• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Panitsupa

#3701


นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อรวมในประเทศเฉลี่ย 2 หมื่นคน/วัน และสถานการณ์จำนวนเตียง อุปกรณ์การแพทย์ รถพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วย LPP ในฐานะผู้บริหารนิติบุคคลอาคารชุด ได้จัดตั้งโครงการ "Livable Community Isolation" รองรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่ทวีจำนวนยิ่งขึ้น โดยให้ความดูแลและช่วยเหลือลูกบ้านในโครงการที่ LPP ดูแลกว่า 1.2 แสนครัวเรือน ใน 200 โครงการ ทั้งโครงการที่พัฒนาโดย บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) และโครงการภายนอก หรือ Non-LPN ให้ก้าวผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ การจัดเตรียมโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในรูปแบบการแยกกักตัวรักษาที่บ้านสำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่มีอาการรุนแรงหรือเป็นผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวนี้ LPP ได้รับการสนับสนุนด้านข้อมูลความรู้และหลักปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยแบบ Home Isolation จาก พญ. นาฏ ฟองสมุทร ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงอายุ สภากาชาดไทย และกรรมการแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยการจัดสัมมนาออนไลน์ให้กับคณะกรรมการทุกนิติฯ รวมถึงเจ้าหน้าที่และบุคลากรของ LPP เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในแนวทางดำเนินการของ "Livable Community Isolation" และเพื่อให้บุคลากรในทุกชุมชนมีความพร้อมสูงสุด

พญ.นาฎ กล่าวว่า เมื่อผู้ป่วยลงทะเบียนเข้าระบบ Home Isolation ของภาครัฐแล้วจะมีแพทย์ให้การรักษาแบบ Telemedicine หรือผ่านอุปกรณ์การสื่อสาร โดยทีมแพทย์ผู้ดูแลจะมีการทำ VDO Call กับผู้ป่วยเพื่อติดตามอาการทุกวัน และจัดส่งอาหาร 3 มื้อ ยา และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ผู้ป่วย 

สำหรับมาตรการดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วยที่ LPP จัดเตรียมให้ลูกบ้านผู้พักอาศัยภายในโครงการ ในรูปแบบการแยกกักตัวภายในห้องพักอาศัยนั้น จะมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยสถานพยาบาลต่าง ๆ ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าระบบการรักษาของรัฐตามโครงการ "Home Isolation" และจะติดตามดูแลรวมถึงให้การสนับสนุนช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ จนกว่าผู้ป่วยจะได้รับความปลอดภัย อุ่นใจ และพบว่าผลตรวจเป็น Negative

นางสาวสมศรี กล่าวเพิ่มเติมว่าในด้านการดำเนินการ LPPได้กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่ของแต่ละนิติฯ คอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากหรือไม่แสดงอาการ (ผู้ป่วยสีเขียว) ภายใต้หลักการสำคัญ คือ การอำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้านในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำTimeline ของผู้ป่วยย้อนหลัง7-14 วันเพื่อแจ้งเจ้าของร่วมหรือผู้พักอาศัยทุกท่านให้สังเกตอาการของตนเอง จัดส่งอาหาร ยา รวมทั้งสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ยังรวมถึงการจัดเตรียมแม่บ้านคอยจัดเก็บขยะเศษอาหาร ขยะติดเชื้อตามเวลาที่กำหนดทุกวันด้วยมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงพร้อมช่วยประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องหากผู้ป่วยต้องการความช่วยเหลือรวมถึงการอำนวยความสะดวกหากผู้ป่วยต้องไปพบแพทย์หรือหากผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงของโรคจากผู้ป่วยสีเขียวเป็นสีเหลืองฝ่ายจัดการจะประสานงานกับโรงพยาบาลเจ้าของไข้เพื่อให้เข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาล โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของทั้งผู้ป่วยและผู้อยู่อาศัยทุกท่าน
#3702


นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุนบลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าการที่หุ้นจีนที่เผชิญแรงกดดันจากการจัดระเบียบและนโยบายการควบคุมของภาครัฐ เนื่องจากรัฐบาลจีนกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือเรื่อง "ความไม่เท่าเทียม" และ "การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม" ทำให้คนในประเทศไม่มีความสุข ในช่วงต้นของการเปลี่ยนแผนเศรษฐกิจ ทางการจีนมักจะใช้นโยบายหลากหลายรูปแบบควบคู่กันไปในการบริหารจัดการ ในแผนเศรษฐกิจ 5 ปีล่าสุด เน้นที่ "การหมุนเวียนภายในประเทศ" (dual circulation) กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะถูกกดดันต่อเนื่องคือ เทคโนโลยีขนาดใหญ่ และกลุ่มธุรกิจที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงอุตสาหกรรม

นอกจากนั้น ธุรกิจที่คาดว่าจะถูกควบคุมมากขึ้นคือ อสังหาริมทรัพย์ การศึกษา และการรักษาพยาบาล ที่ถูกเรียกว่าเป็น "สามภูเขา" ของคนจีน คาดว่าจะมีการควบคุมต่อเนื่องทั้งในแง่ของการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อลดการเก่งกำไร ลดต้นทุนการศึกษาของคนในประเทศ ไปจนถึงการควบคุมราคายา และเร่งให้เอกชนเพิ่มคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุข

มุมมองเชิงกลยุทธ์ แนะนำ Underweight จีนและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) ในระยะสั้น แม้เราจะเดาได้ว่าทางการจีนมีความต้องการกำหนดภาพรวมเศรษฐกิจไปในรูปแบบไหน แต่ไม่สามารถระบุได้แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ด้านเศรษฐกิจคาดว่าจะไม่สามารถฟื้นตัวแรงได้ในระยะสั้น เนื่องจากนโยบายการควบคุมสถานการณ์การระบาดโควิดส่วนใหญ่เน้นหนักไปทางการล็อกดาวน์เพื่อลดการระบาด แตกต่างจากฝั่งตะวันตกที่เน้นการฉีดและพัฒนาวัคซีน และด้านมูลค่า แม้จะมีการปรับฐานลงมาแล้ว แต่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีก็ยังถือว่าไม่ได้ถูกจนน่าสนใจ

สำหรับนักลงทุนที่ยังสนใจลงทุนในจีน แนะนำการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นขนาดเล็ก หรือหุ้นที่มีส่วนแบ่งตลาดไม่สูง นอกธุรกิจ เทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ การศึกษา และการรักษาสุขภาพ โดยเปรียบเทียบกับช่วงการที่ทางการจีนใช้นโยบายควบคุมเศรษฐกิจอย่างเข้มงวดในช่วงปี 2015 และช่วงสงครามการค้าในปี 2018 มองว่าภาครัฐและเอกชนจะใช้เวลาราวกันอย่างน้อยสามไตรมาสในการปรับตัวเข้ากับกฏเกณฑ์ใหม่
#3703


'เจ' ชนาธิป สรงกระสินธ์ เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติไทย มีโอกาสได้พบกับ ซาโตโกะ อิชิโนะ พิธีกรสาวคนสวยแห่ง "ทีวีฮอกไกโด" ที่คุ้นเคยกันมาดีอยู่แล้ว

โดย ชนาธิป กับ อิชิโนะ เคยร่วมงานกันในฐานะนักฟุต.สโมสร ฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร กับ สื่อมวลชน ซึ่งพิธีกรสาวได้สัมภาษณ์ และทำสกู๊ปตามติดชีวิตดาวเตะชาวไทย หลายครั้ง จนมีแฟนคลับร่วมลุ้นให้ทั้งคู่เป็นคู่จิ้นกัน

และล่าสุด อิชิโนะ มีโอกาสสัมภาษณ์ ชนาธิป อีกครั้ง เป็นประเด็นช่วงที่เจลีกพักเบรก หลีกทางให้การแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่เพิ่งจบไปไม่นาน ว่าซูเปอร์สตาร์ชาวไทยไปทำกิจกรรมท่องเที่ยวที่ใดมาบ้าง

ขณะที่ ชนาธิป เผยว่า ตัวเขาได้ไปเที่ยวเมือง ชาโกตัน เมืองชายทะเลของเกาะฮอกไกโด รวมไปถึงได้มีโอกาสรับประทานหอยเม่น หรือ อุนิ ในภาษาญี่ปุ่นด้วย ก่อนจะถูกตั้งคำถามว่าชอบหรือว่าต้องการลองอีกไหม ตัว ชนาธิป ยอมรับว่าเขาอยากทานแบบซูชิมากกว่า

ทั้งนี้ อิชิโนะ ยังได้ขอร้องให้คีย์แมนแห่งทีม 'นกเค้าแมวเมืองเหนือ' ทำท่า 'อิโตโก' เหมือนที่เคยขอร้อง และ ชนาธิป ก็ยังทำตามคำขอเหมือนเดิมเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีคำชมจากพิธีกรในห้องส่งถึงความสามารถในการสื่อสารภาษาญี่ปุ่นของ ชนาธิป ว่าสามารถทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
#3704


บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ร่วมกับคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญชวนเยาวชนหัวใจสีเขียวที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ไม่จำกัดแผนการเรียน) ทั่วประเทศ สมัครเข้าร่วมค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Power Green Camp) ครั้งที่ 16 ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ ภายใต้หัวข้อ "ECO Living & Learning – เปลี่ยนปรับสู่กรีนไลฟ์สไตล์ ตอบรับ New Normal" เปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้แนวทางการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในหัวข้อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนใช้เวลากับการทำกิจกรรมภายในบ้านมากขึ้น ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผสมผสานทั้งภาคทฤษฎี และการลงมือปฏิบัติจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งอุปกรณ์ชุดทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ค่ายฯ จัดส่งให้ถึงบ้าน เสริมสร้างพลังแห่งการเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัด

ภายใต้แนวคิดของค่ายฯ "วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม – เรียนรู้สู่การปฏิบัติ" เยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 40 คน จะได้เข้าร่วมโปรแกรมการเรียนรู้แบบออนไลน์ที่จัดขึ้นในช่วงวันหยุดและช่วงสุดสัปดาห์ระหว่างวันที่ 16 ตุลาคม ถึง 21 พฤศจิกายนนี้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การปูพื้นฐานนักวิทย์กับกิจกรรม Transformative Learning ฝึกฝนด้าน Soft Skill เช่น ความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ไขปัญหา พร้อมกับทำความรู้จักเพื่อนใหม่ในค่ายฯ ก่อนร่วมกันเข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ สำหรับกิจกรรมไฮไลท์ คือ การได้ลงมือทดลองปฏิบัติภายใต้ 3 หัวข้อ 1) การสำรวจคุณสมบัติของดินในบ้าน 2) การประดิษฐ์ถังดักไขมัน 3) การเปลี่ยนเศษอาหารเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งแต่ละคนจะได้รับชุดการทดลองที่ได้มาตรฐานสามารถนำไปใช้งานได้จริงในครัวเรือนมูลค่ารวมคนละ 10,000 บาท ซึ่งค่ายฯ จัดเตรียมให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้เยาวชนยังได้ร่วมฝึกฝนทักษะการนำเสนอให้ชนะใจผู้ฟังที่สามารถนำไปปรับใช้กับการประกวดโครงงานกลุ่มวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกิจกรรมปิดท้ายของค่ายฯ ที่เยาวชนจะได้จับกลุ่มกันนำความรู้ที่ได้รับทั้งหมดมาต่อยอดสร้างแนวคิดหรือไอเดียในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล พร้อมชิงทุนการศึกษารวมกว่า 100,000 บาท

เยาวชนที่สนใจเข้าร่วมค่ายฯ สามารถเข้าไปที่ www.powergreencamp.com เพื่อกรอกใบสมัครในรูปแบบออนไลน์ที่ต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พร้อมแนบลิงก์คลิปวิดีโอที่อัปโหลดบน YouTube (เผยแพร่แบบสาธารณะ) ที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการแนะนำตัวเอง ความสนใจหรือประสบการณ์การทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม และการนำเสนอแนวคิดและความเข้าใจเรื่อง "ECO Living" ภายในความยาวไม่เกิน 5 นาที โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2564 และประกาศผลการคัดเลือกในวันที่ 4 ตุลาคม 2564 โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่มีบ่อยๆ รีบสมัครกันเข้ามาเลย !

