• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Chigaru

#6721
ญี่ปุ่นพาผู้ลี้ภัยยูเครน 20 ชีวิตเดินทางสู่กรุงโตเกียวด้วยเที่ยวบินพิเศษ

รัฐบาลญี่ปุ่นพาผู้ลี้ภัยชาวยูเครนจำนวน 20 คนเดินทางสู่กรุงโตเกียวในวันนี้ (5 เม.ย.) โดยถือเป็นการสนับสนุนความพยายามของประชาคมโลกในการช่วยเหลือยูเครนครั้งสำคัญ แม้ที่ผ่านมาญี่ปุ่นปฏิเสธที่จะรับชาวต่างชาติเข้าประเทศมาโดยตลอด

ทั้งนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยว่า ชาวยูเครนทั้ง 20 คน ซึ่งอายุระหว่าง 6?66 ปี โดยในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง 15 คน ไม่ใช่ผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกที่อพยพเข้าญี่ปุ่นนับตั้งแต่รัสเซียเปิดปฏิบัติการรุกรานยูเครนในวันที่ 24 ก.พ. แต่พวกเขาเป็นผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกที่เดินทางด้วยเครื่องบินพิเศษของรัฐบาล ซึ่งนายโยชิมาสะ ฮายาชิ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้เตรียมการ

"รัฐบาลญี่ปุ่นสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อชาวยูเครนทั้ง 20 รายนี้เพื่อช่วยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในญี่ปุ่น แม้ว่าพวกเขาต้องจากบ้านเกินมาไกลแสนไกล" นายฮายาชิกล่าวต่อผู้สื่อข่าวในโปแลนด์ ก่อนที่เขาและผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าวจะมุ่งหน้าเดินทางสู่ญี่ปุ่นเพียงไม่นาน

รายงานข่าวระบุว่า ญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงที่จะรับผู้อพยพต่างชาติมาอย่างยาวนาน แม้จะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงานเรื้อรัง อย่างไรก็ดี ผลสำรวจความคิดเห็นหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่สนับสนุนเรื่องการรับผู้ลี้ภัยชาวยูเครน

ผู้ลี้ภัย 20 คนนี้จะไปสมทบกับผู้ลี้ภัยชาวยูเครนอีกเกือบ 400 คนซึ่งอพยพไปยังญี่ปุ่นนับตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครน
#6722
ราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวแคบ ดอลล์แข็ง-บอนด์ยีลด์พุ่งกดดันตลาด

ราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวแคบในวันนี้ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

ณ เวลา 22.12 น.ตามเวลาไทย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. บวก 0.3 ดอลลาร์ หรือ 0.01% สู่ระดับ 1,934.30 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะลดความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ขณะที่การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่ต่ำกว่าคาด

ตลาดจับตารายงานการประชุมของเฟดประจำเดือนมี.ค. ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
#6723
รัสเซียเล็งใช้เงินรูเบิลในการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น

นายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน เปิดเผยวานนี้ (3 เม.ย.) ว่า การค้าระหว่างประเทศของรัสเซียจะใช้เงินสกุลรูเบิลในการทำธุรกรรมเพิ่มมากขึ้น
นายเพสคอฟให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลรัสเซียว่า การชำระเงินด้วยสกุลเงินรูเบิลยังคงเป็นระบบต้นแบบการชำระเงิน โดยการชำระเงินด้วยสกุลรูเบิลจะขยายครอบคลุมกลุ่มสินค้าใหม่ และมีบทบาทมากขึ้นในการค้าระหว่างประเทศของรัสเซีย

ส่วนการใช้สกุลรูเบิลชำระค่าก๊าซรัสเซียนั้น นายเพสคอฟกล่าวว่าผู้ซื้อจะจ่ายด้วยสกุลเงินตามที่ระบุไว้ในข้อตกลง แต่การชำระเงินขั้นสุดท้ายจะถูกส่งเป็นสกุลรูเบิลไปยังผู้ขาย ซึ่งคือก๊าซพรอม (Gazprom) บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอุตสาหกรรมของรัสเซีย โดยใช้เงินยูโรหรือดอลลาร์สหรัฐซื้อเงินรูเบิล

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายเพสคอฟเสริมว่าการชำระค่าก๊าซรัสเซียด้วยเงินรูเบิลคือ การประกันความมั่นคงทางการค้าของรัสเซียและไม่ได้กลั่นแกล้งใคร

 
#6724
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผันผวน นักลงทุนกังวลวิกฤตยูเครน-ราคาน้ำมันปรับขึ้น
 
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผันผวนเช้านี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งผลกระทบจากการที่รัสเซียถูกคว่ำบาตรหลังใช้กำลังทหารโจมตียูเครน

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,965.94 จุด เพิ่มขึ้น 229.47 จุด หรือ +0.83%

ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการวันนี้ (5 เม.ย.) เนื่องในเทศกาลเชงเม้ง

ภาวะการซื้อขายในภูมิภาคยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยล่าสุดประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่กองทัพรัสเซียได้สังหารโหดพลเรือนยูเครนในเมืองบูชา (Bucha) ใกล้กับกรุงเคียฟซึ่งเป็นเมืองหลวงของยูเครนนั้น ได้ทำให้การเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนประสบความยากลำบากมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันจันทร์ (4 เม.ย.) ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ตลาดน้ำมันโลกอาจเผชิญภาวะตึงตัวมากขึ้น หากสหรัฐและยุโรปใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียในระดับที่รุนแรง อันเนื่องมาจากการที่ทหารรัสเซียสังหารหมู่ชาวยูเครนในพื้นที่ใกล้กรุงเคียฟ

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. พุ่งขึ้น 4.01 ดอลลาร์ หรือ 4% ปิดที่ 103.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 3.14 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 107.53 ดอลลาร์/บาร์เรล

นักลงทุนยังจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินและการแถลงมติอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางออสเตรเลียในวันนี้ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่น ๆ ได้แก่ ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศและอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ของเกาหลีใต้ รวมถึงการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนก.พ. ของญี่ปุ่น
#6725
ไปรษณีย์ไทย ชวนร่วมแคมเปญ "ไปรษณีย์ reBOX" นำกล่อง/ซองที่ไม่ใช้แล้วมาส่ง รับทันที 1 แต้ม สะสมเพื่อแลกส่วนลดค่าส่งพัสดุสูงสุด 1,000 บาท

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด คืนกำไรให้ผู้เข้าร่วมแคมเปญ ไปรษณีย์ reBOX "reBOX to School" ผ่านการมอบแต้ม POST FAMILY สิทธิประโยชน์จากแต้มสะสม เพียงรวบรวมกล่องพัสดุ/ซองที่ไม่ใช้แล้วมาให้ ณ จุด Drop Box จุด Drive Thru ที่ทำการไปรษณีย์ ทั่วประเทศ และหน่วยงานพันธมิตร โดยสามารถแลกเป็นส่วนลดค่าจัดส่งได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุดถึง 1,000 บาท เพื่อใช้ในบริการส่งด่วน EMS ในประเทศ ส่งด่วนต่างประเทศ EMS World ลงทะเบียนในประเทศ และลงทะเบียนต่างประเทศ เริ่มรับแต้มได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยยังคงมุ่งสร้างการมีส่วนร่วมทางสังคมในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเหลือใช้ผ่าน แคมเปญไปรษณีย์ reBOX ที่ในปีนี้ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยตลอดระยะเวลาการดำเนินงานที่ผ่านมาได้มีส่วนร่วมทำให้ประชาชน ภาครัฐ และภาคธุรกิจ เกิดพฤติกรรมที่ดีในการนำกล่องพัสดุ/ ซองที่ไม่ใช้แล้วมาต่อยอดเป็นสิ่งของใหม่ที่มีคุณค่า และทำให้การใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็น เรื่องที่ใกล้ตัว ตลอดจนเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ของหลาย ๆ เจเนอเรชั่น

ทั้งนี้ จากการตอบรับที่ดีของผู้ใช้บริการ ไปรษณีย์ไทยจึงมีความตั้งใจในการคืนกำไรให้กับผู้ที่ เข้าร่วมแคมเปญ ไปรษณีย์ reBOX "reBOX to School" ด้วยการสะสมแต้ม POST FAMILY ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์ที่สมาชิกจะได้รับ จากการนำกล่อง/ซองมาส่งมอบ ณ จุด Drop Box จุด Drive Thru ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ และหน่วยงานพันธมิตร

โดยผู้ที่นำกล่องพัสดุ / ซองที่ไม่ใช้แล้วมาส่งจะได้รับแต้มสะสมเพื่อนำไปแลกเป็นส่วนลด ในการส่งสิ่งของ พัสดุ และไปรษณียภัณฑ์ พร้อมด้วยรางวัลพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ 1: Scan QR Code - นำกล่องพัสดุ/ซอง มาส่งมอบ ณ จุดต่างๆ ที่ไปรษณีย์ไทยกำหนด สามารถสแกนคิวอาร์โค้ดที่หน้า Roll Pallet ณ จุดบริเวณรับกล่อง/ซอง เพื่อบันทึกข้อมูลการส่งมอบกล่อง/ ซอง หรือ ผ่านทางเว็บไซต์ https://rebox.thailandpost.com/
ขั้นตอนที่ 2: กรอกข้อมูลการส่งมอบกล่อง/ซอง - โดยหลังจากสแกนคิวอาร์โค้ดเสร็จแล้ว ระบบจะนำเข้าสู่เว็บฟอร์มเพื่อกรอกข้อมูลการส่งมอบ โดยกรอกรหัสไปรษณีย์ ชื่อ - นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ที่สมัคร POST FAMILY และวันที่ส่งมอบกล่อง/ ซอง เพื่อรับแต้ม ในวันถัดไป
ขั้นตอนที่ 3 : บันทึกข้อมูลเข้าระบบ โดยมีเงื่อนไขการรับแต้มในทุกการส่งต่อกล่อง/ซอง ต่อ 1 ครั้ง จะได้รับแต้ม POST FAMILY 1 แต้มสูงสุดต่อ 1 วัน ต่อบัญชีผู้ใช้งาน โดยตลอดระยะเวลาแคมเปญ จะได้รับแต้มสูงสุดไม่เกิน 50 แต้ม กรณีไม่พบข้อมูลการเป็นสมาชิก ระบบขอสงวนสิทธิ์ในการรับแต้ม POST FAMILY แก่ลูกค้า นอกจากนี้ การเข้าร่วมแคมเปญดังกล่าวจะยกเว้นไปรษณีย์อนุญาต ร้านไปรษณีย์ไทย EMS Point และร้านรับรวบรวม
สำหรับแต้มสะสมสามารถแลกเป็นส่วนลดค่าจัดส่งพัสดุ - ไปรษณียภัณฑ์ ในบริการส่งด่วน EMS ในประเทศ EMS World ลงทะเบียนในประเทศ และลงทะเบียนต่างประเทศ โดยเริ่มต้นที่ 500 แต้มสามารถแลกเป็นส่วนลด 50 บาท 1,000 แต้ม แลกส่วนลดได้ 100 บาท 3,000 แต้ม แลกส่วนลดได้ 300 บาท 5,000 แต้ม แลกส่วนลดได้ 500 บาท 8,000 แต้ม แลกส่วนลดได้ 800 บาท สามารถแลกได้สูงสุด 10,000 แต้มเพื่อแลกรับส่วนลด 1,000 บาท เพียงแสดงบัตรประจำตัวประชาชนของสมาชิกก่อนใช้บริการ และสามารถเริ่มใช้สิทธิ์แลกแต้มได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถสมัครเป็นสมาชิก POST FAMILY ผ่านทางเว็บไซต์https://thailandpost.force. com/postfamily/Signup ได้แล้ววันนี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดร. ดนันท์ กล่าวสรุป
#6726
'หม่อมอุ๋ย' เร่ง ธปท.พัฒนาดิจิทัลเคอร์เรนซี่ - ป้องกันไม่ให้คริปโทเคอร์เรนซี่ขยายเข้าไปในวงการค้าได้

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานเสวนา 'เหลียวหลัง แลหน้า อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย' โดยได้ชื่นชมทัศนคติของ ธปท.ในปัจจุบันเกี่ยวกับการดูแลเรื่องคริปโทเคอร์เรนซี่ ที่ห้ามไม่ให้นำคริปโทฯ ไปใช้ในการซื้อ-ขายสินค้า แต่ในขณะเดียวกัน ธปท.ได้พัฒนาเกี่ยวกับดิจิทัลเคอร์เรนซี่ขึ้นมา ซึ่งอยากให้ ธปท.พัฒนาให้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้คริปโทเคอร์เรนซี่ขยายเข้าไปในวงการค้าได้

ส่วนมุมมองต่อนโยบายการคลังในปัจจุบันนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เห็นว่า นโยบายการคลังในปัจจุบันเหมือนไม่มีนโยบายการคลัง เพราะเป็นการใช้เงินงบประมาณไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงว่าจะมีการขาดดุลงบประมาณเท่าไรถึงจะเพียงพอ ทั้งนี้ มองว่าตอนนี้ประเทศควรจะเน้นการมีนโยบายการคลังที่จริงจัง ขณะที่นโยบายการเงินก็ยังคงต้องทำหน้าที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจต่อไป เพราะหากเศรษฐกิจของประเทศไม่เติบโต การเก็บภาษีเพื่อนำมาพัฒนาประเทศก็จะทำได้ยาก

'มันอยู่ตรงนี้ ตรงที่คนที่ดำเนินนโยบายการคลัง เขาไม่ดำเนินนโยบายการคลังในสิ่งที่ควรจะทำ ถ้าทำในสิ่งที่ควรทำ นโยบายการเงินก็ช่วยสนับสนุน ก็หมดปัญหาไป อยู่ที่ผู้นำรัฐบาลว่าจะคิดหรือไม่คิด' ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุ
พร้อมฝากให้ ธปท. ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องคำนึงว่าจะถูกใจนักการเมืองหรือไม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าทำตัวเป็นอิสระโดยไม่ฟังใคร แต่ทั้งนี้ต้องฟังความเห็นจากผู้ที่ทำงานด้านเศรษฐกิจ โดยนำความคิดเห็นมาประกอบกัน นโยบายการเงินต้องประสานกับนโยบายการคลังเพื่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจ ผู้ว่าฯ ธปท.จะต้องประสานงานกับ รมว.คลัง ให้เข้าใจกันอย่างดี ไม่ทำตัวเหนือกระทรวงการคลัง แต่ไม่ใช่ทำตามไปหมด และสุดท้าย ธปท. ต้องถือว่าธนาคารพาณิชย์เป็นลูก ไม่ใช่เป็นศัตรู หากทำผิดก็ลงโทษได้ ให้ปรับปรุงแก้ไขให้ดี แต่ไม่ใช่ลงโทษเพื่อทำลาย เพราะธนาคารพาณิชย์เป็นกำลังสำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจ ธปท.ช่วยเศรษฐกิจไม่ได้ถ้าไม่มีธนาคารพาณิชย์

นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ อดีตผู้ว่าการ ธปท. กล่าวในงานเดียวกันวา ความท้าทายของ ธปท.ที่เห็นได้ชัดเจนในขณะนี้ คือความท้าทายที่มาจากด้านเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เกิดเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ อยู่เสมอ แม้จะมีข้อดีที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนในยุคปัจจุบันและเป็นทางเลือกที่ดี แต่ในฐานะ ธปท.ต้องมองไปข้างหน้าว่าจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง และจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด เช่น ทำให้ Landscape ของสถาบันการเงินเปลี่ยนแปลงแค่ไหน การตอบสนองต่อผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน ซึ่ง ธปท.ต้องทันต่อเหตุการณ์นั้น หลายเรื่องเปรียบเหมือนต้องไล่ตามสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่เชื่อในพื้นฐานที่วางไว้ดี

'ในเรื่องคริปโทฯ เราใช้ความเป็นผู้กำกับดูแลที่จะบอกว่าเราไม่สนับสนุนให้ทำ เป็นการออกแรงอย่างทันสมัย การทำงานของธปท.อาจยากขึ้น เพราะมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้นกว่าในอดีต' นายชัยวัฒน์ กล่าว
พร้อมกันนี้ นายชัยวัฒน์ ยังให้ความเห็นต่อนโยบายการคลังในปัจจุบันว่า ในส่วนของภาครัฐค่อนข้างมีความน่าเป็นห่วง เพราะภาระหนี้สูง และยังมีการขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ซึ่งภาระทางการคลังได้ซ่อนปัญหาไว้ในระยะยาว นอกจากนี้ ยังทำให้ประชาชนมองว่าการทำนโยบายประชานิยมกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่นโยบายการคลังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดีกว่านี้ ภาระจะตกมาอยู่ที่นโยบายการเงิน

'ปัญหาเศรษฐกิจหลายเรื่องที่เกิดขึ้นมักมาจากภาคของ real sector ซึ่งสุดท้ายมาส่งผลให้การเงินไม่มีเสถียรภาพ ทั้งที่การเงินอยู่ปลายเหตุ ทำให้เป็นภาระของนโยบายการเงินที่จะต้องเข้ามาแก้ไข ดังนั้นต้องพยายามออกแรงพูดุคุยกับรัฐบาล ที่ส่วนมากเขาก็ไม่ค่อยฟัง เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผมว่าเราจะเหนื่อยมาก แต่ก็ต้องพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และเมื่อไรที่มีความจำเป็นชัดเจนว่าเราต้องทำนโยบายที่คนไม่ชอบ เราก็ต้องใจแข็งที่จะทำ เพราะถ้าไม่มีเรา (ธปท.) เป็นด่านสุดท้าย ก็ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะตกเหวไปอยู่ที่ไหน' นายชัยวัฒน์ระบุ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่า ธปท. กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ขณะนี้ไม่ใช่เรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ เป็นเรื่องการบริหารจัดการ หรือธรรมาภิบาลของประเทศ เป็นเรื่องระบบยุติธรรม ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อย เชื่อว่าธรรมาภิบาลไม่ดี จึงเกิดการขัดขวาง ไม่เห็นด้วย (discourage) เช่น กรณีประเทศมีผู้ที่บอกว่าขาดคนที่เก่งความรู้เทคโนโลยี ซึ่งเด็กรุ่นใหม่เก่งมาก แต่เลือกไปทำงานที่ต่างประเทศ เป็นเรื่องที่กว้างกว่าเศรษฐกิจจริง ไม่ใช่เรื่องนโยบายการเงินการคลัง จึงจำเป็นต้องมีการปรับวิธีการคิด (Rethink) หรือปรับรูปแบบ (Reform) การบริหารราชการใหม่

พร้อมมองว่า เสาหลักสำคัญ 3 เสาของ ธปท. คือ 1. การมีกรอบนโยบายการเงินที่ยืดหยุ่น มีธรรมาภิบาล และมีเครื่องมือทางการเงินที่เพียงพอในการแก้ไขปัญหา 2.มีบุคลากรที่มีความสามารถ และระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ 3.มีประวัติศาสตร์ที่ดี ค่านิยมที่ดี สามารถปรับตัวให้เข้ากับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปได้

นายประสาร ยังให้ความเห็นต่อเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมองว่าขณะนี้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเพียงฉากหนึ่ง บทหนึ่ง เป็นจุดเล็กๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านเข้ามา ซึ่งในอนาคตก็อาจมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอีก ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายที่ไม่รู้จบ แต่หลักการของ ธปท. คือ 1. ต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต 2. ถ้ามีเรื่องต้องปรับเปลี่ยนเมื่อไร จะต้องรู้ก่อน 3. ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายให้เกิดประสิทธิภาพ

ด้าน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ได้เคยผลักดันให้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกในงานสัมมนาวิชาการประจำปี ทำให้ได้แนวคิดใหม่ๆ จากทุกภาคส่วนเพื่อเปิดหูเปิดตา ธปท.ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศ แต่ปัจจุบันการจัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี จะเป็นการนำเสนอความคิดเห็นของบุคลากรของ ธปท.เสียส่วนใหญ่ ทำให้ไม่มีใครกล้ามาถกเถียงด้วยเพราะเกรงใจ ธปท. นอกจากนี้ ยังมีอีกเรื่องที่พยายามผลักดัน คือความเป็นอิสระในการทำงาน ซึ่งมาจนถึงปัจจุบันประสบความสำเร็จเพียงครึ่งเดียว

ส่วนนางธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ที่ผ่านมา มีประสบการณ์การทำงานในการแก้ไขปัญหาวิกฤต 2 ครั้ง คือ ในปี 2540 และปี 2551 ซึ่งมีความท้าทายและความตื่นเต้น โดยงานหลักของ ธปท. คือการสร้างความเชื่อมั่น และคิดว่าในการทำงานของผู้ว่าฯ ธปท. แต่ละคนน่าจะมีความท้าทายต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม

ในช่วงที่เป็นผู้ว่าฯ ธปท. ต้องเผชิญปัญหาเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นประเทศเปิด และมีระบบเศรษฐกิจเล็ก ทำให้ต้องกำหนดมาตรการกันสำรอง 30% เพื่อสกัดเงินทุนต่างประเทศระยะสั้นไหลเข้าอย่างเดียว ซึ่งช่วยให้มีเวลาที่จะติดตามแหล่งที่มาของเงินทุนได้มากขึ้น ธปท.มีหน้าที่ทำอย่างไรให้การดูแลเครื่องจักรทางเศรษฐกิจทุกตัวให้สามารถทำงานอย่างแข็งแรงได้อย่างยั่งยืน โครงสร้างเศรษฐกิจมีความสมดุล โดย ธปท.มีความจำเป็นที่จะไปพูดคุยกับภาคเอกชน

สิ่งที่ท้าทายมากขณะนี้ คือปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปมาก ซึ่งรัฐบาลมองว่ามีสาเหตุจากราคาน้ำมัน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นการซ้ำเติมประชาชน ซึ่ง ธปท.จำเป็นต้องชี้แจงให้ประชาชนเกิดความเข้าใจถึงการทำงานด้วยหลักการและเหตุผล

สำหรับวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่สภาพคล่องเหือดหายไปจากระบบนั้น ยังมีความโชคดีที่ธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ได้พึ่งพาเงินในระบบจึงไม่เกิดปัญหาเรื่องสินเชื่อ นอกจากนี้ ยังมีการยกระดับธนาคารพาณิชย์ให้รับรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น จนสามารถผ่านพ้นวิกฤตได้

ส่วนความท้าทายทางการเมืองในฐานะที่ได้ทำงานร่วมกับ 4 รัฐบาล และ 5 รมว.คลังนั้น โดยผลกระทบด้านบวกในช่วงที่เป็น สนช. ทำงานง่ายขึ้น เพราะส่วนหนึ่งมาจากภาคเอกชน ส่วนผลกระทบด้านลบนั้น เคยเจอฝ่ายการเมืองอยากเอาคนของตัวเองที่มีประวัติด่างพร้อยเข้ามาเป็นกรรมการในธนาคารที่กองทุนการเงินฯ ถือหุ้นอยู่ แต่สามารถดำเนินการป้องกันไว้ได้ แม้จะเกิดแรงกดดันพอสมควร และถือเป็นเรื่องสำคัญที่ ธปท.ต้องยึดความถูกต้อง โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลกระทบตามมาอย่างไร และในช่วงปี 52-53 ที่เกิดการชุมนุมทางการเมือง ธปท.สามารถดูแลระบบสถาบันการเงินของประเทศไม่ให้เกิดผลกระทบจากความเสี่ยงทางการเมือง

'เรื่องผู้บริหารมีความสำคัญ หากไม่มีความสุจริต จะเกิดปัญหามากมายตามมาในภายหลัง' นางธาริษา กล่าว
ด้านนายวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ทำหน้าที่ผู้ว่าการ ธปท. ไม่ต้องเผชิญปัญหาเรื่องความอ่อนแอของธนาคารพาณิชย์ สถานการณ์ต่างประเทศที่มีดุลบัญชีเกินดุล ขณะที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งเป็นผลดีจากการวางรากฐานจากอดีตผู้ว่าฯ ธปท. ที่ผ่านมา แต่ปัญหาที่เจอคือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ทำให้มีการแสวงหาผลประโยชน์สูงจนเกิดปัญหาประเมินความเสี่ยงไว้ต่ำ ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพต่อเงินทุน ได้แก่ กรณีภาคเอกชนออกหุ้นกู้ที่ไม่ได้จัดอันดับความเสี่ยง ซึ่งต้องมีการวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาไฟลามทุ่ง, กรณีสหกรณ์ออมทรัพย์เกิดปัญหาการทุจริต, กรณีสถาบันการเงินเฉพาะกิจมีการจัดทำนโยบายประชานิยม

นอกจากนี้ยังมีปัญหา 1.หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงที่จะกลายเป็นระเบิดเวลา การทำธุรกิจที่ส่งเสริมให้คนเป็นหนี้เกินความจำเป็น ทำให้เกิดปัญหาสินเชื่อเงินทอน ที่ให้วงเงินสูงกว่าความเป็นจริง และ 2.ภัยไซเบอร์

ขณะที่งานด้านพัฒนา ได้แก่ 1.แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่บิดเบือน ซึ่งมีผลต่อการแข่งขัน ผลิตภาพ และสร้างความเหลื่อมล้ำ เช่น การชำระเงินทางอิเลคทรอนิกส์เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกรรม เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมได้เหมือนเดิม, การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินกับต่างประเทศ 2.สร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้บริการทางการเงิน เช่น ปรับดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ดอกเบี้ยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ การปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยทันสถานการณ์ 3.การสร้างความเป็นเลิศให้องค์กร ให้มีความรอบรู้ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ และ 4.เนื่องจากมีแรงกดดันสูงและกระทบเรื่องผลประโยชน์ ธปท.จึงต้องมีมาตรการดูแลขวัญและกำลังใจของบุคลากร
#6727
รมช.เกษตรฯ ขีดเส้นสหกรณ์ออมทรัพย์รวบรวมข้อมูลปมทุจริต ก่อนนัดถกด่วน 6 เม.ย.นี้
 
น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงกรณีการทุจริตของสหกรณ์ออมทรัพย์ กระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้ประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ กระทรวงเกษตรฯ รวบรวมรายละเอียดทั้งหมดภายใน 2 วัน โดยจะเรียกประชุมกรรมการสหกรณ์ทั้งหมด พร้อมด้วยปลัดกระทรวงเกษตรฯ หารือพร้อมกันในวันพุธที่ 6 เม.ย. นี้ เพื่อตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด และนำเรื่องเข้าดำเนินคดีทันที เพื่อเอาผิดกับการทุจริตครั้งนี้อย่างถึงที่สุด

"เรื่องนี้น่าจะเป็นเครื่องยืนยันว่า ทำไมกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จึงต้องมีกฎหมายที่เข้มแข็งในการดูแลสหกรณ์ทั้งหมด เพราะแม้ว่าสหกรณ์จะเป็นนิติบุคคล แต่การเข้าไปตรวจสอบถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ จะเห็นว่าเมื่อกรมฯ เข้าไปดำเนินการ กรรมการสหกรณ์แต่ละแห่งมักแสดงความไม่พอใจ ทั้งที่ควรจะยินดีเปิดทางให้กรมสอบเป็นการแสดงถึงการบริหารงานของสหกรณ์ที่โปร่งใสสร้างความเชื่อมั่นให้สมาชิก ฉะนั้นการทุจริตของสหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงเกษตรฯ ครั้งนี้ แม้จะเป็นเรื่องของบุคคลที่ทุจริต แต่สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารจัดการยังมีช่องโหว่ วันที่ 6 เม.ย. เจอกันแน่นอนวันหยุดก็ต้องมาชี้แจง ขอให้กรรมการทุกคน หรือสมาชิกถ้าอยากมาก็มาฟังได้พร้อมกันเพราะเป็นสิทธิประโยชน์ที่ทุกคนต้องปกป้อง" รมช.เกษตรฯ กล่าว
ด้านนายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของกรมที่รับผิดชอบในเขตพื้นที่นำรายงานการตรวจสอบสหกรณ์มาชี้แจง เนื่องจากได้สั่งเป็นนโยบายไว้ให้สแกนทุกสหกรณ์ไม่มีการละเว้น เพื่อป้องกันการทุจริตซึ่งหากพบว่าไม่ดำเนินการจะดำเนินการขั้นตอนของราชการทันที นอกจากนี้ได้สั่งการอื่นๆ ได้แก่

1. ให้ทีมผู้ตรวจการสหกรณ์ ตรวจสอบลูกหนี้เงินกู้และจำนวนเจ้าหนี้เงินฝากรายใหญ่ 100 รายแรกของสหกรณ์ออมทรัพย์ทุกแห่ง สำหรับสหกรณ์ออมทรัพย์ กระทรวงเกษตรฯ ให้สหกรณ์สอบทานเงินฝากสมาชิกทุกราย หากพบว่ามีรายการผิดปกติต้องสั่งการให้สหกรณ์ตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที

2. ขอความร่วมมือให้ทุกสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศ จัดจ้างหรือจัดทำหรือขอใช้แอปพลิเคชันที่ให้สมาชิกตรวจสอบข้อมูลของตนเองได้อย่างทันที ตามนโยบายที่ให้ไว้ภายในปีนี้

3. สหกรณ์ที่มีแอปพลิเคชันแล้ว ต้องมีสมาชิกใช้บริการไม่น้อยกว่า 90% นอกจากนี้ จะเตรียมแก้คำสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ กำหนดให้สหกรณ์ออมทรัพย์ต้องมีการวางระบบตรวจสอบการเงินให้ทันสมัย สมาชิกตรวจสอบได้ตลอดเวลา และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ชุมชน มีการออมและได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

4. เกษตรกร 99.40% มีการดำเนินการได้ตามแผนการผลิต มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตร เฉลี่ยรายละ 8,954 บาทต่อเดือน

ทั้งนี้ สหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงเกษตรฯ ได้ออกหนังสือชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวว่า ตรวจสอบพบเนื่องจากสหกรณ์ได้เปิดบริการให้สมาชิกตรวจสอบเงินผ่านระบบออนไลน์ แล้วสมาชิกพบว่ายอดเงินน้อยกว่าจำนวนเงินที่ระบุไว้ในสมุดบัญชีเงินฝาก และได้มาขอตรวจสอบเมื่อ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา เบื้องต้นพบว่า มีการปลอมรายมือชื่อ ทั้งนี้ สหกรณ์จะรวบรวมรายละเอียดดำเนินคดีกับผู้จัดการสหกรณ์ และเจ้าหน้าที่การเงินที่เกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด
#6728
ดอลลาร์แข็งค่า เก็งเฟดเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย แม้ตัวเลขจ้างงานต่ำคา

ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลักในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้สหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่ต่ำกว่าคาดในวันนี้

ณ เวลา 23.36 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์แข็งค่า 0.72% สู่ระดับ 122.53 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวขึ้น 0.5% สู่ระดับ 135.32 เยน และร่วงลง 0.19% สู่ระดับ 1.104 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.28% สู่ระดับ 98.59

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีดอลลาร์จะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 100 ในเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 431,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 490,000 ตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7%

ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 68.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 3-4 พ.ค. หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมี.ค.

นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุก่อนหน้านี้ว่า อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเกินไป ซึ่งหากจำเป็น เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุมหนึ่งครั้งหรือหลายครั้ง

 
#6729
บลูมเบิร์กตีข่าว KBANK เล็งขายบลจ. KASSET วงเงิน 2 พันล้านดอลล์

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กำลังพิจารณาทางเลือกเกี่ยวกับธุรกิจจัดการการลงทุน (บลจ.) ซึ่งรวมถึงการขายธุรกิจดังกล่าว โดยมีผู้เล่นในแวดวงธุรกิจกำลังให้ความสนใจซื้อ
แหล่งข่าวเปิดเผยกับบลูมเบิร์กว่า KBANK กำลังทำงานร่วมกับที่ปรึกษาด้านการเงินรายหนึ่ง เพื่อทบทวนกลยุทธ์เกี่ยวกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (KASSET) โดย KBANK กำลังประเมินมูลค่าธุรกรรมที่อาจเป็นเงินสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์หากตัดสินใจขายธุรกิจนี้จริง

สำหรับทางเลือกต่าง ๆ ได้แก่ การขายหุ้นใหญ่หรือขายหุ้นส่วนน้อยของธุรกิจจัดการการลงทุน และกำลังมองหาหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์เพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มบริหารสินทรัพย์ของธนาคาร และทำให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น

การพิจารณาขายกิจการดังกล่าวยังคงอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้นและยังไม่มีการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายจนถึงขณะนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของ KBANK ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวของบลูมเบิร์ก

TPOLY ไปได้สวย

หุ้นรับเหมาก่อสร้าง?อย่าง บมจ.ไทยโพลีคอนส์ (TPOLY) สัญญาณดีตั้งแต่ต้นปีเลยทีเดียว ได้งานใหม่แบบรัวๆ Backlog ในมือกว่า 5,200 ล้านบาท บิ๊กบอส "ปฐมพล สาวทรัพย์" เหยียบคันเร่ง ลุยประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เน้นงานก่อสร้างด้านสาธารณูปโภคภาคเอกชน ที่มีมาร์จิ้นสูง แบบนี้ เป้าหมายงานใหม่ในมือ 3,300 ล้านบาท ในปีนี้ อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วละคร่า?

EP จ่อ COD วินด์ฟาร์มเวียดนาม

เมื่อ "ยุทธ ชินสุภัคกุล" บิ๊กบอสของ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป หรือ EP แย้มความคืบหน้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนาม ตอนนี้ได้เวลานับถอยหลังกันแบบจริงจังแล้ว เพราะรอแค่ให้การไฟฟ้าของเวียดนาม มาทำการเชื่อมต่อเข้า Grid กับทางโรงไฟฟ้าให้เรียบร้อย ซึ่งก็หมายความว่า EP ก็พร้อม COD จ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นทางการ อีกไม่นานรอรับทรัพย์กันได้เลย รู้แบบนี้แล้วไม่ต้องกังวล กอดหุ้นแน่นๆไว้ เชื่อเถอะไม่มีผิดหวัง!

 
#6730
สหรัฐเผยจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่าคาดในเดือนมี.ค.

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 431,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 490,000 ตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7%

กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนม.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 504,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 481,000 ตำแหน่ง และปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.พ. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 750,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 678,000 ตำแหน่ง

กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 426,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 5,000 ตำแหน่ง

ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.4% สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ

ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด อยู่ที่ระดับ 62.4%
#6731
พาณิชย์ แนะโอกาสทองเกษตรอินทรีย์ หลังสงครามรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาปุ๋ยพุ่ง

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ปุ๋ย ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ตามข้อสั่งการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ที่ให้ติดตามสถานการณ์การค้าและราคาปุ๋ยอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ เนื่องจากก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยไนโตรเจนมีราคาสูงขึ้น จึงส่งผลให้ราคาปุ๋ยไนโตรเจนสูงขึ้นตามไปด้วย และรัสเซียผู้ส่งออกปุ๋ยเคมีอันดับ 1 ของโลก ได้จำกัดการส่งออกปุ๋ยไนโตรเจนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อกลุ่มราคาอาหารที่สูงขึ้น และป้องกันการขาดแคลนปุ๋ยในประเทศ และจากกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต่อมาในเดือนมีนาคม 2565 รัสเซียระงับการส่งออกปุ๋ยและสินค้าอื่น ๆ กว่า 200 รายการ เพิ่มเติมจากที่ระงับส่งออกปุ๋ยกลุ่มไนโตรเจนไปก่อนหน้า ตอบโต้การคว่ำบาตรของประเทศตะวันตก รวมทั้งจากการที่จีนที่มีนโยบายส่งออกปุ๋ยน้อยลง จึงส่งผลให้ราคาปุ๋ยทั่วโลกรวมทั้งไทยปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อภาวะเงินเฟ้อของไทย ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้น

โดยไทยจำเป็นต้องนำเข้าปุ๋ย เนื่องจากผลิตได้ไม่พอต่อความต้องการใช้ในประเทศ ในปี 2564 ไทยนำเข้าปุ๋ยรวม 5.6 ล้านตัน เป็นมูลค่า 73,860.20 ล้านบาท แบ่งเป็นปุ๋ยไนโตรเจน 2.74 ล้านตัน มูลค่า 33,185.24 ล้านบาท ปุ๋ยผสม 1.92 ล้านตัน มูลค่า 30,081.50 ล้านบาท ปุ๋ยโพแทสเซียม 0.98 ล้านตัน มูลค่า 10,558.40 ล้านบาท ปุ๋ยฟอสฟอรัส 4,238.7 ตัน มูลค่า 15.43 ล้านบาท และปุ๋ยอินทรีย์ 490.5 ตัน 19.62 มูลค่า 19.62 ล้านบาท แหล่งนำเข้าปุ๋ยที่สำคัญของไทย ได้แก่ จีน ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย รัสเซีย และกาตาร์ สัดส่วน 22.3% 14.5% 8.8% 7.9% และ 7.0% ตามลำดับ

นายรณรงค์ กล่าวว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาปุ๋ยราคาแพงนั้น สนค. เห็นว่าในระยะสั้น ควรส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพในสัดส่วนที่เหมาะสมคุ้มค่า และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนให้มากขึ้น นอกจากนี้ ควรมีการกระจายแหล่งนำเข้า โดยอาจนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น และหาแหล่งนำเข้าแม่ปุ๋ยแหล่งใหม่เพิ่มเติม อาทิ ตุรกี (แม่ปุ๋ยไนโตรเจน) และบราซิล (แม่ปุ๋ยโพแทสเซียม)

ส่วนระยะกลาง ควรส่งเสริมการผลิตและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในประเทศให้มากขึ้น สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และใช้วัสดุอินทรีย์เหลือทิ้งจากวัตถุดิบในท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรในการจำหน่ายวัตถุดิบเหลือใช้จากการเกษตรนำมาทำปุ๋ยอินทรีย์ และในระยะยาว ควรส่งเสริมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Fertilizer) กำหนดเป้าหมายการผลิตและการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น ถือเป็นการดำเนินธุรกิจภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และส่งเสริมตลาดสินค้าอินทรีย์ ตลอดจนสร้างความโปร่งใสด้านข้อมูลให้ตลาดปุ๋ยภายในประเทศ เก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการใช้กับปริมาณปุ๋ยภายในประเทศ รวมทั้งข้อมูลราคา การกระจายของสินค้า โดยอาจมีการแจ้งเตือนสต็อกล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เกิดการกักตุน หรือปรับเพิ่มราคา

ทั้งนี้ รัสเซียเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกปุ๋ยที่สำคัญของโลก ข้อมูลสถิติจาก Trade Map พบว่า ปี 2563 รัสเซียเป็นผู้ส่งออกปุ๋ยเคมีอันดับที่ 1 ของโลก มีปริมาณทั้งสิ้น 34.13 ล้านตัน มูลค่า 6,992.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 13.01% ของมูลค่าการส่งออกปุ๋ยเคมีโลก
#6732
ปธ.เฟดชิคาโกคาดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 7 ครั้งปีนี้สกัดเงินเฟ้อ

นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 7 ครั้งในปีนี้เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ดี นายอีแวนส์กล่าวว่า มุมมองของเขาอาจต้องเปลี่ยนแปลงไป

"เมื่อพิจารณาถึงความไม่แน่นอนจำนวนมากที่เรากำลังเผชิญทุกวันนี้ ผมก็ตระหนักว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงจนทำให้ผมต้องทำการประเมินครั้งใหม่" นายอีแวนส์กล่าว
คำกล่าวของนายอีแวนส์สะท้อนมุมมองก่อนหน้านี้ของเขาที่ระบุในวันที่ 24 มี.ค.ว่า เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างทันเวลา และดำเนินการอย่างระมัดระวัง ขณะที่ทำการพิจารณาแนวทางดำเนินนโยบายในอนาคต


สหรัฐเผยการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.พ.

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.0% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนม.ค.

เมื่อเทียบรายปี การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างพุ่งขึ้น 11.2% ในเดือนก.พ.

การใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนก.พ. โดยการใช้จ่ายในโครงการที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนพุ่งขึ้น 1.1% ส่วนการใช้จ่ายในโครงการที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 0.2%

การใช้จ่ายในโครงการภาคสาธารณะลดลง 0.4% ในเดือนก.พ. ขณะที่การใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลกลางดิ่งลง 1.3% ส่วนการใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลในมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นลดลง 0.3%
#6733
World Today: สรุปข่าวต่างประเทศวันนี้  1, 2022 

กระทรวงการคลังสหรัฐประกาศคว่ำบาตรเครือข่ายบุคคลและบริษัทเปลือก (shell company) ระดับโลกที่ทางกระทรวงฯ ระบุว่า ได้ช่วยกองทัพรัสเซียหลบเลี่ยงมาตรการพหุภาคีในการควบคุมการส่งออกสินค้าไฮเทค ขณะที่รัสเซียกำลังทำสงครามกับยูเครน

-- นายวิล ปาร์คเกอร์ โปรดิวเซอร์งานประกาศผลรางวัลอคาเดมี อวอร์ด หรือรางวัลออสการ์เปิดเผยกับสื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของนครลอสแอนเจลิสได้อยู่ในเหตุการณ์ที่วิลล์ สมิธ ตบหน้าคริส ร็อค กลางเวทีออสการ์เมื่อวันอาทิตย์ (27 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น และได้แสดงความพร้อมที่จะเข้าจับกุมตัววิลล์ สมิธ แต่ไม่ได้ดำเนินการจับกุม เนื่องจากคริส ร็อค ปฏิเสธที่จะเอาเรื่อง

-- มาร์กิตและไฉซินเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนมี.ค.ร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากโรคโควิด-19 ได้กลับมาแพร่ระบาดอย่างหนักในจีน นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจจีนถูกกระทบจากสงครามยูเครนยังส่งผลให้การผลิตและอุปสงค์ชะลอตัวลงอย่างมาก

ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมี.ค.ของจีนลดลงสู่ระดับ 48.1 จากระดับ 50.4 ในเดือนก.พ. โดยดัชนี PMI เดือนมี.ค.หดตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2563

ข้อมูลของไฉซินและมาร์กิตสอดคล้องกับที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมี.ค.ลดลงสู่ระดับ 49.5 จากระดับ 50.2 ในเดือนก.พ. โดยดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนอยู่ในภาวะหดตัว

-- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่นในไตรมาส 1/2565 ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ไตรมาส เนื่องจากผลกระทบของต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการที่รัสเซียใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน และปัญหาคอขวดด้านอุปทานที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาส 1/2565 ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์นั้น ลดลงสู่ระดับ +14 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2564 จากระดับ +17 ในไตรมาส 4/2564

-- บรูซ วิลลิส นักแสดงชื่อดังซึ่งสร้างตำนานอันเป็นที่จดจำจากบทบาทของนายตำรวจนิวยอร์กในภาพยนตร์เรื่อง "Die Hard" ได้ยุติอาชีพนักแสดงแล้ว หลังจากแพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคอะเฟเซีย (Aphasia) หรือภาวะบกพร่องด้านการสื่อสาร ซึ่งข่าวดังกล่าวได้สร้างความตกใจให้กับแฟนภาพยนตร์ทั่วโลก

ทางด้านผู้จัดงานแจกรางวัลโกลเด้น ราสเบอรี อวอร์ดส์ (Golden Raspberry Awards) หรือ ราซซี่ อวอร์ดส์ (Razzie Awards) ได้ตัดสินใจเพิกถอนรางวัลราซซี่ อวอร์ดส์ที่มอบให้กับผลงานของบรูซ วิลลิสในปี 2564 หลังจากที่ครอบครัววิลลิสประกาศว่า บรูซ วิลลิส ได้ยุติอาชีพนักแสดงแล้ว

-- ตลาดหุ้นฮ่องกงประกาศระงับการซื้อขายหุ้นของบริษัทอย่างน้อย 33 แห่งในวันนี้ หลังจากบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถเปิดเผยรายงานผลประกอบการประจำปีได้ตามกำหนด ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นฮ่องกงซึ่งกำลังเผชิญกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการใช้มาตรการที่เข้มงวดของหน่วยงานรัฐเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

-- คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐกำลังกดดันให้บริษัทคริปโทเคอร์เรนซีจัดทำบัญชีสินทรัพย์คริปโทฯ ที่บริษัทถือครองอยู่ในนามของลูกค้า

-- มอร์แกน สแตนลีย์ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของจีนในปี 2565 ลงในวันนี้ ขณะที่ซิตี้กรุ๊ปเตือนว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มเผชิญกับความเสี่ยงในไตรมาส 2/2565 เนื่องจากรัฐบาลประกาศใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ หรือ Zero-COVID เพื่อต่อสู้กับการระบาดของโรคโควิด-19

ทีมนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ซึ่งนำโดยโรบิน ซิง ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปี 2565 ลงเหลือ 4.6% จากระดับ 5.1% พร้อมกับคาดการณ์ว่า จีนจะยังคงใช้นโยบาย Zero-COVID ต่อไปอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เนื่องจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว

-- เจ้าหน้าที่และนักวิเคราะห์ของสหรัฐและเกาหลีใต้กล่าวว่า มีสัญญาณบ่งชี้เพิ่มขึ้นว่าอีกไม่นานเกาหลีเหนืออาจทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2560 เพื่อเป็นการยกระดับคลังแสงและเพิ่มแรงกดดันทางการเมือง

-- คณะผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) มีแผนการที่จะแจ้งให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ทราบในระหว่างการประชุมสุดยอดว่า จีนจะเสียสถานะในเวทีโลก หากยื่นมือเข้าช่วยเหลือรัสเซียในด้านเศรษฐกิจหรือการทหาร โดยการส่งสารดังกล่าวจะเป็นการทดสอบความมุ่งมั่นของจีนในการพยายามไม่ให้สงครามกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและ EU

 
#6734
การเงินสีเขียว: อีกก้าวที่จำเป็นสู่อนาคตที่ยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาวะทางการเมืองและเศรษฐกิจ และน่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า รัฐบาล นักลงทุน องค์กร ทั่วโลกต่างเริ่มดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยใช้กลยุทธ์การลดคาร์บอน หรือ Decarbonization โดยที่หลายประเทศและองค์กรเอกชนต่างให้คำมั่นสัญญาที่จะบรรลุเป้าหมายเน็ตซีโร่ (Net Zero) หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งแรงกดดันจากลูกค้า นักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแลพนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายนั้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญอย่างไรก็ตามความตั้งใจและคำมั่นสัญญาจำเป็นที่จะต้องตามมาด้วยการลงมือทำ และแน่นอน เงินทุน การเปลี่ยนเข้าสู่เศรษฐกิจที่ไร้การปล่อยคาร์บอน จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเงินสีเขียว (Green finance) เพื่อที่จะสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG emissions) และช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวเข้ากับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายได้ประมาณการเงินทุนที่คาดว่าจะต้องใช้ในจำนวนที่ต่างกันออกไป แต่ทุกฝ่ายคาดว่าจะอยู่ในหลักล้านล้านเหรียญสหรัฐ กลุ่ม G20 ประมาณการว่าจำนวนเงินที่ต้องใช้ในการลงทุนทั่วโลกเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป้าหมายด้านการลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น อยู่ที่ 90 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในอีก 15 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency - IEA) ประมาณการว่าแค่อุตสาหกรรมพลังงานอุตสาหกรรมเดียวจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนรวม 53 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2578 เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันว่าการที่จะบรรลุเน็ตซีโร่ได้นั้น การสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเดียวนั้นไม่สามารถรองรับการลงทุนทั้งหมดได้ ดังนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เงินลงทุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกัน เพราะฉะนั้น ปัจจุบันมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการเพิ่มความสามารถให้กับระบบการเงินในการกระจายเงินทุนจากภาคเอกชน (Private capital) เพื่อการลงทุนสีเขียว และการลงทุนที่ยั่งยืน สถาบันทางการเงินมีบทบาทเป็นแหล่งเงินทุนกู้ยืม เป็นผู้สนับสนุนความหลากหลายและความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเป็นผู้ช่วยเหลือลูกค้าเพื่อให้ห่วงโซ่อุปสงค์อุปทานและโมเดลธุรกิจของพวกเขาได้มาตรฐานด้านความยั่งยืนในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทย การลงทุนที่ยั่งยืนมีความก้าวหน้ามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2562 World Wide Fund for Nature (WWF) ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย ได้ออกแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถด้านการรับมือกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance - ESG) สำหรับสถาบันทางการเงิน

นอกจากนี้โครงการริเริ่มทางการเงินของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งองค์การสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme Financing Initiative) ได้ออกหลักเกณฑ์ความรับผิดชอบทางการธนาคาร (The Principles for Responsible Banking) ในปี 2562 ซึ่งจะทำให้นโยบายการกู้ยืมเงินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีเป้าหมายด้านความยั่งยืนมากขึ้น ภายใต้หลักเกณฑ์เหล่านี้ ธนาคารต่างยึดมั่นที่จะทำกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายความตกลงปารีส (Paris Agreement) เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDG) ขององค์การสหประชาชาติ แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าด้านนี้ ทั่วโลกยังคงต้องการเงินทุนอีกเยอะเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้จำเป็นต้องมีการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินเพื่อที่จะจับคู่นักลงทุนกับความต้องการด้าน Green Finance และเพื่อกระจายเงินทุนในอัตราส่วนที่ต้องการ ปัจจุบันเครื่องมือทางการเงินส่วนหนึ่งที่ใช้สำหรับ Green Finance มีดังนี้

ตราสารหนี้สีเขียว (Green bonds) เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการระดมทุนสำหรับโครงการที่เป็นประโยชน์กับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกับโครงการที่เกี่ยวกับการคมนาคมที่คาร์บอนต่ำ พลังงานสะอาด และอาคารที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดี ต่อจากนี้ Green bonds น่าจะเป็นทางเลือกหลักสำหรับ Green Finance
กองทุนรวมตราสารทุนสีเขียว (Green equity funds) คือกองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในโครงการที่มีนโยบายด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้นักลงทุนสามารถรวมเงินลงทุนกันเพื่อลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่ได้ตกลงกันไว้ ใน 15 ปีที่ผ่านมา Green equity funds มีการใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน
การกู้ยืมสีเขียว (Green loans) คือการกู้ยืมเงินเพื่อไปใช้สร้างความยั่งยืนด้านสิงแวดล้อม ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับตราสารหนี้สีเขียว
"ถึงแม้ว่า Green bonds, Green equity funds และ Green loans จะช่วยเปิดทางให้นักลงทุนสามารถลงทุนโครงการที่มีความยั่งยืน แต่การที่จะมีเงินทุนเพียงพอกับจำนวนที่คาดว่าจะต้องใช้ จำเป็นต้องมีเครื่องมือทางการเงินอื่นเข้ามาช่วยด้วย" กาเนสัน โคลันเดเวลู หัวหน้าฝ่ายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน เคพีเอ็มจี ประเทศไทยกล่าว "ซึ่งเครื่องมือทางการเงินเหล่านี้อาจรวมถึงสินค้าสีเขียวต่างๆ เช่น การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์สีเขียว (Green securitization) ทำให้สามารถรวมกลุ่มการกู้ยืมเงินขนาดเล็กเข้าไว้ด้วยกันเพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่มใหม่; และการเช่า/การเช่าซื้อสีเขียว (Green leasing/renting) เช่นการเช่าซื้อสินทรัพย์ การเช่าซื้อรถยนต์ การเช่าซื้อพลังงาน และการจำนองสีเขียวเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีทางเลือกอื่นเช่น การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) ประกันด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate insurance) และตราสารหนี้ที่ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Transition and sustainability bonds) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือทางการเงินหรือโซลูชั่นแบบไหน สิ่งที่แน่ชัดคือการที่จะสร้างอนาคตสีเขียวให้สำเร็จได้นั้น จะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วน ทุกอุตสาหกรรม และทุกประเทศ ที่เคพีเอ็มจี เรามีผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้องค์กรเข้าสู่เส้นทางด้านการเงินสีเขียวได้"
#6735
ขายด่วนตึกแถวอาคารพานิชย์ห้องมุม2คูหา-อ่อนนุช  ขายอาคารพานิชย์พร้อมกิจการคาเฟ่-ร้านอาหาร-อ่อนนุช ขายด่วนตึกแถวอาคารพานิชย์พร้อมห้องพัก17ห้อง-อ่อนนุช

ขายด่วนตึกแถวอาคารพานิชย์ห้องมุม2คูหา-อ่อนนุช  ขายถูกกู้ได้เกิน-กู้ได้เต็ม
ขายด่วนตึกแถวอาคารพานิชย์ห้องมุม2คูหา-อ่อนนุช    ประกอบ กิจการคาเฟ่-ร้านอาหาร และ ห้องพัก17ห้อง อ่อนนุช ซอย10 สุขุมวิท77 ขายถูกต่ำกว่าราคาตลาด ขายถูกกู้ได้เกิน-กู้ได้เต็ม กู้ได้สูง แนะนำนักลงทุน

ขายอาคารพานิขย์  ขายด่วนตึกแถวอาคารพานิชย์พร้อมห้องพัก17ห้อง-อ่อนนุช  สถานที่ : อ่อนนุชซอย10 สุขุมวิท77 Wire Bangkok on-nut building 

ตึกแถวอาคารพาณิชย์ 2 คูหา 5 ชั้น ขนาด 37.5 ตร.ว.ขายพร้อมเฟอร์นิเจอร์ พร้อมดำเนินกิจการ ทั้งกิจการร้านกาแฟ และ ร้านอาหาร และห้องพัก

ขายถูก ด่วน!!! อาคารพานิชย์ห้องมุม2คูหา อ่อนนุช พร้อม กิจการคาเฟ่-ร้านอาหาร ห้องพัก17 ห้อง
ขายด่วนตึกอาคารพานิขย์ห้องมุม2คูหา อ่อนนุช กิจการคาเฟ่-ร้านอาหาร ห้องพัก17ห้อง ขายถูกกู้ได้เกิน-กู้ได้เต็ม
สถานที่ใกล้เคียง
สถานที่ใกล้เคียง
– ห่างบีทีเอสอ่อนนุช 1.8 กิโลเมตร
– ห่างบิ๊กซีอ่อนนุช 1 กิโลเมตร
– ห่างแมคโครอ่อนนุช 300 เมตร
– ห่างห้าง people park 100 เมตร
ราคาขาย 17,900,000 บาท ราคาดีพิเศษสุดๆ จากเดิม 23,500,000 บาท ( ค่าโอนฝ่ายละครึ่ง )
รายละเอียดตัวอาคาร
รายละเอียดตัวอาคาร
เนื้อที่: 37.5 ตร.ว.
ขนาดพื้นที่ใช้สอย 650 ตรม.
จำนวน 5 ชั้น
จำนวนห้องพัก 17 ห้อง
ที่จอดรถด้านข้างตัวตึกจอดได้ 3 คัน


รายละเอียดในตัวตึก
1.เฉพาะห้องพักมี 17 ห้องพัก แบ่งเป็น
1.1 สแตนดาร์ด 16 ตรม 4 ห้อง
1.2 ดีลักษณ์ 20 ตรม 11 ห้อง
1.3 ห้องทวิน 20 ตรม 1 ห้อง
1.4 ห้อง แฟมมิลี่ 2 ห้องนอน 1 ห้องรับแขก 1 ห้องน้ำ 1 ห้อง 32 ตรม.
(เปิดบริการเมื่อปี 2562)

ชั้น 1 -ค่าแฟ่และร้านอาหาร จำนวน 1 ห้อง
-ครัว 1 ห้อง
-ห้องเก็บ จำนวน 2 ห้อง
-ห้องน้ำส่วนกลาง 1 ห้อง
ชั้น 2 -ห้องเก็บของ จำนวน 1 ห้อง
-ห้องพัก 4 ห้อง
ชั้น 3 -ห้องพัก 5 ห้อง
ชั้น 4 -ห้องพัก 5 ห้อง
ชั้น 5 -ห้องพัก 3 ห้อง
-ห้องซักผ้า พร้อมที่ตากผ้า 1 ห้อง
-ห้องเก็บของ 1 ห้อง

ที่ตั้ง : 15, 17 ซอย อ่อนนุช10 แขวง สวนหลวง แขวง อ่อนนุช เขต อ่อนนุช กรุงเทพ
สนใจ  ตึกอาคารพานิชย์ อ่อนนุช
สนใจ ตึกอาคารพานิชย์ อ่อนนุช
ติดต่อสอบถาม :
เบอร์โทร : 098-338-8954
Line ID : newfun08

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://kaaiduan.com/ตึกแถวอาคารพานิชย์/ขายด่วนตึกอาคารพานิขย์/


คำค้น
ขายตึกอาคารพานิขย์ห้องมุม2คูหา-อ่อนนุช, ขายกิจการคาเฟ่-ร้านอาหารอ่อนนุช, ห้องพัก17 ห้อง, ขายถูกกู้ได้เกิน-กู้ได้เต็ม, ขายอาคารพานิขย์พร้อมกิจการคาเฟ่-ร้านอาหาร-ห้องพัก17ห้อง-อ่อนนุชซอย10,
ขายตึกอาคารพานิขย์สุขุมวิท77, ขายถูกต่ำกว่าราคาตลาดอาคารพานิขย์อ่อนนุช, ขายถูกกู้ได้เกินตึกอาคารพานิขย์อ่อนนุช, อาคารพานิขย์อ่อนนุชกู้ได้เต็ม, กู้ได้สูงอาคารพานิขย์อ่อนนุช