• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - fairya

#3781


ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ยังร่วงลงต่อเนื่อง จากแรงกดดันสถานการณ์โควิด -19 ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ เสียชีวิตขยับขึ้นสูง การฉีดวัคซีนยังล่าช้า การบังคับใช้มาตราการเข้มข้นยังคงมีต่อเนื่อง ทำให้หุ้นหลายกลุ่มทรุดหนัก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่หลายตัวทำราคา NEW LOW ในรอบปี 64 และอีกหลายตัวทำราคาลงมาใกล้เคียงกับ NEW LOW ในปี 63 อีกด้วย

1.PTT (บมจ.ปตท.) มาร์เกตแคป 992,564 ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค. 64 ราคาปิด 34.75 บาท ทำ NEW LOW ในรอบปี 64 ซึ่งในปีนี้เคยทำราคาสูงสุดระหว่างวันถึง 45.00 บาท ก่อนจะไปปิดที่ 44.50 บาทในวันที่ 13 ม.ค.64 และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 23.20 บาท แล้วไปปิดที่ 28.00 บาท (13 มี.ค.63) ส่วนสูงสุดทำได้ 47.75 บาท ก่อนปิดที่ 46.75 บาท (8 ม.ค.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค. 64 ปิด 34.75 บาท เหลืออัพไซด์ 41.73% จากราคาเป้าหมาย 49.25 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบทุกช่วงเวลา โดย 5 วัน -3.47%, 20 วัน -11.46%, 60 วัน -13.12%, 120 วัน -7.95%, และ YTD -18.24%

2.OR (บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก) มาร์เกตแคป 333,000ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค. 64 ราคาปิด 27.75 บาท ทำ NEW LOW ในรอบปี 64 ซึ่งในปีนี้ เคยทำราคาสูงสุดระหว่างวันถึง 36.50 บาท ก่อนจะไปปิดที่ 34.00 บาทในวันที่ 15 ก.พ.64

ราคาล่าสุด 30 ก.ค. 64 ปิด 27.75 บาท เหลืออัพไซด์ 3.42% จากราคาเป้าหมาย 28.70 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน -2.63%, 20 วัน -9.02%, 60 วัน -9.02% ส่วนถ้าเทียบจากราคา IPO ที่ 18.00 บาท ล่าสุด 27.75 บาท บวก 9.75 บาท หรือ +54.17%

3.TOP (บมจ.ไทยออยล์) มาร์เกตแคป 89,761 ล้านบาท ล่าสุด (30 ก.ค. 64) ราคาระหว่างวันต่ำสุด 42.50 บาท ทำ NEW LOW ในรอบปี 64 ก่อนจะดีดขึ้นเล็กๆ ปิดที่ 44.00 บาท ซึ่งในปีนี้ทำราคาสูงสุดระหว่างวันถึง 66.00 บาท ก่อนจะไปปิดที่ 64.25 บาท ในวันที่ 8 มี.ค.64 และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 25.25 บาท แล้วไปปิดที่ 27.50 บาท (19 มี.ค.63) ส่วนสูงสุดทำได้ 73.50 บาท ก่อนปิดที่ 70.00 บาท (6 ม.ค.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค. 64 ปิด 44.00 บาท เหลืออัพไซด์ 44.32% จากราคาเป้าหมาย 63.50 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน -6.88%, 20 วัน -19.27%, 60 วัน -25.74%,120 วัน -19.27%, YTD -15.38%

4.BGRIM (บมจ.บี.กริม เพาเวอร์) มาร์เกตแคป 102,972 ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค. 64 ราคาระหว่างวันต่ำสุด 39.00 บาท ทำ NEW LOW ในรอบปี 64ก่อนจะดีดขึ้นเล็กๆ ปิดที่ 39.50 บาท ซึ่งในปีนี้ทำราคาสูงสุดระหว่างวัน 56.00 บาท ก่อนจะไปปิดที่ 55.25 บาทในวันที่ 13 ม.ค.64 และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 27.25 บาท แล้วไปปิดที่ 36.25 บาท (13 มี.ค.63) ส่วนสูงสุดทำได้ 69.25 บาท ก่อนปิดที่ 65.00 บาท (21 ม.ค.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค.64 ปิด 39.50 บาท เหลืออัพไซด์ 35.44% จากราคาเป้าหมาย 53.50 บาท อัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน -4.24%, 20 วัน -5.95%, 60 วัน -7.60%, 120 วัน -22.55%, YTD -18.56%

5.RATCH (บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง) มาร์เกตแคป 61,625 ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค. 64 ราคาระหว่างวันต่ำสุด 42.25บาท ทำ NEW LOW ในรอบปี 64 ก่อนจะดีดขึ้นเล็กๆ ปิดที่ 42.50 บาท ซึ่งในปีนี้ทำราคาสูงสุดระหว่างวัน 57.50 บาท ก่อนจะไปปิดที่ 54.00 บาทในวันที่ 6 ม.ค.64 และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 39.50 บาท แล้วไปปิดที่ 50.00 บาท (13 มี.ค.63) ส่วนสูงสุดทำได้ 76.50 บาท ก่อนปิดที่ 74.50 บาท (21 ม.ค.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค.64 ปิด 42.50 บาท เหลืออัพไซด์ 11.50% จากราคาเป้าหมาย 54.00 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน 20 วัน -7.10%, 60 วัน -15.84%, 120 วัน -14.14%, YTD -19.81%

6.PTG (บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี) มาร์เกตแคป 26,219 ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค. 64 ราคาระหว่างวันต่ำสุด 15.50 บาท ทำ NEW LOW ในรอบปี 64 ก่อนจะดีดขึ้นเล็กๆ ปิดที่ 15.70 บาท ซึ่งในปีนี้เคยทำราคาสูงสุดระหว่างวันถึง 21.90 บาท ก่อนจะไปปิดที่ 20.80 บาทในวันที่ 9 มี.ค.64 และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 8.95 บาท แล้วไปปิดที่ 9.10 บาท 26 มี.ค.63 ส่วนสูงสุดทำได้ 19.30 บาท ก่อนปิดที่ 18.40 บาท (22 ก.ค.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค.64 ปิด 15.70 บาท เหลืออัพไซด์ 46.50% จากราคาเป้าหมาย 23.00 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน -5.42%, 20 วัน -15.14%, 60 วัน -21.89%, 120 วัน -8.72%,YTD -1.26%

7.ESSO (บมจ.เอสโซ่) มาร์เกตแคป 25,264 ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค.64 ราคาระหว่างวันต่ำสุด 7.20 บาท ทำ NEW LOW ในรอบปี 64 ก่อนจะดีดขึ้นเล็กๆปิดที่ 7.30 บาท ซึ่งในปีนี้เคยทำราคาสูงสุดระหว่างวันถึง 9.40 บาท ก่อนจะไปปิดที่ 9.05 บาทในวันที่ 16 ก.พ.64 และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 3.14 บาท แล้วไปปิดที่ 3.36 บาท (19 มี.ค.63) ส่วนสูงสุดทำได้ 9.70 บาท ก่อนปิดที่ 8.90 บาท (6 ม.ค.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค.64 ปิด 7.30 บาท เหลืออัพไซด์ 7.12% จากราคาเป้าหมาย 7.82 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน -1.35%, 20 วัน -11.52%, 60 วัน -14.62%, 120 วัน -12.57%, YTD -1.35%

8.EGCO (บมจ.ผลิตไฟฟ้า) มาร์เกตแคป 90,025 ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค.64 ราคาปิด 171.00 บาท ซึ่งในปี 64 ต่ำสุด 168.50 บาท (24 พ.ค.) ส่วนสูงสุดปีนี้คือ 213.00 บาท (6 ม.ค.) และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 161.00 บาท แล้วไปปิดที่ 210.00 บาท (13 มี.ค.63) ส่วนสูงสุดทำได้ 350.00 บาท ก่อนปิดที่ 342.00 บาท (15 ม.ค.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค.64 ปิด 171.00 บาท เหลืออัพไซด์ 78.07% จากราคาเป้าหมาย 304.50 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบเกือบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน +0.59%, 20 วัน -2.29%, 60 วัน -3.12%, 120 วัน -4.20%, YTD -11.17%

9.TTW (บมจ.ทีทีดับบลิว) มาร์เกตแคป 46,284 ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค.64 ราคาปิด 11.60 บาท ซึ่งในปี 64 ต่ำสุดระหว่างวัน 11.40 บาท แล้วไปปิดที่11.50 บาท (6 พ.ค.64) และเคยทำราคาสูงสุดระหว่างวันถึง 12.50 บาท ก่อนจะไปปิดที่ 12.30 บาท (11 ม.ค.64) และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 11.00 บาท แล้วไปปิดที่ 11.30 บาท (17 มี.ค.63) ส่วนสูงสุดทำได้ 14.70 บาท ก่อนปิดที่ 14.30 บาท (19 ก.พ.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค. 64 ปิด 11.60 บาท เหลืออัพไซด์ 20.69% จากราคาเป้าหมาย 14.00 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบเกือบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน -0.85%, 20 วัน -0.85%, 60 วัน 0.00%, 120 วัน -4.92%, YTD -6.45%

10.GULF (บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์) มาร์เกตแคป 393,060 ล้านบาท ล่าสุด 30 ก.ค.64 ราคาปิด 33.50 บาท ซึ่งราคาตำสุดของปีนี้ 31.00 บาท (19 เม.ย.) ห่างจากต่ำสุด 2.50 บาท ก็จะเป็น NEW LOW ในรอบปี 64 ส่วนปีนี้เคยทำราคาสูงสุด 38.00 บาท (8 ม.ค.) และเมื่อย้อนดูเมื่อปี 63 ทำราคาต่ำสุดระหว่างวัน 22.35 บาท แล้วไปปิดที่ 26.79 บาท (13 มี.ค.63) ส่วนสูงสุดทำได้ 41.03 บาท ก่อนปิดที่ 38.81 บาท (21 พ.ค.63)

ราคาล่าสุด 30 ก.ค.64 ปิด 33.50 บาท เหลืออัพไซด์ 26.33% จากราคาเป้าหมาย 42.32 บาท ขณะอัตราผลตอบแทนจากราคาย้อนหลังลบเกือบทุกช่วงเวลาโดย 5 วัน -0.74%, 20 วัน -2.19%, 60 วัน -2.90%, 120 วัน 0.00%, YTD -2.19%