อ่านรายละเอียดการสมัครและหลักเกณฑ์การพิจารณาเพิ่มเติม พร้อมติดตามข่าวสารและข้อมูลต่างๆ ของค่าย "เพาเวอร์กรีน" รุ่นที่ 16 ได้ที่ เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/powergreencamp เว็บไซต์: www.powergreencamp.com

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คุณสุภาวดี จำปาลา โทรศัพท์ : 061-629-5919 อีเมล : powergreencamp@hotmail.com

เกี่ยวกับค่าย "เพาเวอร์กรีน"
โครงการค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม "เพาเวอร์กรีน" (Power Green Camp) ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2549 โดยความร่วมมือระหว่างบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้แนวคิดที่ว่า "วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม - เรียนรู้สู่การปฏิบัติ" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้แก่เยาวชน รวมทั้งส่งเสริมให้นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ สร้างแกนนำและเครือข่ายเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

เกี่ยวกับบ้านปู
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ดำเนิน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานใน 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย จีน ออสเตรเลีย ลาว มองโกเลีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม
#3705


เชื่อว่าภารกิจสำคัญของรัฐบาลหลายๆ ชาติ นอกจากจะควบคุมโรคระบาดจากเชื้อโควิด-19 ให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยเร็วที่สุดแล้ว คงเป็นเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยเต็มตัว แต่แนวทางการพัฒนาของโลกยุคหลังโควิด-19 ไม่ควรย้อนรอยกลับไปสร้างความผิดพลาดแบบเดิมๆ ที่สร้างความหายนะทั้งทางสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างแสนสาหัส

บทเรียนการพัฒนาที่มุ่งทำลายต้นทุนธรรมชาติและระบบนิเวศพิสูจน์แล้วว่าเปราะบางและพร้อมจะพังทลายลงได้ในบัดดลเมื่อพบกับเภทภัยระดับโลกเช่นนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อม (Green Stimulus) เป็นแนวทางที่นักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมหลายสำนักนำเสนอเพื่อใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ และเตรียมรับมือกับภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงกว่าโรคระบาดครั้งนี้หลายเท่า



ย้อนกลับไปยังต้นตอของวิกฤตโรคระบาดระดับโลกครั้งนี้ อธิบดีกรมควบคุมและป้องกันโรคของจีนออกมายอมรับว่าเป็นไปได้อย่างมากที่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019-nCoV หรือ COVID-19 มีต้นกำเนิดมาจากตลาดค้าขายสัตว์ป่าผิดกฎหมายในเมืองอู่ฮั่น ที่มีประชากรราว 11 ล้านคน จนทำให้จีนต้องออกมาประกาศปิดตลาดค้าสัตว์ป่าทั่วประเทศชั่วคราวตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม อีกหนึ่งเดือนถัดมาคณะกรรมาธิการสภาประชาชนแห่งชาติของจีนมีมติให้การรับรองคำสั่งห้ามบริโภคสัตว์ป่าอย่างเด็ดขาด รวมทั้งประกาศจะปราบปรามตลาดค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายทั่วประเทศ เพื่อให้ความปลอดภัยด้านสาธารณสุขแก่ประชาชน และความมั่นคงทางด้านนิเวศวิทยา

หลายคนยังกังขาว่ารัฐบาลจีนจะเอาจริงแค่ไหนเพราะตอนที่เกิดเหตุโรคซาร์สระบาดเมื่อ ค.ศ.2003 ก็เคยมีนโยบายที่คล้ายคลึงกันออกมาเช่นกัน แต่เมื่อโรคระบาดหายไปไม่นาน ตลาดค้าสัตว์ป่าก็กลับมาค้าขายกันเหมือนเดิม และขยายตัวยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและช่องทางค้าขายออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น

ปัญหาการค้าสัตว์ป่าเป็นเพียงแค่ตัวอย่างเดียวของการใช้ประโยชน์ธรรมชาติอย่างล้างผลาญที่ส่งผลโดยตรงต่อการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิต หากลองสำรวจวิกฤตการณ์ที่ผ่านมาก็จะพบว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนกำลังรุมเร้าและท้าทายการดำรงอยู่ของสังคมมนุษย์มากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็น มลพิษทางอากาศ สถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันพิษ มลภาวะจากขยะพลาสติก อุณหภูมิที่สูงผิดปกติและภาวะเป็นกรดของมหาสมุทร ไปจนถึงระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากการละลายของน้ำแข็งแถบขั้วโลก

ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นจึงเป็นวิกฤตที่คู่ขนานไปกับภาวะฉุกเฉินทางด้านนิเวศวิทยาและสภาพภูมิอากาศ และความไม่เท่าเทียมอย่างสุดขั้ว ภาวะวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและโรคระบาดเป็นปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำให้เห็นว่าเราควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่แน่นอนถ้าไม่หันมาฟังคำเตือนของนักวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง และไม่กลับไปแก้ที่ต้นตอของปัญหา ทั้งระบบเศรษฐกิจที่บิดเบี้ยว การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติแบบเอาแต่ได้ และการเมืองที่ยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์
สิ่งที่จะทำให้เรารอดไปด้วยกันจึงไม่ใช่แค่เงินชดเชยรายได้ (ที่จำเป็นมากๆ สำหรับผู้มีรายได้น้อย) และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อหวนกลับไปสร้างความมั่งคั่งให้กับคนกลุ่มน้อยที่อยู่บนสุดของพีรามิดเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รัฐบาลควรใช้วิกฤตครั้งนี้ทบทวนแผนการลงทุนขนาดใหญ่ หันมาให้น้ำหนักกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่ส่งเสริมการรักษาต้นทุนธรรมชาติและกำหนดทิศทางใหม่ในการพัฒนาเพื่อเตรียมรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหม่ในอนาคต
นักวิชาการได้นิยามการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อม (Green Stimulus) ว่ามีลักษณะสำคัญ 4 อย่างคือ 1) ทำให้เกิดการจ้างงานอย่างรวดเร็ว 2) เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3) ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน และ 4) เกิดผลด้านบวกต่อระบบนิเวศ หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้านอื่นๆ แน่นอนว่าแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจจะถูกนำมาใช้เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินเท่านั้น

ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 นักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกาได้มีการนำเสนอยุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้านของการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่มีมูลค่ารวมถึง 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สอดคล้องกับข้อเสนอ Green New Deal โดยเนื้อหาใจความหลักสามารถนำมาปรับใช้กับบ้านเราได้เช่นกันคือ
การสร้างงานใหม่ๆ ในระดับชุมชนที่ส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว เช่น การขยายกำลังผลิตของภาคพลังงานหมุนเวียน การปรับปรุงอาคารและสิ่งก่อสร้างเพื่อลดการใช้พลังงาน การขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์อย่างเป็นระบบ การส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรในระดับท้องถิ่น การปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน การผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน การส่งเสริมอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น การพัฒนาบรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (เช่น สวนสาธารณะป้องกันน้ำท่วม ทางเชื่อมระหว่างผืนป่าให้สัตว์ข้ามไปมา) ปรับหลักสูตรในระดับอาชีวะและอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว

การลงทุนอย่างชาญฉลาดสำหรับโลกในอนาคต เช่น การปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา การเปลี่ยนรถเมล์เป็นรถไฟฟ้า การพัฒนาอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในชนบท การเตรียมความพร้อมของครูและนักเรียนสำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ รวมไปถึงการสร้างความหลากหลายในการพัฒนาเศรษฐกิจในชุมชน โดยเฉพาะชุมชนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาในอดีต และมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนักในอนาคตจากสภาวะโลกร้อน (เช่น ชุมชนชายฝั่ง) ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นหลัก พัฒนาการท่องเที่ยวที่ช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติและมีกลไกการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกับชุมชน

การเพิ่มสิทธิความเป็นเจ้าของในกิจการสาธารณะ เช่น ยกระดับความรับผิดชอบขององค์การสาธารณะในภาวะวิกฤต อาทิ ขนส่งมวลชน การเคหะ การไฟฟ้า การประปา อุตสาหกรรมพลังงาน สายการบิน โรงเรียน โดยยึดโยงกับประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก

ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน ปฏิบัติตามข้อตกลงปารีสที่พยายามรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันผลกระทบร้ายแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงการพัฒนาแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับชุมชนและภูมิภาคซึ่งจะช่วยกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่เหมาะสม
ภายใต้ยุทธศาสตร์ทั้งสี่ รัฐบาลสามารถแตกย่อยแผนพัฒนาที่เป็นรูปธรรมให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละภูมิภาคได้ แน่นอนว่าแผนดังกล่าวต้องอาศัยวิสัยทัศน์และการลงทุนจำนวนมหาศาล แต่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากการอัดฉีดเงินเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ การจัดสรรงบประมาณลงไปในจุดที่จะเป็นการสร้างภูมิต้านทานภัยพิบัติในอนาคตก็ต้องถือเป็นการลงทุนที่เหมาะสม เราได้เป็นจักษุพยานของโลกที่ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความปั่นป่วน (disruption) และเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ระบบที่ยืดหยุ่นมีประสิทธิภาพและมีความสามารถในการปรับตัวสูงจึงกลายเป็นคุณสมบัติสำคัญของสังคมที่จะอยู่รอดต่อไปได้ในอนาคต

