• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Panitsupa

#3721


นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาสที่ 2/2564 ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 7.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

โดยเศรษฐกิจไทยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนรวม 8.1% ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 27.5% สาขาอุตสาหกรรมขยายตัว  16.8% สาขาขนส่งขยายตัว 11.6% 

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกขยายตัวได้ 2% โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวในภาคการส่งออก  การให้การบริการด้านอาหาร ขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวโดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 1.5 แสนคน จากประมาณการเดิม 5 แสนคน 

 "เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่มีโมเมนตั้มของบางส่วนของการผลิตและกิจกรรมาทางเศรษฐกิจที่ลดลง ตั้งแต่การระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้นตั้งเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา" นายดนุชากล่าว


นอกจากนี้ สศช.ยังปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปีในปีนี้ลงจากเดิมคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 1.5 - 2.5% เหลือ  0.7 - 1.2 % เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงมีความรุนแรงขึ้นในขณะนี้ 

โดยคาดว่าเดือน ก.ย.จะเริ่มมีผู้ติดเชื้อลดลงหลังจากที่เดือน ส.ค.มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงสุด และเริ่มมีการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี รวมทั้งสามารถที่จะไม่มีการระบาดที่รุนแรงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ฐานการผลิต รวมทั้งการกระจายวัคซีนได้ 85 ล้านโดสในปี 2564

สำหรับคาดการณ์แนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2564  ณ วันการแถลงในวันที่ 16 ส.ค.ที่สำคัญได้แก่ การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 1.1%  การบริโภคภาครัฐขยายตัวได้ 4.3% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.7% การลงทุนภาครัฐลดลงเหลือ 8.7% ขณะที่การส่งออก สศช.คาดว่าจะขยายตัวได้ 16.3% 


สศช.ยังเสนอแนะประเด็นบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564 7 ประเด็นสำคัญในการบริหารเศรษฐกิจมหภาคได้แก่ 

1.การควบคุมสถานการณ์การระบาดให้อยู่ในวงจำกัด รวมทั้งการเร่งรัดจัดหาและการกระจายวัคซีนอย่างเพียงพอและทั่วถึง

2.การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจในช่วงที่การระบาดของโรคมีความรุนแรงและมีการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด  ควบคู่ไปกับการปรับมาตรการและดำเนินมาตรการเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม เข้าถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับการระบาดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น การพิจารณามาตรการช่วยเหลือ
ภาคแรงงานผ่านมาตรการรักษาระดับการจ้างงาน ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการสร้างงานใหม่
และมาตรการพัฒนาทักษะแรงงาน และมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในลักษณะเฉพาะเจาะจงให้กับผู้ประกอบการธุรกิจในสาขาที่ได้รับผลกระทบรุนแรง

3.การดำเนินมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเมื่อสถานการณ์การระบาดผ่อนคลายลง โดยให้ความสำคัญกับมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ 

4.การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า ควบคุมการแพร่ระบาดในฐานการผลิตที่สำคัญ การเร่งรัดแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อจำกัดและอุปสรรคในการขนส่งสินค้า การแก้ไขปัญหาการขาดแรงงานต่างชาติในภาคการผลิต การขับเคลื่อนการส่งออกไปยังตลาดหลักที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ การเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่อยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ

5.การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ

6.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน  และ 7.การรักษาบรรยากาศทางการเมืองและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
#3722


"บลจ.เอ็มเอฟซี" ชี้ใช้โอกาสรัฐลดวงเงิน "คุ้มครองเงินฝาก" หาทางเลือกออมเงินใหม่นอกจากเงินฝาก ทำเงินส่วนเกิน1ล้านให้งอกเงย แนะคนรับความเสี่ยงต่ำ-เริ่มลงทุนในกองทุน โยกเงินเข้า "กองทุนตราสารหนี้" ตามระดับความเสี่ยง รับผลตอบแทนคาดหวัง0.1-0.75%ต่อปี

ถึงแม้ว่า ภาครัฐปรับลดวงเงิน"คุ้มครองเงินฝาก" ลง เหลือ1 ล้านบาทต่อ 1 รายผู้ฝาก ต่อสถาบัน จนหลายคนอาจเกิดความกังวลว่า เงินฝากจะได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐเป็นจำนวนเงินลดลง

แต่จริงๆ แล้วอยากให้ผู้ลงทุนใช้โอกาสนี้ "มองหาทางเลือกในการออมเงินหรือการลงทุนที่นอกเหนือจากเงินฝาก" ที่ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นและทำให้เงินก้อนของผู้ลงทุนงอกเงยได้เร็วยิ่งขึ้น

เพราะในปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากให้ผลตอบแทนในระดับต่ำ และดอดเบี้ยเงินฝากยังมีความเสี่ยงที่ปรับตัวลงได้อีกจากธปท.มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก1ครั้งภายในปีนี้หากเศรษฐกิจชะลอตัวกว่าที่คาด


ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

สร้างเงินออมงอกเงย

กับกองทุนตราสารหนี้


"เชาวน์กร โชติบัณฑ์"ผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจอาวุโสบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี แนะนำ การออมเงินและการลงทุน มีช่องทางที่หลากหลาย นอกเหนือจากการฝากออมทรัพย์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ ยังสามารถใช้"กองทุนรวมตราสารหนี้" เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการออมเงินและลงทุนได้  เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนในกองทุนรวม

"กองทุนตราสารหนี้" เป็นกองทุนที่นำเงินของผู้ลงทุนไปลงทุนในเงินฝาก พันธบัตร และหุ้นกู้ จึงมีความเสี่ยงที่ต่ำ โดยมีทั้งกองทุนตราสารหนี้ที่กำหนดระยะเวลาลงทุนอย่าง 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งมีการแจ้งประมาณการผลตอบแทนจากการลงทุนให้ทราบก่อนตัดสินใจลงทุน และกองทุนตราสารหนี้แบบที่ซื้อขายได้ทุกวันทำการ ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยในช่วงนั้นและความต้องการตราสารหนี้ว่ามีมากน้อย



เข้า 3 กองทุนตราสารหนี้

ดังนั้น ผู้ลงทุนสามารถย้ายเงินส่วนที่เกินจากความคุ้มครอง 1 ล้านบาท มาลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้แทนได้

โดยปัจจุบัน บลจ.เอ็ม เอฟซี มีกองทุนรวมตราสารหนี้แนะนำตามระดับความเสี่ยงดังนี้

1. MMGOVMF  เป็นกองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ความผันผวนต่ำ มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 1 เหมาะสำหรับการลงทุนระยะเวลา 1-3 เดือน และมีผลตอบแทนความหวัง 0.10% ต่อปี

2. MMM-PLUS เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short-Term Fixed-Income Fund) ความผันผวนปานกลาง มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 4 เหมาะสำหรับการลงทุน 3-6 เดือนขึ้นไป และมีผลตอบแทนความหวัง 0.60% ต่อปี

3. SMARTMF กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว (Long-Term Fixed-Income Fund) ความผันผวนปานกลางค่อนข้างสูง มีความเสี่ยงกองทุนอยู่ที่ระดับ 4เหมาะสำหรับการลงทุน 6 เดือนขึ้นไป และมีผลตอบแทนความหวัง 0.75% ต่อปี

ย้ำควรศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุน

อย่างไรก็ตาม"ข้อควรระวัง"ก็คือ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
#3723


ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะมีเสียวเล็กน้อย เปิดบ้านไล่ทุบ สตราส์บวร์ก 4-2 โดยก่อนเกมเปิดตัว 5 นักเตะใหม่ มี ลิโอเนล เมสซี นำทัพ

ศึกฟุต.ลีกเอิง ฝรั่งเศส ฤดูกาล 2021/22 วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564 "เปแอสเช" ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ลงสนามนัดที่สอง เปิดรับพาร์ค เด แพรงส์ รับการมาเยือนของ สตราส์บวร์ก

"เปแอสเช" ของกุนซือเมาริซิโอ โปเช็ตติโน เกมที่แล้วบุกไปเอาชนะ ทรัวส์ มาแบบหืดจับ 2-1 ส่วนเกมนี้ ลิโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ชาวอาร์เจนไตน์ เดินทางมาทักทายแฟน.ที่เข้ามาชมกันแบบเต็มความจุ แต่ยังไม่มีชื่อ โดย 11 คนแรก นำทัพโดย 3 ประสานแดนหน้า อย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป, เมาโร อิคาร์ดี, ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ ขณะที่ เนย์มาร์ ยังคงได้พัก และเซร์คิโอ รามอส ยังต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ

ปรากฎว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ออกสตาร์ทกันอย่างคึกคัก มาทำ 3 ประตู ขึ้นนำ 3-0 จาก เมาโร อิคาร์ดี น.3, คีเลียน เอ็มบัปเป น.25 และยูเลียน ดรักซ์เลอร์ น.27 และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลัง เปแอสเช ยังเดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง แต่กลายเป็น สตราส์บวร์ก ที่มาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 จากการยิงของ เควิน กาเมยโร ในนาทีที่ 53

น.64 สตราส์บวร์ก ก็มาได้ประตูตีตื้นมาอีกเป็น 2-3 จากจังหวะที่ ดิมิทรี ลีนาร์ด เปิดจากริมเส้นฝั่งซ้ายไปให้ ลูโดวิช อาชอร์ก

น.80 สถานการณ์ของทีมเยือน สตราส์บวร์ก ย่ำแย่ลง เมื่ออเล็กซานเดอร์ ดิคู ปราการหลังตัวเก่ง โดนใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม 

น.85 เปแอสเช อาศัยตัวผู้เล่นที่เหนือกว่า มาได้ประตูขยับห่างเป็น 4-2 จากจังหวะที่ คีเลียน เอ็มบัปเป ลากเลื้อยมาทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนตบเข้ากลางให้ พาโบล ซาราเบีย ยิงจ่อๆ ระยะ 4 หลาเข้าไปไม่พลาด 

ช่วงเวลาที่เหลือ เปแอสเช สามารถรักษาสกอร์เอาไว้ได้ และไม่มีใครทำประตูกันเพิ่ม หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เปิดบ้านเฉือนชนะ สตราส์บวร์ก 4-2 เก็บสามคะแนน 2 เกมติดต่อกัน

รายชื่อ 11 ตัวจริงของปารีส แซงต์-แชร์กแมง
เคย์เลอร์ นาบาส (GK), อาชราฟ ฮาคิมี, ธีโล เคห์เรอร์, เพรสเนล คิมเพมเบ, อับดู ดิยัลโล, อันเดร์ เอร์เรรา, เอริค ดีนา, จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม, ยูเลียน ดรักซ์เลอร์, คีเลียน เอ็มบัปเป, เมาโร อิคาร์ดี