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานส่วนใหญ่พื้นฐานแข็งแกร่ง มีสตอรี่และเป็นที่นิยมของนักลงทุนกันมาก แต่เมื่อเผชิญโควิด-19 รอบนี้ จึงถูกถูกกดดันหนัก จึงน่าจับตาว่า จะลงไปถึงจุดต่ำสุดเท่าไร และเมื่อไรกัน?

https:// m.mgronline.com/stockmarket/detail/9640000075283
#3782
ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ท อำเภอแม่จัน เชียงราย

ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ทีดินบนเนินเขา ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน-เชียงราย  พื้นที่ 10ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา พัฒนาแล้ว เหมาะมากสำหรับทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์ทเชียงราย อำเภอแม่จัน  ทำโฮมสเตย์ ร้านอาหาร ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน เชียงรายโฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ขายถูกที่ดินแม่จันสวยมาก เชียงราย ทีดินสวยมากบนเนินเขา เนื้อที่ 10ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน พัฒนาแล้ว ปรับแต่ง ภูมิทัศน์ จัดมุมต่างอย่างสวยงาน เหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ใกล้แหล่งท่องเที่ยว

ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน เชียงราย เหมาะทำรีสอร์ท ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน
เชียงราย ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน ใกล้แหล่งท่องเที่ยว จังหวัดเชียราย
เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เห็นวิวธรรมชาติ อากาศดีมาก เป็นส่วนตัว ใกล้ ตัวเมือง,แหล่งท่องเที่ยว,
-โรงพยาบาล เดินทาง 10 นาที 8 กม.
-โลตัส เดินทาง 10 นาที 8 กม.
-เซเว่น เดินทาง 5 นาที 4 กม.
-ตลาด เดินทาง 5 นาที 4 กม.
-ห้าแยกพ่อขุน เดินทาง 40 นาที 35 กม.
-ม.แม่ฟ้าหลวง เดินทาง 25 นาที 20 กม.
-ไร่ชาฉุยฟง เดินทาง 25 นาที 18.5 กม.
-พระตำหนักดอยตุง เดินทาง 30 นาที 29 กม.
ทีดินเหมาะสร้างบ้านแม่จัน หรือ เหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ทำแหล่งท่องเที่ยว จุดกางเต้นท์ รีสอร์ท ร้านอาหาร ได้
ขายที่ดินอำเภอแม่จันเหมาะทำรีสอร์ท โฮมสเตย์ ปล.ที่ดินพัฒนาแล้ว ระบบน้ำไฟ พร้อม และ ได้ทำการจัดวางมุมต่างๆให้ดูสวยงาม พื้นที่ดินได้รับการดูแลอยู่เสมอ รอคุณมาเป็นเจ้าของ


ราคา ยกแปลง 13 ล้านบาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
090-1419966, 081-1122440

รายละเอียดเพิ่มเติม
https://freepost.website/ขายที่ดินเหมาะทำรีสอร์/

คำค้น
ขายที่ดินสวยและถูกแม่จันเหมาะทำรีสอร์ท, ขายที่ดินสวยและถูกแม่จัน-เชียงราย, ขายที่ดินใกล้แหล่งท่องเที่ยวแม่จัน,  ขายที่ดินเหมาะทำโฮมสเตย์แม่จัน-เชียงราย, ทีดินเหมาะสร้างบ้านแม่จัน 
  
 
#3783


ผลวิเคราะห์ของบรรดานักวิชาการสหราชอาณาจักรที่เผยแพร่โดยกลุ่มที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร เชื่อว่า "เกือบจะแน่นอน" ที่จะเกิดการอุบัติขึ้นของตัวกลายพันธุ์หนึ่งของ SARS-Cov-2 (ไวรัสที่เป็นต้นตอของโควิด-19) ซึ่งจะมอบความล้มเหลวแก่วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมแนะนำเจ้าหน้าที่ลดการแพร่เชื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดโอกาสเกิดตัวกลายพันธุ์ใหม่ที่ดื้อต่อวัคซีน

มุมมองดังกล่าวแสดงอยู่ในเอกสารที่จัดทำโดยบรรดานักวิชาการ บนสมมติฐานต่างๆ นานาเกี่ยวกับวิวัฒนาการระยะยาวของ SARS-Cov-2 ซึ่งถูกหยิบยกไปปรึกษาหารือและเผยแพร่โดยกลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์สำหรับเหตุฉุกเฉินของสหราชอาณาจักร (Scientific Advisory Group for Emergencies - SAGE)

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ในเบื้องต้นที่ยังไม่ผ่านการทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญ (peer-reviewed) เป็นเพียงหลักทฤษฎีและไม่ได้มีข้อพิสูจน์ใดๆ ว่าตัวกลายพันธุ์ลักษณะดังกล่าวกำลังวนเวียนอยู่ในตอนนี้

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า เอกสารดังกล่าวลงวันที่ 26 กรกฎาคม และเผยแพร่โดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรในวันศุกร์ (30 ก.ค.)

บรรดานักวิทศาสตร์เขียนว่าสืบเนื่องจากการขุดรากถอนโคนไวรัสดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจึงเชื่อมั่้นเป็นอย่างสูงว่าตัวกลายพันธุ์จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเกือบแน่นอนว่าจะค่อยๆ เกิดเปลี่ยนแปลงของแอนติเจน ที่ท้ายที่สุดจะนำมาซึ่งความล้มเหลวของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน

พวกเขาแนะนำให้เจ้าหน้าที่ลดการแพร่เชื้อให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดโอกาสเกิดตัวกลายพันธุ์ใหม่ที่ดื้อวัคซีน

บรรดานักวิทยาศาสตร์ยังแนะนำการวิจัยวัคซีนใหม่ อย่ามุ่งเน้นเพียงป้องกันการป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลและการติดเชื้อเท่านั้น แต่มันควรนำมาซึ่งภูมิคุ้มกันแบบเยื่อเมือกในระดับสูงและทนทาน นอกจากนี้ พวกเขาระบุด้วยว่าเป้าหมายควรเป็นการลดการติดเชื้อและแพร่เชื้อจากบุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วเช่นกัน

ทั้งนี้ หลายบริษัทกำลังดำเนินการวิจัยสำหรับผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่สามารถจัดการกับตัวกลายพันธุ์ใหม่ๆ ได้

ในเอกสารระบุว่า ตัวกลายพันธุ์บางตัวที่อุบัติขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ได้ลดภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีน แม้ยังไม่มีตัวไหนเล็ดลอดการดักจับของวัคซีนไปได้ทั้้งหมด

อย่างไรก็ตาม พวกเขาเตือนว่าตัวกลายพันธุ์เหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นก่อนมีการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง และพอมีการฉีดวัคซีนกว้างขวางขึ้น ไวรัสตัวหนึ่งๆ ที่สามาถหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีนก็จะฉวยโอกาสแพร่เชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งในประเด็นดังกล่าวทาง SAGE เคยออกมาเตือนก่อนหน้านี้แล้ว

ในรายงานจากที่ประชุมเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม บรรดานักวิยาศาตร์ของ SAGE ระบุว่า การผสมผสานกันระหว่างความชุกของผู้ติดเชื้อในระดับสูงกับอัตราผูุ้ฉีดวัคซีนในระดับสูง ก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นไปได้อย่างที่สุดว่าตัวกลายพันธุ์ที่สามารถเล็ดลอดภูมิคุ้มกันตัวหนึ่งๆ จะอุบัติขึ้น พวกเขาบอกในตอนนั้นว่า "ยังไม่ทราบว่ามันมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ตัวกลายพันธุ์ดังกล่าวจะมีความเสี่ยงอย่างมากทั้งในสหราชอาณาจักรและนานาประเทศ"

(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น) https:// m.mgronline.com/around/detail/9640000075331
#3784


"โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ ทำได้สำเร็จคว้าแชมป์ แอลพีจีเอ ทัวร์ ใบแรกของตัวเอง หลังเพลย์ออฟชนะเลิศในศึก "ไอเอสพีเอส ฮานดะ เวิลด์ อินวิเตชันแนล"

การแข่งขันกอล์ฟหญิง แอลพีจีเอ ทัวร์ ฤดูกาล 2021 รายการ "ไอเอสพีเอส ฮานดะ เวิลด์ อินวิเตชันแนล" ชิงเงินรางวัลรวม 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ กัลกอร์ม แคสเซิล กอล์ฟ คลับ ระยะ 7,159 หลา พาร์73 ประเทศไอร์แลนด์เหนือ โดยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมเป็นการแข่งขันรอบสุดท้าย

ผลปรากฎว่าการขับเคี่ยวเป็นไปอย่างระทึก "โปรเมียว" ปาจรีย์ อนันต์นฤการ ผู้นำร่วมเมื่อจบรอบ 3 ออกมาทำ 6 เบอร์ดี้พร้อมทั้งเสียทริปเปิลโบกี้ก่อนที่หลุม 16 จะมาหลุดอีกโบกี้โชคดีที่เบอร์ดี้มาทันเวลาในหลุมที่ 17 ทำให้สกอร์เพิ่ม 3 อันเดอร์พาร์รวมมี 16 อันเดอร์พาร์ก่อนเล่นหลุมสุดท้าย ซึ่งมาเท่ากับ 2 โปรชาวอเมริกันคือ เจนนิเฟอร์ คุปโช และ เอ็มมา ทัลเลย์ กระนั้นก็ตาม คุปโช หลุดวงโคจรในหลุมสุดท้ายพาร์ 5 ตีเสียโบกี้ ทำให้อีก 2 คนต้องไปเพลย์ออฟหาแชมป์กันที่หลุม 18 พาร์ 5

ช่วงเพลย์ออฟหลุมแรกหลุมที่ 18 พาร์ 5 เก็บพาร์ได้ทั้งคู่ ต้องลุ้นกันต่อหลุม 2 ซึ่งก็ใช้หลุม 18 เหมือนเดิม ปรากฎว่า ทัลเลย์ ออกโบกี้ ส่วน "โปรเมียว" ปาจรีย์ เก็บพาร์ ทำให้สาวไทยวัย 22 ปี คว้าแชมป์ แอลพีจีเอ ใบแรกในชีวิต พร้อมรับเงินรางวัล 225,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.2 ล้านบาท) ไปครอง

ส่วนผลงานของ 3 นักกอล์ฟสาวไทยที่เหลือ อาฒยา ฐิติกุล 13 อันเดอร์พาร์จบที่ 4, วิชาณี มีชัย 11 อันเดอร์พาร์จบที่ 8 และ พรอนงค์ เพชรล้ำ 6 อันเดอร์พาร์จบที่ 30

https:// m.mgronline.com/sport/detail/9640000075301
#3785



รายงานวิจัยล่าสุดโดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ร่วมกับเทสโก้ พบอาหารถูกทิ้งเป็นขยะอาหาร (Food Waste) กว่า 2.5 พันล้านตันต่อปี และประมาณ 40% ของอาหารที่ผลิตขึ้นทั่วโลก ไม่มีโอกาสไปถึง 'โต๊ะอาหาร' ด้วยซ้ำ

ขยะอาหาร หรือ Food Waste ถูกทิ้งเพิ่มขึ้นทุกปี กลายเป็นสาเหตุซ้ำเติมปัญหาภาวะโลกร้อน เนื่องจากขยะจากอาหารสามารถปล่อยก๊าซมีเทน (Methane) ที่มีความรุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 20 เท่า

รายงานชื่อ 'Driven to Waste: The Global Impact of Food Loss and Waste on Farms' พบ 40% ของอาหารจบลงที่ 'ถังขยะ' มากกว่าโต๊ะอาหาร เป็นตัวเลขที่สูงขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 33% #โดยปัญหาขยะอาหารไม่ได้มาจากอาหารเหลือจากครัวเรือนเท่านั้น แต่รายงานชี้ให้เห็นว่า ขยะอาหารมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่กระบวนการผลิต ทั้งในฟาร์ม ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตลาด มาจนถึงร้านอาหาร คาเฟ่ และโรงแรม ซึ่งรวมแล้วสร้างปริมาณขยะอาหารมากกว่า 1.2 ล้านตันในทุกปี

การผลิตอาหารทุกชนิดใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติมหาศาล ทั้งที่ดิน น้ำ และพลังงาน เมื่อคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลกแล้ว อาหารที่ถูกทิ้งทั้งหมด (ตั้งแต่ต้นทางการผลิตในฟาร์ม ไปจนถึงปลายทางการขนส่ง-จัดจำหน่าย) ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 8% ของจำนวนก๊าซทั้งหมดในชั้นบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม รายงาน Driven to Waste ชี้ให้เห็นว่า ตัวเลขดังกล่าวอาจสูงขึ้นเป็น 10% เนื่องจากปริมาณขยะอาหารที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี

อาหารเหลือทิ้งเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมอาหารเพื่อใช้ในงานเลี้ยงต่าง ๆ ที่มากเกินไป หรือไม่ได้คํานึงถึงพฤติกรรมผู้บริโภค การทิ้งอาหารที่จําหน่ายไม่หมดของธุรกิจการค้าในแต่ละวัน อาหารเน่าเสียหรือสูญหายระหว่างขนส่ง หรือแม้แต่ 'วัฒนธรรมการกินให้เหลือไว้ในจาน' เพื่อเป็นการแสดงออกมารยาททางสังคมในบางประเทศ

รายงานยังพบอีกว่า อาหารเน่าเสีย หรือถูกคัดทิ้งของทุกประเทศรวมกันมีปริมาณ 'มากพอ' เลี้ยงปากท้องประชากรทั่วโลกได้อีกจำนวนมาก โดยสำหรับประเทศไทยนั้น กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานว่า ไทยมีขยะอาหารคิดเป็น 64% ของปริมาณทั้งหมด แต่ยังขาดระบบการคัดแยกขยะทำให้ขยะอาหาร โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังถูกกำจัดโดยวิธีการฝังกลบซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และลดต้นทุนต่อธุรกิจ แต่ก็ทำให้เกิดความสูญเสียทรัพยากรที่ยังมีค่าโดยเปล่าประโยชน์

การสูญเสียอาหาร ถือเป็นความเสียหายทั้งต่อระบบเศรษฐกิจ และ 'ความเจ็บปวด' ของประชากรโลกที่ยังคงอดอยาก และต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อมีอาหารลงท้อง โชคดีว่าปัจจุบัน คนในสังคมเริ่มตื่นตัวมากขึ้น และปรับพฤติกรรมการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible consumption) หรือลด-เลิกการทิ้งขว้างอาหาร (No food waste) โดยร้านอาหารในหลายประเทศเริ่มคิด "ค่าปรับ" ลูกค้าที่ทานอาหารเหลือ หรือภาครัฐเริ่มมีการบังคับใช้กฎหมาย "ภาษีอาหารที่ทิ้งขว้าง" สำหรับบริษัทผลิตอาหาร หรือซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อควบคุมการทิ้งผัก-ผลไม้ที่ยังไม่หมดอายุ หรือการบริจาคอาหารที่จำหน่ายไม่หมด ให้กับองค์กรการกุศล หรือมูลนิธิ เพื่อถูกต่อส่งให้เป็น "มื้ออาหารล้ำค่า" ให้กับผู้ยากไร้

ข้อมูลอ้างอิง WWFThailand,https:// updates.panda.org/driven-to-waste-report
#3786



สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเมื่อวันเสาร์ (31 ก.ค.) ว่า ทางการญี่ปุ่น เปิดเผยยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อยู่ที่ 4,058 ราย ทะลุเกิน 4,000 รายเป็นครั้งแรก โดยยอดผู้ติดเชื้อดังกล่าว ตรวจพบหนึ่งวัน หลังรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศขยายภาวะฉุกเฉินกรุงโตเกียว ออกไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งครบคลุม 3 จังหวัดใกล้กับกรุงโตเกียว และจังหวัดทางตะวันตกของโอซากา

ขณะที่ มาเลเซีย รายงานในวันเสาร์ พบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 17,786 ราย โดยเป็นการติดเชื้อหลากหลายสายพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์

ท่ามกลางผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น มีประชาชนมากกว่า 100 คนรวมตัวกันในใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ แสดงความไม่พอใจรัฐบาลมาเลเซียจัดการกับโรคระบาดใหญ่ และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน ยุติหน้าที่ผู้นำประเทศ

ส่วนประเทศไทย รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 18,912 ราย ส่งผลให้จำนวนสะสมของประเทศอยู่ที่ 597,287 ราย และผู้เสียชีวิตเพิ่ม 178 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 4,857 ราย โดยทั้งผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในแต่ละวันเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์


นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ไวรัสสายพันธุ์เดลตามีสัดส่วนมากกว่า 60% ของกรณีตัวอย่างในประเทศ และ 80% ของกรณีตัวอย่างในกรุงเทพฯ 

"สายพันธุ์เดลตาไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต มากกว่าโควิด-19 สายพันธุ์อื่นๆ แต่สายพันธุ์เดลตาแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า" นายแพทย์ศุภกิจ ระบุ

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในจีน กำลังรับมือกับสายพันธุ์เดลตาในเมืองหนานจิง สืบเนื่องจากพนักงานทำความสะอาดของสนามบินเมืองนี้ ติดเชื้อโควิดที่มีต้นตอจากเที่ยวบินของรัสเซีย โดยล่าสุด พบผู้ติดเชื้อโควิดในเมืองหนานจิงเพิ่มขึ้น 55 ราย

ดร.ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวในวันศุกร์ (30 ก.ค.) ว่า ยอดติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น 80% ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก จากในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ 

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/952160
#3787
สำหรับการประชุมหรือ เรียนออนไลน์ โปรแกรมมีให้ใช้งานหลากหลายมากๆ ครับ แต่วันนี้ ทางผู้เขียนอยากแนะนำโปรแกรม Zoom หรือชื่อในการค้นหาคือ Zoom meeting นั่นเองครับทำไมโปรแกรม Zoom meeting ถึงมีคนนิยมใช้ทั่วโลก ..?สาเหตุส่วนใหญ่ก็คือ มันตอบโจทย์ ใช้งานง่าย แชร์สกรีนได้ทั้งภาพและมิเดีย แต่ที่ผู้เขียนชอบที่สุดก็น่าจะเป็นการใช้งานแบนด์วิทอินเตอร์เน็ตน้อยมากเมื่อเทียบกับ โปรแกรมอื่นๆ เพราะความเร็วเน็ตในแต่ละที่ก็แตกต่างกัน แล้วแต่ผู้ใช้งานด้วย อันนี้สามารถช่วยได้มากทีเดียว


 การเข้าใช้งาน zoom join ก่อนที่เราจะเข้าใช้งาน Zoom เราจะต้อง sign in เพื่อสมัครก่อนครับ โดยไปที่https://zoom.us/signin   แล้วกด Sign in อาจเลือกเป็น sign in ด้วย google หรือ Facebook ก็ได้นะครับ





 1.      ผ่านทางหน้าเว็ป https://zoom.us/signin
 2.      ผ่านโปรแกรมที่ดาวน์โหลดติดตั้งไว้ในเครื่อง (ทั้งคอมพิวเตอร์ , Notebook , Tablet , มือถือ)ในทีนี้ ผู้เขียน เลือกที่จะเข้าแบบที่ 2 นะครับ เพราะมันง่ายดี เลือกโปรแกรม zoom meeting ในคอมฯของคุณเปิดขึ้นมาจะเป็นหน้าต่างแบบนี้ครับ เข้าใช้งานด้วย Email ที่สมัครไว้ครับ ก็จะสามารถใช้งานได้แล้วครับผม
#3788
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#3789


ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหรือผื่นจากการใส่มาสก์ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสียดสีกับผิวหน้าขณะใส่ ความสกปรกภายในหน้ากากที่สะสมระหว่างวัน ความเครียด วัสดุจากหน้ากากมีการปนเปื้อน และโรคผิวหนังเดิมที่เคยเป็นอยู่
การเสียดสีของของหน้ากากอนามัยกับผิวหน้า ส่งผลให้เกิดการแพ้ ระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่หน้ากากหลายชั้น
หากพบว่ามีสิวขึ้นหรือมีผื่นแพ้ ในเบื้องต้นควรหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แล้วแก้ตามสาเหตุนั้น หากทำตามทุกวิธีแล้วยังมีสิวขึ้นหรือผื่นภูมิแพ้ ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนที่สิวหรือผื่นนั้นจะลุกลาม
ไลฟ์สไตล์ติดตาม

วิถีชีวิตใหม่แบบ New Normal ที่เกิดขึ้นในยุคที่มีการระบาดของไวรัสก่อโรค Covid-19 นั้น การสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำเสมอเวลาออกจากบ้าน แต่เมื่อต้องใส่เป็นประจำทุกวัน หลายคนมักเกิดปัญหาสิว ผดผื่นคัน บริเวณที่ใส่หน้ากากอนามัยตามมา จนเกิดอาการไม่อยากใส่ แต่ยังไงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้องใส่ทุกวันและเกือบจะตลอดเวลาแล้วนั้นก็ทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังตามมาได้

ใส่หน้ากากอนามัยแล้วเป็นสิว หรือผิวแพ้มาสก์ เกิดจากอะไร

การเสียดสีของของหน้ากากอนามัยกับผิวหน้า ส่งผลให้เกิดการแพ้ ระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่หน้ากากหลายชั้นหรือสวมหมวกกันน็อกทับเวลาขับขี่รถมอเตอร์ไซค์

ความสกปรกภายในมาสก์ เช่น ละอองน้ำลาย เหงื่อ น้ำมันจากผิวหน้า ร่องรอยเครื่องสำอาง ผสมกับความชื้นภายในหน้ากากโดยเฉพาะเวลาอากาศร้อนอบอ้าว แบคทีเรียก็จะมีการเพิ่มจำนวนและเติบโตขึ้นที่รูขุมขนมากขึ้น ทำให้เกิดสิวทั้งอุดตันและอักเสบตามมาได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยภายใน เช่น ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งเสริมกับปัจจัยเรื่องการเสียดสี หรือความสกปรกภายในหน้ากาก

เกิดจากมลภาวะหรือ PM2.5 เนื่องจากสารตั้งต้นของ PM2.5 ก่อนจะรวมตัวกับไอน้ำ และฝุ่นควัน คือ ก๊าซพิษ ซึ่งทำตัวเสมือนสารก่อระคายเคืองผิว กระตุ้นการเกิดสิว และทำให้ผิวแพ้ง่าย เป็นที่ทราบกันดีว่า หน้ากากทั่วไปที่เราใส่ ไม่สามารถป้องกัน PM2.5 ได้ และมลภาวะสามารถเข้าทางด้านข้างของหน้ากากได้ด้วยเช่นกัน

หน้ากากอนามัยชนิดใช้แล้วทิ้งบางยี่ห้อที่ผสมสารป้องกันแบคทีเรียบางชนิดที่อาจระคายเคืองผิวได้ หรือเป็นที่ตัววัสดุเอง เช่น ผ้าสปันบอนด์ (spunbond) ซึ่งเป็นผ้าที่เกิดจากการอัดขึ้นรูปจากเส้นใยพลาสติกพวกพอลีโพรพิลีน (Polypropylene) มาประกอบเป็นหน้ากากชั้นนอกและชั้นในเพื่อป้องกันการซึมผ่านของน้ำและละอองฝอยต่างๆ

เกิดจากน้ำหอมจากผลิตภัณฑ์ซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใช้ซักหน้ากากผ้า ทางที่ดี ควรซักล้างด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม

โรคผิวหนังเดิมที่เป็นอยู่ แต่ถูกกระตุ้นให้เป็นมากขึ้นในช่วงที่ใส่หน้ากาก เพราะความอบอ้าว ความชื้น โดย 2 โรคที่พบได้บ่อย เช่น

- โรคผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) ซึ่งเป็นภาวะทางผิวหนังที่พบบ่อย โดยจะเกิดรอยแดงและมองเห็นเส้นเลือดบนใบหน้าได้ชัดเจน อาจเกิดตุ่มหนองคล้ายสิวหรือตุ่มสีแดงขนาดเล็ก และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ตาแห้ง ตาบวมแดงและระคายเคือง เปลือกตาแดง รู้สึกแสบหรือชาที่ผิวหนัง ผิวแห้ง ผิวหยาบ และรูขุมขนกว้าง

- โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) เป็นอาการของผิวหนังอักเสบเรื้อรังจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ ทำให้ผิวแห้ง แดง มีผื่นตามบริเวณต่างๆ และมีอาการคันอย่างต่อเนื่อง บางรายมีตุ่มพอง ซึ่งอาจแตกและมีของเหลวไหลออกมาได้เมื่อถูกเกา
8 วิธี ป้องกันสิวผิวแพ้มาสก์

1. ป้องกันการเสียดสีกับหน้ากาก โดยสามารถสอดแผ่นทิชชู่ที่นุ่มและสะอาดรองบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อยๆ

2. หากอากาศร้อนมากๆ ร่างกายจะมีการสร้างเหงื่อและน้ำมันออกมาจากผิวมากขึ้น ความอับชื้นจึงตามมา เราสามารถซับเหงื่อและความมันระหว่างวันได้ก่อนใส่หน้ากากกลับไปที่เดิม

3. ขณะที่ใส่หน้ากากอนามัย หากจำเป็นต้องพูดคุย สามารถรองกระดาษทิชชู่ไว้ที่ปาก หากพูดเสร็จให้ทิ้งทิชชู่นั้น

4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป เพราะปัจจัยเหล่านี้ส่งเสริมการเกิดสิวได้

5. เมื่อกลับถึงบ้าน ควรรีบถอดหน้ากากแล้วล้างหน้าให้สะอาดทันที เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกตกค้าง รวมทั้งมลภาวะทางอากาศที่ผ่านเข้าหน้ากากจากด้านข้าง

6. หากมีอาการแพ้หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากชนิดที่ใช้ในการผ่าตัด (กรณีที่ไม่ใช่แพทย์และบุคลากรที่ผ่าตัด) สามารถเปลี่ยนมาใช้หน้ากากผ้า หรือหน้ากากชนิดอื่นๆ แทนได้

7. หากใช้หน้ากากผ้า ควรซักด้วยน้ำยาซักผ้าเด็กหรือน้ำสบู่อ่อน หรือซักด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ซักล้างและปรับผ้านุ่มที่ผสมน้ำหอม

8. หากทำตามทุกวิธีแล้วยังมีสิวขึ้นหรือผื่นภูมิแพ้ อาจเกิดจากโรคผิวหนังเดิมที่เป็นอยู่ ให้หยุดครีมบำรุงผิวทุกชนิดในช่วงแรก งดแต่งหน้า และรีบมาปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยเร็วที่สุด

บทความโดย : พญ. พีรธิดา รัตตกุล แพทย์ผู้ชำนาญสาขาตจวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
#3790



โดย ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ (นักวิชาการอิสระ / ผู้อำนวยการสถาบันพรีโม่ อะคาดิมี่) 40

คลัสเตอร์...เป็นคำที่ติดหูของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว จากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มิติใหม่ หรือประเทศไทย 4.0

คลัสเตอร์...เป็นคำที่ติดหูของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว จากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มิติใหม่ หรือประเทศไทย 4.0 โดยมีการดำเนินงานก้าวหน้าเป็นลำดับ ตั้งแต่ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2558 เห็นชอบนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ พร้อมเพิ่มเติมการกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมศักยภาพเป้าหมาย หรือ 10 S-curve ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่มูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ โดยล่าสุดได้มีการมุ่งเป้าสู่การพัฒนาในเชิงพื้นที่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development: EEC) ผลักดันให้พื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์สาคัญในการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเขตพื้นที่ดังกล่าว เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ ที่มีความพร้อมทั้งด้านเครือข่ายอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่เดิมที่มีการพัฒนามาเป็นระยะเวลามากกว่า 30 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจมีหลายท่านสงสัยว่า หากมีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจแห่งที่สอง หรือสาม หรือสี่ ..... ในเขตพื้นที่ภูมิภาคอื่น ๆ ควรจะส่งเสริมให้มีการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรมใด และควรมีแนวทางการพัฒนาคลัสเตอร์อย่างไรจึงจะเหมาะสม แต่ก่อนที่จะไขปัญหาที่เราสงสัยกันต่อไป การเริ่มต้นที่การทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานว่าจริง ๆ แล้วคลัสเตอร์ คือ อะไรกันแน่

คลัสเตอร์คืออะไร?

ทำไมบริษัทของประเทศหนึ่ง ถึงมีขีดความสามารถสูงกว่าบริษัทของประเทศอื่น ๆ ในสาขาอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นคำถามที่มีนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการหลาย ๆ ท่านได้ทำการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง โดยข้อสรุปหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับ นอกเหนือจากทฤษฎีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ซึ่งให้ความสำคัญไปที่ปัจจัยพื้นฐานสำคัญทางเศรษฐกิจ อาทิ ทรัพยากร ทุน และแรงงานแล้ว คือ การระบุถึงความสำคัญของพื้นที่ที่ตั้งของบริษัท ต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากพื้นที่นั้น

โดยองค์ประกอบของปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการรวมกลุ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในธุรกิจสาขาเฉพาะในพื้นที่ใกล้เคียงกันอย่างเหมาะสม โดยการรวมกลุ่มของกิจกรรมทางเศรษฐกิจดังกล่าว มีชื่อเรียกที่ติดหูกันว่า "คลัสเตอร์" ซึ่งหมายถึง การรวมตัวกันของกลุ่มบริษัทในสาขาเฉพาะ ซัพพลายเออร์ที่มีความเฉพาะ ธุรกิจให้บริการ บริษัทในอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่อง และสถาบันสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง (อาทิ สถาบันการศึกษา และฝึกอบรม สถาบันวิจัยพัฒนา ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ) มาร่วมดำเนินกิจการอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ในระดับที่เพียงพอต่อการพัฒนาความเชี่ยวชาญ การบริการ ทรัพยากร การจัดหาวัตถุดิบ รวมถึงทักษะ และความสามารถของกำลังแรงงาน ที่มีความพิเศษ ความหมายของคลัสเตอร์ ในหลาย ๆ งานศึกษา ได้นิยามไว้แตกต่างกันบ้าง หากแต่มีแนวคิดที่เห็นพ้องร่วมกันในความเป็นคลัสเตอร์ใน 3 ประเด็น ซึ่งมีความหมายลึก กว่าการรวมกลุ่มของเครือข่ายผู้ประกอบการดังที่ใช้กันโดยทั่วไป

ประเด็นแรก คลัสเตอร์ถูกมองว่าเป็นการกระจุกตัวทางภูมิศาสตร์ของบริษัท ที่มีความเฉพาะ แรงงานที่มีทักษะสูง และสถาบันสนับสนุน ซึ่งช่วยก่อให้เกิดการประหยัดจากการอยู่เป็นกลุ่ม และเพิ่มการกระจายตัวขององค์ความรู้ จากการอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน สร้างเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดขีดความสามารถการแข่งขันพื้นที่ได้

ประเด็นที่สอง คลัสเตอร์เป็นโครงสร้างเชิงระบบที่ช่วยสนับสนุนและจัดหาบริการที่มีลักษณะเฉพาะและจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับบริษัทเฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างเช่น การช่วยจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเฉพาะและซับซ้อนสูง บริการทางการเงิน บริการด้านการวิจัย และพัฒนาเฉพาะด้าน รวมถึงบริการสนับสนุนการประกอบธุรกิจ หรือการพัฒนาฝึกอบรมบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นต้น

ประเด็นที่สาม คลัสเตอร์มีลักษณะเป็นโครงสร้างเชิงสถาบัน หรือกาวทางสังคม ที่เชื่อมประสานระหว่างผู้เล่นด้านนวัตกรรมทั้งมหาวิทยาลัย กลุ่มธุรกิจ และหน่วยงานภาครัฐ หรือเครือข่ายระหว่าง 3 ฝ่าย (Golden triangle หรือ Triple Helix) ที่มีความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน

คลัสเตอร์ จึงมีความสำคัญในแง่ที่ช่วยสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อการตั้งอยู่ของกลุ่มบริษัท และดึงดูดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญให้เข้ามาสู่พื้นที่ ก่อให้เกิดการจ้างงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และเป็นกิจกรรมที่ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางบวกต่อการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันแก่บริษัท หรืออุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ได้ถึง 3 ทาง คือ ช่วยเพิ่มผลิตภาพของบริษัท หรืออุตสาหกรรม ส่งเสริมการยกระดับศักยภาพด้านนวัตกรรม รวมถึงกระตุ้นให้เกิดรูปแบบทางธุรกิจใหม่ที่สนับสนุนการเกิดนวัตกรรมและการขยายตัวของคลัสเตอร์ ซึ่งทาให้บริษัทสามารถหาแนวทางใหม่ หรือแนวทางที่ดีกว่าในการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม และสร้างนวัตกรรมได้เร็วกว่าตลาด

ติดตามตอนที่ 2 ว่าด้วย คลัสเตอร์อะไรที่ควรพัฒนาในภูมิภาค ???

เอกสารอ้างอิง:
Bresnahan, T., Gambardella, A., and Saxenian A. (2001). Old economy' inputs for 'new economy' outcomes: cluster formation in the new Silicon Valleys. Industrial and Corporate Change, Oxford University Press, No.4 Vol.10, 2001.
Dzisah, J. and Etzkowitz, H. (2008). Triple helix circulation: the heart of innovation and development. International Journal of Technology Management & Sustainable Development, Vol 7, No 2, Sep 2008, pp. 101-115(15).
Europe INNOVA. (2008). The concept of clusters and cluster policies and their role for competitiveness and innovation: main statistical results and lessons learned. Commission staff working document SEC (2008) 2637.
International Trade Department. (2009). Clusters for competitiveness. A practical guide and policy implications for developing cluster initiatives. 2009.

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/951739
#3791



SMEs เป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศ แต่วันนี้บทบาทของ SMEs ต่อระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันยังมีไม่มากเท่าที่ควร และนี่คือปัญหา "ความย้อนแย้ง" ในเชิงโครงสร้างแบบ 'มากแต่น้อย' ข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่า SMEs ไทย มีจำนวนมากถึง 3.1 ล้านราย หรือ 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งระบบ แต่มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจเพียง 35% ของ GDP รวม ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีจำนวนไม่ถึง 1.5 หมื่นราย กลับมีบทบาทต่อ GDP สูงเกือบ 60% ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหันไปมองประเทศอื่นใน ASEAN จะเห็นว่า SMEs มีบทบาทค่อนข้างสูง เช่น เวียดนาม SMEs มีบทบาทสำคัญถึง 40% ของ GDP อินโดนีเซีย 58% รวมถึงกลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ที่เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว SMEs มีบทบาทเฉลี่ยราว 50-60%

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเร่งพัฒนาและยกระดับ SMEs ไทยให้มีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น หนึ่งใน Pain Point ที่เห็นชัดเจน คือ SMEs ไทยส่วนใหญ่ยังค้าขายในประเทศเป็นหลัก สะท้อนจาก SMEs ที่เป็นผู้ส่งออกมีเพียง 2.4 หมื่นราย หรือไม่ถึง 1% ของ SMEs ทั้งระบบ ทำให้เผชิญการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากคนขายมีมากขึ้นแต่คนซื้อเท่าเดิม เมื่อประกอบกับข้อจำกัดต่าง ๆ ภายในประเทศ ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทำให้การจับจ่ายใช้สอยไม่คึกคักเหมือนในอดีต ล้วนเป็นสาเหตุทำให้ SMEs ไทยมีทางเลือกไม่มากและเติบโตได้ยาก ดังนั้น ทางออกของปัญหานี้คือ SMEs ไทยต้องโกอินเตอร์ ขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ นอกจากการสนับสนุนให้ SMEs เริ่มต้นหรือขยายธุรกิจส่งออกมากขึ้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้ทันที คือ การสนับสนุน SMEs ให้เป็นผู้ส่งออกทางอ้อม (Indirect Exporter) อยู่ใน Supply Chain ของผู้ส่งออก เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินต่อได้โดยไม่สะดุด เป็นการสร้าง Inclusive Growth ระหว่างคนตัวใหญ่กับคนตัวเล็กให้เติบโตไปพร้อมกัน


ดร.พสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวในโอกาสเปิด EX1M Solution Forum Ep.1 ว่า EXIM BANK ทำงานร่วมกันกับภาครัฐและภาคธุรกิจเพื่อเสริมสร้างให้เกิด Supply Chain ที่แข็งแรง ที่ผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งยังเป็นการนำร่องและกระตุ้นให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้เกิด Supply Chain ที่แข็งแรงในภาคธุรกิจอื่น ๆ ต่อไป

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า  "สิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือ เราต้องออกไปข้างนอก เพื่อหาตลาดที่ใหญ่ขึ้น "เรือเล็กต้องออกจากฝั่ง" สร้างตลาดที่แข็งแรงที่จะตอบโจทย์การผลิตหรือการให้บริการธุรกิจของเรา ซึ่งจะเป็นการเชื่อมทุก ๆ มิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Margin ไปจนถึง Logistics รวมถึง Stock Management ของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เราต้องการให้คนตัวใหญ่เป็นที่พึ่งพา คนตัวเล็กสามารถพึ่งพิง และในอนาคตเราจะสร้างการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย"

ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ (Sponsor) อย่าง คุณวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกล.เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจส่งออก-นำเข้าและศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและสินค้าไลฟ์สไตล์ครบวงจรของไทยกล่าวถึงการพัฒนา Supply Chain ร่วมกันว่า "ผมเชื่อว่าเมื่อเรามารวมกันเป็นทีมประเทศไทย เราจะโตไปด้วยกัน ไม่เฉพาะในประเทศแต่มีโอกาสเติบโตในต่างประเทศด้วย วันนี้ EXIM BANK เข้ามาเป็นโซ่กลางเชื่อมโยงและสนับสนุน Supply Chain ของเรา ให้เงินทุนจัดหาวัตถุดิบและเครื่องจักรที่ทันสมัย ช่วยให้เราสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ลูกค้า"


EXIM BANK จึงได้เสริมความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทยทั้ง Supply Chain โดยออกบริการ "สินเชื่อเครือข่ายธุรกิจครบวงจร (EXIM Supply Chain Financing Solution)" เสริมสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ SMEs ที่เป็น Suppliers ของผู้ประกอบการรายใหญ่ (Sponsor) โดยไม่ต้องใช้หลักประกันเพิ่ม เบิกกู้สูงสุด 90% ของมูลค่า Invoice สามารถนำ Invoice มาใช้ ยื่นขอสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษผ่าน Digital Platform ได้ วงเงินกู้สูงสุด 25% ของยอดขายรวมปีล่าสุด โดยอ้างอิงบนเครดิตที่แข็งแรงของ Sponsor บริการดังกล่าวช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้สะดวกขึ้นและมีต้นทุนต่ำลง มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกรรมทางออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ธนาคาร ขณะที่ Sponsor ซึ่งเป็นลูกค้า EXIM BANK จะได้รับเครดิตเทอมเพิ่มจากคู่ค้าที่เป็น SMEs และมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างกัน เป็นประโยชน์ในการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคตข้างหน้า นับเป็นการสร้าง Supply Chain ที่แข็งแรง ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถสนับสนุนและเสริมความแข็งแรงให้กับผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างเกื้อกูลและยั่งยืน โดยมีเครื่องมือทางการเงินและการบริหารความเสี่ยงของ EXIM BANK เป็นกลไกช่วยให้ทุกภาคส่วนดำเนินธุรกิจไปได้อย่างไม่ติดขัด แม้จะได้รับผลกระทบซ้ำเติมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นเป็นระลอกทั่วโลก

ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กให้ความเห็นตรงกันว่าการส่งเสริมความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain ด้วยมาตรการ "สินเชื่อเครือข่ายธุรกิจครบวงจร" ของ EXIM BANK ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กเกิดความคล่องตัวในการบริหารธุรกิจ ทั้งการควบคุมต้นทุน การจัดการสต๊อกวัตถุดิบ และทำให้บริหารธุรกิจได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กกล้าที่จะเติบโต

คุณกิตติศาสตร์ พลตื้อ ประธานกรรมการ บริษัท วิชั่น กลาส แอนด์ ดอร์ อินดัสเทรียล จำกัด "เงินทุนหมุนเวียนจาก EXIM BANK ไม่ต้องใช้เอกสารมากมาย ไม่ต้องมีหลักประกัน ประกอบกับการได้อยู่ในเครือข่าย Supply Chain ทำให้ได้รู้จักทั้งรายใหญ่และรายย่อย ได้แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างมาก"

คุณเศรษฐชัย สุริยะเลิศกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุดรเก้าเจริญทรัพย์ จำกัด "Supply Chain จะมีความเกี่ยวข้องกันตั้งแต่การผลิต การจัดหาวัตถุดิบ การบริหาร จนกระทั่งการจัดส่งไปถึงมือลูกค้า ทำให้ระบบทั้งหมดเติบโตไปด้วยกัน การสนับสนุนของ EXIM BANK ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ในระบบ Supply Chain ซึ่งมีความแตกต่างกัน สามารถควบคุมต้นทุนให้สอดคล้องกันได้"                             