วิกฤตโควิด-19 ยังเป็นบทเรียนสำคัญถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจในปัจจุบัน อย่างที่เกรตา ธันเบิร์ก สาวน้อยนักเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศสะท้อนไว้อย่างน่าฟังว่า "ถ้าไวรัสแค่หนึ่งสายพันธุ์สามารถล้มระบบเศรษฐกิจของทั้งโลกได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ นั่นเป็นบทพิสูจน์ว่าสังคมเราแทบไม่มีภูมิต้านทานเลย แต่ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่า ในภาวะฉุกเฉินเราสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกันได้เร็วขนาดไหน" หากมองในมุมนี้ก็ทำให้พอมีความหวังว่าถ้าโลกตระหนักถึงความจำเป็นของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังเพื่อความอยู่รอดและเพื่อรักษาชีวิต เราพิสูจน์แล้วว่าทำได้และจะได้เห็นโลกทั้งโลกร่วมมือกันอย่างรวดเร็วในยามที่เกิดวิกฤตร้ายแรง

ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องหาทางแก้ร่วมกัน แต่การแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมแบบเดิม ย่อมทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำมากมาย สุดท้ายกลายเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่รู้จบและยิ่งส่งผลร้ายกว่าเดิมในระยะยาว นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจึงพยายามเสนอการแก้ปัญหาแบบใหม่ที่ย้อนกลับไปหาธรรมชาติ เรียนรู้การทำงานของระบบนิเวศที่สมดุล สมบูรณ์ ลงตัว ยกตัวอย่างง่ายๆ ในกระบวนการผลิตตามธรรมชาติมีประสิทธิภาพขนาดที่ไม่มีของเสียหรือของเหลือทิ้งเกิดขึ้นเลย หรือนวัตกรรมการออกแบบผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ที่หันกลับไปลอกเลียนหลักการทำงานสุดเจ๋งของธรรมชาติในศาสตร์ชีวลอกเลียน (biomimicry)

หากนำเอาการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูธรรมชาติมาเป็นหัวใจในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาสุขภาพและสุขภาวะของคนในชาติน่าจะหมายถึงการเพิ่มพื้นสวนสาธารณะ เพิ่มจำนวนต้นไม้ใหญ่และพื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติให้คนในเมืองได้มีโอกาสใช้ชีวิตกลางแจ้ง สร้างภูมิคุ้มกันด้วยแลกเปลี่ยนจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และสร้างสมดุลในการใช้ชีวิต การปฏิรูปการศึกษาน่าจะหมายถึงการพัฒนาหลักสูตรเนื้อหาที่สอดคล้องกับนิเวศวิทยาท้องถิ่นและกระตุ้นให้เกิดความรักในการเรียนรู้จากธรรมชาติรอบตัว การสร้างความมั่นคงทางอาหารน่าจะหมายถึงการฟื้นฟูทะเล ฟื้นฟูป่า แหล่งผลิตอาหารที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในโลก และส่งเสริมการเพาะปลูก การเพาะเลี้ยงสัตว์ การบริโภคอย่างยั่งยืนในทุกๆ สภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในเมืองที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนกว่าครึ่งโลก

วิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ตอกย้ำความจริงที่ว่า "เงินทองคือมายา ข้าวปลาคือของจริง" เศรษฐกิจจะยั่งยืนต้องมาจากฐานทรัพยากรธรรมชาติที่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง และเมื่อมนุษย์ยิ่งเรียนรู้ก็ยิ่งพบความจริงว่าทางออกของปัญหาต่างๆ ของสังคมนั้นมีอยู่แล้วในธรรมชาติ เราเพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดและเข้าใจว่า งานอนุรักษ์ไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มน้อยที่พยายามไล่คนให้กลับไปอยู่ถ้ำ แต่คือการอนุรักษ์ต้นทุนธรรมชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ คือการปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐศาสตร์ให้สอดคล้องกับขีดจำกัดของระบบนิเวศ การอนุรักษ์คือการพัฒนาอย่างชาญฉลาด อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม

หากแยกย่อยเมนูสำหรับการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสีเขียว เราอาจจัดกลุ่มแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามหมวดหมู่ต่างๆ ได้ดังนี้

1. การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บ้านเรือนประหยัดพลังงาน เช่น ตั้งเป้าอาคารบ้านเรือนที่สร้างใหม่จะต้องปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายใน 10 ปี

2. การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีสูง เช่น ตั้งเป้าระบบขนส่งสาธารณะที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายใน 10 ปี

3. การปรับปรุงระบบการผลิตให้มีประสิทธิภาพ สร้างของเหลือให้น้อยที่สุด มีระบบสวัสดิการที่เป็นธรรมกับพนักงานและลูกจ้าง เช่น ตั้งเป้ามีระบบการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพร้อยละ 80 ภายใน 10 ปี

4. การพัฒนาระบบพลังงานทางเลือก พลังงานหมุนเวียน และการประหยัดพลังงาน เช่น ตั้งเป้าหมายระบบพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายใน 10 ปี

5. การสร้างระบบผลิตอาหารที่ยั่งยืน ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ตั้งเป้าสัดส่วนการผลิตภาคเกษตรอินทรีย์อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายใน 10 ปี

6. การจัดการที่ดินและพื้นที่ชายฝั่งอย่างยั่งยืน อนุรักษ์ระบบนิเวศดั้งเดิม พัฒนาเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองระดับภูมิภาคและประเทศ ขยายพื้นที่สวนสาธารณะในเมือง และส่งเสริมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระดับครัวเรือน (เช่น ป่าครอบครัว) เช่น ตั้งเป้าพื้นที่คุ้มครองทางบกไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 และพื้นที่คุ้มครองทางทะเลไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ภายใน 10 ปี

7. การเงิน การธนาคารและกระบวนการจัดซื้อเพื่อความยั่งยืน เป็นแนวคิดที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ของธุรกิจและสังคมในระยะยาวมากกว่าผลตอบแทนในระยะสั้น โดยดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี นำหลักการวิเคราะห์วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (product life cycle) มาใช้พิจารณาในกระบวนจัดซื้อ

8. เป็นแนวร่วมสำคัญในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกอย่างเข้มแข็ง ด้วยการปฏิบัติตามพันธกิจของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ อนุสัญญาแรมซาร์ว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ อนุสัญญาไซเตสว่าด้วยการค้าชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลก อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายและการกำจัดของเสียอันตรายข้ามแดน อนุสัญญาว่าด้วยชนิดพันธุ์ที่มีการเคลื่อนย้ายถิ่น

บทความโดย ดร.เพชร มโนปวิตร

ข้อมูลอ้างอิง https:// www.the101.world/green-stimulus/


นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ที่ผ่านการทำงานในองค์กรสิ่งแวดล้อมระดับโลกหลายแห่ง ทั้ง IUCN, WWF และ WCS ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา พร้อม ๆ กับเป็นนักเขียนและนักแปลบทความด้านสิ่งแวดล้อมและทางออกด้านการอนุรักษ์ ปัจจุบันขับเคลื่อนประเด็นเศรษฐกิจหมุนเวียน ขยะทะเลและการอนุรักษ์ปะการังกับ ReReef บริษัทสตาร์ทอัพที่เน้นการแก้ปัญหา
#3706


วันนี้ (23 ส.ค.) นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า ขยับเข้าใกล้เป้าหมาย 100 ล้านโดส ส่วนตัวผม ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ผมเอาใจช่วยให้รัฐบาลสามารถฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าปี 64 ที่ 100 ล้านโดส และผมก็หวังว่าคนไทยทุกคนเอาใจช่วยให้รัฐบาลทำสำเร็จ

เพราะนี่คือแผน ที่จะทำให้เราสามารถจัดการกับโรคได้ หากใครมานั่งแช่งในเรื่องนี้ ก็แย่เต็มทน แต่ผมก็เชื่อว่ามีแน่นอน เพราะการเมืองไทย ระยะหลังเล่นกันแรงมาก มาถึงจุดนี้ ผมเชื่อว่า เป้าฉีดให้ได้ 100 ล้านโดส เราจะไปถึงจุดนั้นได้ ด้วยปัจจัยบวก 2 ข้อ คือ



1. จำนวนวัคซีน ที่ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ
2. การขยายจุดฉีด กระจายไปยังต่างจังหวัด
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ ผมลองทำใจให้สงบแล้วหาข้อมูล ก่อนจะพบว่า รัฐบาลไทย สามารถสั่งวัคซีน เพื่อนำมาฉีดให้ประชาชน ในฐานะสิทธิ์ด้านสุขภาพ กว่า 110 ล้านโดส
แบ่งเป็น
แอสตราเซเนก้า 61 ล้านโดส
ซิโนแวค 19.5 ล้านโดส
และไฟเซอร์ 30 ล้านโดส

เหล่านี้บรรลุสัญญาแล้ว และมีการทยอยส่งมอบตลอดปีนี้แน่นอน
นี่ยังไม่นับรวมจำนวนวัคซีนที่นานาชาติสนับสนุนไทย ไปจนถึงวัคซีนทางเลือก ที่มีการสั่งเข้ามาตลอด
เท่ากับเราได้คลี่คลายปัญหาเรื่อง SUPPLY ไปได้
ในส่วนของการกระจายฉีดวัคซีน นโยบายภาครัฐล่าสุด คือ ให้ระดมฉีดในต่างจังหวัด หลังจากฉีดกลุ่มเสี่ยงในกรุงเทพได้ตามเป้า

ล่าสุด เร่ง ให้ รพ.สต.ทั่วประเทศเป็นจุดบริการวัคซีน เพราะมีทั้งความพร้อม และเครื่องมือ
เท่ากับเราจะมีจุดฉีดเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย กระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่
ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งจ้องวิจารณ์
แต่คนทำงานก็ยังคงขันแข็ง ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ประเทศไทย มีคนอยู่ 2 กลุ่ม ครับ
คือคนที่วิจารณ์
กับคนที่ทำงาน และเราเดินไปข้างหน้าได้ เพราะคนกลุ่มนี้
#สู่เป้าหมาย100ล้านโดส+

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงาน ยอดการสั่งจองวัคซีน จากข้อมูลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่า ประเทศไทย สั่งจองวัคซีน Sinovac แล้ว 19.5 ล้านโดส ส่งมอบแล้ว 13.4 ล้านโดส ได้รับการสนับสนุนวัคซีน Sinovac จากจีน 1 ล้านโดส