ผลการแข่งขันลีกเอิง ฝรั่งเศส วันที่ 14 สิงหาคม 2564 คู่อื่นๆ 
ลีลล์ 0-4 นีซ 
#3724


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า  GULF ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) จำนวน 1,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 412 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน

สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลกำไรของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) หน่วยที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 โดยมี Load Factor เฉลี่ยเท่ากับ 88% ในไตรมาสนี้ ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้า 12 SPP ภายใต้กลุ่ม GMP และโครงการโรงไฟฟ้า 7 SPP ภายใต้กลุ่ม GJP ที่รับรู้ Core Profit เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมที่สูงขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็ก โดย 12 SPP มี Load Factor เฉลี่ยของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้ เท่ากับ 63% เทียบกับ 51% ปีที่แล้ว

ขณะที่ 7 SPP มี Load Factor เฉลี่ยเท่ากับ 66% ในไตรมาสนี้ เทียบกับ 57% ในปีก่อน นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า 2 IPP ภายใต้กลุ่ม GJP ยังมีปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้น 148% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 ส่งผลให้โรงไฟฟ้าเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้ง ในไตรมาส 2 ปี 2564 ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก PTT NGD จำนวน 63 ล้านบาท จากการที่ GULF เข้าไปลงทุนในสัดส่วน 42% ด้วย


ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 Core Profit ในไตรมาสนี้ลดลง 989 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.4% เนื่องจากไม่มีการบันทึกเงินปันผลรับจาก INTUCH ในไตรมาสนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) มีปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงจากปัจจัยด้านฤดูกาล ซึ่งไตรมาส 2 และไตรมาส 3 นับเป็น low season เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1 และ ไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็น high season ของพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเยอรมนี

ในไตรมาส 2 ปี 2564 GULF มีรายได้รวม (Total Revenue) 11,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,707 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.6% จากไตรมาส 2 ปี 2563 จากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 ที่เปิดดำเนินการในไตรมาส 1 ปี 2564 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่รับรู้รายได้ครั้งแรกในไตรมาส 4 ปี 2563

อีกทั้ง ยังรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมของกลุ่ม GMP อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GTN1 และ GTN2 ที่ประเทศเวียดนาม ลดลงเล็กน้อยจากการจำกัดการรับซื้อไฟฟ้าชั่วคราว (Temporary Curtailment) เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศเวียดนาม

อัตรากำไร EBITDA Margin ในไตรมาส 2 ปี 2564 เท่ากับ 35.6% เพิ่มขึ้นจาก 31.9% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 8.7% จากปีก่อน แม้ว่าค่า Ft เฉลี่ยจะลดลงก็ตาม


นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)

GULF มีกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับ 1,407 ล้านบาท ลดลง 25.2% เทียบกับผลกำไรสุทธิ 1,881 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 เนื่องจากในปีก่อนมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Gain) จำนวน 892 ล้านบาท เทียบกับ 6 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 GULF มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) เท่ากับ 1.75 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าข้อกำหนดสิทธิสำหรับหุ้นกู้ (Bond Covenant) ที่ 3.50 เท่า

นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ GULF ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH แล้วเสร็จ ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้น INTUCH ทั้งสิ้น เท่ากับ 42.25% โดย GULF ได้ทำการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศทั้งสิ้นจำนวน 48,612 ล้านบาท โดย GULF มีแผนในการออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาทภายในปีนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ไปลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้ที่ใช้ในการซื้อหุ้น INTUCH ในบางส่วน นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรับรู้เงินปันผลรับทันที ประมาณ 1,600 ล้านบาทในไตรมาส 3 นี้

สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2564 GULF ยังมีโครงการที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการระหว่างไตรมาส 3-4 ปีนี้, โครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่กำหนดเปิดดำเนินการในเดือนตุลาคม 2564

โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน (DIPWP) จำนวน 326 เมกะวัตต์ ระยะที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดดำเนินการระหว่างไตรมาส 3-4 และโครงการ solar rooftop ภายใต้ Gulf1 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 20 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการภายในสิ้นปี ส่งผลให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมทั้งสิ้น 7,922 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2564
#3725


นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดเป็นวงกว้างส่งผลกระทบต่อทุกคนจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาแรงงานถูกเลิกจ้างงาน สถานประกอบการบางแห่งต้องปรับลดอัตรากำลังการจ้างงานให้น้อยลง ลดเวลาการทำงาน ส่งผลกระทบต่อรายได้ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มคนพิการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้

'คนพิการไม่มีงานทำ' มากกว่า 7 หมื่นคน
จากรายงาน ข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปี 2564 พบ 'คนพิการ' วัยทำงานที่ยังไม่มีอาชีพ จำนวน 72,466 คน จากจำนวนคนพิการวัยทำงานทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบ 857,253 คน


พัฒนาชุมชนต้นแบบ เกิดการจ้างงาน
สสส. ได้ร่วมกับ มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ดำเนินโครงการส่งเสริมอาชีพความมั่นคงทางอาหารสู่การพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ เพื่อพัฒนาการจ้างงานคนพิการระยะยาวในวิกฤตโควิด-19 โดยใช้กลไกชุมชนด้านความมั่นคงทางอาหาร มาจ้างงานเชิงสังคม ให้คนพิการทำงานที่บ้านและในท้องถิ่นของตัวเองได้ เช่น เกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ เพราะการจ้างงานลักษณะนี้คนพิการมีความรู้พื้นฐานเป็นทุนเดิม ทำให้ไม่ต้องปรับตัวจากการทำงานมาก และเป็นอาชีพที่สามารถทำงานที่บ้านและไม่ขาดแคลนอาหารในการบริโภค


3 เป้าหมายพัฒนาคนพิการ
โดยโมเดลความมั่นคงทางอาหารและสนับสนุนอาชีพคนพิการมีเป้าหมาย 3 อย่าง คือ

1. พัฒนาทักษะคนพิการให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพที่ท้องถิ่นของตัวเองในภาวะวิกฤต

2. พัฒนาให้คนพิการทำงานตามแผนการประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.พัฒนาเป็นพื้นที่นำร่องเพื่อถอดบทเรียนการทำชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ ระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ ในอนาคต


"ในวิกฤตโควิด-19 นี้ ถือเป็นโอกาสสร้างอาชีพแก่คนพิการซึ่งเป็นอีกกลุ่มประชากรที่ควรได้รับความเป็นธรรมทางสุขภาพในทุกมิติ ทั้งกาย จิต ปัญญา และสังคม การที่คนพิการสามารถประกอบอาชีพ และมีรายได้จากการทำงานเหมือนคนทั่วไป ทำให้เกิดความภูมิใจในตัวเอง และช่วยให้คนพิการมีพฤติกรรมทางสุขภาพที่ดีขึ้น เกิดการยอมรับจากสังคม  โดยที่ผ่านมา สสส. ได้สนับสนุนเรื่องการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำ ทั้งเรื่องการเตรียมความพร้อมของทั้งคนพิการ สถานประกอบการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการผ่านการมีส่วนร่วมในชุมชนอยู่แล้ว" นางภรณี กล่าว


โครงการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร 
นายอภิชาติ  การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า โครงการส่งเสริมอาชีพความมั่นคงทางอาหารสู่การพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านสุขภาวะ สนับสนุนโดย สสส. จะเป็นการร่วมกันพัฒนาอาชีพไปยังคนพิการและครอบครัวในต่างจังหวัด ที่ตั้งใจพัฒนาเรื่องอาชีพและต้องการมีรายได้ในช่วงโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างหรือมีรายได้น้อยลง

โดยบริษัทที่จ้างงานจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเรื่องวัตถุดิบอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ และประสานเรื่องการจัดทำเอกสารและติดตามส่งรายงานให้บริษัทที่เข้าร่วมการจ้างงานเชิงสังคม ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550  


คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ 
ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องมีบัตรคนพิการ อายุ 20 – 70 ปี

ผู้ดูแลจะต้องมีชื่อหลังบัตรคนพิการให้สามารถใช้สิทธิแทนคนพิการ เพื่อนำเงินไปเตรียมพื้นที่สำหรับการประกอบอาชีพ

ซึ่งครอบครัวคนพิการส่วนใหญ่จะนิยมปลูกผัก สมุนไพร ผลไม้ และเลี้ยงสัตว์ และหลังจากผลผลิตถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็จะถูกจำหน่ายหรือมีผู้ค้าเข้ามารับซื้อ และผลผลิตส่วนที่เหลือหรือแบ่งเก็บไว้ครอบครัวคนพิการจะนำมาบริโภคเป็นอาหาร ซึ่งเป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในภาวะวิกฤตโควิด-19 โดยผลกำไรหรือรายได้ทั้งหมดที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของคนพิการและครอบครัว


บริษัทจะไม่เรียกรับเงินคืน เพราะต้องการสร้างอาชีพให้คนพิการในระยะยาวและสามารถต่อยอดไปถึงอนาคตได้ ปัจจุบันได้จัดทำนำร่องไปแล้วตั้งแต่โควิด-19 ระลอกแรกเมื่อปี 2563 ที่บ้านยางชุม และบ้านวังศิลา อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ และเตรียมขยายพื้นที่เพิ่มไปยังจังหวัดต่างๆ ในอนาคตโดยมีโมเดลนำร่องจากที่นี่เป็นแบบอย่าง

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ แฟนเพจเฟซบุ๊ก คนพิการต้องมีงานทำ-มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 02 279- 9385
#3726


ในปีที่แล้วนั้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกลดลง5% โดยลดลงทุกประเทศ รวมทั้งการลงทุนซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดก็ลดลง 42% หรือเกือบ ๆ ครึ่งที่หายไปจากปีก่อนหน้านี้ หนักที่สุดก็เป็นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ลดการลงทุนกว่า69%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศทั่วโลกจะลดลง 4% และในส่วนของภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ลดลง31% ลดลงเกือบทุกประเทศ ยกเว้นฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศไทยนั้นมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเหลือเพียง 1.5 พันล้านดอลลาร์ ผลสุทธิที่มีจำนวนน้อยนี้ อาจเป็นผลจากถอนการลงทุนของบริษัทเทสโก้ สหราชอณาจักร แต่เมื่อเทียบกับเวียดนาม ที่ลดลง10%  แต่ก็มี FDI ไหลเข้ากว่า 14 พันล้านดอลลาร์  มากกว่าไทยหลายเท่า ก็ทำให้น่าห่วงและมีคำถามใหญ่ ๆ ที่ต้องสนใจว่า "นักลงทุนต่างประเทศกำลังเลิกสนใจไทย" หรือ "ไทยกำลังถูกนักลงทุนทิ้ง"

คำถามที่คนชอบตั้งประเด็นจากผลการศึกษาของหลายสำนักเศรษฐกิจภาคเอกชนที่ FDI ไหลเข้าลดลงมากและตามหลังเกือบทุกประเทศที่สำคัญในภูมิภาคนี้  เพราะเดิมทีประเทศไทยยังคงเสน่ห์ในการเป็นสวรรค์ของนักลงทุนต่างประเทศนั้น ไม่ได้มาจากอัตราภาษีที่ลดแลกแจกแถมเหมือนคนอื่น แต่นักลงทุนจะมองที่ความสงบทางการเมือง สังคมที่เปิดกว้างในการยอมรับวัฒนธรรมอื่น ค่าแรงงานที่ไม่สูง ฝีมือและทักษะ สาธารณูปโภคที่สะดวกสบาย และความโปร่งใสในการทำธุรกิจ รวมทั้งนโยบายของรัฐที่เอื้อและสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ    

       ทำให้กลายเป็นประเทศที่ FDI ด้านการผลิตเข้ามามากที่สุดในอาเซียน (ยกเว้นทางการเงินที่ไปสิงค์โปร์มากสุด) แต่ความรุ่งโรจน์นั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าของอดีตเท่านั้น เสน่ห์ที่เรามีน้อยและบางอย่างไม่มีด้วยซ้ำไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคนี้

ความยุ่งยากของระบบกฎหมายบ้านเราที่เป็นประเภท One fits all ทำให้เราพยายามสร้างเสน่ห์อื่นขึ้นมาแทนซึ่งในขณะนี้ เราลงไปในระดับพื้นที่เป้าหมายเฉพาะที่ตอนนี้ เรียกง่าย ๆ ว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมี พ.ร.บ. ของตนเอง เพื่อเลี่ยงที่จะใช้ระเบียบแบบเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งก็ทำได้ไม่มาก แต่ก็มีพิเศษมากกว่าที่อื่น ๆ แม้ว่าจะผ่านเครื่องมือเดิม ๆ ก็ตาม เช่น ผ่าน BOI แต่มีสิทธิประโยชน์มากกว่านอกพื้นที่ผ่านการ Plus Plus ให้ หรือการมีสาธารณูปโภคระดับโลก สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อาทิ Smart Visa รวมทั้งการเตรียมแรงงานมีฝีมือทันสมัย เพื่อให้พื้นที่นี้เพื่อให้ทุกอย่างโดดเด่นขึ้นมาในสายตาของนักลงทุน ทดแทนสิ่งที่เราไม่มี เช่น FTA กับประเทศใหญ่ ๆ หรือการส่งเสริมการลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง และแรงงานที่ไม่ถูกและยังหายากอีก (ซึ่งอย่างหลังเราก็พยายามเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้น)

แม้ว่ามูลค่าการขอรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 นี้อาจจะแสดงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศที่มีต่อประเทศไทย แต่เราจะสังเกตเห็นว่ายังคงวนเวียนอยู่กับอุตสาหกรรมเดิม ๆ ที่เรามีรากฐานที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร ฯลฯ ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่นั้น แม้ว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังถือน้อยมาก ที่จะเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ให้ประเทศ ดูแล้วเราคงต้องออกแรงกว่านี้มาก เพราะการลงทุนที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการลงทุนไปแล้วกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในสามปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นการลงทุนของโครงการร่วมรัฐเอกชน (PPP) ด้านสาธารณูปโภคเป็นส่วนมาก แต่ FDI ในอุตสาหกรรม New S-Curve ยังต้องออกแรงอีกเยอะ

เรายังหวังว่า "เสน่ห์" ที่เรากำลังสร้างในพื้นที่ EEC ในส่วนต่าง ๆ ขึ้นมานั้นสามารถทดแทนเสน่ห์เก่า ๆ ที่หายไป หมดยุค หรือไร้ซึ่งความสนใจของลูกค้า และด้อยกว่าคู่แข่ง ก็ได้แต่หวังว่าคนที่ดูแลภาพของเสน่ห์รวม จะพยายามดูให้ครบว่า เสน่ห์ ที่นักลงทุนต้องการนั้นคืออะไรจริง ๆ และหากเราทำไม่ได้ อะไรคือสิ่งที่มี "ค่า" สำหรับเขา (ไม่ใช่เรา) พอจะทดแทนสิ่งที่เราไม่มีให้เขาได้บ้าง ที่มองภาพรวมแล้ว ไทยยังมีเสน่ห์ในการลงทุนมากกว่าที่อื่น
#3727


ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันศุกร์ (13ส.ค.)พุ่งขึ้น 1.4% ปิดเหนือระดับ 1,770 ดอลลาร์โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. ดีดตัวขึ้น 1.4% ปิดที่ราคา 1,775.80 ดอลลาร์/ออนซ์

ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ส่วนการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย


อย่างไรก็ดี ราคาทองมีแนวโน้มร่วงลงในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

ทั้งนี้ คาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในการประชุมดังกล่าว

การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ จะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว เฟดต้องจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ไทม์ไลน์ของเฟดว่า เฟดจะเริ่มปรับลดคิวอีในเดือนม.ค.2565 โดยจะปรับลดวงเงินคิวอีเดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดทำคิวอีวงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งจะทำให้เฟดใช้เวลา 6 เดือนในการปรับลดคิวอีจนเหลือ 0 หมายความว่าเฟดจะยุติการทำคิวอีโดยสิ้นเชิงในช่วงกลางปี 2565 และเฟดจะพักการดำเนินการเป็นเวลา 1 ปีเพื่อให้ตลาดปรับตัว ก่อนที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
#3728


วิกฤติโควิด-19 ยังคงฉุดผลประกอบการครึ่งปีแรกของธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างต่อเนื่อง หลังเกิดการระบาดยาวนานกว่า 1 ปีครึ่ง และมีแนวโน้มยืดเยื้อเกินคาด ส่งผลให้บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นเทล (Centel) ต้องปรับกลยุทธ์รับมือวิกฤติ

ด้วยการบริหารต้นทุน คุมค่าใช้จ่ายเข้ม รวมถึงแผนการลงทุนโรงแรมโครงการใหม่ๆ ในอนาคตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด!

รณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร เซ็นเทล กล่าวในรายงานของบริษัทฯต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า บริษัทฯมองว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ระลอกที่ 3 เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดังนั้น "การบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่าย" รวมถึง "แผนการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ" เป็นกลยุทธ์สำคัญภายใต้สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน!! บริษัทฯได้ทำการควบคุมดูแลงบการลงทุนอย่างใกล้ชิด และให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้งบการลงทุนรวมสำหรับธุรกิจโรงแรม (รวมงบการปรับปรุงโรงแรมประจำปีและโครงการใหม่) ในปี 2564 รวมกว่า 2,600 ล้านบาท

"บริษัทฯยังคงแผนการลงทุนสำหรับโครงการโรงแรมใหม่ที่ดูไบ ญี่ปุ่น และการปรับปรุงโรงแรมที่เกาะสมุย แต่เลื่อนการลงทุนโครงการที่มัลดีฟส์ในส่วนของการก่อสร้างอาคารรีสอร์ท และโคซี่ เชียงใหม่"

สำหรับงบการลงทุนและแผนการเปิดโรงแรมที่สำคัญ มีการปิดปรับปรุงโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท สมุย จากเดิมเป็นโรงแรมระดับอัปเปอร์ อัปสเกล (Upper Upscale) เป็นโรงแรม "เซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย" ระดับลักชัวรี (Luxury) กำหนดเปิดดำเนินการในไตรมาส 4 นี้ หลังปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2562 โดยงบใช้จ่ายการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีโรงแรม "เซ็นทารา มิราจ บีช รีสอร์ท ดูไบ" คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการในไตรมาส 4 นี้เช่นกัน โดยงบใช้จ่ายการลงทุนประมาณ 800 ล้านบาทในปีนี้ ขณะที่โรงแรม "เซ็นทารา แกรนด์ โฮเทล โอซาก้า" คาดว่าจะเปิดดำเนินการในปี 2566 ใช้เงินลงทุนประมาณ 570 ล้านบาทในปีนี้


"จากแนวโน้มธุรกิจโรงแรมในปีนี้ การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมสะดุดลงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยเฉพาะแถบเอเชีย ประกอบกับแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ล่าช้ากว่ากำหนด ส่งผลให้บริษัทฯต้องมีการทบทวนแผนการปิดโรงแรมบางแห่งชั่วคราวในไตรมาส 3 นี้ เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการบริหารและจัดการให้เหลือน้อยที่สุด อย่างไรก็ดี บริษัทฯคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการโรงแรมที่เป็นเจ้าของได้ทั้งหมดภายในไตรมาส 4 นี้ ทั้งนี้การเปิดหรือปิดโรงแรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นสำคัญ"

โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทฯมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานทั้งสิ้น จำนวน 84 แห่ง (17,224 ห้อง) แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 44 แห่ง (7,819 ห้อง) และเป็นโรงแรมที่กำลังพัฒนา 40 แห่ง (9,405 ห้อง) โดยในส่วนของโรงแรม 44 แห่งที่เปิดดำเนินการแล้วนั้น โรงแรม 18 แห่ง (4,443 ห้อง) เป็นโรงแรมที่บริษัทฯเป็นเจ้าของ และ 26 แห่ง (3,376 ห้อง) เป็นโรงแรมที่อยู่ภายใต้สัญญาบริหาร

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทฯมีรายได้รวม 2,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 354 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 322 ล้านบาท คิดเป็น 12% ขณะที่รายได้จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 2,368 ล้านบาท คิดเป็น 88% โดยบริษัทฯขาดทุนสุทธิ 607 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 141 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

และเมื่อดูผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯมีรายได้รวม 5,463 ล้านบาท ลดลง 1,475 ล้านบาท หรือลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 822 ล้านบาท คิดเป็น 15% ขณะที่รายได้จากธุรกิจอาหารอยู่ที่ 4,641 ล้านบาท คิดเป็น 85% บริษัทฯขาดทุนสุทธิ 1,082 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 571 ล้านบาท หรือ 112% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

หากโฟกัสเฉพาะธุรกิจโรงแรมจากผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ที่บริษัทฯมีรายได้รวม 822 ล้านบาท ลดลง 1,114 ล้านบาท หรือลดลง 58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หลังอัตราการเข้าพักลดลงจาก 31% เป็น 13% และราคาห้องพักเฉลี่ยลดลง 20% อยู่ที่ 4,096 บาท ส่งผลให้รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPAR) ลดลง 68% อยู่ที่ 516 บาท ทั้งนี้ส่วนของธุรกิจโรงแรมขาดทุนสุทธิ 1,127 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 622 ล้านบาท หรือ 123% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้งนี้บริษัทฯมีอัตราส่วนสภาพคล่องดีขึ้นจากสิ้นปี 2563 เป็น 0.7 เท่า อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นลดลงเป็น 1.2 เท่า ดีขึ้นจากสิ้นปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของส่วนผู้ถือหุ้นเนื่องจากการตีราคาที่ดินเป็นสำคัญ และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อส่วนผู้ถือหุ้น 0.7 เท่า นอกจากนี้บริษัทฯมีเงื่อนไขกับสถาบันการเงินเกี่ยวกับการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.0 เท่า

อย่างไรก็ดี เนื่องด้วย "ความไม่แน่นอน" ในการฟื้นตัวของธุรกิจ บริษัทฯได้จัดเตรียมวงเงินกู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่สามารถเบิกถอนได้ประมาณ 8,300 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเพียงพอสำหรับการดำเนินงานภายใต้ความผันผวนของธุรกิจถึงไตรมาส 4 ปี 2565 ในการใช้ไปเพื่อการดำเนินงานบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายสำหรับลงทุนและดอกเบี้ยจ่าย (ไม่รวมดอกเบี้ยจ่ายตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า) รวมสุทธิเดือนละประมาณ 370-380 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจอาหารยังคงสามารถสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน รวมถึงเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือเพียงพอในการดำเนินงานและการลงทุน
#3729


ดร.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ หัวหน้างานสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า จังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ดำเนินโครงการ "การพัฒนาสมรรถนะนักสังคมสงเคราะห์และรูปแบบการดูแลทางสังคม" ดูแลและติดตามคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว แต่ต้องกักตัวอยู่บ้านอีก 14 วัน รวมถึงผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงแยกกักตัวดูแลตนเองที่บ้าน หรือ HOME ISOLATION

ซึ่งจากการลงพื้นที่ให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ ลดความกังวลใจ พบว่า ผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาไม่มีรถรับ-ส่งในการเดินทางมาโรงพยาบาล จึงต่อยอดขยายผลจัดทำโครงการ 'อาสาTAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด' โดยชักชวนอดีตผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาชีพขับแท็กซี่ เคยรักษาในโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ รวมกลุ่มแท็กซี่ ขับรถรับ-ส่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยในการมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ขณะนี้มีแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการฯ แล้วจำนวน 6 คัน

"จากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากประสบปัญหาไม่มีรถส่วนตัว ในการเดินทางมาตรวจเอกซเรย์ปอด หรือรักษาที่โรงพยาบาล กลุ่มจิตอาสา และเครือข่ายผู้ขับรถแท็กซี่ จึงอาสาเข้ามาช่วย โดยร่วมกันปรับปรุงรถแท็กซี่ให้ใช้งานรับส่งผู้ป่วยไป-กลับบ้าน และโรงพยาบาล ทำฉากกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสาร และคนขับแท็กซี่ทุกคนจะใส่ชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ตลอดการขับขี่ เช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ส่วนค่าบริการจะคิดตามราคามิเตอร์ ในกรณีผู้ป่วยยากไร้ โรงพยาบาลจะพิจารณาช่วยเหลือค่าโดยสารเป็นรายๆ ไป" ดร.ขนิษฐา กล่าว


นายพจนารถ แย้มยิ้ม จิตอาสา TAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด กล่าวว่า ได้มาเป็นแท็กซี่จิตอาสารับ-ส่งผู้ป่วย เนื่องจากติดเชื้อโควิด-19 ในการระบาดระลอกแรก ช่วงเดือนมีนาคม 2563 และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ ได้พบกับกลุ่มนักสังคมสงเคราะห์ที่เข้ามาให้กำลังใจ พอหายดีกลับมาขับแท็กซี่พบว่า จำนวนผู้โดยสารลดลงส่งผลให้รายได้ไม่เพียงพอ

กลุ่มนักสังคมสงเคราะห์จึงชักชวนให้มาขับรถแท็กซี่เพื่อรับ-ส่ง ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ของโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ฯ พบว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่สามารถเดินทางมาเข้ารับการรักษาได้ จึงได้ชักชวนเพื่อนแท็กซี่มาเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากจะมีรายได้เพิ่มแล้ว ยังได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ด้วย



'มิสทีน' เปิดลงทะเบียน 'มิสทินสู้โควิด' แจก 1 พันบาท-สินค้า เริ่ม 12 -14 ส.ค.นี้
อัพเดท! มิสทีนสู้โควิด.com เว็บล่มไม่เลิก เช็คเลื่อนเวลาลงทะเบียน แจกเงิน 1,000 บาท
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ติดสูง! พบติดเชื้อเพิ่ม 22,782 ราย เสียชีวิต 147 ราย ไม่รวม ATK อีก 3,673 ราย
"รู้สึกตื้นตันใจทีได้ช่วย ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีรถมาโรงพยาบาล และสามารถช่วยแบ่งเบาภาระรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล หน่วยงานสาธารณสุข รถกู้ภัย ในการช่วยเหลือผู้ป่วย และยังลดการติดเชื้อจากการสัญจรของผู้ติดเชื้อได้ ซึ่งผู้โดยสารหลายคนดีใจมากที่มีรถมารับ บางครั้งหากผู้โดยสารไม่มีทุนทรัพย์ก็ไม่คิดเงินถือว่าได้ช่วยเหลือกัน"

"นอกจากงานแท็กซี่จิตอาสาแล้ว ยังร่วมกับทีมนักสังคมสงเคราะห์ ในการให้คำปรึกษา แนะนำดูแลเฝ้าระวัง และการป้องกันตนเองจากโควิด-19 ให้กับชุมชน พร้อมมอบของอุปกรณ์ยังชีพต่างๆ เพื่อให้กำลังใจด้วย" นายพจนารถ กล่าว

ทั้งนี้ หากท่านใดต้องการใช้บริการ 'อาสา TAXI ปทุมฯ ห่วงใยช่วยภัยโควิด' สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 061-868-5246 แจ้งล่วงหน้า 1 วัน รับ-ส่งในพื้นที่ กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล
#3730


นายอิศรินทร์ ภัทรมัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการลงทุน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 335.6 ล้านบาท ลดลง 8.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ KEX ประสบความสำเร็จด้วยกลยุทธ์ด้านราคาเชิงรุกทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าประเภทการจัดส่งราคาประหยัด และมุ่งขยายตัวต่อเนื่องเข้าสู่ตลาดการเกษตร ด้วยการนำเสนอโปรโมชั่นด้านราคาและแคมเปญการตลาดที่ดึงดูดใจทุกภูมิภาดทั่วประเทศ

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มีปริมาณการจัดส่งพัสดุที่เติบโตอย่างโดดเด่นและรายงานผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ ด้วยกำไรสุทธิที่ 336 ล้านบาท พร้อมทั้งอัตรากำไรสุทธิที่ 7.3% จากความสำเร็จของการเข้าถึงลูกค้าด้วยการตลาดและการขายที่แข็งแกร่ง และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างสูงสุด

นอกจากนี้ บริษัท ได้ดำเนินการยกระดับแพลตฟอร์มการจัดส่งพัสดุมาอย่างต่อเนื่อง โดย KEX เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาระบบที่มีประสิทธิภาพ การบริการที่เยี่ยมยอด และเครื่อข่ายการจัดส่งที่มีเถียรภาพ เพื่อให้การจัดส่งตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางเป็นไปอย่างมีระบบและคล่องตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ KEX ถือเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจของลูกค้า การันตีด้วยรางวัล No.1 Brand Thailand 4 ปีติดต่อกัน จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Marketeer ผ่านการโหวตของผู้บริโภคจากทุกภาคทั่วประเทศไทย ได้รับคะแนนนำทิ้งห่างคู่แข่ง สะท้อนถึงความเหนือระดับของแบรนด์ KEX ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดเป็นอย่างดี

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นอกจากนี้ KEX ยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความยืดหยุ่นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โดยให้ความสำคัญต่อมาตรการที่รัดกุมสำหรับมาตรฐานด้านสุขอนามัย เช่น ห้ามไม่ให้พนักงานเดินทางข้ามจังหวัด การขนส่งที่เว้นระยะห่าง และการสนับสนุนให้พนักงานในสำนักงานทั้งหมดทำงานจากที่บ้าน ในขณะที่มาตรการความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าก็ยังคงเป็นไปอย่างเข้มข้นเช่นกัน

KEX ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกับปริมาณการจัดส่งพัสดุที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในครึ่งแรกของปี KEX ทำการจัดส่งพัสดุไปแล้วกว่า 166.6 ล้านชิ้น หรือเติบโตกว่า 10.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกลยุทธ์การกำหนดราคาเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นในช่วงโควิด- 19

ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 KEX แถลงรายได้จากการขายและการให้บริการเท่ากับ 4,600 ล้นบาท เพิ่มขึ้น 9.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านราคาที่กล่าวไปแล้ว แม้จำนวนวันทำการในไตรมาสนี้จะน้อยกว่าเล็กน้อยก็ตาม อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563 รายได้ลดลง 14.6%

จากปริมาณพัสดุที่สูงผิดปกติในไตรมาส 2 ของปี 2563 ในช่วงเริ่มต้นของสถานการณ์การแพร่ระบาด อีกทั้งสถานการณ์ที่ยังคงยืดเยื้อเป็นเหตุให้กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอลง และประชาชนมีดวามระมัดระวังในการใช้จ่ายอย่างรัดกุมมากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของรายได้แยกตามประเภทของลูกค้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ด้านต้นทุนขายและการให้บริการเพิ่มขึ้น 11.5% จากไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนการจัดส่งพัสดุที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่า นั่นหมายถึงการบริหารจัดการต้นทุนได้เป็นอย่างตึ ทั้งนี้ หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ต้นทุนลดลงต่อเนื่องในอัตรา 14.0% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน การพัฒนาคุณภาพของระบบและเครือข่ายการขนส่ง รวมถึงการประหยัดต่อขนาด

อย่างไรก็ตาม แม้ปริมาณการจัดส่งที่มากกว่าปกติในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ผ่านมา KEX ยังคงให้ความสำคัญต่อมาตรการตวามปลอดภัยและอาชีวอนามัยเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างทันท่วงที รวมถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าผ่านกระบวนการรีเอ็นจิเนียริ่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่คำช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอัตรา 4.0% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายและการให้บริการ โดยมีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพื่อการขยายตัวทางธุรกิจ ทั้งนี้ KEX ยังคงสามารถดำเนินการลดคำใช้จ่ายรวมลงได้อย่างต่อเนื่อง โดยลดลงกว่า 19.8% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ด้วยกลยุทธ์การปรับราคาประกอบกับการพัฒนาระบบการทำงาน ทำให้ทั้งอัตรากำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA Margin) อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ (EBIT) และอัตราทำไรสุทธิ ยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 21.4% 9.3% และ 7.3% ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และต้นทุนทางการเงินลดลงจากการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถานบันการเงินทั้งจำนวนโดยใช้เงินเพิ่มทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเป็นครั้งแรก
#3731


ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของสมุนไพรต่างๆ เช่นเดียวกับสมุนไพรประเภทที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย สาวใต้วัย 23 ปี จึงถือกำเนิดแบรนด์ "Suamtaek" น้ำสมุนไพรที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ผลตอบรับล้นหลามจึงปรับโดยการแปรรูปเป็น เจลลี่ เพื่อขายกลุ่มลูกค้า ให้สามารถกินได้ง่ายกว่าเดิม



ปภาวรินท์ พึ่งเกียรติรัศมี หรือปันปัน เจ้าของแบรนด์ "Suamtaek" วัย 23 ปี เล่าว่า หลังจากเรียนจบจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็กลับมาช่วยงานที่บ้าน ในจังหวัดสงขลา ระหว่างนั้นก็ต้องการที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองด้วย โดยตนก็เริ่มจากการขายสมุนไพรอบแห้ง และพัฒนามาเป็น สมุนไพรแบบบรรจุขวดพร้อมดื่ม แต่ก็ติดปัญหาตรงที่ไม่สามารถส่งให้ลูกค้าที่อยู่ในระยะไกลได้



ทั้งนี้ตนยังต้องการที่จะพัฒนาสินค้าให้แปลกและแตกต่างไปจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ทำให้สมุนไพรนี้สามารถกินได้ง่ายขึ้น ไม่มีกลิ่น หรือรส ที่เป็นสมุนไพร ทำให้ลูกค้ากลุ่มที่ไม่ชื่นชอบน้ำสมุนไพรแบบต้ม ได้มาลองในรูปแบบเจลลี่ รสองุ่น จึงเริ่มขึ้นมาเป็นแบรนด์ "Suamtaek" ซึ่งเปิดตัวมาได้นาน 3 เดือนแล้ว



สำหรับส่วนประกอบหลักๆ ที่มีอยู่ในเจลลี่ "Suamtaek" คือ ไคโตซาน ไซเลี่ยมฮัสก์ เมล็ดกาแฟสด บร็อคโคลี่ พุทรา และดอกเก็กฮวย เป็นต้น ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย เหมาะสำหรับคนที่ท้องผูก ซึ่งส่วนประกอบทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นออร์แกนิค และผลิตในโรงงานที่ได้มาตรฐานการผลิตอีกด้วย



"ตอนที่ตัดสินใจทำส่วนตัวเรียกได้ว่าเป็นคนธาตุหนักขับถ่ายยาก บวกกับเป็นริดสีดวง หลักจากเรียนจบกลับมาก็อยากหาอะไรทำ จึงเลือกทำเป็นสมุนไพรดีท็อกซ์ ลองขายหลายรูปแบบ ล่าสุดพัฒนาแปรรูปให้เป็น เจลลี่ ดีท็อกซ์ เรียกได้ว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ทำสมุนไพรดีท็อกซ์ ในรูปแบบเจลลี่แบบนี้ด้วยค่ะ ผลตอบรับจากลูกค้าถือว่าดีมากเพราะว่าลูกค้าที่เคยซื้อไปลองแล้ว ยังกลับมาซื้อซำ้อีกบ่อยๆ จนตอนนี้สินค้าที่ผลิตออกมาล็อตแรกๆ ใกล้หมดแล้ว และเตรียมสั่งล็อตต่อไปเรียบร้อย"



สินค้าใน 1 กล่องจะมีทั้งหมด 5 ชิ้น ราคากล่องละ 290 บาท ซึ่งงานทั้งหมดจะทำเองเรียกได้ว่าตั้งแต่ต้นจนไปถึงมือลูกค้า ดูแลในเรื่องของการติดต่อโรงงาน การตลาด ทั้งการโปรโมท ลงโฆษณา แผนการขายโปรโมชั่น วางแผนทำเองทุกอย่างทั้งหมดด้วยตัวเอง และในการทำธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ การเริ่มต้นจะต้องมีทุน แน่นอนว่าการทำธุรกิจจะต้องมีเงินทุน และอีกอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจคือต้องมีไอเดีย เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด



ในการทำธุรกิจนอกจากมีทุน และไอเดียแล้ว ยังต้องมีในเรื่องของความพร้อม พร้อมในที่นี้คือ พร้อมที่จะทำธุรกิจ ต้องมีการวางแผนให้ดี ไม่วู่วาม สำรวจตลาดให้ดี รอบคอบ เช่น การทำธุรกิจในครั้งนี้จะทำอย่างไรให้แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ



สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจในช่วง โควิด-19 เช่นนี้ ทำให้การทำงานยากขึ้นไปอีก เนื่องจากการวางแผนในครั้งแรกคือเรื่องของราคา การตั้งราคาที่สูงทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อยาก และด้วยสินค้าของ "Suamtaek" ถือเป็นสินค้าในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury goods) คือจะมีหรือไม่มีก็ได้ ทำให้ยากในเรื่องการปิดยอดขาย



ในอนาคตตั้งเป้าไว้ว่า จะเพิ่มในรสชาติของเจลลี่ดีท็อกซ์ ให้มีเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งผลิตสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมา ที่เกี่ยวกับรังนกที่เป็นธุรกิจของที่บ้าน อาจจะเลือกเพิ่มสินค้าในไลน์อื่นๆ เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการเสริมกับธุรกิจของครอบครัวอีกช่องทางหนึ่ง

สนใจติดต่อ เฟซบุ๊ก : Suamtaek_detox
#3732


เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดรับลงทะเบียนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับผู้ป่วยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (มีเลขบัตรประจำตัวผู้ป่วยของโรงพยาบาล) ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป หรือผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง (เฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนและไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน เท่านั้น)

สำหรับการเปิดรับลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด "แอสตร้าเซนเนก้า" เนื่องจากทางโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้รับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม สำหรับผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในกลุ่มอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป หรือผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (มีเลขบัตรประจำตัวผู้ป่วยของโรงพยาบาล) ดังนี้

โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคเบาหวาน
โรคไตเรื้อรัง 
โรคอ้วน
โรคมะเร็งทุกชนิด
โดยจะได้รับฉีดวัคซีนระหว่างวันที่ 16 - 20 สิงหาคม 2564 ณ คลินิกบริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชั้น 13 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ (รับจำนวนจำกัด)

สมัครผ่อนของ 0% 40 เดือนกับ Citi คลิกเลย

เงื่อนไขลงทะเบียน

เป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ (มีเลขที่บัตรโรงพยาบาล/HN)
อายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป
ต้องไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มาก่อน
หลังจากได้ลงทะเบียน เลือกวันและเวลาเรียบร้อยแล้ว จะได้รับการยืนยันการจองฉีดวัคซีน ขอให้ท่านบันทึกหน้าจอไว้เป็นหลักฐาน โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลการลงทะเบียนได้ผ่านทาง Chula Care Application ภายใน 3 วัน หลังจากที่ท่านลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว

'ขั้นตอนการลงทะเบียนฉีดวัคซีน

สแกนคิวอาร์โค้ด เข้าเว็บไซต์ www.chulaprom.kcmh.or.th เพื่อลงทะเบียนและเลือกวันเวลาเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19
เปิดลงทะเบียนวันที่ 10 สิงหาคม 2564 เวลา 15.00 น. (ทางโรงพยาบาลจะปิดลงทะเบียนเมื่อมีผู้จองฉีดวัคซีนครบตามจำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรร)
ผู้ที่ผ่ามการลงทะเบียน สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีน ที่คลินิกบริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด ชั้น 13 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ในระหว่างวันที่ 16-20 สิงหาคม 2564 (ตามวันเวลาที่ลงทะเบียนไว้ เท่านั้น)
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ขอสงวนสิทธิ์งดให้บริการสำหรับผู้ที่วอล์กอิน หรือไม่ได้ลงทะเบียนนัดหมายผ่านะบบฯ

คำแนะนำการรับบริการฉีดวัคซีนที่คลินิกบริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชั้น 13 อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์

กรุณามารับบริการฉีดวัคซีนตามวันและเวลาที่นัดหมายเท่านั้น เพื่อกระจายความหนาแน่นของประชาชนผู้มารับบริการ
ในวันที่มารับบริการ เตรียมบัตรประชาชน ปากกา โทรศัพท์มือถือเครื่องที่ลงทะเบียนหมอพร้อม (หากมี) และสวมเสื้อที่สามารถฉีดวัคซีนได้ง่าย
ก่อนมารับบริการฉีดวัคซีน สามารถรับประทานอาหารและยาสำหรับโรคประจำตัวได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหยุดยาก่อนรับวัคซีน
หากท่านอยู่ระหว่างการกักตัว รอผลการตรวจเชื้อโรคโควิด-19 หรือมีอาการทางเดินหายใจ เช่น ไข้ ไอ เสมหะ หรือ น้ำมูก ในวันนัดฉีดวัคซีน ขอให้ท่านงดการมารับฉีดวัคซีน
#3733


เชื่อสถานการณ์โควิด-19 ถึงจุดพีคแล้ว หวังครึ่งปีหลังสถานการณ์คลี่คลาย เสนาฯชี้อสังหาฯวิกฤตซ้อนวิกฤต หลังต้นทุนก่อสร้างขยับ แรงงานขาด เหล็กราคาพุ่ง เผยอสังหาฯต้องประสบกับภาวะ"Zombie Firm"รายได้ต่ำกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ระบุปัญหาการจ้างานส่งผลกำลังซื้อหด หนี้ครัวเรือนพุ่ง ดีมานด์ชะลอตัวผู้ประกอบการติดกับดักกระแสเงินสดขาดมือ หนุนรายใหญ่การเงินแกร่ครองแชร์ตลาดแตะ70-80% เสนาฯมั่นใจ "คิดท์คอนโด" เรือธงปี64 ถูกที่ถูกเวลาแม้แบงก์เข้มยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง เหตุกลุ่มเป้าหมายเป็นเรียลดีมานด์ แจงวครึ่งปียอดขาย 3,000 ล้านบาทเศษ

ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ว่าภาพรวมสถานการณ์โควิด-19 ในเดือนส.ค. นี้น่าจะเป็นช่วงที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดแล้วหลังจากนี้ไปคาดว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดจำนวนลง ไม่น่าจะมีจำนวนพูดติดเชื้อเพิ่มขึ้น ถึง 30,000-40,000 คนต่อวันอย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ในช่วงแรก ทั้งนี้สถานการณ์การดังกล่าวส่งผลต่อ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ จำนวนมากต้องประสบกับภาวะซมไข้ยาวนาน" หรือเรียกว่า "Zombie Firm" (ซอมบี้เฟิร์ม) หรือภาวะธุรกิจที่มีค่า interest coverage ratio (ICR) หรือมีกำไรจากการดำเนินงานไม่เพียงพอต่อการจ่ายดอกเบี้ย ต่ำกว่า 1 เท่า ติดต่อกัน 3 รอบปีบัญชีล่าสุด ซึ่งค่า ICR สะท้อนมาจากยอดขายของธุรกิจ เมื่อคำนวณแล้ว ICR ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะมีรายได้ต่ำกว่าดอกเบี้ย จากเงินกู้

ขณะเดียวกัน ปัญหาการจ้างงานยังส่งผลกระทบต่อรายได้ของ ผู้บริโภคปรับตัวลดลงมีผลต่อกำลังซื้อให้หดตัวประกอบกับภาวะหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวสูงทำให้กำลังซื้อลดลงและกระทบ ต่อการชะลอตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งกระทบต่อยอดขายของบริษัทอสังหาฯ ลดลง ส่งผลต่อกระแสเงินสดหรือเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทอสังหาฯขนาดกลางและเล็ก ภาวะดังกล่าวทำให้เกิดการกระจุกตัวของสินค้าในกลุ่มของ ผู้ประกอบการรายใหญ่ จากเดิมที่ รายใหญ่มีแชร์อยู่ในตลาดรวม 50% ก็มีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 70-80% เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินโดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันนี้ ปัจจัยที่จะทำให้ ผู้ประกอบการก้าวข้ามวิกฤตที่เกิดขึ้นคือความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและการบริหารจัดการ

ในส่วนของความต้องการที่อยู่อาศัย ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เพราะกำลังซื้อและความสามารถในการก่อหนี้ของผู้บริโภคปรับตัวลดลงตามรายได้ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการตัดสินใจและชะลอแผนในการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ต้องใช้ระยะเวลาในการผ่อนนานทำให้มีผลต่อการตัดสินใจโดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคมีรายได้ที่ลดลงและหนี้ครัวเรือนปรับตัว ขึ้นนอกจากนี้ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินยังเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการเข้มงวดการปล่อยกู้โดยในส่วนของเสนาฯนั้น มียอดการปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 30%

ดร.เกษรา กล่าวว่า นอกจากนี้สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบันยังสามารถเรียกได้ว่าวิกฤตซ้อนวิกฤต เพราะโดยปกติแล้วในช่วงที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้นวัดถุดิบหรือวัสดุก่อสร้างต้นทุนต่าง ๆ จะปรับตัวลดลงแต่ในครั้งนี้ต้นทุนทางด้านการก่อสร้าง กลับปรับตัวสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นต้นทุนแรงงานก่อสร้างต้นทุนวัสดุก่อสร้างเช่นเหล็กซึ่งปรับตัวสูงขึ้นตามราคาในตลาดโลก ที่สำคัญต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นจากผลกระทบการล็อกดาวแคมก่อสร้างทำให้งานก่อสร้างต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักลงผู้ประกอบการไม่สามารถเร่งงานก่อสร้างและส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าได้ทัน และแม้ว่าขณะนี้จะปลดล็อคดาวน์แล้วแต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งงานก่อสร้างให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกำหนดส่งมอบให้กับลูกค้าทำให้มีต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตามภาวะการ หดตัว ของดีมานในปัจจุบันจะเกิดเพียงระยะสั้นแต่ในระยะยาวโอกาสของการขยายตัวของเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ต่อเนื่องทำให้ในอนาคตความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองจะยังขยายตัวได้อีกมากประกอบกับการผลักดันสินค้าที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมากขึ้นเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในตลาดโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมยังมีแนวโน้มการขยายตัว ได้อีกมากเนื่องจากแนวโน้มการกระจายตัวของครัวเรือนยังมีอยู่ต่อเนื่อง

จากแนวโน้มการหดตัวของดีมานในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ที่ยังรุนแรงอยู่ทำให้บริษัทมีการพิจารณาปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่โดยในบางโครงการอาจมีการเลื่อนเวลาการเปิดออกไปจากเดิมเล็กน้อยแต่อย่างไรก็ตามเสนาฯยังคง แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ไว้ 18 โครงการตามแผนเดิมโดยในปีนี้โครงการคอนโดแบรนด์เดอะคิดท์ ยังคงเป็นเรือธงสำคัญในการทำตลาดเนื่องจากเป็นการจับกลุ่มเดียวดีมานด์อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายแล้ว 3,000 ล้านบาทเศษโดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วสี่โครงการส่วนในไตรมาสที่ 3 ได้มีการเปิดตัวไปแล้วหนึ่งโครงการในทำเลลาดกระบังโดยสามารถทำยอดขายได้ 500 ยูนิตในวันแรกที่เปิดขายส่วนโครงการที่มีแผนจะเปิดตัวในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนนี้อาจจะมีการเลื่อนระยะเวลาการเปิดเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดโดยอาจจะเลื่อนไปเปิดตัวในช่วงเดือน ต.ค. เดิมที่มีแผนจะเปิดตัวในช่วงเดือน ก.ย.
#3734


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 106.66 จุด หรือ 0.30% ปิดที่ 35,101.85 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 4.17 จุด หรือ 0.09% ปิดที่ 4,432.35 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 24.41 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 14,860.18 จุด

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดเมื่อวันศุกร์แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ดีเกินคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทร่วงลงในวันนี้ นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน ท่ามกลางการทรุดตัวของราคาน้ำมัน หลังจากที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้นานาชาติยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหิน ขณะที่ภาวะโลกร้อนกำลังใกล้เข้าสู่ระดับวิกฤต

ทั้งนี้ นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการยูเอ็นเรียกร้องให้นานาชาติยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและถ่านหิน รวมทั้งพลังงานอื่นๆที่ปล่อยมลพิษในระดับสูงโดยทันที หลังจากที่รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ระบุว่า ระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศในขณะนี้สูงพอที่จะส่งผลเสียต่อสภาพภูมิอากาศไปอีกหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีข้างหน้า

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันพุธ และเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ในวันพฤหัสบดี

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนีซีพีไอพื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 4.3% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายปี

นักลงทุนกังวลว่า หากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค. หลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) รวมทั้งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ส่งสัญญาณในการกล่าวถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดากล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

คำกล่าวของนายแคลริดาสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด โดยนายวอลเลอร์ระบุว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.
#3735


ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D​ Bank ในฐานะหน่วยร่วมดำเนินงาน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายใต้ "โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย" วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยพิเศษ 1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี วงเงินกู้ บุคคลธรรมดาสูงสุด 3 แสนบาท นิติบุคคลสูงสุด 5 แสนบาท ที่จะเปิดแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ ในวันพุธที่ 11 สิงหาคม 2564 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ในรูปแบบมาก่อนได้ก่อน (First Come First Serve) จนกว่าจะเต็มวงเงิน และอนุมัติตามความพร้อมของเอกสาร จึงขอแนะนำผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ ตรวจสอบคุณสมบัติ และเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อความสะดวกในการแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ และพิจารณาอนุมัติ เช่น ต้องเป็นสมาชิก สสว. อยู่ในกลุ่มรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) ตามนิยามของ สสว. ประกอบธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และธุรกิจสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮาส์ ใน 10 จังหวัด พื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม รวมถึง กลุ่มธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ใน 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด อีกทั้ง ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นฯ โครงการฟื้นฟูฯ หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย เป็นต้น


ส่วนเอกสารจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อพิจารณาอนุมัติ เช่น ใบอนุญาตเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ , หลักฐานการชำระภาษีเงินได้ , ผลตรวจข้อมูลเครดิต เป็นต้น โดยสามารถตรวจสอบคุณสมบัติ และเอกสารที่ต้องจัดเตรียมโดยละเอียดได้ที่เว็บไซต์ของ SME D Bank ( https://www.smebank.co.th/ )

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจและมีคุณสมบัติตรงตามกำหนด สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ตามวันและเวลาที่กำหนด โดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิก https://qrgo.page.link/VF6Ka รวมถึง เว็บไซต์ของ SME D Bank , Line OA : SME Development Bank และแอปพลิเคชั่น : SME D Bank
#3736
ตารางดาวน์และผ่อนรถบรรทุกตู้ 10 บานเดือนสิงหาคม
สถานการณ์ ณ ปัจจุบันงานโลจิสติกส์ยังพอไปใด้นะครับ เดือนนี้เรามาทำตารางดาวน์และผ่อนรถบรรทุกตู้ 10 บานกันนะครับ รถที่สามารถนำมาทำตู้ 10 บาน เราจะนำสามรุ่นนี้มาทำนะครับ นั้นก็คือ FTR240 รุ่น FRR190 และ FRR210  ส่วนความยาวมีให้เลือก 5.5 เมตร, 6.5 เมตร และ 7.5 เมตร เราไปดูตารางดาวน์และผ่อนเลยครับ https://bit.ly/3yDQLut  หรือสอบถาม 061-9369562
#3737


ผลสำรวจการดาวน์โหลดทั่วโลกปี 2563 บ่งชี้ว่า "ติ๊กต็อก"แอพพลิเคชันแชร์วิดีโอในจีนติดอันดับ1 ในฐานะเป็นแอพฯที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในฐานะผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจและศึกษาในเรื่องนี้ครั้งแรกในปี 2561

ขณะที่กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆทำให้"เทเลแกรม"แอพฯส่งข้อความสัญชาติรัสเซียที่สามารถลบข้อความที่โพสต์ติดหนึ่งใน10 ในปีเดียวกัน เมื่อการระบาดของโรคโควิด-19 ผลักดันให้มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง

ไบท์แดนซ์ เปิดตัวติ๊กต็อกเวอร์ชันต่างประเทศในปี 2560 และปัจจุบัน ยอดการดาวน์โหลดติ๊กต็อกแซงหน้าเฟซบุ๊ค วอทส์แอพ อินสตาแกรม และเฟซบุ๊ค แมสเซนเจอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของเฟซบุ๊ค แม้แต่ในตลาดสหรัฐ

"ฉันสนุกกับการดูวิดีโอสั้นจากติ๊กต็อกของเหล่าศิลปินที่ไม่สามารถออกไปแสดงคอนเสิร์ตจริงๆได้เพราะการระบาดของโรคโควิด-19"นิน่า ชาวเมืองพอร์ทแลนด์ในสหรัฐวัย 37 ปี กล่าว

อย่างไรก็ตาม บางคนเชื่อว่าข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกนำไปแชร์ผ่านแอพฯติ๊กต็อกไม่ปลอดภัย เช่นในปี 2563 อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้ไบท์แดนซ์ ซึ่งเป็นเจ้าของติ๊กต่อกขายกิจการในสหรัฐ พร้อมทั้งเรียกร้องให้แบนแอพฯนี้ แต่กระแสความนิยมแอพฯนี้กลับขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งยังมียอดการดาวน์โหลดนำหน้าบริษัทสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆทั้งในยุโรป อเมริกาใต้ และสหรัฐ


เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ได้เพิกถอนคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่พยายามปิดกั้นการดาวน์โหลดแอพฯติ๊กต็อก และ วีแชท ของจีน เนื่องจากความกังวลในประเด็นเรื่องความมั่นคงของชาติ แต่ถึงแม้จะยกเลิกคำสั่งแบนแต่คำสั่งประธานาธิบดีฉบับใหม่ก็ระบุให้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรับหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบแอพฯจากต่างประเทศ ตามหลักเกณฑ์และการวิเคราะห์หลักฐานอย่างเข้มงวด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเก็บข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ และความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางทหารหรือหน่วยข่าวกรองของจีน โดยกำหนดระยะเวลาในการทบทวนเรื่องนี้ภายใน 4 เดือน

ภายใต้คำสั่งประธานาธิบดี ยังมีการสั่งการให้หน่วยงานด้านข่าวกรองและความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ประเมินความเสี่ยงและภัยคุกคาม ในกรณีที่ข้อมูลของสหรัฐอาจถูกต่างชาติเข้าควบคุม และรายงานต่อกระทรวงพาณิชย์เพื่อประกอบการตรวจสอบแอพฯต่างชาติทั้งหมด

ส่วนไลคี (Likee)ของจีน ที่เป็นคู่แข่งของติ๊กต็อก สร้างวิดีโอสั้นที่หลายบริษัทนำไปใช้เพื่อทำแผนการตลาดสินค้าของตัวเองและติดอันดับที่ 8 ในการจัดอันดับยอดการดาวน์โหลดทั่วโลกครั้งล่าสุด

ช่วงเริ่มต้นปี 2564 วอทส์แอพ ประกาศแชร์ข้อมูลข้อความกับเฟซบุ๊คที่เกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้และบริษัท แม้ว่าวอทส์แอพสัญญาว่าจะปกป้องข้อมูลเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างเพื่อนและครอบครัว แต่ผู้ใช้บางกลุ่มก็เลือกที่จะหันไปใช้บริการแอพฯอื่น

นี่จึงเป็นจังหวะที่"เทเลแกรม"แอพส่งข้อความที่เบื้องต้นได้รับการพัฒนาในรัสเซียแต่ตอนนี้มีฐานดำเนินงานในเยอรมนี ไต่อันดับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ7 โดยผู้ใช้สามารถใช้งานได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ล่าสุดเมื่อเดือนเม.ย.ปี 2563 เทเลแกรมมีจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกต่อเดือนสูงถึง 400 ล้านคน และมีผู้ใช้รายใหม่วันละกว่า 1.5 ล้านคน

เทเลแกรมมีจุดเด่นหลายอย่างที่ไม่มีในแอพฯ อื่น ๆ เริ่มจากสามารถสร้างกลุ่มแชทขนาดใหญ่ที่รองรับคนจำนวนมหาศาลได้สูงสุดถึง 200,000 คน หรือสามารถสร้างเป็นแชนเนลสำหรับส่งข้อมูลกระจายข่าวสารให้กลุ่มคน โดยการแชททั้งหมดไม่ว่าจะเป็นแบบเดี่ยวหรือแบบกลุ่ม ข้อความจะถูกเข้ารหัสไว้ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเจาะเข้ามาอ่านได้


แอพฯเทเลแกรมได้รับความนิยมอย้างมากในกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงและในไทยที่ต้องการปฏิบัติภาระกิจโดยให้รอดพ้นจากการถูกตรวจจับของรัฐบาล

ส่วนดิสคอร์ด(Discord)แอพฯแชททางเกมออนไลน์ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ7 อานิสงส์จากการที่ผู้คนจำเป็นต้องกักตัวเองในช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 แอพฯนี้ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชอบเล่นเกมไว้พูดคุยกันตอนออนไลน์และได้รับทุนก่อตั้งจากโซนี กรุ๊ปและบรรดาบริษัทให้บริการด้านสื่อสังคมออนไลน์

ขณะที่ในจีน แอพฯที่มียอดดาวน์โหลดอันดับ1 คือ โต่วอิน ที่ถือเป็นติ๊กต็อกเวอร์ชั่นจีนของไบท์แดนซ์ อันดับ2 วีแชท แอพส่งข้อความของเทนเซนต์ อันดับ3 คิวคิว แอพแชทของเทนเซนต์ อันดับ 4 วีโชว์ แอพวิดีโอสั้นของเทนเซนต์ อันดับ 5 เรด อินสตาแกรมและอีคอมเมิร์ซเวอร์ชั่นจีน

อันดับ 6 เว่ยโป๋ ทวิตเตอร์เวอร์ชั่นจีน อันดับ7 โต่วอิน โวแคลโน อิดิชันวิดิโอสั้นของไบท์แดนซ์ อันดับ 8 โซโกว พินอิน อินพุท เมททอด ระบบอินพุทข้อมูลด้วยภาษาจีน อันดับ 9 จื่อหู แอพสื่อโซเชียลในรูปแบบถาม-ตอบ และอันดับ10 โซล แอพฯบริการค้นหาเพื่อนสำหรับคนเจน Z

ส่วนในญี่ปุ่น ยอดดาวน์โหลดอันดับ1 เป็นของไลน์ ของญี่ปุ่น อันดับ2 อินสตาแกรมของสหรัฐ อันดับ3 ติ๊กต็อกจากจีน อันดับ 4 ทวิตเตอร์จากสหรัฐ อันดับ 5 พินเทอร์เรสต์จากสหรัฐ อันดับ 6 เฟซบุ๊คจากสหรัฐ อันดับ 7 ทาวน์ไวไฟ บาย จีเอ็มโอ ของญี่ปุ่น อันดับ 8 แพร์สจากสหรัฐ อันดับ9 ดิสคอร์ดจากสหรัฐ และอันดับ10 ยาฮู เมลจากญี่ปุ่น
#3738

โรงพยาบาลสังกัด กทม.เร่งฉีดวัคซีน "ไฟเซอร์" บูสเตอร์เข็ม 3 บุคลากรการแพทย์-ด่านหน้าสู้ "โควิด-19"
วันที่ 9 ส.ค. ที่โรงพยาบาลกลาง สังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร(กทม.) ซึ่งได้รับการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(กทม.) ในชุดแรกจากข้อมูลที่รายงานวันแถลงข่าวออนไลน์สรุปการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯ วันที่ 6 ส.ค. "กทม.ได้ 'ไฟเซอร์' แล้ว 7.6 พันโดส ย้ำฉีดบูสต์เข็ม 3 เฉพาะบุคลากรด่านหน้าเท่านั้น"

โดยในวันนี้ ได้มีการฉีดวัคซีนไฟเตอร์เข็ม 3 ซึ่งเป็นเข็มบูสต์เตอร์ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้วโดยบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าได้เข้ารับวัคซีน จำนวน 700 คน โดยจะดำเนินการฉีดวัคซีนให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วัน

สำหรับ "ขั้นตอน" การใช้วัคซีนไฟเซอร์นั้น ได้ถูกขนส่งในตู้ความเย็นติดลบ 70 องศาเซลเซียส เมื่อมาถึงโรงพยาบาลกลาง จะถูกเก็บที่ตู้ทำความเย็นติดลบ 20 องศาเซลเซียส จากนั้นเจ้าหน้าที่เภสัชกรรม จะนำขวดวัคซีนใส่กล่องควบคุมอุณภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส และนำมายังจุดฉีด หลังจากนั้นจะนำวัคซีนออกมาตั้งในอุณหภูมิห้อง 15-30 นาที เพื่อให้ตัวยาในขวดวัคซีนมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับอุณหภูมิห้อง


โดยก่อนการฉีดต้องทำการเจือจางกับน้ำกลือในปริมาณ 1.8 มิลลิลิตร และทำการคว่ำหงาย 10 รอบ จากนั้นทำการแบ่งบรรจุ เข็มละ 0.3 มิลลิลิตร จำนวน 6 เข็ม ต่อ 1 ขวด เนื่องจากวัคซีนเป็นชนิดเข้มข้น และต้องฉีดภายใน 6 ชั่วโมง โดยใช้เข็มชนิด Lowdead space syringe โลเดสเปสไซลิงค์ เพื่อให้ได้ส่วนผสมยาที่ใช้ครบถ้วน
#3739


เอแอลที ร่วมมือสยามแคนนาเทค – โรงงานเภสัชฯ เจเอสพี ต่อยอด "โครงการเกษตรอินทรีย์เขาค้อ อินโนเวชั่นพาร์ค" ในการปลูกกัญชา เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องสำอาง โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เผยใช้แพลตฟอร์ม AI เกาะติดทุกขั้นตอนการปลูกกัญชานำข้อมูลหรือ Big data มาวิเคราะห์ประมวลผล เพื่อให้เกิดความปลอดภัยรวมทั้ง รักษาสมดุลผู้ซื้อและผู้ปลูก และสร้างประสิทธิภาพสูงสุดทั้งคุณภาพและราคา

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือ "โครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค" ในส่วนของบริษัทสยามแคนนาเทค จำกัด กับ บริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรมเจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทสยามแคนนาเทค จำกัด กับบริษัทเอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT โดยมีพลเอกพลางกูร กล้าหาญ รองประธานกรรมการมูลนิธิร่มกล้า เขาค้อ มาร่วมเป็นสักขีพยาน

นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT กล่าวว่า โครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค เป็นโครงการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ พืชพรรณ สมุนไพร พืชยา กัญชา และผักต่างๆ ตามโครงการทหารพันธุ์ดี ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และจังหวัดใกล้เคียงรวมทั้งสร้างรายได้ให้วิสาหกิจชุมชนอีกทางหนึ่ง

"เรายินดีและภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือโครงการเกษตรอินทรีย์ เขาค้อ อินโนเวชั่น พาร์ค ซึ่ง ALT ทำธุรกิจเทเลคอม อินโนเวชั่น เป็นหลัก ได้นำเอาองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมา ดัดแปลงทำเป็นแพลตฟอร์มในการตรวจติดตามการปลูกกัญชา เพราะตัวกัญชา ถือเป็นสารเสพติดประเภท 5 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจติดตามตั้งแต่เมล็ด การเพาะปลูก และการเติบโตเป็นอย่างไร โดยใช้ AI ในการติดตามประมวลผลและวิเคราะห์เพื่อไปทำ Big Data ให้สามารถคาดการณ์ว่า การผลิตจะออกมาวันไหน เดือนไหน เท่าไหร่ เพื่อไปสู่การใช้เทคโนโลยีด้านเกษตรแม่นยำ ( Agriculture Technology) และ ระบบสามารถ แมชชิ่งระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ทำให้ผลผลิตไม่ล้นตลาด หรือไม่ทำให้ราคาสูงจนเกินไป แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยและช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ส่งผลผลิตได้ตามเวลาที่ต้องการ ให้ราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรและเป็นแหล่งเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทย"

ด้านดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเห็นการทำงานครบ value chain โดยทางโครงการเกษตรอินทรีย์หรือมูลนิธิ เป็นเสมือนแกนกลางในการเชื่อมโยงภาคเอกชน 3 ส่วน คือ ผู้ปลูก ซึ่งผู้ปลูกก็ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนปลายน้ำคือผู้ผลิต ก็คือบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรมเจเอสพี จะการดำเนินการผลิต ทั้งที่เป็นยาแผนปัจจุบัน สมุนไพร อาหารเสริม และเครื่องสำอาง รวมทั้งเครื่องมือที่อยู่ระหว่างดำเนินการขออนุญาตสกัดกัญชา กัญชง และพืชเสพติด

ดังนั้นความร่วมมือในครั้งนี้ ทางผู้ปลูกสามารถทำหน้าที่ซัพพลายกัญชา หรือพืชสมุนไพรอื่นให้กับบริษัทโรงงานเภสัชฯ เจเอสพี นำมาสกัดโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือใช้แพทย์แผนไทยมาต่อยอดในการสกัดสมุนไพรเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ยาแผนโบราณ อาหารเสริม เครื่องสำอาง ที่มาจากน้ำมันกัญชา ทำเป็นครีมเซรั่ม ถือเป็นความร่วมมือที่ครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน คือต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ

พลเอก พลางกูร กล้าหาญ รองประธานกรรมการมูลนิธิร่มเกล้าเขาค้อ กล่าวว่าโครงการนี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปี โดยพลเอกพิจิตร กุลวนิช ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ต้องการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในพื้นที่เขาค้อ และจังหวัดใกล้เคียง จึงเกิดแนวคิดในการนำวัตถุดิบมาแปรรูป และทำเป็นศูนย์กลางเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างบริษัทโรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี และบริษัทเอแอลที จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้เป็นที่ทราบดีว่าเกิดโรคระบาดโควิด-19 ทำให้เกิดการเสียชีวิตซึ่งทางศูนย์จะเร่งดำเนินการเรื่องฟ้าทะลายโจรเพื่อช่วยเหลือประชาชนรวมทั้งจะปลูกพืชที่เป็นประโยชน์คือกัญชา กัญชง หรืออื่นๆ

โดย ความร่วมมือของทั้งสองบริษัทจะทำให้การก้าวเดินไปได้ตามที่กำหนด และทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ แต่อาจไม่ได้เห็นผลภาย 6-12 เดือนแต่มั่นใจว่าจะเห็นผลในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตอาจขายไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย
#3740


เอพี - แม้เริ่มต้นตะกุกตะกัก แต่ตอนนี้จำนวนผู้เข้าโครงการฉีดวัคซีนโควิดของอียูแซงหน้าอเมริกาไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อโครงการใบรับรองสุขภาพที่บังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีนทางอ้อมอาจช่วยให้ยุโรปรอดพ้นจากการระบาดระลอกใหม่ที่อเมริกากำลังเผชิญอยู่ และรอดพ้นจากการล็อกดาวน์ซึ่งเศรษฐกิจอียูไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป

กลางเดือนกุมภาพันธ์ ประชาชนไม่ถึง 4% ใน 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ฉีดวัคซีนโควิดอย่างน้อยหนึ่งเข็ม เทียบกับเกือบ 12% ในอเมริกา ทั้งนี้ จากข้อมูลของอาวร์ เวิลด์ อิน ดาตา เว็บไซต์เผยแพร่ข่าวสารทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ล่าสุด ชาวยุโรปราว 60% ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม เทียบกับไม่ถึง 58% ในอเมริกา

ความสำเร็จยิ่งชัดเจนในอิตาลีที่ประชาชนอายุ 12 ปีขึ้นไปถึงราว 63% ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม และนายกรัฐมนตรีมาริโอ ดรากี ประกาศว่า อิตาลีฉีดวัคซีนให้ประชาชนต่อ 100 คนมากกว่าในฝรั่งเศส เยอรมนี และอเมริกา

นอกจากนั้น เมื่อวันศุกร์ (6 ส.ค.) ประเทศนี้ยังเริ่มบังคับให้ประชาชนต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม หายป่วยหรือตรวจโควิดได้ผลเป็นลบเมื่อเร็วๆ นี้ หากต้องการเข้าสู่สถานที่สาธารณะในอาคาร ฟิตเนส ดูคอนเสิร์ต ภาพยนตร์ ละคร และไปเที่ยวสถานที่สำคัญ เช่น โคลอสเซียม

ดร.ปีเตอร์ ลีส สมาชิกรัฐสภายุโรปจากเยอรมนี บอกว่า กระบวนการอนุมัติวัคซีนที่ล่าช้าอาจทำให้โครงการฉีดวัคซีนของอียูคืบหน้าช้ากว่าอเมริกาและอังกฤษนานหลายสัปดาห์ในช่วงแรก แต่ตอนนี้กระบวนการดังกล่าวส่งผลดีอย่างชัดเจนในแง่ที่ทำให้ประชาชนมั่นใจและกล้าฉีดวัคซีน อีกทั้งสะท้อนว่า ไม่ใช่แค่ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนในช่วงไม่กี่เดือนแรกเท่านั้น แต่กลยุทธ์ระยะยาวก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน

ตัวอย่างยังปรากฏชัดเจนในสเปนที่เมื่อกลางเดือนเมษายนยังมีประชาชนแค่ 7% ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ขณะที่ตัวเลขของอเมริกาอยู่ที่เกือบ 25% แต่มาถึงตอนนี้ชาวสเปนเกือบ 60% ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ส่วนของอเมริกาเพิ่งได้ 50%

ความพยายามในการฉีดวัคซีนของอียูเริ่มต้นช่วงคริสต์มาสปีที่แล้วพร้อมๆ กับอเมริกา และมีปัญหาในการตอบสนองความต้องการของประชาชนในระยะแรก และกลายเป็นความอับอายทางการเมืองครั้งใหญ่สำหรับเจ้าหน้าที่ยุโรปเมื่อได้เห็นโครงการของอเมริกาและอังกฤษเร่งเครื่องทิ้งห่าง

จิโอวานนา เดอ ไมโญ นักวิชาการอาคันตุกะด้านวิเทศสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ชี้ว่า หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของอียูในช่วงแรกคือ การตัดสินใจสั่งซื้อวัคซีนแบบพร้อมกันทั้งกลุ่ม แทนที่จะให้แต่ละชาติสมาชิกสั่งซื้อกันเอง เนื่องจากกลัวว่า ประเทศขนาดเล็กจะไม่สามารถเข้าถึงวัคซีน แต่กลายเป็นว่า ต้องใช้เวลาเจรจากับบริษัทยานานขึ้น

ขณะเดียวกัน อเมริกาแจกจ่ายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ด้วยการรีบเร่งตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ อีกทั้งยังส่งวัคซีนให้ร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เกต และสถานที่อื่นๆ จัดการฉีดให้ประชาชน ขณะที่อียูเน้นการฉีดในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลอื่นๆ เท่านั้นในช่วงแรก

นอกจากนั้น ชาติสมาชิกอียูยังมั่นใจเกินไปว่า ผู้ผลิตจะจัดส่งวัคซีนให้ตามกำหนด ผลปรากฏว่า แอสตร้าเซนเนก้าผลิตไม่ทันและจัดส่งให้บางส่วนเท่านั้น ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนตัวนี้ยังทำให้คนไม่กล้าฉีด แต่หลังจากได้วัคซีนไฟเซอร์ล็อตใหญ่ สถานการณ์ก็คลี่คลายอย่างชัดเจน

ในทางกลับกัน โครงการฉีดวัคซีนของอเมริกาคืบหน้าถึงขีดสุดและดิ่งลงจากความลังเลและการต่อต้านอันเป็นผลจากการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ และความแตกแยกทางการเมือง

ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม อเมริกาฉีดวัคซีนเฉลี่ยวันละไม่ถึง 600,000 โดส จากสถิติสูงสุด 3.4 ล้านโดสในเดือนเมษายน และการระบาดอย่างรุนแรงของสายพันธุ์เดลตาทำให้จำนวนเคสใหม่รายวันในเดือนที่ผ่านมาพุ่งสูงสุดนับจากเดือนกุมภาพันธ์ และผู้ป่วยอาการหนักส่วนใหญ่คือผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน

ถึงกระนั้น ใช่ว่าทุกอย่างในอียูราบรื่นทั้งหมด โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำ ตัวอย่างเช่น ในเนเธอร์แลนด์นั้นประชากรวัยผู้ใหญ่ 85% ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส แต่ที่บัลแกเรียตัวเลขอยู่ที่เพียงไม่ถึง 20% นอกจากนี้ยังปรากฏสัญญาณว่า โครงการฉีดวัคซีนของยุโรปเริ่มแผ่วลงเช่นกัน

ที่เยอรมนีที่ประชากร 54% ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส ทว่า สถิติการฉีดวัคซีนต่อวันกลับลดจากกว่า 1 ล้านเข็มในเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ราว 500,000 เข็มในขณะนี้

เจ้าหน้าที่เมืองเบียร์ต้องเริ่มรณรงค์โดยเพิ่มสถานที่ฉีดวัคซีนในเมกะสโตร์ รวมทั้งออกมาตรการจูงใจ เช่น รัฐเทือริงเงินแจกไส้กรอก ขณะที่เบอร์ลินจัดดีเจเปิดเพลงในสถานที่ฉีดในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อดึงดูดหนุ่มสาว

เดอ ไมโญเชื่อว่า โครงการใบรับรองสุขภาพแบบอิตาลีจะช่วยให้อียูไม่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกับอเมริกาที่โควิดกลับมาระบาดหนัก เพราะเศรษฐกิจยุโรปไม่สามารถรองรับการล็อกดาวน์ได้อีกต่อไป