้ออกแบบและพัฒนารถเข็นความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัยและคล่องตัวมากขึ้น โดยได้ส่งมอบแคปซูลความดันลบ จำนวน 3 คัน และรถเข็นความดันลบ จำนวน 18 คัน มูลค่ารวมกว่า 4.8 ล้านบาท ให้แก่โรงพยาบาล 16 แห่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสระบุรี
#3645


ขอต้อนรับเข้าสู่เดือนแห่งวันแม่ด้วยการหยิบเรื่องราวน่ารักๆ ของไลน์แมนไรเดอร์แม่เลี้ยงเดี่ยวสุดเปรี้ยว แนต-วราพร นะนิ่มนวล

ที่ไม่ว่าจะขับรถส่งอาหารที่ไหนก็จะหิ้ว น้องอ๊อฟ ลูกชายวัย 5 ขวบไปด้วยทุกครั้ง ที่สะดุดตาที่สุดก็คงเป็นชุดคู่หูปฏิบัติหน้าที่ส่งอาหารที่ทุกคนต้องหันมอง เรามาลองทำความรู้จักกับแม่-ลูกสุดแกร่งคู่นี้กัน

แนต ซิงเกิ้ลมัมสุดสตรองคนนี้หาเลี้ยงตัวเองและลูกชายด้วยการเป็นพนักงานจ้างเหมาที่บริษัทฯ แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เช้า จนถึงบ่ายสามโมง หลังจากเลิกงานจึงมาขับไลน์แมนส่งอาหารซึ่งตลอดทั้งวันน้องอ๊อฟจะติดสอยห้อยตามแม่ ไปในทุกที่ สำหรับทั้งคู่แล้ว การขี่จักรยานยนต์ส่งอาหารเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่รอคอยเพราะมันทำให้ทั้งคู่ได้เป็นตัวเอง อย่างเต็มที่ และได้เที่ยวไปในที่ใหม่ๆ

ถ้าพูดถึงความเป็นตัวเองคงบอกได้จากสีสันสุดจี๊ดสะดุดตาจากการแต่งตัวและหมวกกันน็อคคู่ใจที่ชวนให้คนที่ เห็นถึงกับต้องมองตามกันเป็นแถว แนตเล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจที่ต้องการให้คนรอบข้างยิ้มได้ "ถ้ามันอยู่ในจุดที่ อยากจะทำ ก็ทำเลย" ทุกการเดินทางไม่ว่าจะไปรับอาหารจากร้านอาหาร หรือส่งอาหารให้กับลูกค้าก็ช่วยสร้างรอยยิ้ม ทุกครั้ง บางคนถึงกับขอถ่ายรูปด้วยเลยทีเดียว

สำหรับ น้องอ๊อฟ ลูกชายที่คอยซ้อนท้ายแม่ไปทุกที่ และจะตื่นเต้นทุกครั้งเวลาที่ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ แถมยัง เป็นนักชิมตัวจิ๋วเวลาที่ไปถึงร้านขนมอีกด้วย แนตเล่าให้เราฟังว่าด้วยความจำเป็นของสถานการณ์ช่วงนี้ ทำให้ต้องพา น้องอ๊อฟไปทำงานด้วยตลอดจนกว่าโรงเรียนจะกลับมาเปิดอีกครั้ง

แนตเล่าว่า การมาทำอาชีพขับรถส่งอาหารเป็นงานเสริมทำให้มีรายได้ 2 ทาง มีความอิสระในการแบ่งเวลา ทำงานระหว่างงานประจำกับงานนี้ แล้วยังได้ประสบการณ์สนุกๆ ใหม่ๆ ร่วมกับลูกชายในทุกวัน เช่น เปลี่ยนพื้นที่รับงาน ได้เจอที่ใหม่ๆ คนใหม่ เพราะมีงานให้กดและรับ-ส่งอาหารทุกจุด และการมีระบบที่เอื้ออำนวยทำให้การทำงานง่ายขึ้นมาก "บางทีลูกค้าปักหมุดมาไม่ตรง เราก็พิมพ์แชทหรือส่งสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ถามลูกค้าได้ สะดวกดี"

เมื่อถามว่าแนตคาดหวังอนาคตของน้องอ๊อฟไว้อย่างไร แนตบอกว่าขอให้ลูกชายคนนี้สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และเป็นคนที่แข็งแกร่ง "อย่างน้อยเราจะได้หมดห่วง ให้เขาทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้โดยไม่ยอมแพ้ ไม่ได้คาดหวัง อะไรมาก ไม่ต้องมาเลี้ยงเรา แต่ให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง" ส่วนน้องอ๊อฟเองก็เคยพูดกับแม่ว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะเลี้ยงดูแม่ของเขา ด้วยตัวเอง รวมถึงคอยมอบกอดให้กำลังใจเสมอทุกวัน นี่คือเรื่องราวที่น่ารักและอบอุ่นของคู่หูแม่-ลูกไรเดอร์ที่ทำให้ทุกวัน เป็นทั้งวันแม่ และวันลูกสำหรับทั้งสองคนเสมอ
#3646


สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันพุธ(11ส.ค.)ปรับตัวขึ้น 96 เซนต์หลังสหรัฐระบุว่าอยู่ระหว่างติดต่อไปยังสมาชิกโอเปกและพันธมิตรผู้ผลิตน้ำมัน โดยไม่เรียกร้องให้บรรดาผู้ส่งออกเพิ่มกำลังผลิตแต่มีเป้าหมายเพื่อประสานงานในระยะยาว ไม่จำเป็นต้องได้รับการตอบสนองในทันที



นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานแห่งสหรัฐที่ระบุในวันพุธ(11ส.ค.) ว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนสต๊อกเบนซินลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. ซึ่งในภาพรวมคลังน้ำมันดิบสำรองลดลงต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ สืบเนื่องจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ ปิดที่ 69.25 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 81 เซนต์ ปิดที่ 71.44 ดอลลาร์/บาร์เรล

เติมด่วน! 'โออาร์-บางจาก' ปรับขึ้นน้ำมันทุกชนิด 40 สต. เว้น E85 ขยับ 20 สต.

เมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 "โออาร์-บางจาก" ผู้ค้าน้ำมันปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด 40 สต./ลิตร ยกเว้น E85 ขึ้น 20 สต./ลิตร มีผลวันที่ 28 ก.ค. 64 เวลา 05.00 น.


สำหรับราคาใหม่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล วันพรุ่งนี้จะเป็นดังนี้

ดีเซล B7 ลิตรละ 29.39 บาท
E85 ลิตรละ 22.84 บาท
E20 ลิตรละ 28.34 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 29.58 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 29.85 บาท
(ราคานี้ยังไม่รวมภาษีท้องที่ของแต่ละจังหวัด)
#3647


"ดีแทค" สนับสนุน 2,000 ซิมพร้อมแพ็กเก็จเน็ตอันลิมิเต็ดความเร็ว 4 Mbps แก่กลุ่มเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ ของ กสศ. นำร่องในเขตกรุงเทพฯ สำหรับการเรียนออนไลน์เป็นการเร่งด่วนลดอุปสรรคการเรียนรู้ เตรียมพร้อมหาทางออกระยะยาวในยุคเรียนออนไลน์ มุ่งสู่เป้าหมายความเท่าเทียมทางดิจิทัล (Digital inclusion) ขณะที่ กสศ.เผยพบเด็กเจอปัญหาระหว่างเรียนมากกว่า 2.7 แสนคน ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม ย้ำสัญญาณอินเทอร์เน็ตคือโอกาสทางการเรียนรู้ และลดการปิดกั้นแม้เกิดสถานการณ์โควิด-19

ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจสังคมไทยในวงกว้าง ทำให้ผู้ปกครองนักเรียนครัวเรือนยากจนพิเศษจำนวนมากมีภาวะยากจนเฉียบพลันจากปัญหาการว่างงานและมีรายได้ลดลงสวนทางกับรายจ่าย รวมทั้งมีสมาชิกในครอบครัวที่ย้ายกลับภูมิลำเนาให้ต้องดูแลมากขึ้น จากข้อมูลพบว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษหรือนักเรียนทุนเสมอภาคมีอัตราลดลง 11% ระหว่างปีการศึกษา 2562-2563 อยู่ที่ 1,021 บาท/เดือน หรือประมาณ 34 บาท/วัน เท่านั้นในปีการศึกษา 2/2563 ซึ่งการระบาดของโควิด-19 จากการประเมินของคณะผู้วิจัยจากเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่าการระบาดระลอกล่าสุดในปัจจุบันมีแนวโน้มส่งผลให้มีจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ในปีการศึกษา 2564 นี้ อันเนื่องมาจากภาวะยากจนเฉียบพลันที่เกิดจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของ COVID-19

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงและยืดเยื้อยาวนาน ส่งผลต่อผู้ปกครองโดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง ทำให้เด็กในครอบครัวเข้าถึงระบบการศึกษาได้ยากขึ้น จนทำให้เด็กนักเรียนมีความเสี่ยงที่จะออกจากระบบการศึกษาถึงราว 700,000 คน (ข้อมูลโดย กสศ.)

"ดีแทคเชื่อว่าการศึกษาถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับทุกคนในสังคมและจะต้องไม่มีเด็กคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เทคโนโลยีการสื่อสารจะต้องทำหน้าที่ให้เด็กนักเรียนได้เข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีข้อจำกัดด้านต้นทุน พันธกิจสำคัญประการหนึ่งของดีแทคคือการสร้างสังคมดิจิทัลที่เท่าเทียมและทั่วถึง สอดคล้องกับกลยุทธ์ digital inclusion ภายใต้นโยบายการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ดีแทคยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนพันธกิจของ กสศ. ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทุกภาคส่วนของสังคมจำเป็นต้องร่วมมือกันประคับประคอง เพื่อให้ประเทศไทยผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไปให้ได้" นายชารัด กล่าว

ดร.ไกรยส กล่าวเพิ่มเติมว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เสมอภาคของเด็กเยาวชนทุกคนในช่วงเวลานี้คือโอกาสสำคัญที่จะทำให้การศึกษาจะไปถึงเด็กทุกคนได้ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ป้องกันปัญหาภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และแสดงให้เห็นว่าความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคหากอินเทอร์เน็ตเข้าไปถึงทุกพื้นที่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษาของเด็กทุกคนได้อย่างเสมอภาค ดังนั้นมาตรการอินเทอร์เน็ตฟรีจึงถือเป็นหลักประกันสังคมที่สำคัญ นอกเหนือจากความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ สัญญาณอินเทอร์เน็ตยังช่วยเปิดประตูแห่งการเรียนรู้ การติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 ที่การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ และการช่วยเหลือในภาวะวิกฤตฉุกเฉินเป็นเรื่องที่สำคัญต่อชีวิต รัฐเองไม่สามารถทำงานเพียงลำพังได้ เอกชนจึงมีส่วนสำคัญในการหนุนเสริมและช่วยสร้างโอกาสทางการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำไม่ให้ขยายห่างมากขึ้นให้กับเด็กๆ ของเราทุกคน โครงการนี้เรายังได้รับการสนับสนุนจาก StartDee แอปพลิเคชัน ให้น้องๆ ทั้ง 2,000 คนสามารถเข้าถึงบทเรียนผ่านแอปพลิเคชันฟรีภายใต้โครงการ "Free School-in-a-Box"

นายชารัด กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาดีแทคได้พัฒนาแพ็กเก็จเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักเรียนภายใต้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตราคาพิเศษ เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กับ โปรเสริม Happy Work & Learn สำหรับใช้งานไม่อั้นบนแอป Microsoft 365, Zoom, WebEx, Shopee ที่ความเร็ว 10 Mbps และเน็ตเต็มสปีด 1GB ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละกลุ่มให้สอดคล้องกับการใช้งานและสถานการณ์ที่ต้องทำงานหรือเรียนหนังสือที่บ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19

นอกจากนี้ ดีแทคยังได้ร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. มอบแพ็กเกจเรียนออนไลน์ฟรี โดยสามารถใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนการสอนอย่าง MS Teams, Zoom, Google Meet, WebEx และ Line Chat ได้ไม่จำกัด พร้อมเน็ตเต็มสปีด 2 GB ต่อเดือนเพื่อใช้งานนาน 2 เดือน โดยนักเรียนสามารถลงทะเบียนรับสิทธิโดยแจ้งเบอร์ดีแทคผ่านโรงเรียน โดยแพ็กเกจจะเริ่มใช้งานได้หลังวันที่ 15 สิงหาคม นี้
#3648


หุ้นเช้าปิดลบ 3.01 จุด ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัยคาดหวังเร่งฉีดวัคซีนหนุนคลายล็อก-เปิดประเทศ ช่วงนี้จึงได้เห็นการเริ่มปรับพอร์ต ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัย อย่างกลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มชิปปิ้ง เป็นต้น หันมาเก็บหุ้น Domestic play และหุ้นที่ราคาลงไปจากผลกระทบโควิด ก็สามารถหาจังหวะในการซื้อได้ คาดว่า 3-4 เดือนข้างหน้าหลังคลายล็อกดาวน์แล้วหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะกลับมา

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มเห็นการชะลอมาตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยดัชนีฯขึ้นไปแถว 1,550 จุดจากนั้นย่อตัวลงมา แม้ดาวโจนส์ทำนิวไฮตอบรับวุฒิสภาสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างงาน โดยตลาดฯขึ้นต่อไปได้ไม่นานก็ย่อตัวลงในเวลาต่อมา

แต่บ้านเรามีปัจจัยหนุนจากการเร่งฉีดวัคซีนได้มากขึ้นเกิน 4 แสนโดสต่อวัน จึงเกิดความคาดหวังจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู้เร็วขึ้น นำไปสู่การคลายล็อกดาวน์และการเปิดประเทศได้เร็วตามมา ช่วงนี้จึงได้เห็นการเริ่มปรับพอร์ต ขายทำกำไรหุ้นปลอดภัย อย่างกลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มชิปปิ้ง เป็นต้น หันมาเก็บหุ้น Domestic play และหุ้นที่ราคาลงไปจากผลกระทบโควิด ก็สามารถหาจังหวะในการซื้อได้ คาดว่า 3-4 เดือนข้างหน้าหลังคลายล็อกดาวน์แล้วหุ้นกลุ่มเหล่านี้จะกลับมา

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบอย่างไร้ทิศทาง พร้อมแนะติดตามการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป

ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,539.61 จุด ลดลง 3.01 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.20% มูลค่าการซื้อขายราว 50,980 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายพิชัย กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งไซด์เวย์ แนวรับ 1,530 จุด ส่วนแนวต้าน 1,550 จุด
#3649


The Economist รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลล่าสุดจาก covid19.trackvaccines.org ระบุว่า "แอสตร้าเซนเนก้า" เป็นวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆมากที่สุดในโลก รองลงมาคือวัคซีนของไฟเซอร์-ไบออนเทค และสปุตนิกวี 

แต่น่าสังเกตว่า สปุตนิกวี ของรัสเซียติดอันดับ 3 ของวัคซีนยอดนิยมทั่วโลก โดยได้รับการยอมรับจาก 70 ประเทศ แม้ว่ายังไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO)


ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

รายละเอียดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทต่างๆที่ได้รับการยอมรับ และได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ ทั่วโลก 10 อันดับแรก เป็นดังนี้ 

1. แอสตร้าเซนเนก้า (121 ประเทศ)

2. ไฟเซอร์-ไบออนเทค (97 ประเทศ)

3. สปุตนิกวี (70 ประเทศ)

4. โมเดอร์นา (65 ประเทศ)

5. ซิโนฟาร์ม (59 ประเทศ)

6. จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (59 ประเทศ)

7. โควิชิลด์ (45 ประเทศ)

8. ซิโนแวค (39 ประเทศ)

9. โควาซิน (9 ประเทศ)

10. . (8 ประเทศ)
#3650


ขึ้นแท่นพระเอกเต็มตัวเรื่องแรกทั้งที หนุ่ม  "ริว-วชิรวิชญ์ วัฒนภักดีไพศาล" เลยถูกผู้จัด-ผู้กำกับ "โดนัท มนัสนันท์" จับเข้าห้องอัด โชว์ความสามารถร้องเพลงประกอบละคร "พฤษภา-ธันวา รักแท้แค่เกิดก่อน" ทาง ช่อง 3 ในเพลง "Summer Rain" คำร้อง โดย หนึ่ง-ณรงค์วิทย์ เตชะธนะวัฒน์ ทำนอง และเรียบเรียง โดย ปรเมศวร์ เหมือนสนิท ทำเอาเจ้าตัวแอบเครียด แต่พอได้รู้ถึงที่มา บอกเลยว่าละเอียด ละมุน อบอุ่นหัวใจ



"เพลงนี้ต้องยกให้ในความละเอียด และใส่ใจทุกชิ้นงานของพี่โดนัทจริงๆ และขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้มาร้องเพลงประกอบละครครั้งแรกในชีวิต ก็มีความกดดัน แอบเครียดครับ ซึ่งเพลงนี้พี่โดนัท รีเควสขอกับพี่หนึ่งว่า อยากได้เนื้อเพลง ดนตรี ที่มีกลิ่นไอช่วงยุค 90 และเปรียบเรื่องราวของเนื้อหาเพลง ถึงคำที่คนสูงวัยชอบพูดถึงฝนฤดูร้อนว่า 'ฝนชะยอดมะม่วง' ซึ่งเปรียบความรักเหมือนหน้าร้อน และฝนที่กำลังจะมา ช่วยเติมหัวใจที่แห้งแล้ง ให้ชุ่มฉ่ำ 

ก็เหมือนกับ ซิสอร (แยม) ที่โดนคนรักเก่าทิ้ง จนหัวใจพัง ห่อเหี่ยว แต่พอมาเจอกับผม ที่รับบท ตั้ม เด็กหนุ่มสดใส ที่มาพร้อมกับความหวังดี ความจริงใจ ก็คล้ายกับฝนมาทำให้หัวใจกลับมาเป็นสีชมพูอีกครั้ง หลังจากที่ผมรู้ที่มาที่ไป อารมณ์ ความรู้สึกทุกอย่างออกมาเองอัตโนมัติ ก็หวังว่าทุกคนจะชอบ สามารถตามฟังได้ที่ JOOX แล้วครับ ส่วนละครก็เตรียมจะออกอากาศทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.30 น.ทางช่อง 3 กด 33 เริ่มตอนแรก พฤหัสบดีที่ 2 กันยายน นี้ ครับ"
#3651


วันนี้ (11 ส.ค. 64) นายปริญญา นากปุณบุตร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกำแพงเพชร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี สสจ.กำแพงเพชร ทุจริตงบโควิด-19 ว่า หลังจากพบความผิดปกติทางการเงิน มีการโอนเงินเข้าบัญชีส่วนของเจ้าหน้าที่จำนวนกว่า 12.7 ล้านบาทนั้น สสจ.ได้มีการตรวจสอบถึงรายละเอียดเพื่อให้ถูกต้องที่สุด เนื่องจากมีเอกสารค่อนข้างมาก

กระทั่งเมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) พบว่าเงินที่สูญหาย หรือที่ถูกยักยอกไปจริงเป็นจำนวน 8.6 ล้านบาท เป็นงบประมาณค่าเสี่ยงภัยโควิดสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน 3.7 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออยู่ในหมวดค่าใช้จ่ายอื่นๆ

นายปริญญากล่าวว่า ยอดเงินจำนวนกว่า 12.7 ล้านบาทนั้น เป็นยอดเงินที่เข้าบัญชีผู้ถูกกล่าวหาเช่นกัน แต่จากการที่ตรวจสอบหน่วยงานย่อยปลายทางในรายละเอียดทราบว่าผู้ถูกกล่าวหาได้มีการโอนเงินไปยังหน่วยงานที่ทวงถามจำนวนหนึ่ง จึงทำให้เหลือยอดเงินที่หายจริงจำนวน 8.6 ล้าน

ด้านการติดตามนั้น ขณะนี้จังหวัดฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด คือ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดูรายละเอียดการทุจริต และคณะกรรมการตรวจสอบความผิดทางละเมิด เพื่อดูความผิดของผู้ที่เกี่ยวข้องทางวินัย

สำหรับเงินเบี้ยเลี้ยงตอบแทนของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในช่วงเมษายน-มิถุนายนนั้น ทางสาธารณสุขฯ มีเงินค่าเสี่ยงภัย ที่จะบริหารจัดการแก้ปัญหาเบื้องต้นที่สามารถนำมาใช้ได้จำนวน 15 ล้าน บาท ขณะที่ค่าเสี่ยงภัยช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน ครม.ก็ได้อนุมัติแล้ว คาดว่าจะได้รับการจัดสรรเป็นเงินประมาณ 15 ล้านบาท เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ทำงานด่านหน้า

"การโอนเงินที่ผ่านมา สำนักงานสาธารณสุขใช้ระบบทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่ขณะนี้ได้ทำข้อตกลงกับทางธนาคารขอระงับชั่วคราว โดยใช้ระบบมือและจ่ายเช็คแทนเพื่อเป็นการแก้ปัญหา จนกว่าจะพบข้อเท็จจริงในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น"
#3652


โลกเปลี่ยน ภูมิทัศน์สื่อปรับ และธุรกิจ "ทีวี" เข้าสู่ขาลงหลายปี "แกรมมี่" เจ้าของทีวีดิจิทัล ทีวีดาวเทียม ยังเดินหน้าหาช่องเติบโต รุกต่อ "ทีวีดาวเทียม" พลิกเพิ่มสัดส่วนขายกล่องรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวีแตะ 20–30% ต่อจิ๊กซอว์คอนเทนท์โปรวายเดอร์

ตั้งแต่ปี 2554  ที่บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน) ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจกล่อง รับสัญญาณทีวีดาวเทียม และเริ่มมีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเอง ในนาม  "จีเอ็มเอ็ม  แซท"   จากวันนั้นถึงวันนี้ บริษัทฯ  ผลิตกล่องรับสัญญาณฯ มาแล้วกว่า 10 รุ่น มีการพัฒนาคุณภาพความคมชัดจากกล่องรับสัญญาณระดับหรือ SD : Standard definition สู่ ระดับความคมชัดสูงหรือ HD : High definition 

ปัจจุบันบริษัทมีกล่องดาวเทียมที่จำหน่ายไปแล้วด้วยแพลตฟอร์มจีเอ็มเอ็ม แซทมากกว่า 7 ล้านกล่อง ซึ่งมีสัดส่วนของกล่องประเภทเอสดี  45%  และกล่องประเภท HD 55%  ทั้งในระบบ C Band  และ KU Band พร้อมช่องรายการในกล่องกว่า 180 ช่อง โดยสินค้าของ จีเอ็มเอ็ม  แซท มีจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพความคงทนในการใช้งาน  ประกอบจากวัสดุคุณภาพดี และใช้งานง่าย ด้วยการออกแบบรีโมทให้มีปุ่มกดที่เรียกว่า Smart button ให้เข้าถึงช่องรายการหรือเมนูการตั้งค่าได้ง่าย นับเป็นจุดต่างจากสินค้าอื่นในตลาด

ทั้งนี้  จีเอ็มเอ็ม แซท เล็งเห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปโดยหันมารับชม VOD (Video on demand) มากขึ้น ยอดขายของกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมจึงถูกเข้ามาแทนที่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ของผู้ผลิตคอนเทนต์ (Content provider)  ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มนำคอนเทนต์ตัวเองขึ้น Streaming platforms รวมไปถึงต่างประเทศที่รุกเข้ามาเปิดธุรกิจในไทย และการแข่งขันของคอนเทนต์ไทยเองที่ต้องแย่งชิงพื้นที่ในตลาด เพื่อเปลี่ยนรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาไปเป็นรายได้แบบระบบสมาชิก  

ฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์ สายธุรกิจจีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท  จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าปัจจุบันธุรกิจของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และธุรกิจในเครือกำลังก้าวเข้าสู่ดิจิทัลสตรีมมิงอย่างเต็มตัว การรับชมคอนเทนท์ต่างๆ ของจีเอ็มเอ็ม ประสบความสำเร็จในแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้น การรับชมที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคจึงต้องเปลี่ยนไป จากการรับชมด้วยเสาอากาศ หรือผ่านจานรับสัญญาณ จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเป็นกล่องรับสัญญาณหรืออุปกรณ์รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวี ซึ่งทางเรากำลังเร่งเพิ่มสัดส่วนของการจำหน่ายกล่องรับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวีให้ได้ตามเป้าหมาย 20 – 30 % ของกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมในปีหน้า เพื่อรองรับคอนเทนต์ทั้งหมดของจีเอ็มเอ็มในอนาคต



สำหรับกลยุทธ์การตลาดในครั้งนี้ จีเอ็มเอ็ม แซท ได้เลือก "เต-ตะวัน วิหครัตน์" นักแสดงจาก จีเอ็มเอ็ม ทีวี เป็น Brand Ambassador สินค้าตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายของคนรุ่นใหม่ GEN Y และ GEN Z ที่มีพฤติกรรมการรับชมแบบ VOD  Streaming  เป็นส่วนใหญ่   

ทั้งนี้ สินค้าใหม่ "GMM Z TV STICK" เป็นอุปกรณ์รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตทีวี ที่มีระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ขนาดเล็ก พกพาสะดวก ที่จะทำให้ทีวีธรรมดาหรือทีวีรุ่นเก่ากลายเป็น  Smart TV รวมไปถึงยังตอบโจทย์ผู้ที่ใช้ทีวีรุ่นใหม่ได้มากขึ้นด้วย Play Store  ที่สามารถโหลดแอปพลิเคชันได้เหมือนโทรศัพท์มือถือ และยังให้ภาพคมชัดระดับ 4K สามารถใช้งานได้ทั้งบนรถยนต์ รถโดยสาร รวมไปถึงสามารถพกพาไปยังสถานที่ต่างๆ เพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่าย "GMM Z TV STICK" สามารถหาซื้อได้ที่ Advice, Banana IT, IT City และ JIB
#3653


กลุ่มบริษัทกัลฟ์ โดยนางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยนายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการฯ ร่วมลงนามสัญญาบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่ง 115 เควี และ 22 เควี ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ กฟภ.จะดำเนินงานบำรุงรักษาให้กับโรงไฟฟ้าเอสพีพี (SPP) 19 แห่ง ภายใต้กลุ่มบริษัทกัลฟ์ ส่งผลให้การจำหน่ายไฟฟ้าผ่านสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่งไฟฟ้ามีเสถียรภาพ ประสิทธิภาพ มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด

นางพรทิพา ชินเวชกิจวานิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่กลุ่มบริษัทกัลฟ์เลือกกฟภ.เข้ามาดำเนินงานบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า SPP 19 แห่ง เนื่องจากกฟภ. ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บริการงานบำรุงรักษาชั้นนำในธุรกิจอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศไทย กลุ่มบริษัทกัลฟ์และกฟภ. เป็นพันธมิตรกันมายาวนานกว่า 20 ปี จึงเชื่อมั่นในทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญสูง การเลือกใช้อุปกรณ์ ชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ที่ได้มาตรฐาน ทำให้ระบบไฟฟ้ามีสภาพสมบูรณ์อยู่เสมอ หนุนให้โรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าได้ตามแผนตลอดระยะสัญญา

นายสมพงษ์ ปรีเปรม ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่า กฟภ. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่กลุ่มบริษัท กัลฟ์มอบความไว้วางใจให้ กฟภ. เป็นผู้ดำเนินงานบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าให้กับโรงไฟฟ้าจำนวน 19 แห่ง กฟภ. พร้อมนำประสบการณ์ และความชำนาญ ในการให้บริการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมความมั่นคงในการจ่ายพลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ สัญญามีระยะเวลา 3 ปี ครอบคลุมงานบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในสถานีไฟฟ้า และระบบสายส่ง 115 kV และ 22 kV รวมไปถึงงานบริการฉีดน้ำลูกถ้วยแรงสูงแบบไม่ตัดกระแสไฟฟ้า (Hotline Cleaning Insulator) และการให้บริการซ่อมอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน 24 ช.ม. สำหรับโรงไฟฟ้า SPP 19 แห่งภายใต้กลุ่มบริษัทกัลฟ์ รวมมูลค่างานเป็นวงเงินกว่า 223 ล้านบาท
#3654
มาฟัง ดร.สมโชค เดชะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ออสซี่ออยล์ จำกัด ทางรายการ กรุงเทพธุรกิจ ในหัวข้อเรื่อง ออสซี่ออยล์แตกไลน์ 'น้ำมันแกลลอน' สู้ศึกโควิด
โอกาสมาถึงแล้ว..คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจลงทุนวันนี้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าในวันข้างหน้าหากสนใจทักแชทได้เลยนะคะ
Aussie oil ผู้เชียวชาญด้านธุรกิจพลังงานที่เราอยากแนะนำให้กับคุณ ...
ปรึกษาหรือสอบถามฟรี
สอบถามรายละเอียดได้ที่ :
Tel : 02-1114-7334  line: @aussieoil
(สามารถติดต่อได้ 9.00 - 17.00 น.)

https://youtu.be/cZRFXCcpzo0
#3655
 ข้าวสุขภาพ   ข้าวปลอดสารพิษส่งทั่วไทย #ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" /  ข้าวมะลินิลเกษตรอินทรีย์ คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




 ข้าวหอมมะลิสุขภาพข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิออแกนิคสำหรับทารก คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก  ข้าวกล้องปะกาอำปึลออร์แกนิคเลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก  ปลูกข้าวหอมมะลิแดงอินทรีย์ เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก   ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์   แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์สุรินทร์
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--22c6daqhyo0am1a6t.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1. ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิปลอดสารพิษ
3.  ข้าวปะกาอำปึลorganic
4. ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ออร์แกนิค จ.สุรินทร์
5.  ข้าวกล้องหอมมะลิแดงออแกนิค6.  ปลูกข้าวกล้องหอมมะลินิลออแกนิค7. ข้าวไรซ์เบอร์รี่


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
#3656


เมื่อเร็วๆนี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธาน ผลประชุมส่วนหนึ่งเห็นชอบเพิ่มเติมเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ให้เพียงพอและจูงใจเอกชน ลงทุนต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมจำนวน 7 แห่งตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี 4 แห่ง และ จังหวัดระยอง 3 แห่ง 

พื้นที่โครงการรวมประมาณ 8,000 ไร่ มีพื้นที่รองรับประกอบกิจการรวมประมาณ 6,000 ไร่ โดยมีเป้าหมายเงินลงทุนรวมประมาณ 3 แสนล้านบาท ภายใน 10 ปี (2564 – 2573) ได้แก่ เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการอุตสาหกรรม รูปแบบนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเติมจำนวน 5 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี 3 แห่ง ในจังหวัดระยอง 2 แห่ง

จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษจำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง จังหวัดระยอง เห็นชอบ เปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร ธรรมศาสตร์ (พัทยา) หรือ EECmd โดยขยายพื้นที่เพิ่ม 18.68 ไร่ เงินลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท
#3657


วันนี้ (8ส.ค.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่โซเชียลมีเดียได้มีการนำภาพซึ่งระบุว่ามาจากงานภารกิจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2564 เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่โรงพยาบาลท่าตะโก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มาโพสต์พร้อมระบุข้อความว่ารองนายกรัฐมนตรีเคลมว่าวัคซีนไฟเซอร์เป็นผลงานของตนเองนั้น เป็นการแสดงข้อความที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

สำหรับข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพร้อมกับการลงพื้นที่ก็ได้มีการตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐฯ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขและบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ด้วย ส่วนการจัดเตรียมป้าย หรือข้อความต่างๆ ก็จัดโดยเจ้าหน้าที่ในจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่พบข้อความที่มีการส่งต่อข้อความที่มีการส่งต่อทางโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด

"ในการลงพื้นที่จังหวัดหวัดนครสวรรค์ นอกจากท่านรองนายกฯอนุทินแล้ว ยังมีท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรคร่วมเดินทางด้วย ซึ่งภารกิจของการลงพื้นที่ก็คือการไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ ติดตามการดำเนินงานการควบคุมและแพร่ระบาดของโรคโควิด19 จากการสอบถามในคณะผู้ลงพื้นที่ ก็ไม่มีใครเห็นข้อความใดที่มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดีย ก็ยังสงสัยเช่นกันว่าข้อความนั้นอยู่ส่วนใดของงาน" น.ศ.ไตรศุลี กล่าว

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล หากเป็นการวิจารณ์บนข้อมูลและเป็นความจริง และเพื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนทำได้อยู่แล้ว แต่ขอความร่วมมืออย่าสร้างและส่งต่อข้อมูลที่ก่อความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่จะกระทบต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าปฏิบัติงานอย่างหนัก โดยเป้าหมายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเวลานี้คือการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่
#3658


วันนี้ (7ส.ค.64) นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวในสื่อโซเชียลว่า ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่สมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้วจะไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น


กระทรวงแรงงาน ขอชี้แจงว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ "ล็อกดาวน์" ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่จะได้รับเงินเยียวยาเป็นเวลา 1 เดือน จะต้องเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 และไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ได้นั้น ในเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการสมัครมาตรา 40 มีทั้งหมด 3 ทางเลือก

ทางเลือกที่ 1 ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ 70 บาทต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 3 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และค่าทำศพ

ทางเลือกที่ 2 ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท ต่อเดือน ได้รับสิทธิประโยชน์คุ้มครอง 4 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทำศพ และเพิ่มบำเหน็จชราภาพอีกหนึ่งกรณี

ทางเลือกที่ 3 ผู้ประกันตนจ่าย 300 บาท ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 5 กรณี มีทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ค่าทำศพ บำเหน็จ ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร ซึ่งสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) หรือสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ ที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม

Lazada แจกฟรีคูปองส่วนลด* คลิกเลย!!!

ขณะนี้ สำนักงานประกันสังคม ยังลดเงินสมทบได้ลดเงินสมทบ ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เหลือร้อยละ 60 ของเงินสมทบเดิม เป็นระยะเวลา 6 เดือนตั้งวันที่ 1 ส.ค. 64 -31 ม.ค. 2565 ให้แก่ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 เดิมจ่าย 70 บาท เหลือ 42 บาทต่อเดือน ทางเลือกที่ 2 เดิมจ่าย 100 บาท เหลือ 60 บาทต่อเดือน และทางเลือกที่ 3 เดิมจ่าย 300 บาท เหลือ 180 บาท

โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวยืนยันว่า การสมัครมาตรา 40 ไม่เกี่ยวข้องกับสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง (สปสช.) รวมทั้งสิทธิประโยชน์สวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ แต่อย่างใด และสิทธิที่เคยได้รับยังเหมือนเดิม และมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิตจากสำนักงานประกันสังคมเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

ส่วนสิทธิประโยชน์ของมาตรา 40 แต่ละทางเลือกขึ้นอยู่กับทางเลือกที่ผู้ประกันตนสมัคร

การสมัครมาตรา 40 เพื่อให้ได้มีหลักประกันทางสังคมจากรัฐบาล แรงงานนอกระบบหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ยังไม่มีหลักประกันทางสังคม จึงเร่งรัดให้สำนักงานประกันสังคมอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการอาชีพอิสระได้สมัครมาตรา 40 เพื่อเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อมีเงินออมในระยะยาว สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและอุดหนุนเยียวยาจากมาตรการต่างๆ จากภาครัฐได้ในอนาคต

สำนักงานประกันสังคม ประกาศแจ้ง "แรงงานอิสระ" ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด สมัคร มาตรา 40 แล้ว ชำระเงินงวดแรกไม่ทันในเดือน ก.ค.64 ให้รีบจ่ายภายในวันที่ 10 ส.ค. นี้ เพื่อรับสถานะความเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมาย พร้อมรับสิทธิเยียวยา 5,000 บาท

ที่มา สำนักงานประกันสังคม และ กระทรวงแรงงาน
#3659


การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 3 เริ่มมีผลกระทบชัดเจน ในพื้นที่ที่กำลังซื้อหลักเป็นพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมหรือกลุ่มโรงงานซึ่งมีโอกาสที่จะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลกระทบโดยตรงจากรายได้ที่ไม่แน่นอนและการระบาดของคลัสเตอร์ใหม่ในกลุ่มโรงงาน สะท้อนให้เห็นจากยอดการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านใหม่ (นิติบุคคล)ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยสายงานสินเชื่อธุรกิจ ระบุว่าในไตรมาสแรกปีนี้ของกลุ่มสินค้าทาวน์เฮ้าส์ ที่ปรับตัวลดลงมากในจังหวัดนครปฐม -88% สมุทรสาคร -45% และ สมุทรปราการ -28%

ส่วนภาพรวมการเปิดโครงการใหม่พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลในไตรมาสแรกปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 โดยมีจำนวนยูนิตเปิดใหม่รวม 12,985 ยูนิต ลดลง 7,212 ยูนิต (-35%) จากการที่ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัวโดยจับกลุ่มเป้าหมายที่ยังมีกำลังซื้อและได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่มาก พบว่ากลุ่มสินค้าที่มียูนิตเปิดขายสูงสุดคือคอนโดมิเนียม โดยมียูนิตขายใหม่เข้ามาในตลาด 5,857 ยูนิต ลดลง (-15%) จากไตรมาสแรก 2563 ซึ่งกลุ่มนี้เริ่มเห็นภาพการชะลอเปิดตัวตั้งแต่ต้นปี 2563 รองลงมาคือ กลุ่มทาวน์เฮ้าส์มียูนิตเปิดขายใหม่ 4,159 ยูนิต ลดลง (-56%) จากไตรมาสแรก 2563 ส่วนบ้านเดี่ยวมียูนิตเปิดขายใหม่ 1,274 ยูนิตลดลง (-44%) จากช่วงเดียวกัน

กลุ่มโครงการที่เปิดใหม่และขายดี เป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3-5 ล้านบาท และกลุ่ม 5-10 ล้านบาท ซึ่งถ้าเจาะลึกลงไปในรายสินค้าจะเห็นว่ากลุ่มทาวน์เฮ้าส์เป็นสินค้าเปิดใหม่ที่ขายดีที่สุด โดยกลุ่มระดับราคาที่ขายดีเป็นช่วงระดับราคา 3-4 ล้านบาท (ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น) และระดับราคา 5-7 ล้านบาท (ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น) และที่น่าสนใจคือ บ้านแฝดในระดับราคา 5-7 ล้านบาทในพื้นที่เมืองรอบนอก ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนบ้านเดี่ยวที่ขยับราคาสูงขึ้นเป็น 8-10 ล้านบาท โดยพื้นที่ที่ทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝดมีการเปิดขายใหม่มากที่สุด คือโซนฝั่งบางนา-ศรีนครินทร์ รามอินทรา รังสิต-ลำลูกกา (ไม่เกินแนววงแหวนตะวันออก) ส่วนกลุ่มคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่และขายดีมีแนวโน้มที่จะปรับราคาลดลงเป็นกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท

ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังไม่แน่ชัดว่ายาวนานเพียงใด ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าและอาจจะไม่ได้ตามเป้าหมายในปี 2564 การติดเชื้อโควิด-19 ที่กระจายเพิ่มในกลุ่มแรงงานก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรม สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น กลุ่มกำลังซื้อใหม่ยังมีอัตราการว่างงานสูง กลุ่มกำลังซื้อต่างชาติที่ยังไม่กลับมาในปีนี้ หรือการอนุมัติสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยที่เข้มงวดขึ้น จะเป็นอุปสรรคที่ชะลอความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้ตลาดมีแนวโน้มหดตัวลงเป็นกลุ่มกำลังซื้อที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น และเกิดการแข่งขันแย่งตลาดที่ยังมีกำลังซื้อดังกล่าว

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดยสายงานสินเชื่อธุรกิจ ระบุว่าการปรับตัวและมองหาโอกาสจากช่องว่างของตลาดเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่อุปสงค์ชะลอตัว อาทิ

- การเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบน้อย
- การกำหนดเซ็กเมนต์โดยนำเสนอสินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น
-การสร้างรูปแบบบริการที่รองรับสถานการณ์การใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มัล
-การบริหารสภาพคล่องของกระแสเงินสด
-การบริหารจัดการต้นทุนและความสมดุลของสต็อคบ้านที่ก่อสร้างกับอัตราการขายที่เหมาะสม
-การกำหนดแผนสำรองกรณีกลุ่มเซ็กเมนต์เดิมไม่สร้างยอดขาย การปรับรูปแบบสินค้าได้เร็ว
-การมองหาโอกาสในทำเลใหม่ๆ และกลุ่มเซ็กเมนต์ที่อุปทานในพื้นที่มีเหลือไม่มากหรือมีคู่แข่งขันน้อย
- การพัฒนาสินค้าใหม่ในทำเลซึ่งได้ประโยชน์จากการปรับปรุงผังเมืองกรุงเทพมหานคร จะเป็นช่องสำหรับเติมเต็มความต้องการสินค้าในบางระดับราคาที่ไม่สามารถเป็นไปได้ตามผังเมืองเดิม

เป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระหว่างสถานการณ์ที่โควิด-19 ยังไม่เห็นบทสรุป
#3660


ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าหรือ 11 สิงหาคม 2564 "วงเงินฝากซึ่งจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝากจะลดลงมาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายสถาบันการเงิน":[1] ซึ่งในกรณีของไทยนั้น เป็นการนับถอยหลังกระบวนการทยอยลดการคุ้มครองเงินฝากตามลักษณะจำนวน (Blanket Guarantee) ที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ทศวรรษ (ตั้งแต่ 11 ส.ค. 2554-11 ส.ค. 2564) โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองว่า การลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองลงมาน่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างวินัยทางการเงินที่มีความรอบคอบทั้งในด้านสถาบันการเงินและผู้ฝากเงิน เพื่อลดโอกาสของการเกิดภาระของภาครัฐและผู้เสียภาษีดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540


นอกจากนี้กำหนดการสำหรับการปรับลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองก็มีการวางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของสถาบันการเงินไทยในปัจจุบันทำให้ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเลื่อนเวลาออกไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติด้านการคุ้มครองเงินฝากตามรายงานของ International Association of Deposit Insurers (IADI)[2] ที่ระบุว่า สถาบันประกันเงินฝากส่วนใหญ่ยังคงระดับการค้ำประกันเงินฝากไว้ตามเดิม โดยที่ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นดังเช่นวิกฤตปี 2008 (เนื่องจากทางการได้ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบหลากหลายด้านเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินมีการปฏิรูปการดำเนินงานหลังวิกฤต ทำให้เข้มแข็งขึ้นมาก) ขณะที่การเปิดโอกาสให้ผู้มีเงินออมสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นส่วนที่สะท้อนว่า ระบบการเงินของไทยไม่ได้เผชิญกับปัญหาด้านสภาพคล่องเหมือนกับวิกฤติปี 2540 ด้วยเช่นกัน

การลดวงเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองยุคโควิด...ผลกระทบต่อย้ายเงินฝากน่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีสถานะสภาพคล่องและเงินทุนที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ยังเป็นตัวเลือกที่ดีในการฝากเงินและสร้างความมั่นใจให้ผู้ฝากว่าจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน พร้อมผลตอบแทนในอัตราที่กำหนด ขณะที่การฝากเงินที่ธนาคารพาณิชย์ตอบโจทย์มากกว่าเรื่องของความมั่นคง นั่นคือ ความสะดวกสบายในการใช้บริการทางการเงินอื่นๆ ทั้งโอนเงิน ชำระเงิน รวมถึงเป็นรากฐานข้อมูลการทำธุรกรรมเพื่อใช้บริการสินเชื่อในอนาคต หรือเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ
 

 เมื่อย้อนกลับมาดูสถานะทางการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในไทยและสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ) พบว่า มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมสูงถึง 20.12% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ประมาณ 11-12%[3] รวมถึงมีการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (% LCR) ที่ 195.14% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ปัจจุบันของทางการที่ 100% ขณะที่ แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิดที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ด้วยสถานะทางการเงินที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤตปี 2540 อย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับมีเกณฑ์การผ่อนปรนจากทางการ อาทิ ความยืดหยุ่นในการจัดชั้นหนี้ และการกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพในระดับสูงถึง 1.49 เท่าของเอ็นพีแอล  ดังนั้น จึงทำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนได้ โดยที่ยังทำหน้าที่เกื้อกูลช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบและทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่ยังมีธุรกิจอยู่ ประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ สามารถส่งมอบเงินฝากพร้อมผลตอบแทนคืนให้ผู้ฝากได้ทุกบาททุกสตางค์    

 

แม้จะลดวงเงินฝากคุ้มครองมาที่ 1 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน แต่ความครอบคลุมจำนวนบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ยังสูงถึงกว่า 98.0% โดยครอบคลุมผู้ฝากเงิน 82.1 ล้านราย (ข้อมูลจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) สอดคล้องกับหลักการของการคุ้มครองเงินฝากที่ให้สวัสดิการดูแลพื้นฐานกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ขณะที่หากมองในมิติเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ ความคุ้มครองจะครอบคลุมประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1 ใน 5 ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์รวมทั้งหมด เนื่องจากประกอบด้วยบัญชีบุคคลรายย่อยที่มีฐานะ บัญชีเงินฝากกลุ่มสถาบัน หรือธุรกิจ ที่มีมูลค่าเงินฝากต่อบัญชีจำนวนมากกว่า 1 ล้านบาทในสัดส่วนอีก 4 ใน 5 ที่เหลือ ซึ่งมองว่ากลุ่มผู้ฝากเหล่านี้มีความรู้เพียงพอที่จะดูแลความมั่งคั่งของตนให้ปลอดภัยได้ รับความเสี่ยงจากการออม/ลงทุนได้มากกว่า รวมถึงใช้บัญชีเงินฝากเพื่อเป็นทางผ่านของธุรกรรมการเงินเพื่อธุรกิจมากกว่าการออมเพื่อได้รับความคุ้มครองเงินต้นและดอกเบี้ย

 

สำหรับแนวโน้มเงินฝากในระยะที่เหลือของปี 2564 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มเติบโตในกรอบ 3.5-4.5% เทียบกับอัตราการเติบโตที่ประมาณ 3.6% YoY ณ เดือนมิถุนายน 2564 โดยสาเหตุที่ทำให้เงินฝากเติบโตในกรอบจำกัด มาจาก คือ 1) ผลกระทบจากโควิดหลายระลอก ซึ่งคาดว่าจะกระทบอัตราการขยายตัวของเงินฝากในกลุ่มเงินฝากที่มียอดคงค้างต่อบัญชีไม่สูงมากนัก เนื่องจากรายได้ที่ลดลง/หายไป ทำให้ภาระหนี้เพิ่มและอาจต้องพึ่งเงินออมในการประคองการใช้จ่ายจำเป็น และ 2) การกระจายการลงทุนไปสู่ช่องทางอื่นๆ ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งน่าจะอธิบายอัตราการเติบโตของเงินฝากในกลุ่มที่มียอดคงค้างต่อบัญชีในระดับสูง ที่เห็นการเติบโตชะลอลงค่อนข้างชัดเจน นอกเหนือไปจากการที่ผู้ฝากกลุ่มนี้ ซึ่งคงปะปนด้วยผู้ที่มีธุรกิจส่วนตัว จะนำเงินออมไปประคองธุรกิจบางส่วนเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ระยะถัดไป หากเทียบกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น การที่มีรัฐช่วยสร้างความมั่นใจในการคุ้มครองเงินฝาก อาจช่วยเพิ่มโอกาสและขีดความสามารถของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการดึงเงินฝากมูลค่าสูงและจากกลุ่มผู้ฝากที่พึ่งเงินออมเพื่อเกษียญอายุ อันอาจมีผลต่อการกำหนดอัตราผลตอบแทนเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สำหรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวให้แข่งขันได้มากขึ้น นอกเหนือจากนั้น คาดว่าธนาคารพาณิชย์คงเน้นการนำเสนอบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุน ทั้งที่ผ่านผู้ดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าและระบบอัตโนมัติในลักษณะ Application หรือ Robo Advisors เพื่อเปิดทางเลือกของการลงทุนที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงทางเลือกที่ดูแลเงินต้นและสร้างผลตอบแทนที่แข่งขันได้กับเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์มากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าเงินฝากส่วนที่เกินจากความคุ้มครองขั้นต่ำด้วย

[1] สถาบันการเงินของไทยภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ สาขาธนาคารต่างประเทศ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซแอร์ รวมทั้งสิ้น 35 แห่ง

[2] https://www.iadi.org/en/news/recent-iadi-covid-19-survey-results-and-briefing-note-on-ensuring-business-continuity-and-effective-crisis-management-activities-for-deposit-insurers/ (ปี 2020)

[3]  เกณฑ์ 11% สำหรับ ธ.พ. ทั่วไป และ 12 % สำหรับ D-SIBs