สั่งซื้อแอสตร้าเซเนก้า แล้ว 61 ล้านโดส ได้รับแล้ว 14.7 ล้านโดส ญี่ปุ่นสนับสนุนวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 1.05 ล้านโดส สหราชอาณาจักร ให้การสนับสนุนวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 0.41 ล้านโดส ภูฎาน ให้ยืม วัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 0.15 ล้านโดส
ไทยได้รับวัคซีนซิโนฟาร์มแล้ว 5 ล้านโดส และได้รับการสนับสนุนวัคซีนซิโนฟาร์มจากจีน 0.5 ล้านโดส พร้อมทำสัญญาจัดหาวัคซีนจากไฟเซอร์แล้ว 30 ล้านโดส ได้รับการสนับสนุนวัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐฯ 2.5 ล้านโดส และจัดหาวัคซีนจากจอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน 5 ล้านโดส
#3707


โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ โรงแรมสุดหรูแห่งใหม่ใจกลางเมือง เชิญคุณมาเปิดประสบการณ์การพักผ่อนสุดหรู พร้อมอิ่มอร่อยไปกับหลากหลายเมนูสุดพิเศษ พบกับแพ็คเกจ Sindhorn Kempinski Dinecation โปรโมชั่นห้องพักสุดคุ้มในราคาสุทธิเพียง 8,888 บาท ต่อ 1 คืน สำหรับ 2 ท่าน ในห้อง Grand Deluxe ขนาดพื้นที่ 66 ตร.ม พร้อมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน บริการมินิบาร์และเครื่องดื่มฟรี รวมทั้งเมนูมื้อค่ำ 7-คอร์สสุดหรู รังสรรค์ความอร่อยโดย เชฟแฟรงค์ เตรเปรช เอ็กเซ็กคูทีพเชฟ โรงแรมสินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ (Executive Chef Frank Trepesch)



เริ่มต้นมื้อพิเศษด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย 4 เมนูได้แก่ Amuse Bouche พิเศษจากเชฟ เมนูกุ้งลายเสือ เมนูตับห่าน และเมนูหอยเชลล์ ตามด้วยเมนูจานหลักที่มีให้คุณเลือกลิ้มลองไม่ว่าจะเป็น ปลากะพงทอดเสิร์ฟพร้อมทาร์ตมันฝรั่งและซอสเบอร์บล็อง หรือจะเลือกเป็น สเต็กเนื้อเสิร์ฟพร้อมทาร์ตมันฝรั่งและซอสไวน์แดง ตามด้วยเมนูก่อนของหวานอย่าง Exotic Vacherin ไอศกรีมซอร์เบท์มะพร้าวผสมมะม่วงเสิร์ฟคู่กับแพสชั่นฟรุ๊ตและมาสคาโพน ปิดท้ายด้วย Textures of Chocolate ของหวานสุดพิเศษที่เชฟรวมช็อกโกแลตสูตรพิเศษหลากหลายรูปแบบเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมโฮมเมดรสซอล์ทคาราเมล



สำรองห้องพักได้ตั้งแต่ วันนี้ ถึง 15 กันยายน 2564 และสามารถเข้าพักได้ถึง 30 กันยายน 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 095 9990 หรืออีเมล: reservation.sindhorn@kempinski.com หรือเข้าชมเว็ปไซต์ของโรงแรมได้ที่ https://www.kempinski.com/en/bangkok/sindhorn-hotel/
#3708


ปัญหาที่คนมี "หนี้บ้าน" หลายคนกำลังประสบอยู่ในตอนนี้ คือขาดสภาพคล่องเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ไม่สามารถผ่อนชำหนี้ได้ตามปกติ หรือมีโอกาสที่จะผ่อนชำระไม่ไหวในอนาคตอันใกล้ สำหรับลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบในลักษณะนี้ ควรทำอย่างไร เพื่อให้สามารถผ่อนชำระต่อไปได้ หรือสามารถประคับประคองสถานการณ์นี้ไว้ได้ไม่ให้ไปถึงขั้น "ถูกยึดบ้าน"

"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" รวบรวมข้อมูลที่จะช่วยให้คนที่กำลังผ่อนบ้านและประสบปัญหาทางการเงินหาทางออกในช่วงวิกฤติเช่นนี้ไปได้ แบบไม่เสียประวัติการชำระหนี้ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้


 1. ประเมินตัวเอง ไม่ไหวอย่าฝืน 

สิ่งที่ต้องเริ่มต้นทำอย่างจริงจังเมื่อเริ่มรู้ตัวว่ารายได้หรือเงินเดือนลดลง ณ ช่วงเวลาหนึ่งเรื่องมีปัญหาจนอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน คือ การประเมินตัวเองว่ามีกำลังในการชำหนี้ตามสัญญาเงินกู้ที่กำหนดไว้หรือไม่ 


โดยอาจใช้วิธีลิสต์รายการ รายรับและรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า 3-6 เดือน เพื่อให้เห็นว่าในแต่ละเดือนเราจะมีเงินเพียงพอครอบคลุมภาระเหล่านี้หรืออยู่หรือไม่ ขาดหรือเกินอยู่เท่าใดบ้าง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้รู้ตัวว่าจ่ายหนี้ไหว หรือไม่ไหวในอนาคต

หากรู้ตัวเริ่ม "ขาดสภาพคล่อง" หรือรู้ตัวว่าหากชำระหนี้ตามปกติแล้วจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน หรือจ่ายไม่ไหวด้วยเหตุอื่นๆ จะต้องรีบติดต่อธนาคารเจ้าหนี้ของเรา เพื่อหาทางออก

เพราะหากปล่อยเอาไว้ ผลเสียที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่แค่มีโอกาสถูกยึดบ้านเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงประวัติทางการเงินที่จะเสียหายหนัก ซึ่งส่งผลถึงการทำธุรกรรมต่างๆ ในอนาคตอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหากทรัพย์สินมีมูลค่าน้อยกว่ายอดหนี้ คุณก็ยังคงต้องหาเงินมาชำระหนี้ส่วนที่ขาดเพิ่มเติมด้วย

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

 2. ติดต่อธนาคาร 

เมื่อประเมินกำลังการจ่ายของตัวเองแล้ว มีแนวโน้มจ่ายไม่ไหวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สามารถติดต่อธนาคารเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกัน ในกรณีที่เป็น "หนี้บ้าน"

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แนะนำว่า มีโอกาสเจรจากับธนาคารเพื่อใช้มาตรการช่วยเหลือในกรณีต่างๆ ได้หลายทาง เช่น 

- การขอผ่อนชำระยอดหนี้ค้าง
- ยื่นขอขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ
- ชะลอการฟ้องร้อง
- ประนีประนอมยอมความ
- ชะลอการยึดทรัพย์
- ชะลอการขายทอดตลาด

อย่างไรก็ตาม จะใช้กรณีช่วยเหลือแบบไหนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมา และยอดหนี้คงเหลือด้วย นั่นหมายความว่าธนาคารแต่ละธนาคารจะพิจารณาเป็นกรณีๆ ไปนั่นเอง

 3. สำรวจมาตรการช่วยจากธนาคาร กรณีได้รับผลกระทบจากโควิด-19 

ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ธนาคารหลายแห่งมีมาตราการออกมารองรับสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งแต่ละธนาคารมีนโยบายที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทของสินเชื่อ โดยแบ่งลักษณะมาตรการช่วยเหลือหลักๆ ออกได้เป็น 5 รูปแบบ ที่มีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งในฐานะของลูกหนี้ ควรทำความเข้าใจและพิจารณาก่อนเข้าร่วมมาตรการ ดังนี้

ตรวจสอบสิทธิ 'ประกันสังคม' ม.39 www.sso.go.th รับเงินเยียวยา 5,000 บาท 23 ส.ค.นี้ เช็ครายละเอียดที่นี่
ด่วน! ยอด 'โควิด-19' วันนี้ จับตา! พบเสียชีวิต 242 ราย ติดเชื้อเพิ่ม 17,491 ราย ไม่รวม ATK อีก 901 ราย
เมื่อติดโควิด-19 จะรับ ATK- ยาฟรี @ 'ร้านขายยา' ได้อะไรบ้าง?

นอกจากนี้ลูกหนี้ยังสามารถตรวจสอบมาตราการช่วยเหลือรูปแบบต่างๆ จากธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้ ที่นี่ เพื่อร่วมกับหาทางบริหารจัดการหนี้ในช่วงวิกฤตินี้ให้ผ่านไปได้แบบได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และไม่เสียเครดิตลูกหนี้ชั้นดีไปในอนาคต

ที่มา: ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
#3709


จีนจะเปิดทางให้คู่สมรสมีความชอบธรรมทางกฎหมายในการมีบุตรสูงสุด 3 คน ท่ามกลางความกังวลจำนวนประชาชนในวัยทำงานในประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแห่งนี้กำลังลดลงเร็วเกินไป ซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อความหวังของปักกิ่ง ที่ปรารถนาเพิ่มความเจริญรุ่งเรืองและยกระดับอิทธิพลในเวทีโลกในอนาคต

สมาชิกสภานิติบัญญัติจีนได้ปรับแก้กฎหมายวางแผนครอบครัวและประชากรเมื่อวันศุกร์ (20 ส.ค.) ส่วนหนึ่งในความพยายามปรับเปลี่ยนข้อบังคับที่มีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งควบคุมขนาดของครอบครัวด้วยคำสั่งทางการเมือง

สำนักงานซินหัว สื่อมวลชนแห่งรัฐของจีน รายงานย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคมว่า ข้อเสนอแก้ไขกฎหมายได้รับความเห็นชอบระหว่างการประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นประธาน

พรรคคอมมิวนิสต์บังคับใช้มาตรการจำกัดการมีบุตรมาตั้งแต่ปี 1980 เพื่อควบคุมการขยายตัวของประชาชน อัตราการเกิดที่ลดลงของจีน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายลูกคนเดียวในปี 1979 ประเทศแห่งนี้โอ้อวดมาช้านานว่านโยบายดังกล่าวประสบความสำเร็จในการป้องกันการเกิดใหม่ถึง 400 ล้านคน ปกป้องทรัพยากรต่างๆ และช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

คู่สมรสที่ไม่ปฏิบัติตามนโยบายลูกคนเดียวมีสิทธิตกงานและถูกปรับเงิน ในบางกรณีคุณแม่หลายคนยังถูกบังคับทำแท้งหรือทำหมัน และด้วยที่ครอบครัวต่างๆ ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว มันยังทำให้หลายครอบครัวตัดสินใจทำแท้งทารกเพศหญิง นำมาซึ่งความไม่สมดุลอย่างมากในอัตราส่วนระหว่างเพศชายและเพศหญิง

ข้อจำกัดต่างๆ ที่กำหนดต่อครอบครัวในกฎหมายวางแผนครอบครัวและประชากร มีการผ่อนปรนเป็นครั้งแรกในปี 2015 เปิดทางให้คู่สมรสมีบุตรได้สูงสุด 2 คน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ยอมรับว่ามันเป็นผลลัพธ์จากอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างมาก แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่ออัตราการเกิดที่ลดลงของประเทศ

จากข้อมูลพบว่า มีทารกลืมตาดูโลก 12 ล้านรายเมื่อปีที่แล้ว ลดลง 18% จาก 14.65 ล้านคนในปี 2019 แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี ในขณะเดียวกัน ประชากรวัยชราอายุ 60 ปีขึ้นไปของจีนพุ่งแตะ 264 ล้านคน คิดเป็น 18.7% ของประชากรทั้งหมดในปี 2020 เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2010 ถึงเกือบ 6%

ในช่วงเวลาเดียวกัน ประชากรวัยทำงานของจีนลดลงเหลือ 63.3% จากระดับ 70.1% เมื่อ 1 ทศวรรษก่อน

ณ ที่ประชุมเมื่อวันศุกร์ (20 ส.ค.) คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (Standing Committee of the National People's Congress) ยกเลิกข้อกำหนดปรับเงินสำหรับผู้ละเมิดข้อบังคับต่างๆ ก่อนหน้านี้ และเรียกร้องให้สิทธิลาคลอดเพิ่มเติมและเพิ่มเติมทรัพยากรดูแลเด็ก โดยในกฎหมายฉบับแก้ไขระบุว่า ควรนำมาตรการใหม่มาใช้ ทั้งในด้านการเงิน ภาษี การศึกษา ที่อยู่อาศัยและการจ้างาน เพื่อแบ่งเบาภาระแต่ละครอบครัว

นอกจากนี้แล้วในกฎหมายฉบับแก้ไขยังหาทางจัดการกับปัญหาที่เรื้อรังมานานเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติกับผู้หญิงตั้งครรภ์และคุณแม่มือใหม่ในสถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ขัดขวางการมีบุตรเพิ่ม เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายระดับสูงและความคับแคบแออัดของที่พักอาศัย

(ที่มา : เอพี/เอ็นบีซีนิวส์)
#3710


วันที่ 21 ส.ค.64 ฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยว่า จากการประเมินสถานการณ์สินทรัพย์ของเกษตรกร หลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปี 2564 ส่งผลให้หนี้สินเกษตรกรเพิ่มขึ้นตามหนี้ครัวเรือนประเทศ และตัวแปรอื่นๆ โดยเฉพาะ จากนโยบายของภาครัฐ เช่น พักหนี้ และการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ขณะที่หนี้สินเกษตรกรปี 2564 มีหนี้สินเฉลี่ยที่ 262,317 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 16.54%

มีรายงานว่า หนี้สินเงินกู้ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ของการกู้ ดังนี้ คือ ค่าปัจจัยการผลิต วัสดุอุปกรณ์การเกษตรสัดส่วน 37.55% กลุ่มค่าแรงงาน ค่าซ่อม ซื้อ เครื่องจักรเกษตร ค่าเช่าสัดส่วน 17.05% ส่วนรายได้เฉลี่ยของเกษตรกรปี 2564 มีรายได้ 408,099 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 4.54% แบ่งเป็น รายได้เงินสดในภาคเกษตร 190,065 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 3.07% และรายได้เงินสดนอกการเกษตร ซึ่งรวมเงินช่วยเหลือของภาครัฐแล้วมีรายได้ 218,034 บาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น5.86%

สำหรับรายได้จากด้านพืชมากที่สุด 140,825 บาทต่อครัวเรือน รองลงมาคือ รายได้จากด้านปศุสัตว์ 44,990 บาทต่อครัวเรือน และรายได้เงินสดเกษตรอื่น ๆอาทิการแปรรูปผลผลิตเกษตรที่ผลิตได้(ผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป)ผลผลิตพลอยได้ 4,790 บาทต่อครัวเรือน

นอกจากนี้ สศก. ประเมินรายได้เงินสดทางการเกษตรมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากมีผลผลิตด้านการเกษตรหลายตัว ราคาอาจปรับตัวลดลง โดยสินค้าที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ กลุ่มไม้ผล ไม้ยืนต้น ยังเป็น สนค้าที่ราคาสูงขึ้นจากปีก่อน เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำ มัน ทุเรียน ลำไย และ สินค้าที่ราคาลดลงจากปีที่ผ่านมาต้องเฝ้าระวัง เช่น เงาะ มังคุด กลุ่มพืชอื่น ได้แก่ ยาสูบ แนวโน้มเพิ่มขึ้น บางพื้นที่ปลูกเป็นพืชหมุนเวียนหลังนา และ กลุ่มปศุสัตว์มีราคาเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เช่น สุกร โคเนื้อ ไข่ไก่ เป็นต้น
#3711


ช่วง Work from home หลายคนก็อาจจะมองหาเคล็ดลับการดูแลผิว ที่เขาว่าดีว่าเด็ดมาทดลองใช้ เพื่อให้มีผิวหน้าที่เรียบเนียน แข็งแรง สดใส อยู่เสมอ เวลาที่ต้องแต่งหน้าทำคอนเทนต์อยู่บ้านหรือจะวิดีโอคอล ประชุม ก็ดูสวยเป็นธรรมชาติ และสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง แต่ก็ยังมีข้อข้องใจเกี่ยวกับปัญหาผิวบางอย่างที่แก้ด้วยวิธีไหนก็ไม่ตอบโจทย์ ไม่ทันใจ ลองมาร่วมหาคำตอบกัน

เมิร์ซ เอสเธติกส์ ไทยแลนด์ ได้เชิญ นายแพทย์ ดิษฐพงศ์ สัตตบงกช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม มาร่วมให้เกร็ดความรู้และคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการดูแลผิว พร้อมเคล็ดลับการดูแลผิวแบบฉบับ กวาง-วรรณปิยะ ออมสินนพกุล หรือ กวาง เดอะเฟซ ให้สวยใสอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้าง Confidence to be...สวยมั่นใจในแบบฉบับที่เป็นตัวเอง

นพ. ดิษฐพงศ์ เผยว่า "การดูแลผิวเริ่มต้นได้ง่ายๆ จากเรื่องพื้นฐาน อย่างกิน อยู่ หลับนอน คือการกินอาหารที่มีประโยชน์ ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม และนอนหลับให้เพียงพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้เลย และการดูแลผิวเองทั้งในแบบที่เราดูแลตัวเองที่บ้านหรือในแบบที่เข้าคลินิกเสริมความงาม โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแล ต่างเปรียบเสมือนการออกกำลังกาย ยิ่งเราออกกำลังกายเร็ว เราก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงเร็วกว่าคนที่ออกกำลังกายทีหลังเรา หรือคนที่ไม่ออกกำลังกายเลยเป็นต้น ดังนั้น หากเราเริ่มดูแลผิวเร็ว ผิวเราก็จะได้รับการบำรุงให้แข็งแรงสดใสมากขึ้นเร็วเท่านั้น"



ด้าน กวาง เดอะเฟซ เผยเทคนิคการดูแลผิวของตัวเองให้สวยอยู่เสมอแม้ใช้ไลฟ์สไตล์อย่างเต็มที่ว่า "กวางบ้าการดูแลผิวมาก ปัญหาผิวของกวางที่กวนใจตัวเองมากๆ คือ รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะทำให้หน้าเรามันและดูแก่ ไม่สดชื่น ทำอย่างไรก็ไม่หาย"

ทั้งนี้ คุณหมอและกวางยังได้เผย 5 เคล็ดลับและวิธีดูแลปัญหาผิว ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ดังนี้



1. จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ไม่ใช่แค่จิตใจที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา ยังส่งผลต่อความงาม โดยเฉพาะ เรื่องของผิวพรรณอีกด้วย หากสภาพจิตใจเราแย่หรือเวลาที่เราเครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารที่ส่งผลเสียต่อผิวออกมา ทำให้ผิวดูหม่นหมอง ขาดความสมดุล ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวหรือผื่นแพ้ หรืออาจเกิดริ้วรอยขึ้นได้ เช่นเดียวกับเวลาที่เราสดชื่น ร่างกายก็จะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ทำให้ใบหน้าและผิวดูอวบอิ่ม สดใสและแสดงให้เห็นว่าเรากำลังมีความสุข และยิ่งผิวหนัง เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย เป็นสิ่งแรกที่คนจะสังเกตเห็นได้มากที่สุด ดังนั้น หากเรามีจิตใจที่แจ่มใสย่อมมีผลต่อสภาพผิวให้สดใสจากภายในสู่ภายนอกอยู่เสมอ



2. บำรุงผิวอย่างล้ำลึก ด้วย MASK การมาส์กหน้า เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยดูแลและบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า มาส์ก ไม่ได้มีดีแค่ส่วนผสมที่เข้มข้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผิวซึมซับเนื้อครีมจากมาส์กได้ดีขึ้น และมากกว่าการทาครีมบำรุงผิวในขั้นตอนแบบปกติ ซึ่งจะช่วยให้เห็นประสิทธิภาพในการบำรุงผิวได้สูง โดยความถี่ในการมาส์กหน้าก็ขึ้นอยู่กับประเภทของมาส์กที่เราใช้ด้วย แต่โดยทั่วไปจะแนะนำให้มาส์กสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งเกินไป

3. รูขุมขนกว้างกวนใจ แก้อย่างไรก็ไม่หาย เกิดจาก 3 สาเหตุหลักคือ ต่อมไขมันใหญ่ ทำให้รูขุมขนซึ่งเป็นท่อทางออกของน้ำมันที่เราสร้างขึ้นมีขนาดใหญ่ไปด้วย หรือช่วงอายุที่มากขึ้น ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น และอาจเกิดจากพฤติกรรมที่เราทำบางอย่างกับผิวหน้าอย่างผิดวิธี เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม มีความรุนแรงของกรดหรือด่างมากเกินไป หรือการกระทำอะไรกับผิวหน้าที่รุนแรง ก็ล้วนส่งผลให้เกิดรูขุมขนกว้าง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยกระชับรูขุมขน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี



4. ผิวแห้งทำง่าย แต่ผิวอิ่มฟูทำยาก หลักๆ คือต้องทำให้ผิวหน้ามีความบาลานซ์และอิ่มน้ำที่เพียงพอ ตัวช่วยช่วงนี้ของหลายคนคงหนีไม่พ้นการบำรุงด้วยครีมหรือเซรัม แต่ต้องอย่าลืมทานน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ เน้นการทานอาหารหรือวิตามินเสริมที่มีวิตามินซีและคอลลาเจน ก็สามารถช่วยได้



5. โดนแดดบ่อยแล้วผิวแก่เร็ว ใครที่เป็นสายเที่ยวทะเล อาบแดด หรือต้องโดนแดดบ่อยๆในชีวิตประจำวัน ต้องระวัง! เนื่องจากแสงแดด เป็นตัวทำลายสิ่งที่สำคัญของผิว อย่าง คอลลาเจน ซึ่งอาจทำให้หลายคนที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเที่ยวและต้องโดดแดดบ่อยๆ อาจทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และยิ่งช่วงอายุมากขึ้น คอลลาเจนก็ยิ่งหายด้วยเช่นกัน
#3712


"ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ" กรรมการผู้บริหารและหัวหน้าส่วนงานพื้นที่พาณิชยกรรม บริษัทไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์ว่าเจ้าของอาคารจะยอมโอนอ่อนต่อแรงกดดัน "ขาลง" และลดราคาเช่าลงเพื่อให้มีคนมาเช่าพื้นที่ แม้ว่าการคาดการณ์นี้จะถูกต้อง แต่ก็เป็นไปได้ที่ "ราคาขั้นต่ำ" (price floor) อาจเกิดขึ้น ซึ่งหมายความว่าหากเจ้าของอาคารเห็นว่าการลดราคาเช่าจำกัดประสิทธิภาพการพัฒนาพื้นที่ให้เช่า พวกเขาอาจเลือกใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างออกไป หากนี่เป็นแนวโน้มทั่วทั้งตลาดอาคารสำนักงาน

" เราอาจเห็นอัตราการเติบโตของค่าเช่าคงที่มากกว่าที่จะเป็นเชิงลบ สำหรับอาคารหลายแห่งที่มีราคาเช่าคงที่ เจ้าของอาคารกำลังรับมือกับภาวะตลาดชะลอตัวโดยเสนอสิ่งจูงใจทั้งค่าเช่าและสิ่งจูงใจที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น เพิ่มความยืดหยุ่นในการเจรจาต่อรองและเงื่อนไขการเช่า ระยะเวลายกเว้นค่าเช่าที่นานขึ้น ซึ่งส่งผลให้อัตราค่าเช่าที่แท้จริงสุทธิลดลง หากอุปทานยังคงแซงหน้าอุปสงค์ อัตราการเติบโตของค่าเช่าที่แท้จริงต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มที่จะติดลบต่อไป "


  หลังเกิดวิกฤติโลกระบาดแนวโน้มการทำงานทางไกลเริ่มเด่นชัดมากขึ้นหลังการระบาดของโควิดระลอกที่ 3 ที่มากขึ้นและแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น ล่าสุดรัฐบาลได้สั่งล็อกดาวน์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ คาดว่า  80% ของพนักงานในบริษัทที่ต้องการพื้นที่สำนักงานกำลังทำงานจากที่บ้าน (work from home) ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าในไตรมาสแรก ทำให้บริษัทส่วนใหญ่ที่นำนโยบายการทำงานระยะไกลมาใช้ ฉะนั้นสถานที่ทำงานในอนาคตจะเป็นการผสมผสานระหว่างพื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐาน(core)กับพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่น(flex)และการทำงานทางไกล 
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีความท้าทายสำหรับเจ้าของอาคารในตลาดอาคารสำนักงาน นโยบายและแนวทางที่"ปรับตัว" เพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยมีโอกาสความเป็นไปได้ที่เจ้าของอาคารสามารถปรับเปลี่ยนหรือสร้างพื้นที่ให้เหมาะกับความต้องการที่เปลี่ยนไป เพื่อให้มีผู้เช่าเข้ามาใช้พื้นที่ของตน


" เราเริ่มเห็นเจ้าของอาคารสำนักงานในตลาดบางส่วนปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงล่าสุดด้วยการการแบ่งปันผลกำไร (Profit Sharing)ระหว่างผู้ประกอบการ กับโคเวิร์กกิ้งสเปซ  เพราะปัจจุบันสำนักงานเป็นมากกว่าพื้นที่ทางกายภาพที่กำหนดไว้สำหรับการทำงาน จึงต้องมีความยืดหยุ่น เพื่อการรักษาพนักงานที่มีความสามารถ" 

  สถานการณ์โควิด ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาดสำนักงานในกรุงเทพฯ เนื่องจาก หลายบริษัทขยายนโยบายการทำงานจากที่บ้าน( work from home) ไปสู่ระดับต่างๆ โดยบริษัทต่างชาติมีนโยบายที่มากกว่าบริษัทไทย บริษัทส่วนใหญ่ยังคงลังเลที่จะเดินหน้าตามแผนการย้ายเข้าสู่พื้นที่สำนักงาน เนื่องจากสภาวะธุรกิจที่ไม่แน่นอน และกำหนดการการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนที่ยังไม่มีความชัดเจน

อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีการเคลื่อนไหวของตลาดที่สำคัญอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากบริษัทอีคอมเมิร์ซ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี และสุขอนามัย ซึ่งยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการใช้พื้นที่สำนักงานมากขึ้น เจ้าของอาคารสำนักงานที่เปลี่ยนตำแหน่งทางการตลาด (reposition) และปรับกลยุทธ์การปล่อยเช่าได้อย่างเหมาะสมและรวดเร็วจะได้รับประโยชน์เหนือผู้ที่ยังไม่เริ่มเปลี่ยนแปลง

โดยช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบ โคเวิร์กกิ้งสเปซ กลายเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อน" ดีมานด์" ที่โดดเด่น โดยมีการทำข้อตกลงแบ่งปันผลกำไรกับเจ้าของอาคาร (profit sharing) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถ "ลดต้นทุน"ล่วงหน้าที่จำเป็นในการจัดการพื้นที่ได้อย่างมาก ก่อนหน้านี้โมเดลนี้ยังไม่ได้นำมาใช้ในวงกว้างและไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของอาคารส่วนใหญ่มากนัก เพราะยังคงค้นเคยกับการให้บริการพื้นที่แบบ "ดั้งเดิม" โดยอ้างว่าขาดความเชี่ยวชาญหรือต้องการลงทุนสร้างสินทรัพย์ระยะยาวในโคเวิร์กกิ้งสเปซ  

" ตอนนี้เจ้าของอาคารจำนวนมากได้ทำข้อตกลงในโครงการ โคเวิร์กกิ้งสเปซ  เพื่อแบ่งปันผลกำไร โดยเลือกที่จะรับความเสี่ยงในการลงทุนเพื่อแลกกับรายได้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แทนที่จะปล่อยให้มีพื้นที่ว่างเหลืออยู่โดยไม่ได้ใช้งาน "  

  อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่าจะมีพื้นที่สำนักงานเข้าสู่ตลาดเพิ่มอีก 175,800 ตร.ม.  เนื่องจากมีโครงการใหม่ 9 แห่งสร้างแล้วเสร็จ ประมาณ 60% ของอุปทานใหม่คาดไว้ว่าจะอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีอุปทานใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 157,000 ตร.ม.ในแต่ละปีหากการเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ถึง 2569 เป็นไปตามแผนที่วางไว้ อุปทานของตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯจะเติบโตรวม 1.67 ล้านตารางเมตร หรือเฉลี่ย 302,000 ตร.ม. ต่อปี
#3713


นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางการค้าไทย-ไห่หนาน ระหว่างนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับนายเฉิน ซี อธิบดีกรมพาณิชย์ไห่หนาน ผ่านระบบทางไกล ที่กระทรวงพาณิชย์ ว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็น Mini-FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับมณฑลในประเทศจีน ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ไว้กับกระทรวงพาณิชย์ว่าให้ทำความตกลงการค้าฉบับเล็ก หรือจะเรียกว่า Mini-FTA ก็ได้ โดยทำกับรัฐต่างๆ ที่บางรัฐมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าหรือมีจำนวนประชากรมากกว่าประเทศไทย โดยไห่หนานเป็นตัวอย่างแรกที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน และยังมีแผนที่จะเดินหน้าทำกับมณฑลอื่นๆ ของจีนเพิ่มขึ้น เช่น มณฑลกานซู ที่มีชาวมุสลิมอยู่มาก เพื่อเป็นลู่ทางในการส่งเสริมการค้าสินค้าฮาลาลของไทย รวมถึงมณฑลอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นโอกาส

สำหรับเนื้อหาความร่วมมือประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้าระหว่างกัน 2. ด้านการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการค้า ด้านสินค้า ด้านนวัตกรรม และการตลาด รวมทั้งการส่งเสริมการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าระหว่างกันเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้า 3. ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างกัน เช่น การเดินทางของนักธุรกิจ การจัดประชุมสัมมนาร่วมกันเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างกัน 4. ด้านการมุ่งขยายมูลค่าการค้าใน 3 สินค้าหลัก ประกอบด้วย สินค้าทางด้านการเกษตร สินค้าอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม 5. ความร่วมมือด้านอีคอมเมิร์ซ เช่น การส่งเสริมการค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ของจีนและไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มการค้าจากปี 2563 ที่มีมูลค่า 9,233 ล้านบาท เพิ่มเป็น 12,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี และความตกลงนี้จะมีผลเป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 2564 ถึงวันที่ 20 ส.ค. 2566

โดยตัวอย่างกิจกรรมที่จะทำร่วมกันจากนี้ไป เช่น เดือน พ.ย.-ธ.ค. 2564 จะมีการจัดงานจับคู่เจรจาการค้าออนไลน์ระหว่างไทย-ไห่หนานเพื่อเพิ่มโอกาสในการค้า การจัดงานแสดงสินค้า THAIFEX ที่ไทยจะเชิญผู้ประกอบการจากไห่หนานมาร่วมด้วย การจัดงานบางกอก เจมส์ ที่ตั้งเป้าเชิญนักธุรกิจไห่หนานมาร่วมด้วยเช่นเดียวกัน รวมถึงการจัดงานไห่หนาน เอ็กซ์โป ซึ่งไทยจะเชิญชวนนักธุรกิจของไทยเข้าไปร่วมงานนี้ด้วย

นอกจากนี้ ไทยยังได้เตรียมการทำ Mini FTA กับรัฐเตลังคานา ของอินเดีย ซึ่งขณะนี้เจรจาครบถ้วนแล้ว เหลือแค่การแก้ไขเอกสารต่างๆ ตามขั้นตอน และกำลังดำเนินการกับจังหวัดคยองกี สาธารณรัฐเกาหลี ที่เป็นอีกเป้าหมายที่จะเร่งดำเนินการ รวมทั้งได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ทั่วโลกได้ประสานกับมณฑล เมืองสำคัญๆ ที่เห็นว่าจะเป็นโอกาสทางการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับไทยเพื่อทำ Mini FTA เพิ่มขึ้น

นายเฝิง เฟย ผู้ว่าการมณฑลไห่หนาน กล่าวผ่านระบบทางไกลว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการลงนามครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในการสร้างกลไกความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน ต่อจากนี้เป็นการขยายความร่วมมือระหว่างมณฑลไห่หนานกับประเทศไทย ทั้งทางด้านธุรกิจการค้า อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว วัฒนธรรมและสังคม เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายจะร่วมแบ่งปันโอกาสใหม่ๆ แสวงหาการพัฒนาใหม่ในอนาคตร่วมกัน และขอบพระคุณนายจุรินทร์ ที่มีความใส่ใจและสนับสนุนการก่อสร้างท่าเรือการค้าเสรีไห่หนาน และขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยมาท่องเที่ยวและร่วมลงทุนพัฒนาธุรกิจที่มณฑลไห่หนาน

การลงนามในครั้งนี้มี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายหนี เฉียง รองผู้ว่าการมณฑลไห่หนานและเลขาธิการรัฐบาลมณฑลไห่หนาน นายซุน ซื่อเหวิน รองเลขาธิการรัฐบาลมณฑลไห่หนาน ประธานหอการค้าไทย-จีน นายกสมาคมใหหนำแห่งประเทศไทย นายกสมาคมการค้าไทย-ไหหลำ และมีทูตพาณิชย์ทั่วโลก และพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด ร่วมงานผ่านระบบประชุมทางไกล
#3714


นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิตของธุรกิจขวดแก้ว ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัท รวมถึงเพื่อใช้ในการลงทุนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่บริษัทมุ่งเติบโตในระยะต่อจากนี้แบ่งเป็นการก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ภายในโรงงานจังหวัดราชบุรี มูลค่าราว 1,600-1,800 ล้านบาท และ การขยายกำลังการผลิตในโรงงานจังหวัดปราจีนบุรี มูลค่าราว 700 ล้านบาท

โดยคาดว่าทั้ง 2 โรงงานจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 ก่อนจะเริ่มเดินเครื่องในช่วงต้นปี 2566 ซึ่งจะหนุนให้กำลังการผลิตขวดแก้วของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3,935 ตันต่อวัน จากปัจจุบันที่ 3,495 ตันต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นราว 12% ส่วนงบลงทุนอีกราว 180 ล้านบาท จะใช้ในการขยายกำลังการผลิตถุงบรรจุภัณฑ์ชนิดอ่อน กำลังการสูงสุด 50 ล้านเมตรต่อปี ผ่านบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (BGP) ที่เป็นบริษัทย่อย โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างวันที่ 1 ม.ค.2565 ก่อนจะเริ่มเดินเครื่องทดสอบช่วงปลายปี และเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน เม.ย.2566

ทั้งนี้ การลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นการต่อยอดจากที่บริษัทเข้าซื้อ BGP ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก และขวด PET หลอดพรีฟอร์ม รวมถึงเข้าซื้อ บริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด (BVP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ โดยเริ่มรับรู้รายได้ครั้งแรกในเดือน เม.ย.2564 ที่ผ่านมา และเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายระยะ 5 ปีของบริษัท (2564-2568) ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ให้มาอยู่ที่ 50% จากปัจจุบันรายได้ธุรกิจแก้วอยู่ที่ 83.1% บรรจุภัณฑ์อื่นๆ 12.8% และพลังงาน 4.1%

สำหรับแผนการดำเนินในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 บริษัทตั้งเป้าหมายขยายการส่งออกให้เพิ่มขึ้นแตะ 10% ของยอดขายภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 7% ลดลงจากในอดีต โดยเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กดดันความต้องการใช้ในตลาดต่างประเทศ และสถานการณ์การเมืองในเมียนมา อย่างไรก็ดี บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ผ่านการกระตุ้นยอดขายในสหรัฐเพิ่มเติม ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) จากการสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ 15-16%

ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดที่ส่งออกสูงสุดเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ กลุ่มประเทศรอบบ้าน (CLMV) 62% ประเทศสหรัฐ 28% กลุ่มประเทศยุโรป 5% และกลุ่มประเทศโอเชียเนีย 4%


ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 11% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปี 2564 ภายใต้เงื่อนไขที่สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันไม่มีความรุนแรงไปมากกว่านี้ และตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2564 แตะ 1.35 หมื่นล้านบาท โดยมาจากธุรกิจขวดแก้ว 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท กลับไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ส่วนที่เหลือมาจากการรับรู้รายได้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และคาดว่ากำไรจะเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะถูกกดดันจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น

นายศิลปรัตน์ กล่าวว่า บริษัทยังเดินหน้าศึกษาการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง โดยมีการพูดคุยในไปป์ไลน์อยู่หลายราย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่สามารถต่อยอดกับขวดแก้วของบริษัทได้ เพื่อสร้างโซลูชั่นและบริการที่ครบวงจรแก่ลูกค้า อย่างไรก็ดี คาดดีลการซื้อขายแรกจะยังไม่แล้วเสร็จภายในปี 2564 เนื่องจากมีอุปสรรคจากการระบาของโควิด-19
#3715


การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง รายการ "เจแปนีส กรังปรีซ์" ถูกยกเลิกเรียบร้อยแล้ว หลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อ โควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น ที่ประเทศญี่ปุ่น

ฟอร์มูลา วัน คาดหวังว่า จะประลองความเร็วต่อเนื่อง ที่สนาม ซูซูกะ เซอร์กิต วันที่ 10 ตุลาคม อย่างไรก็ตาม ออร์แกไนเซอร์ คอนเฟิร์มช่วงเช้าวันพุธ (18 ส.ค.) จะถอดเรซนี้ออกจากปฏิทิน

ความเคลื่อนไหวนี้ เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ นับตั้งแต่ โอลิมปิกฤดูร้อน ที่กรุงโตเกียว สิ้นสุดลง และ 6 วัน ก่อนเปิดการแข่งขันกีฬาคนพิการ พาราลิมปิก เกมส์

"เอฟวัน (F1)" คลอดแถลงการณ์ "หลังการหารือกับผู้จัด และหน่วยงานต่างๆ รัฐบาลญี่ปุ่น ตัดสินใจว่า จะยกเลิกการแข่งขันฤดูกาลนี้ เนื่องจากสถานการณ์วิกฤติของโรคระบาดในประเทศ"

"ตอนนี้ ฟอร์มูลา วัน กำลังดำเนินงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงปฏิทินการแข่งขัน และจะประกาศให้ทราบภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า"

"ฟอร์มูลา วัน พิสูจน์แล้วทั้งปีนี้ และปี 2020 ว่า เราสามารถปรับตัวและหาทางออกกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และตื่นเต้นกับความสนใจที่จะเป็นเจ้าภาพ ฟอร์มูลา วัน ฤดูกาลนี้และต่อไป"

นับเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งการประลองความเร็ว ที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจาก โควิด-19 และถูกยกเลิกลำดับที่ 5 ต่อจาก ออสเตรเลีย, จีน, แคนาดา และ สิงคโปร์

วันอังคารที่ผ่านมา (17 ส.ค.) ญี่ปุ่น ประกาศขยายสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่กรุงโตเกียว และภูมิภาค่อื่นๆ รวมถึงมาตรการใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อรับมือปัญหาผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น

สถานการณ์ฉุกเฉินต่อต้าน โรคระบาดระลอก 4 เดิมสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม แต่จะยืดระยะเวลาบังคับใช้ถึง วันที่ 12 กันยายน

โตเกียว แจ้งจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 4,337 คน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังทำสถิติสูงสุด 5,773 คน วันศุกร์ที่แล้ว (13 ส.ค.)
#3716


ตามที่ได้มีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา ให้ประชาชนสามารถใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถวินิจฉัย รักษา และป้องกันที่เหมาะสมโดยเร็ว ทำให้เกิดความต้องการอุปกรณ์ดังกล่าวมาใช้ทดสอบด้วยตัวเองอย่างแพร่หลายนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดเสวนาออนไลน์แนะวิธีใช้ชุดตรวจ COVID-19 เบื้องต้นด้วยตัวเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงในการสัมผัสต่อโรค ย้ำให้กำจัดชุดตรวจที่ใช้แล้วด้วยจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

อ.ดร.ทนพ.เมธี ศรีประพันธ์ อาจารย์นักเทคนิคการแพทย์ ประจำภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงวิธีการตรวจยืนยันการติดโรค COVID-19 ในปัจจุบันว่า ยังคงเป็นวิธี RT-PCR ซึ่งข้อดีของการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ตรวจคัดกรอง COVID-19 ที่ประชาชนทั่วไปสามารถหาซื้อมาตรวจได้ด้วยตัวเองนั้น คือ จะช่วยในการแยก หรือคัดกรองผู้ที่มีผลบวกเบื้องต้น หรือกลุ่มเสี่ยงให้เข้ารับการรักษา หรือดูแลในระบบสาธารณสุขให้เร็วขึ้น ทั้งนี้ หากผู้ตรวจมีความจำเป็นต้องใช้หลักฐานการตรวจที่รับรองโดยแพทย์ จะต้องไปตรวจในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลเท่านั้น ซึ่งสำหรับผู้ที่ยังไม่มีความเสี่ยงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจ และหากจำเป็นต้องตรวจเมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และซื้อจากสถานพยาบาล คลินิกเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ และร้านยาที่มีเภสัชกรคอยให้คำปรึกษาเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อเองผ่านทางออนไลน์ ตลาดนัด หรือผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์

ซึ่งตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) แห่งสหประชาชาติ ข้อที่ 6 ที่ว่าด้วยน้ำและระบบสุขาภิบาลสะอาด (Clean Water and Sanitation) ควรใช้ชุดตรวจ COVID-19 ด้วยจิตสำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 โดยผู้ตรวจจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่การเลือกชุดตรวจที่ผ่านการรับรองคุณภาพ การเก็บและเตรียมตัวอย่างตรวจ การใช้งานชุดตรวจ การอ่านและแปลผล รวมถึงการกำจัดชุดตรวจที่ใช้งานแล้ว ซึ่งการเก็บตัวอย่างตรวจ ไม่ว่าจะเป็นการแหย่จมูก (swab) โดยใช้ก้านสำลีที่ให้มากับชุดตรวจ สอดเข้าไปในรูจมูกเพื่อเก็บตัวอย่าง หรือการเก็บตัวอย่างตรวจโดยใช้น้ำลาย รวมถึงการดำเนินการตรวจนั้น ควรทำด้วยตัวเอง ในพื้นที่ที่แยกจากบริเวณอื่น และควรทำตามขั้นตอน หรือคำแนะนำในเอกสารประกอบชุดตรวจ หรือ VDO Clip ของชุดตรวจแต่ละยี่ห้อ ซึ่งสามารถสแกนได้จาก QR Code ที่แนบมากับผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด ซึ่งการเพิ่มหรือลดขั้นตอนเอง อาจทำให้ผลการตรวจผิดพลาดได้ ภายหลังการตรวจและอ่านผลแล้วให้ทิ้งชุดตรวจ รวมถึงอุปกรณ์ทั้งหมดในถุงพลาสติกที่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยควรซ้อนถุง 2 ชั้น และรัดปากถุงให้แน่นก่อนทิ้ง รวมถึงเขียนข้อความติดไว้ด้วยว่า "ชุดตรวจ COVID-19 ใส่น้ำยาแล้ว" จากนั้น จึงนำไปทิ้งในถังขยะติดเชื้อ (ถังสีแดง) เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น แต่ถ้าไม่มี สามารถอนุโลมให้ใส่ถังขยะทั่วไปได้

ส่วนวิธีการแปลผลตรวจนั้นก็สามารถศึกษาจาก VDO Clip ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งผลการตรวจที่เป็นบวกจะมีแถบสีขึ้นทั้งที่ C และ T ในขณะที่ผลการตรวจที่เป็นลบจะมีแถบสีขึ้นที่ C ด้านเดียว นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงหากตรวจแล้วได้ผลลบ ให้เว้นช่วงและรักษาระยะห่าง รวมถึงกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน นับจากวันที่มีความเสี่ยง หรือสัมผัสผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้ จะต้องตรวจซ้ำเป็นระยะๆ เช่น ทุก 3 - 5 วัน จนครบเวลากักตัว อย่างไรก็ตามหากผลตรวจขึ้นแถบสีที่ T ด้านเดียว หรือไม่มีแถบสีใดขึ้นเลย จะไม่สามารถอ่านและแปลผลได้ ต้องตรวจซ้ำ หรือเปลี่ยนชุดตรวจใหม่

ชุดตรวจ ATK สำหรับตรวจคัดกรองด้วยตัวเองมีจำหน่ายที่ สถานปฏิบัติการเภสัชชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ เปิดทำการทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร.0-2644-4609
#3717


นางพรนิจ ตุลย์วัฒนจิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)เปิดเผยว่า ธนาคารได้เข้าร่วมให้บริการเป็นธนาคารแรก และทำหน้าที่เป็น Settlement Bank (ธนาคารที่รับผิดชอบการชำระดุลสำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศ) ในการให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่างประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยบริการ Cross-Border QR Payment เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ธนาคารกลางประเทศอินโดนีเซีย (Bank Indonesia) เพื่อให้บริการ Cross-Border QR Payment ระหว่าง 2 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเติมเต็มโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระหว่างประเทศให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้ง Ecosystem ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งภูมิภาคด้วยการส่งเสริมที่ดีจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้กำกับดูแลธุรกิจสถาบันการเงินในประเทศไทย ขณะเดียวกันนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่ใช้ QR Code ในการชำระค่าสินค้าและบริการ ช่วยอำนวยความสะดวก สร้างประสบการณ์ที่ดี และช่วยลดต้นทุนทางการเงินระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ภายใต้การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดังกล่าว ลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking สแกนเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงลูกค้าของธนาคารในประเทศอินโดนีเซียที่เข้าร่วมบริการ เช่น Permata Bank เป็นต้น สามารถชำระค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกและปลอดภัยเช่นกัน ทั้งยังลดความยุ่งยากในการแปลงสกุลเงิน เนื่องจากลูกค้าจะชำระเป็นเป็นสกุลเงินของประเทศตัวเองและร้านค้ารับเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศตัวเองเช่นกัน นอกจากนี้ลูกค้าผู้ชำระเงินจะได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าการชำระด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิต

สำหรับระบบ QR Payment ถือเป็นรูปแบบการชำระเงินที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางและเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับชำระเงินของร้านค้าต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากสามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจร้านค้าช่วยให้ไม่พลาดโอกาสการขายกรณีที่ลูกค้าอาจไม่ได้พกเงินสดไว้เพียงพอต่อการซื้อสินค้า ขณะที่ผู้บริโภคคุ้นชินในความสะดวกสบายของการทำธุรกรรมผ่าน QR Code เพิ่มมากขึ้น เพราะมีร้านค้าที่พร้อมให้บริการเป็นจำนวนมาก และช่วยลดการสัมผัสเงินสดซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อีกด้วย โดยในประเทศไทยมีปริมาณธุรกรรมผ่าน Thai QR Payment ในปี 2563 มากถึง 13.39 ล้านรายการซึ่งเติบโตขึ้นจากปี 2562 ถึง 49.14%

นางพรนิจ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปัจจุบัน อาจยังเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเดินทางท่องเที่ยวหรือติดต่อธุรกิจ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ดังนั้น บริการ Cross-Border QR Payment อาจจะตอบโจทย์ความต้องการใช้งานได้เฉพาะกลุ่ม เช่น ชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือชาวไทยที่ทำงานในอินโดนีเซีย รวมถึงกรณีการสั่งซื้อสินค้าข้ามประเทศผ่านระบบออนไลน์ อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง คาดว่าการเดินทางและการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคจะเริ่มฟื้นตัวกลับมา โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญหรือเมืองเศรษฐกิจ และเชื่อมั่นว่าบริการ Cross-Border QR Payment จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรม New Normal ที่ลดการสัมผัสสิ่งของต่างๆ และหันมาทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น

"การให้บริการ Cross-Border QR Payment สำหรับประเทศไทยและประเทศอินโดนิเซียในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการพัฒนาการให้บริการ Cross-Border QR Payment ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของธนาคารอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ได้ริเริ่มการให้บริการสำหรับประเทศไทยและเวียดนาม ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกรุงเทพในฐานะ "เพื่อนคู่คิด" ที่พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านระบบการชำระเงินข้ามประเทศในระดับภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการทำธุรกรรมชำระเงินให้แก่ลูกค้า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการเป็น "ธนาคารผู้นำระดับภูมิภาค" อีกด้วย" นางพรนิจ กล่าว
#3718


ดัชนี'ดาวโจนส์'ปิดวันจันทร์ (16ส.ค.)ทะยาน 110 จุด โดยดัชนีดาวโจนส์และเอสแอนด์พี500 ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ขณะนักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่และข้อมูลทางเศรษฐกิจสำคัญที่จะทะยอยเผยแพร่ในสัปดาห์นี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 110.02 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 35,625.40 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 11.71 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 4,479.71 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 29.14 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 14,793.76 จุด


อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจเรือสำราญและกลุ่มสายการบิน ต่างร่วงลงในวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและการเงินปรับตัวลงเช่นกัน

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทถูกกดดัน หลังจากที่จีนเปิดเผยยอดค้าปลีกชะลอตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้


ทั้งนี้ จีนเปิดเผยว่ายอดค้าปลีกในเดือนก.ค.ขยายตัวเพียง 8.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 11.5% และต่ำกว่าระดับ 12.1% ของเดือนมิ.ย.

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) ระบุว่า เศรษฐกิจจีนยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งภัยพิบัติจากน้ำท่วม ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไร้เสถียรภาพ


นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีในการประชุมดังกล่าว
#3719


นายศิรัตน์ รัตนไพฑูรย์ ผู้บริหารบริษัท วาว แฟคเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ W และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัท โดมิโน่ เอเซีย แปซิฟิค จำกัด (DOMINO'S PIZZA) บริษัทในเครือ เผยถึงผลประกอบการงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 ของกลุ่ม W ว่า รายได้รวมสำหรับงวดหกเดือนเท่ากับ 183.79 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 39.07 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้ของธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์หายไปทั้งจำนวนที่ 149.35 ล้านบาท ภายหลังจากการขาย EIC SEMI ในเดือน ต.ค.2563 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารายได้รวมที่ลดลงเกิดจากในปีนี้ไม่มีรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิกส์

แต่รายได้ของกลุ่มธุรกิจอาหารเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกล่าวคือ กลุ่ม Food Holding (ภายใต้แบรนด์ Kagonoya, กลุ่มขนม BAKE และ Le Boeuf) ยอดขาย 116.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 42.94 ล้านบาท ส่วน DOMINO'S PIZZA ยอดขาย 67.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.60 ล้านบาท (เทียบกับรายได้งวดเดียวกันของปีก่อนภายใต้เจ้าของเดิม)


อย่างไรก็ดี นายศิรัตน์ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงรายได้ไตรมาส 2 ปี 2564 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 ว่า หากพิจารณาเฉพาะไตรมาส 2 รายได้รวมของกลุ่ม W มีมูลค่าเท่ากับ 87.78 ล้านบาท ลดลง 8.23 ล้านบาท เนื่องจากแบรนด์ของกลุ่ม Food Holding ยอดขายมีการชะลอตัวจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มกลับมาระบาดตั้งแต่ต้นปีและทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และรัฐมีการประกาศจำกัดการขายในศูนย์การค้า ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคต่อสินค้าพรีเมี่ยมลดลง แต่ยอดขายของ DOMINO'S PIZZA กลับโตสวนทางอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือรายได้เท่ากับ 40.06 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ 12.78 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับ 46.83%


"แม้ว่าจะมีปัจจัยจากโควิด-19 ที่เป็นปัจจัยเชิงลบต่อธุรกิจอาหารมาตลอดช่วงหกเดือนแรกของปี 64 แต่ร้านอาหารทุกแบรนด์ภายใต้เครือ W ก็ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของธุรกิจรวมถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ และฐานลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DOMINO'S PIZZA ซึ่งเป็นเรือธงของ W ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นสินค้าที่เหมาะกับการขายผ่านช่องทาง Delivery รวดเร็ว-สดใหม่-คุณภาพเหมือนต้นตำรับ ทั้งนี้เรายังคงแผนการที่จะขยายสาขาให้กระจายมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีการเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย"
#3720


บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ AQUA แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส2ปี 2564 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 11.33 ล้านบาท ลดลง 10.94%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 22.26 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทมีรายได้รวม 206.57 ล้านบาท ลดลง10.44% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท เพราะ รายได้อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนลดลง18%

ทั้งนี้เหตุผลหลักจากการบอกเลิกสัญญาเช่ากบั The Cabin และให้ส่งคืนพื้นที่โครงการทั้งหมด บริษัทย่อยหยุดรับรู้รายได้ตั้งแต่ พ.ย. 2563 เป็นต้นไป ส่วนคลังสินค้าให้เช่าและบริการของ TCDC รายไดเ้พิ่มขึ้นตามสัญญาเช่าระยะยาว


รวมถึรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป( EP)ลดลง 66.40% เพราะ ธุรกิจพลังงานมีรายได้ลดลงจากการจำหน่ายโครงการผลิตไฟฟ้าไปหลายโครงการในปี2563 และมีการบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ เกิดขึ้นในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามEP จะรับรู้รายได้จากธุรกิจพลังงานจากการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของSSUT ในไตรมาสที่3ปี 2564 และคาดว่าในไตรมาสที่4ปี 2564 โครงการพลังงานลมที่ประเทศเวียดนามจะเริ่มCOD เริ่มรับรู้รายได้แล้ว