คุณเฉลิม เศารยางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม.เจ.พาราวู๊ด จำกัด "การที่บริษัทได้รับการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ทำให้สามารถสต็อกวัตถุดิบได้ในช่วงเวลาและราคาที่เหมาะสม ทำให้สามารถลดต้นทุน บริหารจัดการสต็อกวัตถุดิบและวางแผนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

คุณกรองพร สิริประสิทธิ์พงศ์ ผู้จัดการการเงินและการตลาด บริษัท ว.พลาสติก (2002) จำกัด "โอกาสของธุรกิจภายใต้ Supply Chain ที่แข็งแรง ทำให้เรากล้าที่จะเติบโต ขอบคุณ EXIM BANK และ สยามโกล.เฮ้าส์ที่ทำให้ Supply Chain แข็งแรง ทำให้เรากล้าที่จะลงทุนในผลิตภัณฑ์ โดยมีบริการทางการเงินช่วยให้ธุรกิจเราคล่องตัวมากขึ้น"

วันนี้ EXIM BANK ทำหน้าที่อย่างแข็งขันในการพัฒนาภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ไทยให้มีแรงขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ ก้าวข้ามข้อจำกัดด้านเงินทุนและอำนาจต่อรอง โดยอาศัยพันธมิตรทางธุรกิจเป็นสะพานเชื่อมไปสู่โอกาสใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและการขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อย กระตุ้นให้เกิดการค้าและธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลเพื่อความสะดวกรวดเร็วแก่ภาคธุรกิจและผู้บริโภค ตลอดจนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยตลอดทั้ง Supply Chain เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความแข็งแกร่งและพร้อมเริ่มต้นกับโอกาสครั้งใหม่หลังวิกฤตโควิด-19
#3792


วันที่ 30 ก.ค.64 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการโสมสวลี ชั้น 11 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยส่วนหนึ่งของผู้เข้าร่วมประชุมใช้ระบบ conference โดยมีนางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เข้าร่วมด้วย ภายหลังจากการประชุม นายจุรินทร์ เผยว่า มีประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น คือ

1. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบให้จ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุผู้มีรายได้น้อย ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท จำนวน 100 บาทและมีรายได้ 30,000 ถึงไม่เกิน 100,000 บาท เป็นจำนวน 50 บาท สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยที่ผ่านมาได้มีการค้างการจ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นเวลา 4 เดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน 2563 วันนี้ที่ประชุมมีมติให้จ่ายเงินย้อนหลังให้กับผู้สูงอายุที่ค้างจ่ายอยู่จำนวน 4,700,000 รายทั่วประเทศและมีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปี 2564 โดยให้จ่ายเป็นเวลา 1 ปี รวม 6 งวด โดยจ่ายเดือนเว้นเดือน ซึ่งมีอยู่จำนวน 4,700,000 ราย

2. การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนซึ่งเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ สำหรับผู้สูงอายุที่รับเงินไปแล้วจะทำอย่างไร ได้มีการถามไปยังกฤษฎีกาได้ตอบกลับมาแล้วว่าให้สามารถดำเนินการได้ ถ้าผู้สูงอายุท่านใดจ่ายเงินกลับคืนมาให้จ่ายกลับไปยังผู้สูงอายุโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องจ่ายเงินคืนไปให้ผู้สูงอายุ สำหรับการดำเนินการกรณีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในอนาคตได้มีการตั้งอนุกรรมการชุดหนึ่งเพื่อพิจารณาดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วภายใน 1 เดือนตามที่กฤษฎีกาแนะนำมาเบื้องต้น จากนั้นจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่รับเบี้ยยังชีพซ้ำซ้อนมีอยู่ 15,000 ราย

3. ก่อนหน้านี้มีการจัดโครงการชำระหนี้ให้กับผู้สูงอายุที่เป็นหนี้กองทุนผู้สูงอายุและจะครบกำหนดวันที่ 30 กันยายน 2564 ที่ประชุมมีมติให้ต่ออายุพักชำระหนี้ผู้สูงอายุไปอีกหกเดือนจนถึงเดือนมีนาคมปี 2565

4. ที่ประชุมให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุระยะยาวตั้งแต่ปี 2566-2580 ที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

และ ประเด็นที่5 ที่ประชุมขอให้ตนเรียนให้ผู้สูงอายุทั่วทั้งประเทศได้รับทราบว่าคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นห่วงเป็นใยผู้สูงอายุทุกคนโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้สูงอายุทุกท่านขอความกรุณาให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิดกรุณาอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุที่เข้าไปขอรับบริการเป็นกรณีพิเศษด้วย
#3793



ฝ่ายประชาสัมพันธ์กรมทางหลวง (ทล.) แจ้งว่า ตามที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม  มอบนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้ขยายทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่-เชียงราย เป็นถนนมาตรฐานขนาด 4 ช่องจราจร ไป-กลับ ตลอดเส้นทาง 158.473 กม. จากเดิมมีขนาด 2 ช่อง ไป-กลับ เพื่อเสริมสร้างโครงข่ายทางหลวงพื้นที่ภาคเหนือให้สมบูรณ์ 

ที่ผ่านมา ทล. ขยายทางหลวงสายดังกล่าวเป็น 4 ช่อง แล้วเสร็จ 48 กม. และได้ดำเนินโครงการก่อสร้างเป็น 4 ช่อง อีกระยะทาง 42.8 กม. ช่วง อ.ดอยสะเก็ด-ต.แม่ขะจาน ระหว่าง กม.20+200-กม.63+000 ซึ่งขณะนี้เหลือเพียง ตอน อ.ดอยสะเก็ด-ต.ป่าเมี่ยง ตอน 1 ระหว่าง กม.20+200-กม.31+700  ระยะทาง 11.5 กม. ขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 93% คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน ก.ย.นี้ จะทำให้เพิ่มระยะทางเป็น 4 ช่องรวม 91 กม. ทั้งนี้มีบางช่วงที่ดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้เส้นทางไปแล้ว 


ส่วนที่เหลืออีก 67.473 กม. ที่ยังเป็น 2 ช่องอยู่ และเป็นช่วงสุดท้ายโดยอยู่ในพื้นที่ ต.บ้านโป่ง-บรรจบทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ระหว่าง กม.91+000 กม.158+473 เนื่องจากสภาพเส้นทางมีลักษณะคดเคี้ยว  เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง  จำเป็นต้องปรับปรุงให้เป็นทางหลวงขนาด 4 ช่องตลอดเส้นทาง เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทาง  ยกระดับความปลอดภัยด้านคมนาคมขนส่ง และรองรับปริมาณการจราจรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะภาคการขนส่งและการท่องเที่ยว 


ทั้งนี้ ทล. จึงเร่งดำเนินโครงการสำรวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 118 (สายเชียงใหม่-เชียงราย) แบ่งเป็น 2 ตอน คือ 1.ตอน บ.แม่เจดีย์-อ.แม่สรวย 50 กม. อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลสำรวจผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เพื่อศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และจัดทำรายงาน EIA เสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) หากผ่านการพิจารณาแล้วโครงการจะมีความพร้อมเพื่อเสนอของบประมาณดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณ ปี 67 แล้วเสร็จปี 69 


และ 2.ตอน อ.แม่สรวย-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 จ.เชียงราย 17.473 กม. กำลังเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณจากแหล่งเงินกู้ (เพิ่มเติม) อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และหากได้รับงบประมาณจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป  โดยใช้งบประมาณโครงการ  2,000 ล้านบาท  คาดว่าเริ่มดำเนินการได้ประมาณปี 65 แล้วเสร็จปี 67 

สำหรับโครงการ ตอน อ.แม่สรวย-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 จ.เชียงราย มีจุดเริ่มต้นบริเวณ กม.141+000 ท้องที่ ต.แม่สรวย สิ้นสุดที่จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธินบริเวณ กม.910+123) ที่ กม.158+473 ต.ดงมะดะ ครอบคลุมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่สรวย  อ.แม่ลาว และ  3 ตำบล ได้แก่ ต.แม่สรวย ต.ดงมะดะ ต.จอมหมอกแก้ว รูปแบบการก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตขนาด  4 ช่อง ความกว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยแบริเออร์คอนกรีตกว้าง 1.60 เมตร  


มีรูปแบบทางแยก 4 จุดตัด ดังนี้ 1.จุดตัดทางหลวงชนบทหมายเลข ชร.2113 (กม.146+994) ออกแบบเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 เป็นสะพานยกระดับ ลดการตัดกระแสของการจราจรบริเวณทางแยกและมีการจัดการทางแยกระดับพื้นดินในลักษณะวงเวียน ออกแบบทางขนานเพื่อแยกการจราจรระหว่างการเดินทางในพื้นที่กับถนนสายหลัก และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 5.50 เมตร 2.จุดตัดทางหลวงหมายเลข 1211 (กม.154+647) ออกแบบเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 เป็นสะพานยกระดับ ลดการตัดกระแสของจราจรบริเวณทางแยกและมีการจัดการทางแยกระดับพื้นดินในลักษณะวงเวียน ออกแบบทางขนานเพื่อแยกการจราจรระหว่างการเดินทางในพื้นที่กับถนนสายหลัก และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 5.50 เมตร 


3.จุดตัดถนนเลียบคลองชลประทาน (กม.156+500) โดยรื้อสะพานข้ามคลองชลประทาน บนเส้นทางสายหลักทางหลวงหมายเลข 118 ในปัจจุบันออก เพื่อออกแบบเป็นสะพานยกระดับข้ามคลองชลประทาน โดยออกแบบทางขนานเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางในพื้นที่ และแยกกระแสจราจรของรถที่ใช้ความเร็วออกจากกันเพื่อความปลอดภัยบริเวณใต้สะพานออกแบบจัดการจราจรเป็นระบบวงเวียนของถนนเลียบคลองชลประทานทั้ง 2 ฝั่ง และกำหนดจุดกลับรถใต้สะพานสำหรับความสูงไม่เกิน 4.50 เมตร 


และ 4.จุดตัดถนนทางหลวงหมายเลข 1 ที่ กม.158+473 แนวเส้นทางตัดกับทางหลวงหมายเลข 1  ที่ กม.910+123 และเป็นจุดสิ้นสุดของโครงการ  สภาพพื้นที่ในปัจจุบันเป็น 3 แยกสัญญาณไฟแบบ channelize แต่เนื่องจากเป็นทางแยกหลักที่เชื่อมโยงระหว่าง 3 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา ซึ่งปริมาณจราจรที่ผ่านจุดตัดนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้จำเป็นต้องพิจารณาออกแบบปรับปรุง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทางแยกให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น 

โดยออกแบบทางยกระดับข้ามทางแยก 1 ทิศทาง บนทางหลวงหมายเลข 1 ฝั่งมุ่งหน้าจาก จ.พะเยา ไปตัวเมืองเชียงราย พร้อมทางขนานทางยกระดับ ทิศทางมุ่งหน้าจากตัวเมืองเชียงรายไป จ.พะเยา จะขยายถนนระดับพื้นดิน จากเดิม 2 ช่อง เป็น 4 ช่อง โดยออกแบบเกาะกลางรูปปีกนกสำหรับแบ่งรถในทิศทางตรงให้สามารถผ่านทางแยกได้คล่องตัว ไม่ต้องติดสัญญาณไฟจราจร ส่วนทิศทางเลี้ยวขวาเข้า-ออก จากทางหลวงหมายเลข 118 จะถูกควบคุมด้วยสัญญาณไฟจราจร ทำให้ลดการตัดกระแสจราจรบริเวณทางแยกและทำให้การจราจรบนทางหลวงหมายเลข 1 เกิดความคล่องตัว  


เมื่อโครงการดังกล่าวแล้วเสร็จจะช่วยเติมเต็มโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งทางหลวงหมายเลข 118 ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ช่วยลดอุบัติเหตุ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถรองรับปริมาณการจราจรที่มากขึ้นจากเดิม 1-1.8 หมื่นคันต่อวัน เป็น 3 หมื่นคันต่อวัน ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางระหว่าง จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย จากเดิมที่ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ลดลงเหลือ 3 ชม. ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนให้สะดวกรวดเร็ว ช่วยส่งเสริมด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว จ.เชียงราย และเกิดโครงข่ายคมนาคมขนส่งในพื้นที่ภาคเหนือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
#3794
111-Lotto 111  ตัวแทนจำหน่าย ล็อตเตอรี่ออนไลน์ รายใหญ่ของ มังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์  ปรับเปลี่ยนรูปแบบการซื้อล็อตเตอรี่แบบใหม่  ยุค new normal




ไม่ต้องไปหน้าแผง ไม่ต้องเสียเวลาก้มหาเลข ไม่ต้องไปลุ้นว่าจะมีเลขที่อยากได้มั้ย แค่แอดไลน์ หาเรา บอกเลขที่ต้องการ เลขเด็ด เลขดัง แจ้งโอนเงิน จะได้รับ SMS ยืนยัน




ถ้าถูกรางวัลสามารถขึ้นเงินได้จริง ได้รับเงินจริงไม่เกิน 24 ชม โดยปกติใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงหลังผลสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเท่านั้น 

ขั้นตอนการซื้อ ล็อตเตอรี่ออนไลน์ กับเรานั้น ง่ายๆ มาก มี 2 แบบให้เลือกแล้วแต่สะดวก

1. แอดไลน์ @111-lotto หรือคลิกทีนี่ เพื่อ คุยกับแอดมินโดยตรงและทำการสั่งซื้อและโอนเงินผ่านไลน์ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน 

111-lotto รีบแอดไลน์เพื่อเลือกเลขรางวัลก่อนใคร

Add Line : @111-lotto





2. สั่งซื้อผ่านระบบ 111-lotto ล็อตเตอรี่ของของมังกรฟ้าล็อตเตอรี่ออนไลน์ ด้วยตัวเอง จะทำที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาไหนก็ได้ Add Line : @111-lotto


 


 
#3795



เป็นซีรีส์จีนที่มาแรงแซงทุกเรื่อง และมียอดสตรีมสูงสุดบนแพลตฟอร์มวีทีวีทั่วภูมิภาคใน ขณะนี้ สำหรับซีรีส์เรื่อง "ฟอลลิ่ง อินทู ยัวร์ สไมล์" (รัก) ยิ้มของเธอ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการประกาศรายชื่อศิลปินดังทัพไอดอลที่มาร่วมร้องเพลงประกอบให้ซีรีส์เรื่องนี้เมื่อเดือน มิ.ย.

ล่าสุดทาง NSMG ประกาศวันจำหน่ายอัลบั้มอย่างเป็นทางการทั่วโลก ในวันศุกร์ที่ 30 ก.ค.นี้ หลังซีรีส์จบลงทาง NSMG ก็ได้ปล่อยวิดีโอเบื้องหลังการทำอัลบั้มเพลงประกอบซีรีส์ชุดนี้ออกมาทางยูทูบช่อง NSMGroup โดยมี สวีข่าย, เฉิงเซียว, เซเว่นทีน, เวย์วี, แองเจล่า จาง, จ๋าย เซียวเหวิน, เกาหาน และอีกหลายศิลปินมาร่วมบอกเล่าความรู้สึกถึงเพลงของพวกเขา ความท้าทายที่ต้องเผชิญ รวมถึงเรื่องราวเบื้องหลังในระหว่างการบันทึกอัลบั้มชุดนี้ด้วย


นอกจากอัลบั้มเพลงประกอบซีรีส์แล้ว เร็วๆนี้ยังจะมีอัลบั้มเพลงบรรเลงที่จะปล่อยออกมาให้แฟนๆได้ฟังและได้ระลึกถึงฉากประทับใจ ติดตามความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมได้ที่โซเชียลมีเดียหลักของ NSMG.
#3796



ราคาทองวันนี้พฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 ประกาศครั้งที่ 1 (เปิดตลาด) เมื่อเวลา 09.27 น. ปรับขึ้น 200 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพุธ ที่แม้ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 3 รอบ แต่รวมแล้วคงที่ไม่เพิ่มไม่ลดจากราคาซื้อขายเมื่อวันอังคาร

ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม2564 (ประกาศครั้งที่ 1)

ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,750 บาท รับซื้อบาทละ 27,636.68 บาท

ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,250 บาท
รับซื้อบาทละ 28,150 บาท

ราคาทองคำ Spot เช้านี้ปรับตัวขึ้นสู่บริเวณ 1,815 ดอลลาร์ หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย 10 เซนต์ สู่บริเวณ 1,799.7 ดอลลาร์ ก่อนที่จะทราบผลการประชุมคณะกรรมการ FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม และคงมาตราการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าตลาดแรงงานสหรัฐจะแข็งแกร่ง

ราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้เพิ่มขึ้น 80 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,790 ดอลลาร์ฮ่องกง
#3797
ป้ายไฟวิ่ง LED ดิจิตอล 2 รูปแบบ กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี

**** Single color ****** ราคา 2,900 .- 

**** FULL color ****** ราคา 4,200 .-

- กันน้ำ 100% - รับประกัน 1 ปี










#3798



นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการในคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อกำกับการปฏิรูปกฎหมายของรัฐบาล เปิดเผยว่า คณะกรรมการได้จัดทำข้อเสนอในการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนของประเทศไทยเพื่อใช้เป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการชักจูงให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งดึงดูดให้คนที่มีความสามารถสูงเข้ามาทำงานและใช้ชีวิตในประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็นการเตรียมความพร้อมและฟื้นฟูประเทศไทยหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง

โดยในส่วนนี้ต้อมีการปรับปรุงกฎหมายหลายส่วนโดยเฉพาะเกกณฑ์การซื้อที่อยู่อาศัยและวีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาว ในส่วนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์ได้เสนอผ่านคณะกรรมการฯไปยังนายกรัฐมนตรีว่าให้มีการปรับปรุงในส่วนของข้อกำหนดเดิมที่ให้ชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยซึ่งต้อการจะซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศสามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศไทยได้ จากเดิมกำหนดว่าจะต้องใช้แหล่งเงินจากภายนอกประเทศเข้ามาซื้อ ซึ่งในส่วนนี้จะช่วยจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาทำงานและอาศัยในไทยในระยะยาวมากขึ้น 

และช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับภาคอสัหาริมทรัพย์ในปัจจุบันซึ่งในสต็อกของคอนโดเหลืออยู่จำนวนมาก ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการหารือกับธนาคารพาณิชย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกรมที่ดินแล้ว โดยขั้นตอนต่อไปจะต้องเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.คอนโดฯ คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายใน 1 เดือน ซึ่งในส่วนนี้จะปลดล็อกเฉพาะคอนโคฯก่อนไม่เกี่ยวกับการซื้อบ้านซึ่งในส่วนนั้นมีประเด็นของกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปในขณะนี้ 

"นักธุรกิจ และชาวต่างชาติที่ทำงานในเมืองไทยจำนวนหนึ่ง ต้องการที่จะซื้อคอนโดมิเนียมที่มีราคาแพงมากเป็นพรีเมี่ยมแต่กฎหมายกำหนดว่าไม่ให้คนกลุ่มนี้กู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศมาซื้อคอนโดฯ หากสามารถปลดล็อกในส่วนนี้ได้ก็จะช่วยให้สามารถระบายสต็อกคอนโดที่มีอยู่จำนวนมากได้ส่วนหนึ่ง"

สำหรับการต่ออายุคอนโดมิเนียมประเภทการซื้อที่ให้สิทธิการเช่าที่ถือครองกรรมสิทธิ์ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดหรือ "ลีสโฮลด์" (Leasehold) คณะกรรมการฯก็ได้เสนอให้ขยายสิทธิ์จากเดิม 30 ปี เป็น 50 ปีเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและการขยายระยะเวลาเช่ากรรมสิทธิ์ให้ยาวขึ้นก็จูงใจให้มีการทำธุรกรรมในรูปแบบนี้มากขึ้น

สำหรับการแก้ไขเรื่องการให้วีซ่าของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการมาอาศัยระยะยาวในประเทศไทย (long stay Visa) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เกษียณอายุหรือเป็นกลุ่มที่มีอายุมากไม่ได้ทำงานแล้วเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทยแบบระยะยาว ได้เสนอให้มีการพิจารณาปรับปรุงจากการให้วีซ่าในระยะเวลา 1 ปีต่อครั้ง เป็น 5 ปีต่อครั้งซึ่งจะจูงใจกลุ่มผู้สูงอายุในกลุ่มประเทศแสกนดิเนีวยร์ ญี่ปุ่น และออสเตรเลียให้มาอยู่ในประเทศไทยได้มากขึ้น ซึ่งเมื่อกลุ่มนี้มาอยู่ในระยะยาว 5 ปีก็จะคิดเรื่องการซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งกฎเกณฑ์เรื่องการกู้เงินเพื่อซื้อคอนโดในประเทศไทยได้ก็จะเอื้อให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

นายกอบศักดิ์กล่าวต่อว่าในส่วนของการผลักดันเรื่องการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน และการตัดลดกฎหมายที่ไม่จำเป็น (regulatory guillotine) ได้ทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าข้อกฎหมายที่ไม่มีความจำเป็น ไม่ทันสมัยหรือเข้ากับสถานการณ์ซึ่งพบว่ามีอยู่ประมาณ 1,000 กระบวนงานข้อกฎหมาย คำสั่ง หรือกฎกระทรวงต่างๆ ที่เป็นปัญหา

ซึ่งได้ส่งแบบสอบถามไปยังหน่วยงานต่างๆที่เป็นเจ้าของกฎหมายแล้วซึ่งมีการสอบถามว่าจะปรับเปลี่ยน แก้ไขได้อย่างไรซึ่งมีการตอบกลับมาแล้ว 50% 30% มีความเห็นด้วยว่าจะต้องแก้ไขปัญหาและจำนวนไม่น้อยขั้นตอนจำนวนมากสามารถแก้ไขได้ที่หน่วยงานราชการนั้นเองให้มีความรวดเร็วขึ้น คล่องตัวขึ้น เหมือนกับการทำ 5 ส. ส่วนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ต้องแก้กฎหมายก็จะมีการเสนอให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป

อย่างไรก็ตามในส่วนที่สามารถแก้ไขได้จากการปรับลด แก้ไขกระบวนงานซึ่งลดลงได้ 20 - 30% จะได้เกือบ 200 - 300 ข้อ ซึ่งหากคิดเป็นการลดต้นทุนของประชาชนและภาคธุรกิจลงได้กว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยในการปรับลดกฎหมายและตัดลดกฎหมายที่ไม่จำเป็นหรือแนวทาง "5 ส.กฎหมาย" ในส่วนของราชการ ได้วางแนวทางในการพิจารณาของหน่วยงานราชการไว้ 3 ข้อได้แก่

1.เป็นระเบียบ ข้อกำหนดที่ไม่มีกฎหมายรองรับ

2.เป็นกฎหมายที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจ

และ 3.เป็นกฎหมายไม่เหมาะสมกับยุคสมัย 

"หลายประเทศในอาเซียนกำลังให้ความสำคัญและจริงจังกับการปฎิรูปและสะสางกฎหมายที่ไม่มีความจำเป็น เป็นภาระให้ประชาชน ภาคธุรกิจ หรือเป็นกฎหมายที่ล้าสมัย เนื่องจากทุกประเทศรับทราบข้อมูลที่ตรงกันว่าการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายจะมีผลต่อการดึงดูดการลงทุน และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและมีผลต่อการจัดอันดับความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจ (Ease of doing business) ซึ่งหากประเทศไทยไม่ดำเนินการในเรื่องนี้ก็จะเสียเปรียบและตกขบวนการพัฒนาและการลงทุนจากต่างประเทศที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน"นายกอบศักดิ์กล่าว 
#3799


นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 29 กรกฎาคมนี้ คณะทำงาน ส.อ.ท. เตรียมหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งทาง ส.อ.ท. จะสอบถามความคืบหน้าการจัดสรรวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดให้กับภาคอุตสาหกรรมล่าสุดเป็นอย่างไร รวมทั้งจะแจ้งมาตรการที่ ส.อ.ท. กำลังดำเนินการในการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่มีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้ตัวเลขการติดเชื้อในโรงงานขนาดใหญ่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ต้องเร่งกันช่วยกันป้องกัน ไม่เช่นนั้นจะกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งกระทบการแพร่ระบาดในชุมชน หากต้องปิดโรงงาน จะกระทบต่อกระบวนการผลิตสินค้า ซึ่งจะกระทบทั้งสินค้าในภาคการส่งออก และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในประเทศ เป็นเรื่องใหญ่มาก หรือถ้ารัฐสั่งปิดเอง ต้องจ่ายเงินเยียวยาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. ได้เร่งผลักดันให้ทุกโรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข ประเมินตนเอง และโรงงาน ผ่านไทย สต็อป เซอร์วิส พลัส และไทย เซฟ ไทย รวมทั้งล่าสุดได้ยกระดับให้เข้มข้นขึ้น ให้โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทุกแห่งดำเนินการมาตรการ บับเบิล แอนด์ ซีล (bubble and seal) ซึ่งเป็นการควบคุมคนในโรงงาน ให้มีกิจกรรมปะปนกันเอง และกับคนนอกโรงงานให้น้อยที่สุด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดการติดเชื้อ โดยแรงงานที่อาศัยนอกโรงงานต้องควบคุมการเดินทางระหว่างที่ทำงานกับที่พักอาศัย ไม่แวะทำธุระระหว่างเดินทาง และเมื่อกลับถึงที่พัก ต้องอยู่ภายในที่พักอาศัยเท่านั้น ขณะที่แรงงานที่พักอาศัยในโรงงาน ต้องมีการควบคุมไม่ให้แรงงานออกนอกพื้นที่แรงงาน

นอกจากนี้ ได้แจ้งให้โรงงานขนาดใหญ่เตรียมพร้อมแผนรับมือหากมีการติดเชื้อในโรงงานจำนวนมาก โดยให้จัดโรงพยาบาลสนาม และพื้นที่พักคอยสำหรับผู้ติดเชื้อ จัดเตรียมสถานที่พักในโรงงานหรือในชุมชน เป็นที่พักสำหรับผู้สัมผัสผู้ป่วย แต่ยังตรวจไม่พบเชื้อหรือยังไม่มีอาการ จัดเตรียมระบบเดินทางรับ-ส่ง คนงาน จากที่พักถึงโรงงานหรือสถานประกอบการ ป้องกันการแวะระหว่างทาง จัดหาร้านจำหน่ายอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค ราคาย่อมเยา ในบริเวณโรงงานหรือที่พัก ลดการสัมผัสระหว่างคนงานและคนในชุมชน และให้จัดหาสถานพยาบาลที่พร้อมให้บริการตรวจหาเชื้อ ด้วยพีซีอาร์ (PCR) และแอนทิเจน เทสต์ คิต (Antigen Test Kit)

ส่วนการบริหารจัดการคนทำงานร่วมกันในพื้นที่โรงงาน ให้จัดพนักงานแยกเป็นกลุ่มย่อย หรือแยกเป็นบับเบิล แต่ละกลุ่มสามารถทำงานร่วมกันโดยป้องกันตนเอง แต่ไม่ให้มีการทำงานหรือกิจกรรมข้ามกลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มมีสัญลักษณ์แสดงชัดเจน ไม่ให้มีกิจกรรมข้ามกลุ่มจำนวนคนแต่ละกลุ่มยิ่งน้อยยิ่งดี เช่น โรงงานมีพนักงาน 500 ราย กลุ่มหนึ่งไม่เกิน 20 ราย ถ้าเป็น 1-5 คน จะดีที่สุด หากบับเบิลใดมีผู้ติดเชื้อ กลุ่มผู้มีสัมผัสเสี่ยงสูงก็จะถูกจำกัดในบับเบิลนั้น ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง คนที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กิโลกรัม หญิงตั้งครรภ์ ให้จัดทำงานที่ไม่สัมผัสคนจำนวนมาก หากให้อยู่ในบับเบิลเฉพาะกลุ่มนี้ได้ จะทำให้เกิดความปลอดภัยสำหรับกลุ่มนี้มากขึ้น

รวมทั้งให้มีการสุ่มคนงานตรวจหาเชื้อในสถานประกอลการขนาดใหญ่ ให้สุ่ม 75 ราย ต่อคนงานทุกๆ 500 ราย สถานประกอบการขนาด 100-500 ราย สุ่ม 75 ราย โดยกระจายการสุ่มให้ครอบคลุมกลุ่มต่างๆ ที่แยกไว้ หากพบผู้ติดเชื้อ ให้แยกไปอยู่ในโรงพยาบาลสนาม ศูนย์พักคอย หรือรักษาตนเองที่บ้าน ส่วนคนงานที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับผู้ติดเชื้อ ถือว่าเป็นผู้สัมผัส ให้หยุดงานและกักตัว 14 วันทุกราย
#3800



โลตัส เปิดแพลตฟอร์มให้มูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสาลงทะเบียนรับข้าวกล่องไปส่งต่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในจังหวัดสีแดงเข้ม ภายใต้โครงการ "ข้าวกล่องเต็มอิ่ม เติมยิ้มร้านอาหาร" โดยให้ร้านอาหารในศูนย์อาหารที่ปิดบริการตามนโยบายภาครัฐเป็นผู้ปรุงอาหาร เพื่อสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ

เมื่อวานนี้ (27 ก.ค.2564) นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหารธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า "จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยที่ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น มีผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยงที่กักตัวที่บ้านและผู้ยากไร้ที่ขาดแคลนอาหาร นอกจากนั้น ผู้ประกอบการร้านอาหารขนาดเล็กในห้างสรรพสินค้าและศูนย์อาหารใน 13 จังหวัดสีแดงเข้มไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามมาตรการภาครัฐ ก็ประสบปัญหาขาดรายได้ จึงเป็นที่มาของโครงการ ข้าวกล่องเต็มอิ่ม เติมยิ้มร้านอาหาร โดยในเดือนสิงหาคม 2564 โลตัสจะว่าจ้างผู้ประกอบการร้านอาหารรายย่อยปรุงอาหารจำนวน 100,000 กล่อง แจกจ่ายใน 10 จังหวัดสีแดงเข้มที่มีสาขาของโลตัสตั้งอยู่ เพื่อให้มูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสามารับเพื่อไปส่งมอบให้กับผู้ป่วยหรือผู้ที่ยากไร้ต่อไป

โลตัส ขอเชิญชวนมูลนิธิและเครือข่ายจิตอาสา แจ้งความประสงค์ขอรับข้าวกล่องผ่านช่องทางออนไลน์ https://forms.office.com/r/BUB62YA9JEโดยจะได้รับการติดต่อจากสาขาเพื่อรับข้าวกล่องต่อไป"

สำหรับ 10 จังหวัดที่ร่วมโครงการ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดสงขลา จังหวัดนครปฐม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดชลบุรี