• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chigaru

#3701


กรุงไทย มอง "เงินบาท" ยังอยู่ในโหมดอ่อนค่าจากปัญหาโควิดระบาดรุนแรงในไทยและจับตาเงินดอลลาร์ยังพร้อมกลับมาแข็งค่าขึ้นได้หลังนักลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย มองกรอบเงินบาทวันนี้33.10- 33.20บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.15 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.14 บาทต่อดอลลาร์แลพ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่จากปัญหาการระบาดของโควิด-19 รวมถึงแรงซื้อดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าที่อาจเข้ามาเร่งปิดความเสี่ยงเนื่องจากกังวลว่า เงินบาทอาจจะอ่อนค่าเร็วและแรง

ดังนั้นเราจึงยังมองไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับเทรนด์มาแข็งค่าได้ในเร็วนี้ เนื่องจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 ในไทยยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์การระบาดจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะต้องรอในช่วงต้นเดือนกันยายน

ทั้งนี้ ในระยะสั้น อาจต้องจับตาทิศทางเงินดอลลาร์ เพราะ เงินดอลลาร์ยังพร้อมกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ตามแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่แข็งค่าขึ้น รวมถึง ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวล ปัญหาการระบาดโควิด-19 ทั่วโลก อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็พร้อมอ่อนค่าลง หากบรรยากาศการลงทุนกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่งและดีกว่าคาด

เรามองว่า แนวต้านสำคัญของค่าเงินยังอยู่ในโซน 33.20-33.25 บาทต่อดอลลาร์ และเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้ามาช่วยลดความผันผวนของเงินบาทลงในระยะสั้น ทำให้ เงินบาทอาจยังประคองตัวในช่วง 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์  ในขณะที่แนวรับของเงินบาทก็ปรับขึ้นมาสู่ระดับ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นช่วงราคาที่ผู้นำเข้าบางส่วนต่างรอจังหวะย่อตัว เพื่อทยอยปิดความเสี่ยงค่าเงิน

ในส่วนความเคลื่อนไหวของ"ตลาดการเงิน" ยังคงมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19, รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมถึง ทิศทางของนโยบายการเงินจากธนาคารกลาง

โดยในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในโหมดระมัดระวังตัวมากขึ้น และเริ่มทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความกังวลว่าปัญหาการระบาด Delta ในสหรัฐฯ อาจกดดันให้โมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจลดลงหลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เริ่มออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP ก็เพิ่มขึ้นเพียง 3.3 แสนตำแหน่ง น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่เกือบ 7 แสนตำแหน่ง ขณะเดียวกัน ยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ (Crude Oil Inventories) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด สะท้อนถึงความต้องการใช้พลังงานที่ลดลง นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้รับแรงกดดันจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Richard Clarida ที่ออกมาสนับสนุนการทยอยลดคิวอีภายในปีนี้ รวมถึงการทยอยขึ้นดอกเบี้ยในปี 2023 ซึ่งทั้งภาพความกังวลปัญหาการระบาด Delta และแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ได้กดดันให้ ดัชนี Dowjones ปิดลบ -0.92% เช่นเดียวกันกับ ดัชนีS&P500 ที่ปรับตัวลดลงราว -0.46% ส่วน หุ้นเทคฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ หลังบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไป หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.13%

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้น +0.65% นำโดยหุ้นในกลุ่มเทคฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังรายงานผลปะกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงออกมาดีต่อเนื่อง Infineon +4.07%, ASML +2.93% ขณะเดียวกันแนวโน้มธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ รวมถึงความหวังแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ได้หนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและกลุ่มธนาคาร Adidas +4.04%, BNP Paribas +1.19%, Santander +1.05%

ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดบอนด์ยังมีมุมมองที่ระมัดระวังตัวอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของเดลต้าทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยยังเป็นที่ต้องการของตลาด ดังจะเห็นได้จากการที่ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังคงทรงตัวใกล้ระดับ 1.18%

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าเฟดที่ออกมาสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวด อย่าง การทยอยลดคิวอีภายในปีนี้ ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์โดยรวมพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อหลบความผันผวนในช่วงที่ปัญหาการระบาดของโควิด-19 อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 92.30 จุด กดดันให้ ค่าเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลง สู่ระดับ 1.184 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนค่าเงินเยน (JPY) ก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงแตะระดับ109.5 จุด

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก รวมถึงรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ส่วนในด้านข้อมูลเศรษฐกิจและผลการประชุมธนาคารกลางนั้น ตลาดมองว่า เศรษฐกิจอังกฤษมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown แม้ว่าล่าสุด อังกฤษจะพบการระบาดที่เพิ่มสูงขึ้น แต่สถานการณ์ก็ยังไม่น่ากังวล เนื่องจากยอดผู้ป่วยหนักและยอดผู้เสียชีวิตไม่ได้เพิ่มในอัตราเร่งตามยอดผู้ติดเชื้อใหม่ อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดอาจทำให้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ทั้ง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank Rate) ที่ระดับ 0.10% และเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องต่อ ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อาจทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงินบางส่วนเริ่มสนับสนุนการทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องในปลายปีนี้ หรือ ช่วงต้นปีหน้า

ส่วนในฝั่งไทย ภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่ซบเซาลงหนักจากปัญหาการระบาด Delta ที่รุนแรงมากขึ้น จะกดดันให้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) เดือนกรกฎาคม ชะลอลงสู่ระดับ 0.10% ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ก็จะชะลอลงสู่ระดับ 1.0% เช่นกัน โดยอัตราเงินเฟ้อยังได้แรงหนุนจากราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจากปีก่อนหน้า ขณะที่แรงกดดันจะมาจากภาวะการบริโภคที่ซบเซาและมาตรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ ลดค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า
#3702


นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ กพอ. เป็นประธานเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมาได้พิจารณา แก้ปัญหาซ้อนทับ โครงการรถไฟความเร็วเชื่อมสามสนามบิน และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย- จีน ในช่วงบางซื่อ ถึง ดอนเมือง ซึ่งใช้โครงสร้างโยธาร่วมกัน แต่เวลาการก่อสร้างและมาตรฐานเทคนิคไม่สอดคล้องกัน

ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว สกพอ. กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะเจรจาเอกชนคู่สัญญาทำข้อเสนอการแก้ไขสัญญาร่วมทุน เพื่อให้เอกชนเร่งก่อสร้างช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง 

โดยจะเจรจาให้เอกชนรับพื้นที่และเริ่มงานก่อสร้างโยธาให้ได้มาตรฐานเร็วกว่ากำหนด เพื่อให้โครงการรถไฟไทย-จีน ใช้เส้นทางดอนเมือง-บางซื่อได้ภายในเดือน ก.ค.2569

รวมทั้งเอกชนคู่สัญญาจะรับผิดชอบออกแบบและก่อสร้างงานโยธา รวมงานทางวิ่งของโครงการรถไฟไทย-จีน ช่วงบางซื่อ-ดอนเมืองด้วย 

ทั้งนี้ยังให้ยึดข้อตกลงทั้งมาตรฐานและระยะเวลาของรถไฟไทย-จีนเป็นหลัก เพื่อแก้ปัญหาความไม่สอดคล้องระยะเวลา และด้านเทคนิคให้รองรับทั้ง 2 โครงการ โดยจะหาแนวทางร่วมกับเอกชนคู่สัญญาในส่วนการปรับหลักเกณฑ์การร่วมลงทุนของรัฐ เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นกับเอกชนคู่สัญญาอย่างเหมาะสม โดยยึดหลักไม่ให้เกิดงบประมาณเพิ่มเติม และแผนก่อสร้างทั้ง 2 โครงการมีประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ อีอีซี โครงการ รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน การส่งมอบพื้นที่ให้กับเอกชนคู่สัญญามีความคืบหน้า 86% แล้ว และพร้อมส่งมอบทั้งหมดภายในเดือนกันยายน 2564 คู่ขนานไปกับการยกระดับ แอร์พอร์ต เรลลิงก์ โฉมใหม่ ที่ผู้โดยสารจะได้รับบริการ ที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งขึ้น

สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเป็นโครงการที่เป็นการลงทุนของภาคเอกชนโดยเอกชนผู้รับสัมปทานคือบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยได้มีการจัดตั้งบริษัทนิติบุคคลเฉพาะกิจขึ้นมาบริหารโครงการในชื่อ บริษัท รถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด

จัดตั้งเพื่อขึ้นเซ็นสัญญาร่วมทุนสัมปทาน 50 ปี โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. และแอร์พอร์ตลิงก์ ทุนจดทะเบียน 4,000 ล้านบาท
#3703


นีเลช เจน รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย เทรนด์ไมโคร กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ทำให้รูปแบบการทำงานภายในองค์กรเปลี่ยนไปสู่การทำงานจากระยะไกล ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านการรักษาความปลอดภัยเนื่องจากมีผู้คุกคามจำนวนมากขึ้นที่พยายามฉวยโอกาสจากภาวะการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19

เทรนด์ไมโครพบว่า ระบบนิเวศที่ทั้งแพลตฟอร์มและบริการต่างๆ ต้องทำงานร่วมกัน ทำให้รูปแบบการจัดการและการป้องกันไม่เพียงพออีกต่อไป เนื่องจากนับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของวิกฤติเป็นต้นมา พบการเพิ่มขึ้นจำนวนมากของอีเมลต้มตุ๋น สแปม และการล่อลวงแบบฟิชชิ่งที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 และแน่นอนว่าอาชญากรไซเบอร์ยังคงมุ่งที่จะฉวยโอกาสและออกแคมเปญที่ใช้โคโรน่าไวรัสเป็นธีมหลักในการโจมตี


'เฮลธ์แคร์' เป้าหมายโจรไซเบอร์

เขากล่าวว่า ปีนี้องค์กรธุรกิจต้องต่อสู้เพื่อการดำเนินงานที่ปลอดภัย และจากนี้โควิด-19 จะยังคงสร้างความท้าทายด้านการรักษาความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการค้าบนอีคอมเมิร์ซ ซึ่งอาชญากรจะพยายามบุกเข้าไปในระบบโลจิสติกส์ โดยกรณีที่เกิดขึ้นได้เช่น การก่อวินาศกรรมการผลิต การลักลอบขนส่ง (trafficking) และการขนส่งสินค้าลอกเลียนแบบจะกลายเป็นแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นท่ามกลางการระบาดใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "อุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์" จะยิ่งกลายเป็นที่จับตามองมากขึ้น เนื่องจากแพทย์จำนวนมากหันไปใช้ระบบการรักษาทางไกล (telemedicine) และการให้บริการทางการแพทย์ทวีความสำคัญมากขึ้น 

"ความปลอดภัยด้านไอทีสำหรับระบบเฮลธ์แคร์จะถูกทดสอบ ทีมรักษาความปลอดภัยไม่เพียงต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลผู้ป่วยและการโจมตีของมัลแวร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเป็นไปได้ของการจารกรรมทางการแพทย์"

ปิยธิดา ตันตระกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นและเร่งการเกิดกระบวนการปฏิรูปทางดิจิทัลอย่างกว้างขวางทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการใช้เทคโนโลยีก็จะทำให้รูปแบบและภูมิทัศน์ของภัยคุกคามเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน

เทรนด์ไมโครพบว่ามี 4 เรื่องที่น่าสนใจและเป็นจุดที่สามารถนำไปสู่อาชญากรรมบนไซเบอร์ หรือภัยคุกคามต่อการรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์ในปัจจุบันได้ นั่นคือ การเวิร์คฟรอมโฮม, การใช้งานฟู้ดดิลิเวอร์รี แมสเซจจิ้งแอพพลิเคชั่น ตลอดจนข่าวสารข้อมูลที่ออกมาจากภาคส่วนต่างๆ ก็กลายเป็นความท้าทายใหม่ๆ สำหรับการรักษาความปลอดภัย

ปี 2563 เทรนด์ไมโครดำเนินการบล็อคภัยคุกคามที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นจำนวน 62.6 พันล้านครั้ง หรือคิดเป็นตัวเลขประมาณ 119,000 ต่อนาที โดยข้อมูลที่ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า 91% ของภัยคุกคามเกิดจากอีเมล, การโจมตีบนเครือข่ายภายในบ้านเพิ่มขึ้นถึง 210% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ขณะที่ รูปแบบของการโจมตีและเรียกค่าไถ่บนไซเบอร์ที่เรียกว่าแรนซัมแวร์มีการเปลี่ยนแปลงและมีรูปแบบการโจมตีตามสายพันธุ์ เพิ่มขึ้นถึง 34 % โดยท็อป 10 ของอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายการโจมตี ได้แก่ ภาครัฐบาล ธนาคาร อุตสาหกรรมการผลิต เฮลธ์แคร์ การเงิน การศึกษา เทคโนโลยี อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และประกันภัย ตามลำดับ

สำหรับเทรนด์ไมโคร มุ่งนำเสนอเกราะป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์เชิงรุก ด้วยเพลตฟอร์ม "Vision One" ที่ช่วยขยายการตรวจจับและการตอบสนองแบบเรียลไทม์ เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัย ตลอดจนใสนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อการทำงานให้ได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน

ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นตลาดระดับท็อป 3 ในภูมิภาคอาเซียนของเทรนด์ไมโคร ซึ่งจากนี้จะยังคงให้ความสำคัญและเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกตลาดประเทศไทยเติบโต 15.5% เฉพาะซอฟต์แวร์แอสอะเซอร์วิสเติบโต 623.4%, คลาวด์ซิเคียวริตี้(Cloud One) เติบโต 555.9%
#3704



ความหวังที่ว่าอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัว เพราะหลายประเทศเริ่มเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะดูเหมือนสายการบินอเมริกันหลายแห่งเริ่มมีรายได้เข้ามาแต่สายการบินในเอเชีย โดยเฉพาะสายการบินชั้นนำของญี่ปุ่นกลับขาดทุน

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า สายการบินเจแปน แอร์ไลน์ (เจเอแอล)เผยตัวเลขขาดทุนสุทธิ 5.792 หมื่นล้านเยน (531 ล้านดอลลาร์) ในไตรมาสที่ 2/2564 สวนทางกับบรรดาสายการบินอเมริกันหลายแห่ง ทั้งเดลตา แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์ที่รายได้เพิ่มขึ้น

ถึงแม้เจเอแอลขาดทุนแต่ก็เป็นตัวเลขขาดทุนสุทธิที่ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความพยายามลดต้นทุนของบริษัทโดยบริษัทเคยขาดทุนสูงถึง 9.371 หมื่นล้านเยนในไตรมาสที่ 2/2563 ซึ่งถือเป็นการขาดทุนมากที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส นับตั้งแต่บริษัทจดทะเบียนใหม่เมื่อปี 2555 ส่วนยอดขายขยายตัว 74.1% จากปีที่แล้ว อยู่ที่ 1.3303 แสนล้านเยน

อย่างไรก็ตาม เจเอแอลไม่ได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการสำหรับปีงบการเงิน 2564 โดยระบุถึงความไม่แน่นอนของธุรกิจ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การจราจรทางอากาศยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาด แต่จำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ของสายการบินขยับขึ้น

ถึงอย่างนั้น เจเอแอลก็มองว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจยังไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากผลกระทบที่ยืดเยื้อของวิกฤตสุขภาพทั่วโลก แต่มีความหวังมากขึ้นว่าธุรกิจการบินจะฟื้นตัวจากอุปสงค์ด้านการเดินทางภายในประเทศ และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน

จำนวนผู้โดยสารสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าอยู่ที่ 2.71 ล้านคนเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่อุปสงค์ด้านการเดินทางลดลง เนื่องจากญี่ปุ่นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ

แต่ไม่ได้มีแค่เจเอแอลเท่านั้นที่ประสบปัญหาในการสร้างรายได้และผลกำไร สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า สายการบินแควนตัส ของออสเตรเลียก็เจอปัญหาเช่นกันจากผลพวงของโรคโควิด-19 ทำให้สายการบินต้องปรับลดเที่ยวบินจากเดือนพ.ค. ซึ่งอยู่ที่เกือบ 100% ของระดับก่อนโควิด-19 แพร่ระบาด ลงเหลือน้อยกว่า 40% ในเดือนก.ค. เพราะมาตรการล็อกดาวน์ที่รัฐบาลออสเตรเลียประกาศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา

ซิดนีย์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของออสเตรเลียได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และคาดว่าทางการซิดนีย์จะยังคงใช้มาตรการล็อกดาวน์ต่อไปนานกว่า 3 สัปดาห์ ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขออสเตรเลียก็เร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างรวดเร็วที่สุด

"ดูจากยอดผู้ติดเชื้อในขณะนี้ ผมคาดว่าซิดนีย์จะยังคงปิดพรมแดนต่อไปอย่างน้อย 2 เดือน" "อลัน จอยซ์" ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)สายการบินแควนตัส กล่าว

นอกจากลดเที่ยวบินแล้ว แควนตัสยังตัดสินใจให้พนักงานประมาณ 2,500 คนพักงานเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนโดยงดจ่ายค่าตอบแทน

สายการบินระบุว่า การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อนักบินประจำเที่ยวบินภายในประเทศ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และพนักงานประจำท่าอากาศยานในรัฐนิวเซาท์เวลส์

ส่วนสายการบินยุโรปก็เจอชะตากรรมคล้ายกัน โดยอินเตอร์เนชั่นแนล แอร์ไลน์ส กรุ๊ป (ไอเอจี)บริษัทแม่ของบริติช แอร์เวย์ส รายงานตัวเลขขาดทุนหลังหักภาษีในไตรมาส2 อยู่ที่ 981 ล้านยูโร (1,160 ล้านดอลลาร์)โดยอ้างถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19

สวนทางกับบรรดาสายการบินรายใหญ่ๆของสหรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนไปแล้ว 70% เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวให้เห็น โดยสายการบินรายใหญ่ 3 รายอันได้แก่ สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เดลตา แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์มีกำไรสุทธิรวมกัน 237 ล้านดอลลาร์สำหรับไตรมาสล่าสุด โดยสายการบินสองรายสุดท้ายมีกำไรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 ​

ผลกำไรของสายการบินชั้นนำทั้งสามแห่งเป็นผลมาจากการเดินทางภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยผู้โดยสารในสหรัฐใช้บริการเที่ยวบินในประเทศเดือนมิ.ย.ปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 85% เทียบกับในญี่ปุ่นที่มีสัดส่วนเพียง 32%

ขณะที่สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ(ไออาต้า)ระบุว่า การจราจรทางอากาศระหว่างประเทศในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินข้ามพรมแดนระยะสั้นๆมีสัดส่วนแค่ 31% ของจำนวนเที่ยวบินข้ามพรมแดนเมื่อสองปีก่อน
#3705


แดเนียล จาง ประธานกรรมการและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า อาลีบาบาเริ่มต้นปีงบประมาณนี้ด้วยไตรมาสแรกที่ดี โดยในไตรมาสเดือนมิถุนายน 2564 อีโคซิสเต็มทั้งหมดของอาลีบาบามีจำนวนลูกค้าประจำทั่วโลกแตะ 1,180 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้น 45 ล้านคนจากไตรมาสเดือนมีนาคม ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน ตลอดการดำเนินงานมามากกว่า 20 ปี อาลีบาบาได้พัฒนาธุรกิจออนไลน์ จนปัจจุบันครอบคลุมทั้งฝั่งผู้บริโภคและอุตสาหกรรม และมีกลไกมากมายที่ขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว

"เราเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และการสร้างคุณค่าในระยะยาวของอาลีบาบา เราจะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมประสบการณ์ให้ผู้บริโภค และช่วยให้ลูกค้าองค์กรของเราประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนธุรกิจไปสู่ดิจิทัล"

แม็กกี้ วู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างที่บริษัทเคยประกาศไว้ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่แล้วว่ากำลังนำกำไรส่วนเกินและเงินทุนมาลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนผู้ขาย และลงทุนในธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของบริษัทเพื่อเจาะตลาดใหม่และให้บริการผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

"เรากำลังเพิ่มวงเงินให้โครงการซื้อหุ้นคืน (Share repurchase) จากเดิม 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นโครงการซื้อหุ้นคืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท เพราะเราเชื่อมั่นว่าอาลีบาบามีศักยภาพในการสร้างการเติบโตระยะยาว เรามีเงินสดสุทธิที่แข็งแกร่ง และตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เราซื้อหุ้นคืนจากใบรับฝากหุ้นที่ออกโดยสถาบันการเงินในสหรัฐ (ADS) แล้วราว 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ"

ผลประกอบการประจำไตรมาส (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) ชี้ว่าอาลีบาบาทำรายได้รวม 205,740 ล้านหยวน (ราว 1,053,311 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่หากไม่นับการรวมธุรกิจของ Sun Art แล้ว รายได้ของบริษัทเติบโตที่ 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 187,306 ล้านหยวน (ราว 958,936 ล้านบาท)

จำนวนลูกค้าประจำต่อปี (Annual active consumers) ในอีโคซิสเต็มของอาลีบาบาทั่วโลกในรอบ 12 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ประมาณ 1,180 ล้านคน เพิ่มขึ้น 45 ล้านคนเมื่อเทียบกับตัวเลขในรอบ 12 เดือน ในจำนวนนี้เป็นผู้บริโภคในจีน 912 ล้านคน และ 265 ล้านคนในต่างประเทศซึ่งให้บริการโดยลาซาด้า อาลีเอ็กซเพรส Trendyol และ Daraz

กำไรจากการดำเนินงาน (Income from operations) อยู่ที่ 30,847 ล้านหยวน (ราว 157,925 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted EBITDA) และคำนวณแบบ non-GAAP เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 48,628 ล้านหยวน (ราว 248,957 ล้านบาท) กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน (Net cash provided by operating activities) อยู่ที่ 33,603 ล้านหยวน (ราว 172,034 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดสุทธิที่คำนวณแบบ Non-GAAP (Non-GAAP free cash flow) อยู่ที่ 20,683 ล้านหยวน (ประมาณ 105,889 ล้านบาท) ลดลงเมื่อเทียบกับ 36,570 ล้านหยวนในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสาเหตุหลักมาจากการจ่ายค่าปรับบางส่วนเป็นจำนวนเงิน 9,114 ล้านหยวน (ราว 46,660 ล้านบาท) จากค่าปรับทั้งหมด 18,228 ล้านหยวน ตามคำสั่งของสำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐของจีน (ค่าปรับเพื่อต่อต้านการผูกขาดตลาด) และกำไรที่ลดลงเนื่องจากบริษัทนำเงินไปลงทุนในธุรกิจหลักเชิงกลยุทธ์
#3706


หลังจากเมื่อวาน (3ส.ค.64) นายกรณ์ จาติกวณิช นักการเมืองชื่อดังได้เข้ายื่นขอระงับออกใบอนุญาตก่อสร้างคอนโดหรู เขตยานนาวา แก่ นายอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.ถึงการก่อสร้างคอนโดโครงการ ควินทารา ซิงค์ เย็นอากาศ ของบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ในซอยประสาทสุข ถนนเย็นอากาศ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ  ล่าสุดทางอีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท ได้ส่งจดหมายชี้แจงดังนี้ 

วันที่ 4 สิงหาคม 2564


เรียน ท่านสื่อมวลชนเรื่อง ขอชี้แจงกรณีมีผู้กล่าวหาโครงการควินทารา ซิงค์ ทำผิดกฏหมาย


ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการมีผู้ยื่นเรื่องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพื่อขอให้ระงับการออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการควินทารา ซิงค์ ในซอยประสาทสุข ถนนเย็นอากาศ แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา  ที่ดำเนินโดยบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) โดยอ้างว่าความกว้างถนนหน้าโครงการต่ำกว่าเกณฑ์ทางกฏหมายนั้น บริษัทขอเรียนแจ้งว่าข้อเท็จจริงต่างๆของโครงการที่ใช้ประกอบการยื่นขออนุญาตนั้น   

ได้รับการรับรองยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอ้างอิงจากข้อกำหนดและกฏหมายที่เกี่ยวข้อง และผ่านกระบวนการการนำเสนออย่างถูกต้องโปร่งใสจนได้รับการอนุมัติให้ดำเนินโครงการได้จากที่ประชุมพิจารณาประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว 


ในกระบวนการจัดทำและพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) บริษัทได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนใกล้เคียงหรือประชาพิจารณ์ขึ้น 2 รอบ ทำให้บริษัทได้รับทราบข้อห่วงกังวลจากกลุ่มผู้ร้องเรียนดังกล่าวในประเด็นความกว้างของถนนหน้าโครงการ จึงได้ดำเนินการตรวจสอบรังวัดเขตทางใหม่อีกครั้งว่าสามารถพัฒนาโครงการตามที่เสนอได้หรือไม่ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จนได้รับการยืนยันข้อเท็จจริงเป็นลายลักษณ์อักษรว่าความกว้างของเขตทาง และรูปแบบการเชื่อมทางของโครงการสามารถพัฒนาโครงการซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่พื้นที่ไม่เกิน 10,000 ตร.ม. และสูงไม่เกิน 8 ชั้นได้ตามกฎหมาย ในขณะเดียวกันบริษัทยังได้ปรับรูปแบบโครงการโดยลดจำนวนอาคารพักอาศัยลงจาก 3 อาคารเป็น 2 อาคาร ลดจำนวนห้องพักอาศัยลงกว่า     30 ห้อง และเพิ่มสัดส่วนที่จอดรถอีกราว¬ร้อยละ 10 เพื่อลดความห่วงกังวลว่าจะมีผู้อยู่อาศัยหนาแน่นและจอดรถในบริเวณพื้นที่นอกโครงการ อีกทั้งได้มีการปรับลดความสูงของอาคารที่ก่อสร้างติดที่ดินของผู้ร้องเรียนจากอาคาร    8 ชั้น เหลือเทียบเท่าอาคารทั่วไป 3 ชั้น เพื่อลดผลกระทบด้านการบังแดดและลมอีกด้วย

ในวันพิจารณาโครงการทางกลุ่มผู้ร้องเรียนยังได้เข้าพบคณะกรรมการผู้ชำนาญการเพื่อเสนอข้อห่วงกังวลประกอบการพิจารณาด้วยตนเอง ซึ่งทางกรรมการได้กรุณารับฟังและมอบหมายให้ทางบริษัทไปจัดหาข้อมูลประกอบการพิจารณา รวมทั้งกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบต่างๆเพิ่มเติม จนได้รับการพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินโครงการในที่สุด


ปัจจุบันแม้โครงการจะได้รับการอนุมัติจาก EIA แล้ว แต่บริษัทก็ยังมิได้ก่อสร้างในทันที โดยมุ่งหวังให้ทุกฝ่ายเกิดความสบายใจและมีความเข้าใจกันมากที่สุดจึงจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง บริษัทขอยืนยันว่าพร้อมจะดำเนินการอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้สภาพแวดล้อมภายในชุมชนโดยรวมดีขึ้น หรือเป็นส่วนหนึงในการทำให้ปัญหาที่เคยมีหรือที่จะเกิดขึ้นใหม่ บรรเทาเบาบางลง ไปพร้อมกับการพัฒนาเมืองและชุมชนให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน เรามีเจตนาที่จะพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ ด้วยจริยธรรมอันดีในการดำเนินธุรกิจ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมี   แนวทางออกที่ดีร่วมกัน


               ขอแสดงความนับถือ                               

บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)
#3707
มีดโกนหนวด lพร้อมส่งl ที่โกนหนวด พร้อม 36 ชุดใบเปลี่ยน
ระบบใบมีดหัวปรับหมุนได้ ด้วยระบบใบมีดหัวปรับหมุนได้ ทำให้ปลอดภัยในการโกน
โกนเรียบด้วยใบมีดแฝด ด้วยระบบใบมีดแฝด ทำให้ใบมีดอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อการโกนที่แนบสนิทและลดการผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ใบมีดที่สองช่วยทำให้โกนได้แนบสนิทยิ่งขึ้นหลังจากใบมีดแรก
โกนสบายด้วยแถบสารหล่อลื่น สารหล่อลื่นพร้อมด้วยสารอโลเวรา ช่วยให้โกนได้สบายกว่า ช่วยลดแรงเสียดทานและการระคายเคืองของผิว ทำให้โกนได้นุ่ม
ราคา 199
จัดส่งฟรี
สั่งซื้อ https://razor69.lnwshop.com
https://www.facebook.com/manspray69
=AZWJeo91HR0XFpVyAMjHeVHHSVlO8KZ-IrpwakULhJj7Fzodi_wzfTRS1s732L4U1e9fKv0nzac85hSaSvkMgnGnPOTZhLwPfB4_kakG8DyjWNXJBfxigoy6-F4Be8wJQcG7oMdoWQaAjT6NfveoAoZBODWvdomFp3OI9U1N_6xFrA&__tn__=*NK-R]

#มีดโกนหนวด
#มีดโกนหนวด gillette
#มีดโกนหนวดไฟฟ้า
#มีดโกนหนวด 7-11
#มีดโกนหนวด pantip
#มีดโกนหนวด ภาษาอังกฤษ
#มีดโกนหนวด gillette mach3
#มีดโกนหนวด ขึ้นเครื่อง
#มีดโกนหนวดแบบพับ
#มีดโกนหนวด gillette mach3 turbo
#มีดโกนหนวด bic
#มีดโกนหนวด เซเว่น
#มีดโกนหนวด 7-11 ราคา
#มีดโกนหนวด ยี่ห้อไหนดี
#มีดโกนหนวด กิฟฟารีน
#มีดโกนหนวด กลิตเตอร์
#มีดโกนหนวดพระ
#มีดโกนหนวดโบราณ
#มีดโกนหนวด โบราณ
#มีดโกนหนวด คลาสสิค
#มีดโกนหนวด ขนนก
#มีดโกนหนวด ขึ้นเครื่อง airasia
#มีดโกนหนวด ขายส่ง
#มีดโกนหนวด ขาย
#ขายมีดโกนหนวด
#รีวิวมีดโกนหนวด
#มีดโกนหนวด big
#มีดโกนหนวดดีๆ
#มีดโกนหนวดใบเดียว
#มีดโกนหนวด watson
#มีดโกนหนวด schick
#มีดโกนหนวด 2 คม
#มีดโกนหนวด บาด
#มีดโกนหนวดบาด
#มีดโกนอย่างดี
#มีดโกนหนวด จีน
#มีดโกนหนวด ช่างตัดผม
#มีดโกนหนวด 2 ชั้น
#มีดโกนหนวดพับ
#มีดโกนหนวด ดีๆ
#มีดโกนหนวด watson ดีไหม
#มีดโกนหนวด ตราตา
#มีดโกนหนวด ตุ๊กตา
#มีดโกนหนวด ถือขึ้นเครื่อง
#มีดโกนหนวด ถวายพระ
#มีดโกนหนวด ถูก
#มีดโกนหนวด ธรรมดา
#มีดโกนหนวดผู้ชาย
#ยี่ห้อมีดโกนหนวด
#มีดโกนหนวด บิ๊กซี
#มีดโกนหนวด bic บริษัท
#บริษัท มีดโกนหนวด
#[url=https://razor69.lnwshop.com]มีดโกนหนวด
ปรับระดับ
#ประโยชน์ มีดโกนหนวด
#รูปมีดโกนหนวด
#รูปมีดโกน
#มีดโกนหนวด ผู้หญิง
#มีดโกนหนวด ผู้ชาย
#ผลิต มีดโกนหนวด
#ฝัน มีดโกนหนวด
#ฝันว่า มีดโกนหนวด
#มีดโกนหนวด พันทิป
#มีดโกนหนวด พลาสติก
#มีดโกนหนวด ภาษาจีน
#มีดโกนหนวด ภาษาเกาหลี
#มีดโกนหนวด ภาษา
#มีดโกนหนวด ภาษาไทย
#มีดโกนหนวด ยิลเลตต์
#มีดโกนหนวด ยี่ห้อไหนดี pantip
#มีดโกนหนวด ราคา
#มีดโกนหนวด รีวิว
#มีดโกนหนวด ราคาถูก
#มีดโกนหนวด ราคาถูกสุด
#มีดโกนหนวด gillette รุ่นไหนดี
#มีดโกนหนวด gillette ราคา
#มีดโกนหนวด เซเว่น ราคา
#รีวิว มีดโกนหนวด pantip
#มีดโกนหนวด แพ็ค ราคา
#ราคามีดโกนหนวด
#มีดโกนหนวด วัตสัน
#มีดโกนหนวด แปล ว่า
#มีดโกนหนวด สะบัดหนัง
#มีดโกนหนวด สีขาว
#มีดโกนหนวด gillette สีเหลือง
#มีดโกนหนวด lazada
#มีดโกนหนวด อันไหนดี
#มีดโกนหนวด อังกฤษ
#มีดโกนหัว
#รีวิว มีดโกนหนวด
#มีดโกนหนวด 7-11 pantip
#มีดโกนหนวด gillette 29บาท
#มีดโกนหนวด 3 ใบมีด
#มีดโกนหนวด 5 ใบมีด
#มีดโกนหนวด 6 ใบมีด
#มีดโกนหนวด gillette 7-11[/url]
#3708


แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 4 ส.ค.นี้ พิจารณา 2 วาระสำคัญ คือ แผนการเปิดแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 และกรอบการจัดทำแผนพลังงานแห่งชาติ (National Energy Plan)

โดยในส่วนของแผนการเปิดแข่งขันเสรีในกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 กระทรวงพลังงาน จะรายงานผลการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีมติเห็นชอบกำหนดปริมาณการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ช่วงปี 2564 – 2566 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจับซื้อก๊าซฯมาไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take or Pay) โดยแบ่งเป็นปี 2564 จะมีปริมาณนำเข้า อยู่ที่ 0.48 ล้านตันต่อปี ปี 2565 อยู่ที่ 1.74 ล้านตันต่อปี และปี2566 อยู่ที่ 3.02 ล้านตันต่อปี

ขณะที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งได้รับมอบหมายจาก กพช. ให้เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การนำเข้า LNG ตามโครงสร้างของกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะที่ 2 คือ กลุ่มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กกพ. จัดหา LNG เพื่อนำมาใช้กับภาคไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ หรือ Regulated Market และ กลุ่มที่จัดหา LNG เพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ขายไฟฟ้าเข้าระบบ ภาคอุตสาหกรรมและกิจการของตนเอง หรือ Partially Regulated Market


ปัจจุบัน กกพ.ได้ให้ใบอนุญาตการเป็นผู้จัดหาและนำส่งก๊าซธรรมชาติ(Shipper) รายใหม่แล้ว 7 ราย และกำลังอยู่ระหว่างจัดสรรโควตานำเข้า LNG ที่เหมาะสมในปีนี้ ให้กับ Shipper แต่ละราย

โดย กกพ. เตรียมนำเสนอ กพช. ในครั้งนี้ ถึงแนวทางกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างราคานำเข้า LNG ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 หลักเกณฑ์ คือ หลักเกณฑ์ราคานำเข้า LNG สำหรับ Shipper รายใหม่ และหลักเกณฑ์ราคานำเข้าก๊าซฯ ของ Shipper รายเดิม คือ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เพื่อให้การนำเข้า LNG มีราคาที่เหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อค่าไฟฟ้าของประเทศต่อไป

"เบื้องต้น กกพ. รายงานว่า ขณะนี้รอ Shipper แต่ละรายแจ้งความประสงค์ในการนำเข้าLNG ในปีนี้ ซึ่งก็มีข้อกังวลว่า ราคา Spot LNG ที่แพงอาจกระทบต่อค่าไฟ โดยเฉพาะการนำเข้าของ กฟผ.ที่เป็นในส่วนของโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง แต่ในส่วนของเอกชน ที่จะนำเข้าก๊าซฯไปใช้ในโรงไฟฟ้าของตัวเองอาจจะมีผลกระทบน้อยกว่า จึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้รัดกุม"

ส่วนแผนพลังงานแห่งชาติ จะนำเสนอขอความเห็นชอบกรอบของแผนฯต่อ กพช. เท่านั้น แล้วนำกลับมาจัดทำรายละเอียดต่างๆต่อไป โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการ 5 แผน ได้แก่ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP 2022 ,แผนน้ำมันฯ ,แผนก๊าซธรรมชาติฯ,แผนอนุรักษ์พลังงาน และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก คาดว่า แผน PDP 2022 อาจจะเสร็จในปี 2565 แทน จากเดิมคาดว่าจะเสร็จปีนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบต่อกระบวนการดำเนินงาน

"แผนพลังงานแห่งชาติ จะเสนอ กพช.เคาะกำหนดปีเป้าหมายให้ชัดเจน ในการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ตามทิศทางของต่างประเทศ และเพื่อวางแนวนโยบายที่ชัดเจนของไทยในการไปเสนอต่อการประชุม COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ด้วย"

สำหรับรายละเอียดในแผนพลังงานแห่งชาติ ก่อนหน้านี้ กระทรวงพลังงาน ได้วางเป้าหมายด้านไฟฟ้าจะกำหนดให้โรงไฟฟ้าที่จะก่อสร้างใหม่จากนี้ จะต้องเป็นเชื้อเพลิงสะอาดเท่านั้น รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ชีวภาพ โซลาร์ฟาร์ม ขยะ และการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว รวมถึงปรับให้สอดคล้องกับแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) เป็นต้น
#3709
บริษัท วีไซนแลบ จำกัด ผู้ออกแบบ ผลิต ติดตั้ง ป้ายอักษร กล่องไฟ LED 

บริการงานป้ายโฆษณา ป้ายไฟโลหะ ทุกประเภท พร้อมตกแต่งอาคาร 

 ป้ายไฟ, อักษรโลหะ, ป้ายโลหะ, ป้ายกล่องไฟ, นีออนเฟล็ก, นีออนดัด, ป้ายอาคาร, ป้ายร้านอาหาร, ป้ายบริษัท, ป้ายโรงงาน, ป้ายโครงการ, ป้ายทาวเวอร์, รับทำกล่องไฟ, รับทำป้ายไฟ, ป้ายไฟตามแบบ, ป้าย, LED, ตกแต่งอาคาร, ป้ายหน้าตึก, ป้ายยอดตึก

ติดต่อ 
Tel :: 095-401-4848 
Line: @wesignlab 
web :: wesignlab.co.th
FB:wesignlab


Tags :: ป้ายไฟ , อักษรโลหะ , ตกแต่งอาคาร  ,  ป้ายกล่องไฟ














#3710


กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รับโควิดกระทบซัพพลายเชนสะดุด หวั่น 6 เดือนหลังสถานการณ์ในไทยไม่ดีขึ้น อาจกระทบซัพพลายเชนทั้งโลก เสี่ยงถูกโยกกำลังการผลิตไปประเทศอื่น งัดทุกมาตรการดูแล "พนักงาน" ไม่ให้เกิดความเสี่ยง เผยพร้อมจัดซื้อวัคซีนให้กลุ่มพนักงานเพิ่ม หลังอัตราการฉีดยังครอบคลุมไม่มากพอ 

นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ภาพรวมในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ช่วงนี้ หากมองทั้งซัััพพลายเชนที่มีอยู่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า "เริ่มสะดุด" ในไทยถูกผลกระทบจากโควิด ส่งผลให้บางบริษัทได้ปิดไปในช่วงที่ผ่านมา

ขณะที่ มาตรการที่ถูกนำมาใช้ขณะนี้ ทุกบริษัทจะมุ่งดูแล "คน" ก่อน "ธุรกิจ" แต่ละบริษัทจะมีมาตรการดูแลพนักงานไม่ให้มีการติดเชื้อภายในบริษัท ขณะเดียวกัน ให้ความรู้พนักงานกรณีที่ต้องออกไปภายนอก แจ้งเตือนทำความเข้าใจถ้าไม่จำเป็นอย่าออกไปเสี่ยง


หวั่นสะเทือนซััพพลายเชนทั้งโลก

"แต่ละโรงงานในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ การจะใช้มาตรการ Bubble and seal หรือ Home Isolation รวมไปถึงโรงพยาบาลสนาม ก็อาจจะมีติดขัดอยู่บ้างไม่น้อย ที่ผ่านมาในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เองได้มีการจัดหาวัคซีนเพื่อฉีดให้กับพนักงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นวัคซีนซิโนฟาร์มของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นหลัก วัคซีนที่มาจากภาครัฐน้อยมาก" 

นายสัมพันธ์ ย้ำว่า ภาคอิเล็กทรอนิกส์เองพร้อมที่จะจัดซื้อวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้กับกลุ่มพนักงานมาก แต่ไม่รู้ว่าจะซื้อที่ไหน ซึ่งปัจจุบันอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ก็ยังครอบคลุมไม่มากพอ 

"ถ้าตัวเลขการติดเชื้อในประเทศไม่ลดลง ไทยจะกลายเป็น Bottleneck ของซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งโลก"

ทั้งนี้ใน 6 เดือนแรกที่ผ่านมา กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว 10% แต่ 6 เดือนข้างหน้า มีความไม่แน่นอนสูง หากตัวเลขติดเชื้อในประเทศไม่ลด จะกระทบไปหมด ซึ่งมาตรการที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์นำมาใช้ก็อาจจะป้องกันไม่ได้ 100% ซึ่งหลักๆ พยายามดูแลคนในภาคอิเล็กทรอนิกส์ไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐ  

"ช่วงเดือน ก.ค ถือว่าหนักมาก ดังนั้นไตรมาสนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก ถ้ายังเป็นสถานการณ์ลักษณะนี้ อาจเห็นภาพการโยกการผลิตจากประเทศไทยไปประเทศอื่น" นายสัมพันธ์ กล่าว 


เปิดรายได้ยักษ์ฮาร์ดดิสก์โลกในไทย

โควิดระลอกล่าสุด ส่งผลกระทบกับกลุ่มโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางโรงงานต้องปิดตัวลงชั่วคราว ข้อมูลจาก Creden data เผยรายได้ในกลุ่มบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ 2 ยักษ์ใหญ่ บริษัทซีเกท ประเทศไทย ฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์สำคัญของโลก มีรายได้ปี 2563 ที่ 154,499,475,430 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีรายได้ 149,568,157,717 บาท

บริษัทเวสเทิร์น ดิจิตอล ประเทศไทย หรือดับบลิวดี ฐานการผลิิตและส่งออกฮาร์ดดิสก์โลกที่สำคัญเช่นกัน มีรายได้ปี 2563 ที่ 88,178,228,057 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีรายได้ราว 78,092,718,973 บาท อย่างไรก็ตาม ย้อนหลังไป 5 ปีที่ผ่านมารายได้ของ ดับบลิวดีอยู่ในระดับแสนล้านบาทมาโดยตลอด


การ์ทเนอร์ชี้โควิดกระทบชิพขาด

นายคานิสกัส ชัวฮาน นักวิเคราะห์หลัก ฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆ ประเภทในปีนี้ ขณะที่โรงงานผลิตขึ้นราคาแผ่นเวเฟอร์ ที่เป็นส่วนประกอบหลักผลิตชิพ และมีผลต่อเนื่องไปถึงบริษัทผู้ผลิตชิพก็ขึ้นราคาตามไปด้วย

ปัญหาการขาดแคลนชิพ เริ่มเกิดกับอุปกรณ์ประเภทต่าง ๆ ก่อน เช่น อุปกรณ์สำหรับการจัดการพลังงาน จอแสดงผล และไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่ผลิตจากบนโหนดการทำงานแบบเดิม ของโรงงานผลิตชิพขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ซึ่งมีวัตถุดิบจำกัด เวลานี้ปัญหาการขาดแคลนส่งผลต่อไปยังอุปกรณ์อื่นและมีข้อจำกัดด้านความจุ 

รวมถึงขาดสารตั้งต้นในการผลิต กระบวนการเชื่อมลวดทองคำ ส่วนประกอบแบบพาสซีฟ วัสดุและการทดสอบ ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน ที่กำลังเป็นปัญหานอกจากเรื่องโรงงานผลิตชิพ การ์ทเนอร์คาดว่าปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์แทบทุกหมวดหมู่จะกระทบต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2565

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952257
#3711


ไอบีเอ็ม วิเคราะห์เหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลที่เกิดกับองค์กรกว่า 500 แห่งทั่วโลก พบมูลค่าความเสียหายของเหตุด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังจัดการยากขึ้น เพราะองค์กรมีการปรับรูปแบบการดำเนินงานครั้งใหญ่ อีกทั้งค่าใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ปีที่แล้วองค์กรต่างถูกบีบให้ต้องปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้รวดเร็ว หลายบริษัทต้องให้พนักงานทำงานจากบ้าน ขณะที่องค์กร 60% ปรับงานสู่คลาวด์มากขึ้นช่วงแพร่ระบาด ผลศึกษาชี้ให้เห็นว่า ระบบซิเคียวริตี้ขององค์กรอาจยังปรับตัวตามระบบไอทีที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วไม่ทัน กลายเป็นอุปสรรครับมือเหตุข้อมูลรั่วไหลขององค์กร

รายงานมูลค่าความเสียหายของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลประจำปี ที่ดำเนินการโดยสถาบันโพเนมอน ภายใต้การสนับสนุนและวิเคราะห์โดยไอบีเอ็ม ซีเคียวริตี้ ระบุถึงเทรนด์สำคัญ ดังนี้

ผลกระทบจากการทำงานระยะไกล จะเห็นได้ว่าการปรับโหมดสู่การทำงานระยะไกลอย่างรวดเร็ว ทำให้มูลค่าความเสียหายจากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลสูงขึ้น เคสที่มีปัจจัยต้นเหตุมาจากการทำงานระยะไกล สร้างความเสียหายมากกว่า เคสทั่วไปที่ไม่มีปัจจัยดังกล่าวเข้ามาเกี่ยวข้องเฉลี่ยกว่า 35 ล้านบาท (มูลค่าความเสียหาย 162 ล้านบาท เทียบกับ 127 ล้านบาท) 

ความเสียหายจากข้อมูลเฮลธ์แคร์รั่วพุ่งสูง อุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างมากช่วงการแพร่ระบาด อย่างเฮลธ์แคร์ ค้าปลีก บริการ และการผลิต กระจายสินค้าอุปโภค-บริโภค ต้องเผชิญค่าใช้จ่ายจากเหตุข้อมูลรั่วเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เหตุข้อมูลรั่วในกลุ่มเฮลธ์แคร์สร้างความเสียหายมากสุด คือ 303 ล้านบาทต่อเคส ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 60 ล้านบาทต่อเคส เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลรั่ว นำสู่ข้อมูลรั่ว ข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลที่ถูกขโมย คือ ต้นเหตุข้อมูลรั่วไหลที่พบมากที่สุด ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า (เช่น ชื่อ อีเมล และพาสเวิร์ด) คือ ชุดข้อมูลที่พบมากสุดในเหตุข้อมูลรั่วไหล หรือราว 44% ของเหตุที่เกิดขึ้น การที่ข้อมูลชื่อผู้ใช้และพาสเวิร์ดรั่วไปพร้อมกัน อาจนำสู่ผลที่ร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะเป็นการเปิดช่องโจมตีในอนาคตให้กับอาชญากร

เทคโนโลยีก้าวล้ำลดมูลค่าความเสียหาย การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ซิเคียวริตี้ อนาไลติกส์ และการเข้ารหัสมาใช้ เป็นหนึ่งในสามปัจจัยหลักช่วยลดมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วให้องค์กรได้ประมาณ 41-48 ล้านบาท เมื่อเทียบกับองค์กรที่ไม่ได้มีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จริงจัง 

ทั้งนี้ พบว่า องค์กรที่ใช้แนวทางไฮบริดคลาวด์มีมูลค่าเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่ว 118 ล้านบาท น้อยกว่ากลุ่มที่ใช้พับลิกคลาวด์เป็นหลัก (157 ล้านบาท) หรือกลุ่มที่ใช้ไพรเวทคลาวด์เป็นหลัก (149 ล้านบาท)

"คริส แมคเคอร์ดี" รองประธานและกรรมการผู้จัดการ ไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้ กล่าวว่า มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วไหลที่พุ่งสูงขึ้นกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นขององค์กร ขณะที่องค์กรเองต้องปรับตัวรวดเร็ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วงแพร่ระบาด 

"แม้มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วไหล จะสูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา แต่ผลศึกษาชี้ให้เห็นแนวโน้มเชิงบวกจากการนำเทคโนโลยีซิเคียวริตี้ที่ก้าวล้ำเข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็น เอไอ ออโตเมชัน หรือ zero trust เทคโนโลยีเหล่านี้อาจนำสู่มูลค่าความเสียหายที่ลดลงในอนาคต"

หลายองค์กรปรับตัวสู่การทำงานระยะไกล และเริ่มใช้คลาวด์มากขึ้น การที่สังคมหันพึ่งการปฏิสัมพันธ์ดิจิทัลเพิ่มช่วงแพร่ระบาด รายงานชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบ องค์กรเกือบ 20% ระบุว่า การทำงานระยะไกล คือ สาเหตุของข้อมูลรั่ว ซึ่งสร้างความเสียหายให้บริษัทถึง 162 ล้านบาท (สูงกว่าเหตุข้อมูลรั่วโดยเฉลี่ย 15%)

ข้อมูลรับรองตัวตนบุคคลรั่วไหล

รายงานยังชี้ว่า 82% ของกลุ่มบุคคลที่สำรวจยอมรับว่าใช้พาสเวิร์ดเดิมซ้ำในหลายแอคเคาท์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นต้นเหตุและผลลัพธ์หลักของเหตุข้อมูลรั่ว แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงให้กับธุรกิจต่างๆ ด้วย

ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล เกือบครึ่ง (44%) ของเหตุข้อมูลรั่วที่วิเคราะห์ เป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้อมูลลูกค้าหลุดออกไป ไม่ว่าจะเป็นชื่อ อีเมล พาสเวิร์ด หรือแม้แต่ข้อมูลด้านสุขภาพ เหล่านี้เป็นชุดข้อมูลที่พบว่ามีการรั่วไหลมากที่สุด

ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าสร้างมูลค่าความเสียหายสูงสุด การสูญเสียข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า มีมูลค่าความเสียหายสูงกว่าข้อมูลประเภทอื่นๆ (ราว 6,000 บาทต่อรายการ เทียบกับค่าเฉลี่ย 5,300 บาทของข้อมูลประเภทอื่น)

วิธีการโจมตีที่พบมากที่สุด การเจาะระบบด้วยข้อมูลรับรองตัวตนของบุคคลที่รั่ว คือวิธีการเริ่มต้นโจมตีที่อาชญากรใช้มากที่สุด นับเป็น 20% ของเหตุข้อมูลรั่วไหลที่ศึกษา

แม้การปรับเปลี่ยนระบบไอทีช่วงแพร่ระบาดจะนำสู่มูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วที่เพิ่มขึ้น แต่องค์กรที่ระบุว่าไม่ได้ดำเนินโครงการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น คือ กลุ่มที่เผชิญกับมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วสูงกว่า โดยสูงกว่าองค์กรอื่นประมาณ 24.6 ล้านบาทต่อเคส (16.6%)

องค์กรที่ระบุว่าใช้แนวทางซิเคียวริตี้แบบ Zero Trust มีความพร้อมรับมือเหตุข้อมูลรั่วไหลได้ดีกว่า โดย Zero Trust เป็นแนวทางบนพื้นฐานของสมมติฐานที่ว่า ทั้งข้อมูลระบุตัวตนของผู้ใช้และตัวเน็ตเวิร์คเองอาจถูกเจาะแล้ว ดังนั้นจึงใช้เอไอและอนาไลติกส์เข้ามาทำหน้าที่รับรองการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้ ข้อมูล และทรัพยากรต่างๆ แทน องค์กรที่ใช้กลยุทธ์ Zero Trust มีมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 108 ล้านบาทต่อเคส ซึ่งต่ำกว่าองค์กรที่ไม่ได้ใช้แนวทางดังกล่าวราว 58 ล้านบาท

การลงทุนพัฒนาทีมและแผนตอบสนองต่อเหตุโจมตียังเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยลดมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่ว โดยองค์กรที่มีทีมรับมือเหตุโจมตีและมีการทดสอบแผนการรับมือ มีมูลค่าความเสียหายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 106 ล้านบาท ขณะที่องค์กรที่ไม่มีทั้งทีมงานและแผนรับมือ ต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจากเหตุข้อมูลรั่วเฉลี่ย 187 ล้านบาท (ต่างกัน 54.9%)

เป็นที่น่าสังเกตุว่า ครั้งนี้ เหตุข้อมูลรั่วไหลในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์มีมูลค่าความเสียหายสูงสุด (ราว 303 ล้านบาทต่อเคส) ตามด้วยอุตสาหกรรมการเงิน (188 ล้านบาท) และเภสัชกรรม (165 ล้านบาท) โดยแม้กลุ่มอุตสาหกรรมค้าปลีก สื่อ บริการ และภาครัฐ จะมีมูลค่าความเสียหายต่ำกว่า แต่ถือว่ามีมูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
#3712


พร้อมหรือยัง.. เปิดให้ขึ้นฟรีวันนี้ "รถไฟชานเมืองสายสีแดง" บางซื่อ-รังสิตและบางซื่อ-ตลิ่งชัน
ช่วงเช้าวันนี้ เปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการระบบ รถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน (soft opening) วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 9.30 น. ที่สถานีกลางบางซื่อ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด

"รถไฟชานเมืองสายสีแดง"

การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และ บางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยจะให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2564 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่ต้องการจะเดินทางจากปริมณฑล พื้นที่ชานเมืองเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร


สำหรับตารางการเดินรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง มีดังนี้

เส้นทาง บางซื่อ-รังสิต เที่ยวแรกจากบางซื่อ เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกจากรังสิต เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. เช่นกัน

เส้นทาง บางซื่อ-รังสิต เที่ยวสุดท้ายจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. ส่วนสุดท้ายจากรังสิต เวลา 19.30 น.

เส้นทาง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวแรกจากบางซื่อ เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกจากรังสิต เริ่มเดินรถเวลา 06.06 น.

เส้นทาง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวสุดท้ายจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. ส่วนสุดท้ายจากรังสิต เวลา 19.36 น.

ทั้งนี้ เฉพาะวันที่ 2 สิงหาคม 2564 จะเริ่มเดินรถ เวลา 10.30 น.
#3713


ไม่มีแผ่วเลยสำหรับวงการซีรีส์ของทางฝั่งจีนที่ช่วงนี้ก็ไม่วายมีผลงานเรื่องใหม่ ๆ ปล่อยออกมาให้เราได้รับชมกันแบบรัว ๆ เหมือนเช่นเคย โดยจากการไปตามส่องเก็บข้อมูล ในส่วนของนักแสดงซึ่งเป็นปัจจัยที่ดึงดูดผู้ชมได้เป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่โต๊ะฯจีนแอบไปสังเกตเห็นและพบว่าน่าสนใจมาก นั่นก็คือ จากบรรดาซีรีส์จีนที่กำลังออกอากาศและได้รับความนิยมอยู่ในช่วงนี้ มีนักแสดงสาวสวยอยู่คนหนึ่งที่ได้ร่วมแสดงและครองบทเด่นไปรวดเดียวถึง 3 เรื่องด้วยกัน!! ซึ่งเธอคนนั้นมีนามว่า 'จินเฉิน' นั่นเอง...

'จินเฉิน' (金晨) นางแบบ นักแสดงสาวชาวจีนวัย 31 ปี เกิดที่เมืองจี่หนาน มณฑลชานตง ประเทศจีน เข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรกเมื่อปี 2011 ในผลงานซีรีส์จีนแนวกำลังภายในเรื่อง "เจ็ดยอดศาสตรา ตอนเดชขนนกยูง" (Kong Que Ling: 孔雀翎) นอกจากนั้นในปีเดียวกัน 'จินเฉิน' ยังได้เข้าร่วมการแข่งขันในรายการประกวดเต้นชื่อดังอย่าง "China's Strictly Come Dancing" ซีซั่น 3 (舞动奇迹 3) จนในที่สุดสามารถคว้าแชมป์ของซีซั่นนั้นไปครองได้อีกด้วย

ต่อมาหลังจากเริ่มมีชื่อเสียง 'จินเฉิน' ได้มีผลงานการแสดง โดยเฉพาะในฝั่งของซีรีส์ออกมาให้ได้รับชมกันอีกหลายเรื่อง ที่เด่น ๆ ก็อย่างเช่น "หมอผีไร้ใจ" (WuXin The Monster Killer: 无心法师) ปี 2015 "พระสนมเหมิงเฟยเสด็จแล้ว" (Mengfei Comes Across: 萌妃驾到) ปี 2016 และ "มหาอำนาจแห่งความลับ" (Fearless Whispers: 隐秘而伟大) ปี 2020

ล่าสุดหากบอกว่าช่วงนี้เป็น "จังหวะทอง"ของนักแสดงสาวหน้าสวย 'จินเฉิน' ก็ดูเหมือนจะไม่เกินจริงเสียเท่าไหร่นัก เนื่องจากในบรรดาซีรีส์กระแสดีที่กำลังออกอากาศอยู่ตอนนี้ เธอได้มีโอกาสร่วมแสดงในบทบาทเด่น ๆ ที่จะทำให้ผู้คนได้จดจำความสวยปังที่มาพร้อมกับทักษะการแสดงสุดยอดเยี่ยมของเธอไปแล้วถึง 3 เรื่องด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่างานนี้โต๊ะฯจีนก็ไม่พลาด ขออาสาพาคุณผู้อ่านไปส่องกันเสียหน่อยสิว่า ในบรรดาซีรีส์ 3 เรื่องที่ว่านี้ 'จินเฉิน' ของเราจะได้เล่นเป็นใคร และต้องถ่ายทอดบทบาทแบบไหนออกมากันบ้าง

'จินเฉิน' กับบท "ไต้เสียวอวี่" หญิงสาวสุดอาภัพในซีรีส์สร้างแรงบันดาลใจ "เพื่อนหญิง วิ่งตามฝัน"

สำหรับในซีรีส์เรื่อง "เพื่อนหญิง วิ่งตามฝัน" หรือ "Crossroad Bistro" (北辙南辕) 'จินเฉิน' ได้รับบทเป็น "ไต้เสียวอวี่" หญิงสาวคนหนึ่งที่แทบจะเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ทั้งหน้าตาดี ฉลาด การศึกษาสูง แต่แล้วชีวิตของเธอกลับมีโชคชะตาความรักที่แสนจะอาภัพ โดยจุดเริ่มต้นของความอาภัพที่ว่านี้มาจากที่วันหนึ่งเธอได้พบว่าแฟนที่คบกันมากว่า 5 ปีและกำลังจะแต่งงานด้วยนั้น มีภรรยาอยู่แล้ว อีกทั้งด้วยความกระทบกระเทือนจิตใจเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคนรัก ยังทำให้เธอได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนสุดท้ายต้องตัดมดลูกทิ้งและสูญเสียลูกในท้องไป

ถึงแม้ต่อมาบท "ไต้เสียวอวี่" ที่รับบทโดย 'จินเฉิน' จะยังคงยืนหยัดลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง แต่ด้วยจุดนี้เองที่ทำให้เป็นเสน่ห์ให้ชวนน่าติดตามมากว่าท้ายที่สุด 'จินเฉิน' จะถ่ายทอดบทบาทตัวละครของผู้หญิงที่มีปมจากการเคยประสบกับภาวะอ่อนแอในชีวิตเข้าอย่างจังให้กลับมาเป็นคนใหม่ได้เป็นอย่างไร

'จินเฉิน' กับบท "เซี่ยฉิง" แฟนเก่าพระเอกในซีรีส์รักโรแมนติก "ดุจดวงดาวเกียรติยศ"

ในซีรีส์สุดฮิตที่กำลังดังเป็นพลุแตกอย่าง "ดุจดวงดาวเกียรติยศ" หรือ "You Are My Glory" (你是我的荣耀) 'จินเฉิน' รับบทเป็น "เซี่ยฉิง" อดีตแฟนสาวของ "อวี๋ถู" หรือพระเอกของเรื่องที่รับบทโดย 'หยางหยาง'(杨洋) โดยตามพล็อตเรื่องแล้วตัวละคร "เซี่ยถิง" ที่รับบทโดย 'จินเฉิน' นั้นจัดอยู่ในหมวดของผู้หญิงสวย เก่ง สุดมั่นใจ ตัวเธอกับอวี๋ถูคบหากันในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องเลิกรากันไปเนื่องจากต่างคนต่างมีความฝันและมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ไม่เหมือนกัน จนกระทั่งในคราที่ต้องวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง เมื่อเธอพบว่า "อวี๋ถู" และ "เฉียวจิงจิง" (นางเอกของเรื่องรับบทโดย 'ตี่ลี่เร่อปา') ต่างเริ่มมีความรู้สึกดีต่อกัน จึงพยายามทำบางอย่างเพื่อขัดขวางความสัมพันธ์ของพวกเขา

ว่ากันว่า ณ ปัจจุบันแม้บทของ "เซี่ยฉิง" จะขึ้นชื่อว่าเป็นบทรับเชิญ แต่จุดเริ่มต้นของความสำเร็จของ 'จินเฉิน' ในบทบาทนี้ก็เริ่มปรากฎให้เห็นกันในระดับหนึ่งแล้ว พิสูจน์ได้จากที่ว่าตัวของ 'จินเฉิน' สามารถถ่ายทอดตัวละคร "เซี่ยฉิง" ซึ่งเดิมทีในเวอร์ชั่นนิยายต้นฉบับไม่ได้มีบทบาทมากมายอะไรนัก ออกมาได้อย่างโดดเด่นจนกลายเป็นที่จับตามองไม่แพ้ตัวละครอื่น ๆ เลยล่ะจ๊ะ
'จินเฉิน' กับบท "สวี่เฟิ่งเฉียว" ลูกสะใภ้สายโหดในซีรีส์พีเรียดย้อนยุค "Song of Youth"

สำหรับซีรีส์เรื่อง "Song of Youth" (玉楼春) 'จินเฉิน' รับบทเป็น "สวี่เฟิ่งเฉียว" ลูกสะใภ้คนที่สามของบ้านตระกูลซุน (พี่สะใภ้พระเอก) ซึ่งด้วยความที่มีชาติกำเนิดอันสูงส่ง บวกกับบุคลิกสุดเข้มแข็ง เป็นนักวางแผนมีความชำนาญกับการจัดการเรื่องน้อยใหญ่ในบ้าน ทำให้สถานะในบ้านของสวี่เฟิ่งเฉียวต่างเป็นที่น่าเคารพนับถือมาก ถึงขนาดที่ว่าสามีของตัวเองยังต้องเกรงกลัว

จากทักษะการแสดงและความโดดเด่นของ 'จินเฉิน' ในซีรีส์เรื่องนี้ ทำให้ทั้งตัวเธอและตัวละคร "สวี่เฟิ่งเฉียว" ได้รับกระแสตอบรับและการถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก โดยทางแหล่งข่าวจาก Tencent News ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากซีรีส์ "Song of Youth" เริ่มออกอากาศไปได้ไม่นาน ชื่อของ 'จินเฉิน' นั้นก็แทบจะขึ้นเป็นรายการค้นหายอดนิยมบนโลกโซเชียลของจีนในทันทีทันใดเลยล่ะจ้า

เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ 3 เรื่อง 3 รสที่เราจะได้เห็น 'จินเฉิน' ใน 3 บทบาทที่ต่างกันสุดขั้วอย่างแน่นอน งานนี้ใครที่สนใจอยากจะตามส่องความสวยปังที่มาพร้อมกับทักษะการแสดงสุดเลิศแบบจัดเต็มของ 'จินเฉิน' นักแสดงสาวมากความสามารถคนนี้ล่ะก็ สามารถเช็คลิสต์ติดตามรับชมซีรีส์ทั้ง 3 เรื่องได้ตามช่องทางด้านล่างนี้เลยนะจ๊ะ
#3714


บอร์ด ทอท.เคาะขยายเวลาก่อสร้างสุวรรณภูมิ 3 สัญญา "APM-สายพานและเครื่องตรวจระเบิด" โควิดนำเข้าอุปกรณ์ไม่ได้ คำสั่งปิดแคมป์หยุดก่อสร้างหมด มั่นใจไม่กระทบบริการ ชี้ใช้ SAT-1 เมื่อเกิน 50 ล้านคน คาดอุตสาหกรรมการบินฟื้น มี.ค. 66

แหล่งข่าวจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ทอท. ครั้งที่ 10/2564 เมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่มี นายสราวุธ เบญจกุล เป็นประธาน ได้มีมติอนุมัติขยายระยะเวลางานจ้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส 2 จำนวน 3 สัญญา ได้แก่ 1. ขยายระยะเวลาสัญญางานจ้างก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบิน และที่จอดรถด้านทิศตะวันออก โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับบริษัทพระราม 2 จำกัด ในสัญญาจ้างลงวันที่ 6 มิ.ย. 2562 มูลค่าสัญญา 871.888 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 540 วัน โดยเป็นการขยายระยะเวลาแล้วเสร็จอีกจำนวน 231 วัน จากเดิมวันที่ 14 ธ.ค. 2563 เป็นวันที่ 2 ส.ค. 2564

2. อนุมัติขยายระยะเวลาสัญญางานซื้อพร้อมติดตั้งระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Movew : APM) ให้แก่นิติบุคคลร่วมทำงานไออาร์ทีวี ประกอบด้วย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท เรืองณรงค์ จำกัด บริษัท แบคเคอร์ อินดัสทรี จำกัด และ บริษัท วิวเท็กซ์ จำกัด ในสัญญาจ้างลงวันที่ 20 พ.ย. 2560 มูลค่าสัญญา 2,999.90 ล้านบาท ขยายระยะเวลาแล้วเสร็จอีก 330 วัน จากเดิมวันที่ 3 ก.ย. 2563 เป็นวันที่ 30 ก.ค. 2564

โดยสัญญางานระบบ APM ระยะเวลาก่อสร้างเดิม 870 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. 2560-วันที่ 7 เม.ย. 2563 ต่อมามีการขยายระยะเวลาอีก 149 วัน จากวันที่ 7 เม.ย. 2563-วันที่ 3 ก.ย. 2563 และล่าสุดขยายอีก 330 วัน นับรวมระยะเวลาดำเนินงาน 1,019 วัน

3. อนุมัติขยายระยะเวลางานซื้อพร้อมติดตั้งระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า (BHS) และระบบตรวจจับวัตถุระเบิด (EDS) (ขาออก) ให้กับนิติบุคคลร่วมทำงาน ล็อกซเล่ย์-แอลพีเอส ประกอบด้วย บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ล็อกซเล่ย์เพาเวอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด ในสัญญาจ้างลงวันที่ 1 ก.พ. 2561 มูลค่าสัญญา 3,646.560 ล้านบาท โดยเป็นการขยายระยะเวลาแล้วเสร็จจำนวน 214 วัน จากเดิมวันที่ 6 ส.ค. 2564 เป็นวันที่ 8 มี.ค. 2565

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง ทอท. กล่าวว่า บอร์ด ทอท.มีการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 จำนวน 3 สัญญา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากไม่สามารถนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศได้ตามกำหนด และคาดว่าในภาพรวมอาจจะต้องมีการพิจารณาปรับขยายระยะเวลาสัญญาอีกครั้งเนื่องจากมาตรการรัฐบาลที่ให้ปิดแคมป์ก่อสร้าง ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงาน ทำให้งานก่อสร้างโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 ต้องหยุก่อสร้างทุกสัญญาในขณะนี้ ยกเว้นงานที่อยู่ในความดูแลของวิศวกร เช่น การทดสอบระบบที่ยังทำได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะขยายระยะเวลาสัญญา แต่ในขณะนี้โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ในส่วนของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (Satellite 1 : SAT-1) เสร็จแล้ว แต่ ทอท.วางแผนในการเปิดใช้อาคาร SAT-1 ต่อเมื่ออาคารผู้โดยสารหลักมีปริมาณผู้โดยสารเกิน 50 ล้านคน/ ปี จึงจะเปิดใช้อาคาร SAT-1 เพื่อลดความแออัดของอาคารหลัก แต่หากอาคารหลักยังไม่แออัดก็ไม่จำเป็นเร่งเปิดใช้ SAT-1 เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 300 ล้านบาท/เดือน

แต่จากสถานการณ์โรคโควิด-19 ซึ่งมีการประเมินว่าอุตสาหกรรมการบินจะกลับมาในช่วงตารางบินฤดูร้อนปี 2566 (ประมาณเดือน มี.ค. 2566) ซึ่งยังมีเวลาเพียงพอในการก่อสร้างและทดสอบระบบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของสุวรรณภูมิเฟส 2
#3715


แซนเดอร์ ชอฟเฟเล โปรจาก สหรัฐอเมริกา คว้าเหรียญทอง การแข่งขันกอล์ฟประเภทบุคคล โอลิมปิก 2020 เฉือน รอรีย์ ซับบาตินี จาก สโลวาเกีย แค่สโตรกเดียว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม

ก้านเหล็กมือ 5 ของโลก หวด 4 อันเดอร์พาร์ 67 รวม 18 อันเดอร์พาร์ 266 ขณะที่ ซับบาตินี สร้างเซอร์ไพรส์ หวด 10 อันเดอร์พาร์ 61 รวม 17 อันเดอร์พาร์ 267 จบอันดับ 2 ที่สนาม คาสุมิกาเซกิ คันทรี คลับ พาร์ 71

ชอฟเฟเล ผู้นำรอบที่แล้ว กวาด 4 เบอร์ดี ตลอด 8 หลุมแรก ทว่าพลาดโอกาสทิ้งห่าง ช่วง 9 หลุมหลัง เสียโบกี ที่หลุม 14 พาร์ 5 สกอร์รวมเท่ากับ ซับบาตินี ที่นั่งรออยู่ในคลับเฮาส์

อย่างไรก็ตาม ชอฟเฟเล วัย 27 ปี เก็บเบอร์ดีอันล้ำค่า ด้วยลูกพัตต์ระยะ 6 ฟุต ที่หลุม 17 พาร์ 4 และพัตต์เซฟพาร์ ระยะ 4 ฟุต หลุม 18 ท่ามกลางความกดดันมหาศาล

ขณะที่ 7 ผู้เล่น กำลังเพลย์ออฟ ชิงเหรียญทองแดง ได้แก่ พอล เคซีย์ (สหราชอาณาจักร), ฮิเดกิ มัตสึยามา (ญี่ปุ่น), รอรีย์ แม็คอิลรอย (ไอร์แลนด์), คอลลิน โมริคาว่า (สหรัฐอเมริกา), เซบาสเตียน มูญอซ (โคลอมเบีย), ซี.ที. แพน (ไต้หวัน) และ มิโต เปไรรา (ชิลี)

ปรากฏว่า ฮิเดกิ มัตสึยาม่า กับ พอล เคซีย์ เสียโบกี เพลย์ออฟหลุมแรก (18 พาร์ 4) ต่อมา แม็คอิลรอย, เปไรรา และ มูญอซ ทำได้เพียงพาร์ เพลย์ออฟหลุม 3 (11 พาร์ 4) เหลือ โมริคาวา กับ ซี.ที. แพน สู้กันต่อหลุมพิเศษที่ 4

กลับมาที่หลุม 18 พาร์ 4 โมริคาว่า แอพโพรชจากบังเกอร์ ตกนอกกรีน และพัตต์พาร์ระยะไกลพลาด ขณะที่ ซี.ที. แพน พัตต์พาร์ ระยะ 8 ฟุต คว้าเหรียญทองแดง

ส่วน "โปรแจ๊ส" อติวิชญ์ เจนวัฒนานนท์ ความหวังสูงสุดของไทย เก็บเพิ่ม 3 อันเดอร์พาร์ 68 รวม 9 อันเดอร์พาร์ 275 รั้งอันดับ 27 ร่วม และ กัญจน์ เจริญกุล มือ 281 ของโลก อยู่อันดับ 45 ร่วม สกอร์ 4 วัน 4 อันเดอร์พาร์ 280
#3716


ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประกาศขยายระยะเวลาลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือผ่าน 6 มาตรการ ดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในโครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ ครอบคลุมทั้งมาตรการแบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) พักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ได้ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 พร้อมประกาศปิดลงทะเบียนเข้ามาตรการที่ 15 และ 16 พักชำระเงินต้นและพักชำระดอกเบี้ย เนื่องจากเต็มกรอบวงเงิน และตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนเข้ามาตรการ

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารได้ประกาศขยายระยะเวลาความช่วยเหลือลูกค้าที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการตาม "โครงการ ธอส. รวมไทย สร้างชาติ" ในมาตรการที่ 9, 10, 11, 11 New Entry, 13 และ 14 ให้ไปสิ้นสุดระยะเวลาความช่วยเหลือในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 จากเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 โดยเปิดให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อขยายระยะเวลาความช่วยเหลือผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ระหว่างวันที่ 1-29 กรกฎาคม 2564 และภายหลังครบกำหนดระยะเวลาลงทะเบียน พบว่ามีจำนวนลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์รวมกว่า 85,900 บัญชี เงินต้นคงเหลือ 85,700 ล้านบาท แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบันยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง ทำให้ภาครัฐยังคงยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบ ธนาคารจึงได้ขยายระยะเวลาการลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อเข้ามาตรการ จำนวน 6 มาตรการ ผู้มีสิทธิ์เข้ามาตรการยังขยายให้ครอบคลุมทั้งลูกค้าเดิมที่อยู่ในมาตรการ และลูกค้าที่ยังไม่ได้อยู่ในมาตรการ โดยต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้



สำหรับรายละเอียดของมาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 9, 10, 11 และ 11 New Entry : แบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชำระในปัจจุบัน โดยทั้ง 4 มาตรการ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ สถานะ NPL และลูกหนี้สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้

มาตรการที่ 13 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ (ไม่เป็น NPL ไม่อยู่ขั้นตอนของกฎหมาย และไม่อยู่ระหว่างทำข้อตกลงประนอมหนี้) และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้

มาตรการที่ 14 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก COVID-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้ หรือตามคำพิพากษา

ทั้งนี้ มาตรการที่ 9, 11, 11 New Entry และ 13 ธนาคารขยายระยะเวลาให้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ได้ถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2564 สำหรับมาตรการที่ 10 และ 14 จะขยายถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2564

โดยทุกมาตรการข้างต้นจะได้รับความช่วยเหลือไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และภายในเดือนตุลาคม 2564 ธนาคารจะทำการสำรวจความประสงค์ของลูกค้าอีกครั้งว่าต้องการรับความช่วยเหลือต่อไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 หรือไม่ และสำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์เข้ามาตรการจะต้อง Upload หลักฐานยืนยันว่าได้รับผลกระทบทางรายได้ผ่านทาง Application : GHB ALL และ GHB Buddy ให้ธนาคารพิจารณา โดยสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่าน Application : GHB ALL หรือ GHB Buddy บน Application Line ได้ในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30-15.00 น. เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ส่วนกรณีที่ลูกค้าไม่มีสมาร์ทโฟนสามารถกรอกข้อมูลเพื่อแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการได้ที่ www.ghbank.co.th



ส่วนการพักชำระเงินต้นและพักชำระดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2564 ในมาตรการที่ 15 สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ ไม่อยู่ระหว่างการประนอมหนี้หรือสถานะกฎหมาย และมาตรการที่ 16 สำหรับลูกหนี้ที่มีสถานะ NPL (ค้างชำระเงินงวดติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน) หรืออยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเปิดให้ลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2564 ล่าสุด ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 มีลูกค้าลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ทั้ง 2 มาตรการเป็นจำนวนรวม 90,800 บัญชี เงินต้นคงเหลือรวม 101,000 ล้านบาท และสูงกว่ากรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนดไว้ที่ 100,000 ล้านบาท ดังนั้น ธนาคารจึงขอแจ้ง ปิดลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้ามาตรการที่ 15 และ 16 เนื่องจากมีลูกค้าลงทะเบียนเต็มกรอบวงเงิน และทำการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่ลงทะเบียนเข้ามาตรการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป โดยธนาคารจะประกาศวันที่เปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติมอีกครั้งให้ทราบในภายหลังต่อไป

ทั้งนี้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th, Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ Application : GHB ALL
#3717



แม้ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านกัน หรือถ้าออกไปก็ต้องใส่แมสก์ตลอด แต่สาว ๆ อย่าละเลยเรื่องการบำรุงผิวหน้าให้เนียนนุ่มกระจ่างใสเด็ดขาด สยามเซ็นเตอร์ เมืองแห่งไอเดียที่ล้ำเทรนด์ แนะนำ 12 มาสก์หน้าสุดฮอตฮิต ที่เชื่อว่าสาว ๆ ต้องมีติดบ้านไว้อย่างน้อยสองชิ้น ที่สุดในดวงใจชิ้นแรกต้องยกให้ Jung Saem Mool Essential Mool Cream Mask ขึ้นชื่อว่า Mool Cream แล้วการันตีได้ถึงความปังแน่นอน ไม่เพียงแค่มีครีมบำรุงผิวเท่านั้น แต่ Mool Cream ยังมีมาสก์ด้วย เป็นมาสก์ เนื้อเข้มข้นครีมมี่ ด้วยคุณค่าเซรามายด์และไฮยาลูโรนิคเอซิด ทำให้ผิวชุ่มชื่น เนียนเรียบ สุขภาพดี


ตามมาด้วย Shiseido White Lucent Overnight Cream and Mask มาสก์สูตรไวท์เทนนิ่งที่หรูหรา ช่วยเรื่องผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ ผิวที่ไม่เสมอกัน ใช้แล้วผิวจะเปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์, M.A.C Mineralize Reset & Revive Charcoal Mask เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่มีสิวเสี้ยนเยอะ ตัวนี้จะช่วยดูดสิวเสี้ยนออกไปด้วยสารสกัดจากชาร์โคล เนื้อมาสก์ไม่แห้ง ช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้น, Three Purifying Clay Mask  อีกตัวที่สาวผิวมันห้ามพลาด สารสกัดจากธรรมชาติ 92% และสารช่วยนำความหยาบกร้านของผิวออกไป ช่วยลดผิวมันและขจัดเซลล์ผิวส่วนเกินได้ดี


สำหรับสาวที่ผิวแห้งมาก ๆ Kiehl's Ultra Facial Overnight Hydrating Masque ตัวนี้ช่วยกู้ผิวให้กลับมาชุ่มชื่นอย่างรวดเร็ว ผิวฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังใช้รู้สึกได้ทันที ส่วน Lush Mask of Magnaminty มาสก์เนื้อสีเขียวมิ้นต์ มีเท็กเจอร์เหมือนเป็นเมล็ดธัญพืช สามารถขัดผิวได้ในตัว ทำให้หน้านุ่มและผิวละเอียดเนียนมากขึ้น ไม่มีสารกันบูดและสารอันตรายต่อผิว, Etude House Soon June Sleeping Pack  ถูกใจสาว ๆ ที่อยากมาสก์หน้าแล้วนอนหลับไปเลย เพราะอีทูดี้ตัวนี้เป็นแนวสลีปปิ้ง มาสก์ นอนหลับได้เลยไม่ต้องห่วง เนื้อครีมมี่บาล์มทาเบา ๆ มีส่วนผสมของแพนเท็นโซไซต์ 5% ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น, Frudia Firming My Orchard Squeeze Mask Acai Berry จาก All Abou You มาสก์หอม ๆ ด้วยสารสกัดอาซาอิเบอร์รี่ ช่วยยกกระชับผิว คงความชุ่มชื่น ให้ผิวรู้สึกผ่อนคลาย


ด้าน Sephora มีมาสก์หลายตัวที่ครองใจสาว ๆ Laneige Water Sleeping Mask EX สลีปปิ้งมาสก์ที่ครองใจสาว ๆ มานาน เชื่อว่าทุกคนต้องเคยใช้แน่นอน มีส่วนผสมของไมโครไบโอม โปรไบโอติคที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง ใบหน้ากระจ่างใสอย่างเห็นได้ชัด, Biotherm Life Plankton Mask สารสกัดจากไลฟ์แพลงก์ตอนบริสุทธิ์ เมื่อประสานการทำงานเข้ากับผิวทำให้ผิวชุ่มชื่นสุด ๆ เนื้อมาสก์เป็นเจลข้น กลิ่นหอมสดชื่นแบบธรรมชาติ อีกหนึ่ง มาสก์ยอดนิยมที่ช่วยกู้ผิวแห้งให้กลับมาฉ่ำน้ำแบบรวดเร็ว, Foreo Call It a Night เด่นที่ส่วนผสมของโสมและน้ำมันโอลีฟ เอ็กโซติค ธรรมชาติสุด ๆ แต่ตัวนี้พิเศษนิดตรงนี้ต้องใช้คู่กับอุปกรณ์ยูเอฟโออันโด่งดังของแบรนด์ แต่รับรองว่าผลลัพธ์จะทำให้พึงใจสุด ๆ สีผิวสม่ำเสมอและเรียบเนียนขึ้นแน่นอน ปิดท้ายกับ Tatcha Luminous Dewy Skin Mask ขวัญใจบิวตี้ เอดิเตอร์ทั่วโลก ถูกหยิบยกให้มาอยู่ในลิสต์มาสก์ในดวงใจเสมอ ๆ มีส่วนผสมของชาเขียวออกแนวสไตล์ญี่ปุ่น แผ่นมาสก์นุ่มอ่อนโยนต่อผิวที่สุด
#3718


(1 สิงหาคม 2564) หนุ่มสุรินทร์โพสต์รูปพี่ชายโชว์สลากดวงเฮงถูกรางวัลที่ 1 รับเงิน 6 ล้าน สุดดีใจน้ำตาไหลบอกปลดหนี้ให้พ่อแม่ได้แล้ว

ภายหลังกองสลากประกาศผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 ส.ค.64 รางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 910261 และรางวัลเลขท้าย 2 คือ 69

ปรากฎว่าสมาชิกเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า Pakorn Peera ได้โพสต์รูปภาพชายหนุ่มถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 ใบ เป็นจำนวนเงิน 6 ล้านบาท พร้อมกับแท็กเฟซบุ๊กชื่อ ต้อม วุฒิพงศ์ ระบุว่า


ปลดหนี้ให้พ่อแม่ได้แล้ว รางวัลที่6ล้านบาท

พี่ชายผมถูก #น้ำตาไหล 

สุรินทร์ #ศรขรภูมิ #รัตนะ

นอกจากนี้ยังโพสต์ภาพพี่ชายเดินทางไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย

เพื่อนๆร่วมยินดี 'เจ้หมู'ดวงเฮงรับ 6 ล้าน ถูกแซวขำๆ 'จำข่อยได้บ่'



สาวใหญ่อุดรธานีดวงเฮงถูกรางวัลที่ 1 รับ 6 ล้าน เพื่อนๆ ญาติๆ ร่วมยินดีล้นหลาม แซวกันสุดขำ "จำข่อยได้บ่"

ภายหลังกองสลากประกาศผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 ส.ค.64 รางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 910261 และรางวัลเลขท้าย 2 คือ 69

ปรากฎว่าสมาชิกเฟซบุ๊กใช้ชื่อว่า Ripper Ripper ได้โพสต์ภาพหญิงสาวถือโชว์ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 6 ล้าน พร้อมระบุข้อความว่า

saveสร้างคอม ญาติพี่น้องข่อยถึกรางวัลที่1...ดีใจนำครับเจ้หมู!!จำข่อยได้บ่นิ..555(1ในล้าน)

ภายหลังโพสต์ดังกล่าวได้มีผู้เข้ามาแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก.... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/news/113900/
#3719



เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 ก.ค. 2564 ในการแถลงสถานการณ์โควิด 19 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรหวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนโควิด19 แล้ว 17,011,477 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 13,225,233 ราย และครบ 2 เข็ม 3,786,244 ราย   ส่วนความครอบคลุม พื้นที่กทม,และปริมณฑล 44.20 % เฉพาะกทม. 61.67 % ส่วนของผู้สูงอายุได้รับวัคซีนแล้วประมาณ 70 %  แต่ในภูมิภาคฉีดได้เพียง 12 % เพราะวัคซีนมีจำนวนจำกัด ที่ผ่านมาจึงเกลี่ยมาให้หพื้นที่ระบาดอย่างกรุงเทพฯและปริมณฑลก่อน  แต่จากนี้ต่างจังหวัดจะได้รับวัคซีนมากขึ้น โดยในเดือนส.ค.ที่จะมีวัคซีน 10 ล้านโดสก็จะกระจายไปฉีดในต่างจังหวัดมากขึ้น เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป  ผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ขึ้นไป จะได้วัคซีนก่อน จากนั้นเป็นอสม. และบุคลากรอื่นๆต่อไป 

      นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า  การฉีดวัคซีนในสูตรใหม่ คือ ซิโนแวคเข็มที่ 1 และ แอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 2 โดยห่างกัน 3 สัปดาห์  ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสูตรเดิมแต่ฉีดครบ 2 เข้มเร็วขึ้นจาก 12 สัปดาห์เหลือเพียง 3 สัปดาห์ ซึ่งจากที่มีการดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้วนั้น ในแง่ความปลอดภัยและอาการไม่พึงประสงค์หลังการรับวัคซีนไม่ได้แตกต่างจากการฉีดแบบสูตรเดิม จึงมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ

      "ส่วนการกระจายวัคซีนเดือนส.ค. ช่สงกระจาจวัครซีนเดือนส.ค.จะกระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น หลังจากที่เดือนมิ.ย.- ก.ค.กระจายในกทม.ปริมณฑลค่อนข้างมากเพื่อควบคุมการระบาดของโรค โดยมีเป้าหมายฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง รวมถึง อสม.เป็นหลัก จากนั้นส่วนหนึ่งจะใช้ควบคุมการระบาดในพื้นที่ระบาดเป็นจุดๆไป และฉีดในกลุ่มเป้าหมายพิเศษ เช่น พื้นที่ท่องเที่ยง อาทิ พังงา กระบี่ เป็นต้น"นพ.โอภาสกล่าว  

  นพ.โอภาส  กล่าวอีกว่า สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 1.5 ล้านโดสและส่งมาถึงประเทศไทยแล้วนั้น  จะฉีดใช้ให้ 4 กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย 

     กลุ่มที่ 1  บุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข ที่ดูแลผู้ป่วยโควิด19ทั่วประเทศ เป็นเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิค้มกัน จำนวน 7 แสนโดส   ซึ่งได้มีการสำรวจรายชื่อจากรพ.ต่างๆส่งมา จากนั้นสธ.จะกระจายวัคซีนไปรพ.เป้าหมายต่างๆ เพื่อฉีดให้บุคลากรสาธารณสุขมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น

กลุ่มที่ 2 ฉีดในผู้สูงอายุ  ผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง  หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่เนื่องจากวัคซีนไฟเซอร์สามารถรฉีดในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ด้วย เพราะฉะนั้นจะมีการฉีดให้กลับเด็กที่มีอายุ 12 ขึ้นไปและป่วยใน 7 กลุ่มโรคเรื้อรังจะได้รับวัคซีนนี้ด้วย ซึ่งจะมีการกระจายไปใน 13 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด คือ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา สงขลา ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส จำนวน 645,000 โดส

กลุ่มที่ 3 ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย โดยเป็น ผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง  หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ และคนไทยผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศที่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เช่น นักเรียน  นักศึกษา เป็นต้น จำนวน 150,000 โดส

และกลุ่มที่ 4  ทำการศึกษาวิจัย โดยการอนุมัติของคณะกรรมการวิจัยจริยธรรม เพื่อนำผลการวิจัยมาใช้ในการกำหนดนโยบายต่อไป จำนวน 5,000 โดส   

 
สรุปไทม์ไลน์ 'วัคซีนโควิด-19' อย่าง 'วัคซีนไฟเซอร์' 1.5 ล้านโดส ได้ฉีดเมื่อไหร่
  "วัคซีนไฟเซอร์ที่ส่งมาเป็นวัคซีนเข้มข้น ต้องมีการผสมด้วยน้ำเกลือก่อนนำไปฉีด เป็นวัคซีนที่ใน 1 ขวดผสมแล้วฉีดได้ 6 โดส  โดยวัคซีนไฟเซอร์กำหนดให้ฉีดโดสละ 0.3 มิลลิลิตรเข้าชั้นกล้ามเนื้อ โดยฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ สามารถเก็บในอุณหภูมิ -90 ถึง -70 องศาเซลเซียสได้นาน 6 เดือน และเก็บในอุณหภูมิตู้เย็น 2-8 องศาเซลเซียสได้ 1 เดือน เพราะฉะนั้นต้องวางแผนอย่างดีในการบริหารจัดการการกระจายและการฉีดวัคซีน ทั้งการนัดหมายวันเวลาที่จะมาฉีด เนื่องจากเก็บรักษาในตู้เย็นธรรมดาได้แค่ 1 เดือน"นพ.โอภาสกล่าว   

       นพ.โอภาส กล่าวด้วยว่า ไทม์ไลน์วัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส  คือ 30 ก.ค. 2564 วัคซีนล้อตบริจาคถึงประเทศไทย จัดเก็บที่คลังวัคซีนที่ -70 องศาเซลเซียส ของบริษัทซิลลิค ฟาร์มา(ประเทศไทย) จำกัด และส่งตัวอย่างตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 2 ส.ค.คาดว่าจะได้รับผลตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย วันที่ 3-4 ส.ค. บริษัทจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ แพ็ควัคซีนเพื่อจัดส่ง 5-6 ส.ค.จัดส่งวัคซีนล็อตแรกเข็มกระตุ้นสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และเข็ม 1 สำหรับกลุ่มเสี่ยงเป้าหมายถึงหน่วยบริการ วันที่ 7-8 ส.ค. รพ.เตรียมความพร้อมการฉีดวัคซีน โดยรพ.ต้องนัดหมายคนมาฉีด ควบคุมเวลาอย่างดี เพราะเอาออกจากตู้เย็นแล้วจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นความแม่นยำในการนัดหมายต้องเป็นอย่างดี ไม่เช่นนั้นวัคซีนจะเสียหาย  วันที่ 9 ส.ค. หน่วยบริการเริ่มฉีดวัคซีน และกลางเดือนส.ค.2564 จัดส่งวัคซีนเข็ม 2 สำหรับฉีดปลายเดือนส.ค.2564  คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนส.ค. 2564
#3720



รายงานข่าวจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ธนาคารทหารไทยธนชาต เปิดเผยว่า ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากคลัสเตอร์โรงงานและไม่ได้พบในจังหวัดสีแดงเข้มเท่านั้น แต่ยังมีจังหวัดอื่น ๆ ด้วย ทำให้คาดว่าหากไม่สามารถควบคุมคลัสเตอร์โรงงานได้ จะทำให้การผลิตหยุดมากกว่า 2 สัปดาห์จะเกิดความเสียหาย 1.9 แสนล้านบาท และกระทบต่อการส่งออกไทยปี 64 อาจทำได้เพียง 6.8% แต่ถ้าควบคุมการระบาดได้เร็วจะทำให้ส่งออกไปขยายตัวที่ 9.4%

ทั้งนี้จากข้อมูลกรมอนามัย ตั้งแต่เดือนเม.ย.-ก.ค. 64 มีโรงงานติดเชื้อสะสมมากถึง 1,607 โรงงาน เป็นโรงงานขนาดใหญ่ 67% ซึ่งมีแรงงานจำนวนมาก โดยเป็นทั้งโรงงานผลิตเพื่อใช้ภายในประเทศและป้อนตลาดต่างประเทศ คลัสเตอร์โรงงานจึงเป็นคลัสเตอร์ใหญ่นอกเหนือไปจากแคมป์ก่อสร้าง และส่วนใหญ่เป็นโรงงานใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ยางพารา และผลิตภัณฑ์สิ่งทอ

ขณะที่ในไทยมีโรงงานใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้มากถึง 11,637 แห่ง มีแรงงาน 1.96 ล้านคน และมูลค่าตลาดต่อปีเท่ากับ  8.87  ล้านล้านบาท มีสัดส่วนส่งออกกว่า 57%  และจากการที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานค่อนข้างมาก เมื่อมีผู้ติดเชื้อจึงมีโอกาสที่จะเกิดการแพร่กระจายสูง นำมาซึ่งการใช้มาตรการปิดโรงงานหยุดกระบวนการผลิตชั่วคราว


รายงานข่าว ระบุ การปิดคลัสเตอร์โรงงาน 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเป็นเวลา 2 สัปดาห์เพื่อควบคุมการระบาดจะก่อให้เกิดการสูญเสียมูลค่า 3.5 แสนล้านบาทหรือคิดเป็น 4% ของมูลค่าตลาด โดยอุปทานสินค้าป้อนตลาดจากโรงงานในอุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ ยางพาราและพลาสติก จะได้รับผลกระทบจากการปิดโรงงานเร็วที่สุด เพราะมีสินค้าคงคลังน้อยกว่าช่วงปกติ ดังนั้น หากไม่สามารถควบคุมการระบาดคลัสเตอร์โรงงานได้ ภาครัฐต้องมีการล็อกดาวน์โรงงานเพิ่มขึ้น หรือขยายระยะเวลาปิดโรงงานออกไป จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการฟื้นเศรษฐกิจครั้งนี้ 

นอกจากนี้ สินค้าส่งออกทั้ง 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจอาเซียนได้รับผลกระทบจากที่ต้องเจอยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ทำให้กลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ ซึ่งส่งผลต่อความต้องการสินค้าส่งออกจากไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยการส่งออกใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม  คิดเป็น 2 ใน 3 ของมูลค่าการส่งออกไปตลาดอาเซียนซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท