• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - Chigaru

#3681


พลพรรคนักเตะของ อาร์เซนอล พุ่งชนคำว่าพ่ายแพ้ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาล หลังบุกไปโดน เบรนต์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่ยิงดับ 2-0 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คู่เปิดสนาม เมื่อคืนวันที่ 13 สิงหาคม ที่ผ่านมา

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เบรนต์ฟอร์ด 2-0อาร์เซนอล

เกมเปิดซีซัน อาร์เซนอล ยกพลเยือน เบรนต์ฟอร์ด น้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้น เกมนี้เจ้าบ้านใช้ อิวาน โทนี กับ ไบรอัน เอ็มบูโม่ เป็นคู่หน้า ส่วน "ปืนโต" ใช้ โฟลาริน บาโลกัน, นิโคลัส เปเป้ และ เอมิล สมิธ โรว เป็นตัวบุก

เริ่มเกม 2 นาที อาร์เซนอล ทักทาย นิโคลัส เปเป้ จ่ายต่อให้ คีแรน เทียร์นี ลองซัดไกลแต่ติดเซฟ เดวิด รายา ถัดมา นาที 12 เบรนต์ฟอร์ด เกือบทำได้ อิวาน โทนี ดีดออกขวาให้ ไบรอัน เอ็มบูโม่ ลากขึ้นไปยิงแต่ชนเสา

และแล้ว นาที 22 เบรนต์ฟอร์ด ยิงจนได้ อีธาน พินน็อก โหม่งตั้งให้ เซร์จี กานอส ลากหาช่องแล้วซัดเปรี้ยง 1-0 ต่อมา นาที 41 อาร์เซนอล จะตีเสมอ คีแรน เทียร์นี เปิดมาแล้ว โฟลาริน บาโลกัน โหม่งแต่ออกหลัง หมดครึ่งแรก ปืนโต เป็นฝ่ายตามหลัง

ครึ่งหลัง อาร์เซนอล จะทวงคืน นาที 65 นิโคลัส เปเป้ เปิดลูกเตะมุมให้ กาเบรียล มาร์ติเนลลี โหม่งจ่อๆ แต่ออกหลัง ทว่า นาที 73 กองเชียร์ เบรนต์ฟอร์ด เฮลั่น .ลอยโด่งกลางอากาศแล้ว คริสเตียน นอร์การ์ด โหม่งทิ้งห่าง 2-0

ท้ายเกม นาที 80 เบรนต์ฟอร์ด เกือบได้เม็ดสาม เซร์จี กานอส เปิดย้อยเข้ากบาล คริสเตียน นอร์การ์ด โขกแต่ออกหลัง สุดท้ายไม่มีประตูแล้ว จบเกม เบรนต์ฟอร์ด ทำเซอร์ไพรส์ดับทีมยักษ์เปิดซีซันอย่างเร้าใจ

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เบรนต์ฟอร์ด- เดวิด รายา, พอนตัส แยนเซน, อีธาน พินน็อก, คริสตอฟเฟอร์ อาเยอร์, วิตาลี เจเนต็ต, แฟรงค์ ออนเยก้า, คริสเตียน นอร์การ์ด, ริโก เฮนรี, เซร์จี กานอส, อิวาน โทนี, ไบรอัน เอ็มบูโน่
อาร์เซนอล - แบรนด์ เลโน, พาโบล มารี, เบน ไวท์, คีแรน เทียร์นี, คาลัม แชมเบอร์ส, เอมิล สมิธ โรว, กรานิต ชาก้า, อัลเบิร์ต ลากองก้า, โฟลาริน บาโลกัน, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, นิโคลัส เปเป้
#3682


การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่มีสายป่านสั้น ซึ่งปัจจุบันมีเอสเอ็มอีรวม 3.1 ล้านราย มีการจ้างงาน 12.7 ล้านคน โดยส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ 5.55 ล้านคน รองลงมาภาคการค้า 4.24 ล้านคน ภาคการผลิต 2.85 ล้านคน แลถธุรกิจเกษตร 63,402 คน

ในขณะที่สถานการณ์เอสเอ็มอีล่าสุดในช่วง 5 เดือน แรกของปี 2564 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รายงานว่ามีการจัดธุรกิจใหม่ของเอสเอ็มอี 27,607 ราย เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 6.35% และมีการเลิกกิจการ 3,882 ราย ลดลง 20.63%

นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้มีรายได้น้อยและเอสเอ็มอี ซึ่งพึ่งพาการบริโภคและการใช้จ่ายของประชาชนภายในประเทศ ซึ่งในกลุ่มนี้จะแตกต่างจากกลุ่มธุรกิจส่งออกที่ธุรกิจยังไปได้ดีจากการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก


หวังลดปัญหาปลดคนงาน

ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าที่คาด และที่ในระบบเศรษฐกิจมีบางส่วนที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้จากการระบาดของโควิด-19 ที่มีความรุนแรง และมีผลกระทบต่อเนื่องทำให้มาตรการการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนจากภาครัฐยังคงมีส่วนสำคัญซึ่งนอกจากมาตรการการแจกเงินให้กับประชาชนการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านมาตรการการเยียวยาต่างๆ ที่มีการทำไปก่อนหน้านี้ มาตรการที่ภาครัฐควรดำเนินการ คือ การเร่งมาตรการพยุงการจ้างงานให้กับภาคเอสเอ็มอี เพื่อลดผลกระทบที่นายจ้างจะเลิกกิจการหรือปลดคนงาน 

ปัจจุบันเอสเอ็มอีของไทยมีผู้ประกอบการ 3.1 ล้านราย มีการจ้างงานประมาณ 13 ล้านคน ซึ่งการให้การช่วยเหลือพยุงการจ้างงานให้กับเอสเอ็มอีนั้น ภาครัฐสามารถให้ความช่วยเหลือเป็นรายธุรกิจหรืออาจช่วยเหลือทั้งระบบก็ได้ 

นอกจากนี้ หากช่วยเหลือทั้งระบบโดยการอุดหนุนเงินเป็นรายหัวลูกจ้างรายละ 3,000 บาทต่อเดือน ซึ่งหากช่วยทั้งระบบประมาณ 13 ล้านคน จะใช้เงินเดือนละ 4.8 หมื่นล้านบาท หากช่วยเหลือเป็นระยะเวลา 3 เดือน ก็จะใช้เงิน 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งนำเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท มาใช้ได้ 


วางเงื่อนไขอุ้มจ้างงาน

สำหรับเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือพยุงการจ้างงาน ในต่างประเทศมีการวางเงื่อนไขที่จำเป็น ได้แก่ 

1.เงื่อนไขห้ามเลิกจ้างพนักงาน หรือจ้างได้ไม่เกิน 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด 

2.กำหนดเงื่อนไขให้นายจ้างมีการอบรมเพิ่มทักษะที่จำเป็นสำหรับสำหรับพนักงานในอนาคต เช่น ทักษะดิจิทัล หรือทักษะงานใหม่ๆที่จำเป็นสำหรับ "โลกหลังโควิด" โดยภาครัฐอาจสนับสนุนค่าฝึกอบรมเพิ่มทักษะเป็นรายหัวให้กับพนักงานเหล่านี้คนละ 1,000 บาท เป็นต้น ซึ่งเงินส่วนนี้สามารถใช้งบประมาณเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆได้โดยไม่ต้องใช้เงินกู้ก็ได้ 

"การให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีในช่วงนี้ถือว่ามีความจำเป็น เพราะหากช่วยเหลือให้ยังดำเนินกิจการต่อได้ ยังมีกำลังในการจ้างงานได้ ก็จะลดปัญหาการว่างงานลงได้ หากปล่อยให้เอสเอ็มอีต้องปิดกิจการ มีคนงานตกงานจำนวนมากแล้วค่อยมาช่วยเหลือจะแก้ปัญหานี้ได้ยากกว่า" นางสาวกิริฎา กล่าวว่า

แนะอุดหนุนงบอบรมเสริมทักษะ

ดังนั้น ในช่วงที่ภาคส่วนเศรษฐกิจต่างๆ ยังคงไม่ฟื้นตัวได้เต็มที่การแจกเงินเยียวยาประชาชนยังมีความจำเป็น แต่ต้องมีมาตรการที่จะช่วยเหลือพยุงการจ้างงานของเอสเอ็มอี โดยการอุดหนุนงบให้กับเอสเอ็มอีเพื่อใช้ในการฝึกทักษะอาชีพเพื่อให้แรงงานมีทักษะและความสามารถพร้อมที่จะปรับตัวได้หลังโควิด-19 ก็มีความจำเป็น

นางสาวกิริฎา กล่าวว่า ภาคส่วนของเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวกลับมาช้าหลังจากวิกฤติโควิิด-19 คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งกว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทย 39 ล้านคน เหมือนกับก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 จะต้องใช้เวลาอีกหลายปี คาดว่าอาจจะเป็นในปี 2567 เนื่องจากประเทศที่เป็นกลุ่มเป้าหมายการดึงดูดการท่องเที่ยวของไทยหลายประเทศทั้งในประเทศจีน อินเดีย และในอาเซียจะยังไม่เดินทางท่องเที่ยวมากนัก 

อย่างกรณีของประเทศจีนยังไม่อนุญาตให้คนเดินทางออกนอกประเทศ เพราะกังวลการติดเชื้อจากภายนอกเข้าไปในประเทศ โดยจีนกำลังจะออกวัคซีนตัวใหม่ปลายปีนี้ใช้เทคโนโลยีคล้ายกับวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าแล้วจะเริ่มระดมฉีดให้กับคนในประเทศซึ่งคาดว่าอย่างเร็วกว่าที่จีนจะให้ประชาชนออกมาท่องเที่ยวนอกประเทศได้อย่างเร็วคือช่วงกลางปี 2565 

แนะรัฐขยายเพดานหนี้

ส่วนประเด็นที่การออกมาตรการเพิ่มเติมและให้การช่วยเหลือเอสเอ็มอีในวงกว้างอาจทำได้ไม่มากนักเนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องของงบประมาณที่มีอยู่ และวงเงินกู้ที่มีอยู่จำกัด นางสาวกิริฎา ให้ความเห็นว่ารัฐบาลเองสามารถที่จะขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นได้หากมีความจำเป็นเพราะในระดับปัจจุบันหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็อยู่ที่ระดับ 59% ต่อจีดีพีแล้ว 

ทั้งนี้ หากมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นแล้วนำมาใช้ในรายการใช้จ่ายที่มีความจำเป็น เช่น เรื่องของการซื้อวัคซีน การซื้อเครื่องมือแพทย์ รวมทั้งการเยียวยาช่วยเหลือภาคเอสเอ็มอีเพื่อรักษาการจ้างงานก็ถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐสามารถที่จะทำได้ตามความเหมาะสมเพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ในระยะต่อไป 

ใช้เงินกู้ซื้อวัคซีนให้เพียงพอ

นางสาวกิริฎา กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากการล็อกดาวน์ในบางพื้นที่ยังคงมีความจำเป็น โดยในการล็อกดาวน์แบบในปัจจุบันไม่ใช่การล็อกดาวน์ที่เข้มงวดเหมือนกับช่วงเดือน เม.ย.ปีก่อน ซึ่งได้ทำให้ในช่วงนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างยังขับเคลื่อนไปได้

ทั้งนี้โมเดลการล็อกดาวน์ของไทยที่ยังให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้แตกต่างจากโมเดลของจีนที่ใช้การล็อกดาวน์แบบเข้มข้นมีการปิดเมืองและห้ามคนออกจากที่อยู่อาศัย ส่วนในยุโรปและสหรัฐที่เริ่มมีการเปิดเมืองเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเต็มที่ได้มาจากการที่ประเทศเหล่านั้นมีการระดมฉีดวัคซีนไปแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่แม้จะมีผู้ป่วยต่อวันเพิ่มมากขึ้นแต่อัตราผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ

ในขณะที่กรณีประเทศไทยหากต้องการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ได้ต้องเร่งการนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และการระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชนในอัตราที่เพิ่มขึ้นเร็วที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อให้กลับมาเปิดเศรษฐกิจได้

นางสาวกิริฎา กล่าวว่า ในการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพิ่มเติมอยากเสนอให้รัฐบาลวางแผนไปถึงปี 2565 โดยนำเงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ไปวางเงินจองวัคซีน 100 ล้านโดส ซึ่งต้องใช้เงินประมาณโดสละ 1,000 บาท รวมเป็นวงเงิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพเข้ามาแล้วสามารถฉีดได้รวดเร็วก็จะทำให้กลับมาเปิดเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น


นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า มาตรการการช่วยเหลือเอสเอ็มอีจำเป็นจะต้องมีความหลากหลายและครอบคลุมหลายมาตรการ โดยนอกจากข้อเสนอให้มีการช่วยเหลือการจ้างงานงานให้กับเอสเอ็มอีรายละ 3,000 บาท เป็นระยะเวลา 3-6 เดือน ภาครัฐควรมีมาตรการเร่งช่วยเหลือ คือ การพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยการไม่คิดดอกเบี้ยนั้นหมายถึงว่าภาคธนาคารจะต้องหยุดคิดดอกเบี้ยในส่วนของเงินต้นด้วย เพราะในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้หยุดคิดดอกเบี้ยในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยก็จริงแต่ดอกเบี้ยจากเงินต้นยังคงเดินอยู่ทำให้ภาระของผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอียังมีอยู่มาก

นายแสงชัย กล่าวว่า จากมาตรการการล็อกดาวน์ที่ประกาศในพื้นที่ 29 จังหวัด ทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบมาก เพราะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจมีขนาดจีดีพีรวมกันกว่า 70-80% ของจีดีพีประเทศ ทำให้กิจการจำนวนมากขาดสภาพคล่องหนักขึ้น และหากไม่มีมาตรการเพิ่มเติมจะกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) โดยขณะนี้มีผู้ประกอบการเข้าข่ายกลุ่มเฝ้าระวังเป็นเอ็นพีแอล (กลุ่มสีเหลือง) จำนวนมาก มีหนี้รวม 4.3 แสนล้านบาท หากปล่อยไว้อีกไม่กี่เดือนจะเป็นเอ็นพีแอลได้ถ้าไม่มีมาตรการพักชำระหนี้และดอกเบี้ย

"ขณะนี้ปัญหาการขาดสภาพคล่องมีธุรกิจถึง 13% ที่จะอยู่ไม่รอดภายใน 3 เดือน และอีก 40% ที่อาจอยู่ไม่รอดภายใน 6 เดือน และส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี ซึ่งนอกจากมาตรการเฉพาะหน้าก็ต้องมีมาตรการที่ช่วยเหลืออย่างครอบคลุม โดยมาตรการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกนั้น ต้องการให้แบงก์ชาติ และสมาคมธนาคารไทยเข้ามาเป็นเจ้าภาพ มีการลงทะเบียน และติดตามให้ความช่วยเหลือจริงจัง เพื่อประคองกิจการให้ผ่านช่วงนี้ไปได้" นายแสงชัย กล่าว
#3683


หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยข้อมูลทิศทางราคาน้ำมันดิบระยะสั้นปรับลด หลังกังวลความต้องการใช้น้ำมันอาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ จากผลกระทบของโควิด-19 โดยมีปัจจัยที่ส่งผมมาจาก ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงเล็กน้อย หลังสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายประเทศ อาทิเช่น จีน ส่งผลให้ IEA หวยออนไลน์ ปรับลดคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันในครึ่งปีหลังลง 0.55 ล้านบาร์เรลต่อวันจากการคาดการณ์ในรายงานฉบับก่อนหน้า โดยทั้งปี 2564 ความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นราว 5.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลง 0.1 ล้านบาร์เรลต่อวันจากรายงานฉบับก่อนหน้า

รวมถึง สหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้กลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในระยะยาวเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเพื่อเป็นการควบคุมราคาน้ำมันเบนซินในประเทศสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ กลุ่มผู้ผลิตจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 1 ก.ย.



นอกจากนี้ ในรายงานประจำเดือน ส.ค. กลุ่มโอเปกคาดความต้องการใช้น้ำมันในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นที่ระดับเดิมที่ 5.94 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเพิ่มขึ้น แต่เศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง

โดยปิดตลาดเมื่อวันที่ 12 ส.ค.2564 ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อยู่ที่ 69.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 0.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อยู่ที่ 71.31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลง 0.13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 70.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ พบว่า ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงกดดันจากการส่งออกจากเอเชียเหนือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคายังได้รับแรงหนุนจากตลาดน้ำมันเบนซินสหรัฐฯ ที่ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังสหรัฐฯ ปรับลดลงกว่า 1.1 ล้านบาร์เรลจากสัปดาห์ก่อนหน้า

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงกดดันจากการส่งออกจากเอเชียเหนือที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปสงค์ชะลอตัวลงตามฤดูกาล นอกจากนี้ ราคายังได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังสิงคโปร์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์

โดยปิดตลาดเมื่อวันที่ 12 ส.ค.2564 ราคาน้ำมันเบนซิน อยู่ที่ 83.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 74.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
#3684


ทวิตเตอร์ คือ สิ่งที่เกิดขึ้น #WhatsHappening และสิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึง ในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทวิตเตอร์ได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของข่าวสารและข้อมูลล่าสุดที่มาจากแหล่งข่าวน่าเชื่อถือ ในช่วงเวลานี้ที่ #StayAtHome และ #WorkFromHome กลายเป็นเรื่องปกติของใครหลายๆ คน ทำให้

ไลฟ์สไตล์และรูปแบบของการบริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับหวยออนไลน์การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ของผู้บริโภคในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทวิตเตอร์จึงได้วิจัยบทสนทนาที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคบนทวิตเตอร์ประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020 - 31 พฤษภาคม 2021 พบว่าในช่วงการแพร่ระบาด

ของโควิด-19 มีบทสนทนาเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ได้ถูกพูดถึง 5 อันดับแรก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม, ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน

ผลการวิจัยพบว่า ในประเทศไทยมี 3 เทรนด์ที่สำคัญเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่

1.การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซ

ช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 อีคอมเมิร์ซเป็นเพียงเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง แต่ปัจจุบันนี้อีคอมเมิร์ซและการ
ส่งของออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย ตลาดนัดขายของแบบเดิมถูกดิสรัปต์ และ
ทวิตเตอร์ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ผู้บริโภคจะเข้ามาค้นหาข้อมูลและสั่งซื้อสินค้าในปัจจุบัน

2. การล็อกดาวน์บางส่วนไม่ได้เป็นแค่แรงขับเคลื่อนเดียวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในประเทศไทย

ถึงแม้ว่าการล็อกดาวน์บางส่วนและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคจะมีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป จากการวิจัยของทวิตเตอร์พบว่าแม้จะอยู่ในช่วงที่มีการผ่อนปรนมาตรการการลงเพื่อให้ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารเปิดให้ผู้คนเข้ามาใช้บริการได้ แต่บทสนทนาบนทวิตเตอร์ยังคงพูดถึงเรื่องของการ
ซื้อของที่สะดวกสบาย ซึ่งอีคอมเมิร์ซคือตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของผู้บริโภคไทยที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องในอนาคต

3. แม้ว่าโปรไฟล์กลุ่มเป้าหมายของสินค้าอุปโภคบริโภคแต่ละกลุ่มจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ในบางเรื่อง

ผู้หญิงจะมีอิทธิพลในบทสนทนายอดนิยม 5 อันดับแรกทั้งหมดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม, ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เท่ากันทั้งหมดในทุกบทสนทนา แต่จากการวิจัยพบว่าผู้หญิงจะทวีตข้อความเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคมากกว่าผู้ชาย อีกทั้งยังพบว่านอกเหนือไปจากบทสนทนาที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค 5 อันดับแรก กลุ่มเป้าหมายก็ยังมีความคล้ายคลึงกันใน

บทสนทนาหัวข้ออื่นๆ อย่างเช่นโปรไฟล์ของกลุ่มเป้าหมายในเรื่องของ "ความสนใจอื่นๆ" โดย 2 อันดับแรกที่เหมือนกัน ได้แก่ ดนตรีและศิลปะ

ชานดาน ดีฟ หัวหน้าแผนก Emerging Business ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทวิตเตอร์ เปิดเผยว่า "ไม่แปลกใจเลยที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อวิถีการจับจ่ายใช้สอยของผู้คนในปัจจุบัน รวมไปถึงผู้คนบนทวิตเตอร์ในประเทศไทย เราเห็นว่าเรื่องสินค้าอุปโภคบริโภคได้กลายมาเป็น บทสนทนาที่สำคัญ และคนไทยอยากจะเป็นคนแรกที่ได้ซื้อ ลองใช้ และแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าใหม่ชนิดนั้นอย่างไร แบรนด์เองก็รู้สึกตื่นเต้นที่กลุ่มเป้าหมายขยับใกล้เข้ามามากยิ่งขึ้นและเลือกใช้ทวิตเตอร์ในการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพนับล้านคนบนทวิตเตอร์"

บทสนทนาเกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค 5 อันดับยอดนิยมบนทวิตเตอร์ประเทศไทย ได้แก่

1. ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป (Packaged Food)

บทสนทนาที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปบนทวิตเตอร์ประเทศไทยเกิดขึ้นทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และยังเป็นอันดับหนึ่งจากทั้ง 5 อันดับในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งมีการเติบโตขึ้นถึง 22% นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของ ปี 2020 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2021 ซึ่งมีแรงประสานร่วมกันที่ชัดเจนระหว่างการเติบโตของบทสนทนาบนทวิตเตอร์และการล็อกดาวน์บางส่วน

เนื่องจากคนไทยที่ใช้งานทวิตเตอร์ชอบพูดคุยกันในเรื่องของอาหารตั้งแต่สินค้า ผลิตภัณฑ์อาหาร ร้านอาหาร ไปจนถึงตัวเลือกในการช้อปปิ้งอาหารผ่านออนไลน์ อีกทั้ง นวัตกรรมสินค้ารสชาติใหม่ๆ ขนมรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น และการเปิดตัวสินค้าบนทวิตเตอร์ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเนื่องจากคนไทยบนทวิตเตอร์ต้องการเป็นคนแรกที่ได้ซื้อและได้ลอง

ในขณะที่ บทสนทนาเกี่ยวกับการทำอาหารและการทำขนมเป็นหัวข้อยอดนิยมมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดโควิด-19 แล้ว แต่ในไตรมาสแรกของปี 2021 บทสนทนาบนทวิตเตอร์ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับความสะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะความนิยมเกี่ยวกับขนมขบเคี้ยว ของกินเล่น ความชื่นชอบในการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อและร้านค้าปลีกที่เป็นอีคอมเมิร์ซ

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/NanJeera/status/1370003555654934528

2. เครื่องดื่ม (Beverages)

ช่วงโควิด-19 มีบทสนทนาเกี่ยวกับเครื่องดื่มบนทวิตเตอร์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบทสนทนาเกี่ยวกับเครื่องดื่มมักมีความเชื่อมโยงกับอาหารและได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ และการดึงเหล่าเซเลบริตี้ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ อาทิ เป๊ก ผลิตโชค (@peckpalit) วงแบล็กพิงก์ (@BLACKPINK) และดาราไทยจากซีรีส์ F4 ซึ่งช่วยขับเคลื่อนบทสนทนาและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

เครดิตทวีต: https:// twitter.com/winnieboy_2102/status/1409496936739004416

เทรนด์ของบทสนทนาเกี่ยวกับเครื่องดื่มในไตรมาสแรกของปี 2021 จะเป็นพวกเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะเครื่องดื่มที่ช่วยในเรื่องของความงามและผิวพรรณ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน

3. ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม (Hair Care)

บทสนทนาที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศที่มีจำนวนมากที่สุดในช่วงที่มีการแพร่ระบาด คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมโดยมีวัฒนธรรมป็อบเป็นตัวหลักในการจุดกระแสของบทสนทนาหัวข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นสีผมหรือสไตล์ทรงผมล่าสุดของศิลปินดารา K-pop และไอดอลไทยที่ทำให้แฟนๆ เข้ามาพูดคุยและตอบรับกับกระแสอย่างต่อเนื่อง

บนทวิตเตอร์ บทสทนาที่กำลังมาแรงนี้มีวิวัฒนาการตั้งแต่การขายสินค้าและการรีวิวสินค้าในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2020 มาจนถึงการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะในไตรมาสแรกของปี 2021 เนื่องจากคนไทยให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้นและมีการแชร์เคล็ดลับรวมถึงการแนะนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/eri_pmpm/status/1365135239983423489


เนื่องจากความอยากที่เป็นผู้นำเทรนด์ล่าสุด คนไทยบนทวิตเตอร์จึงเป็นคนกลุ่มแรกที่อยากซื้อและทดลองใช้สินค้าหรือสไตล์ใหม่ๆ ล่าสุด นอกจากนี้ยังกระตือรือร้นที่จะแชร์คำแนะนำต่อให้กับคนอื่นๆ ทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นตลาดในการขายสินค้าและเป็นแหล่งข้อมูลใหม่ล่าสุดของเทรนด์ในการดูแลเส้นผมอีกด้วย

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/Hamkdy_/status/1421072145329709066

4. ผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิว (Personal and Skin Care)

บทสนทนาที่เกี่ยวกับความงามบนทวิตเตอร์ประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมและแทบไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าบทสนทนาหัวข้อนี้ได้รับความนิยมมากสุดในกลุ่มผู้หญิง 62% แต่การทวีตข้อความที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลและบำรุงผิวก็ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชายมากถึง 38%

กลุ่มเป้าหมายชาวไทยบนทวิตเตอร์เปิดใจรับกับผลิตภัณฑ์ความงาม ทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นสถานที่สำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการเปิดตัวสินค้าดูแลและบำรุงผิวตัวใหม่ล่าสุด และด้วยความอยากลองใช้สินค้าตัวใหม่ล่าสุด คนไทยบน ทวิตเตอร์จึงรีบไปซื้อสินค้ามาลองใช้เพื่อแชร์ประสบการณ์ในการใช้งาน

นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ยังชอบแนะนำและ ขายต่อ ทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมสำหรับผลิตภัณฑ์ความงามและแบรนด์ต่างๆ เพราะว่าคนไทยยังคงมองหาสินค้าที่จะมาใช้ในกิจวัตรการดูแลความงามของตัวเองอย่างต่อเนื่องในช่วงโควิด

ซึ่งบทสนทนาในหัวข้อนี้ก็ไม่ได้ขับเคลื่อนเฉพาะแค่เรื่องความปรารถนาที่จะดูดีเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องของสุขภาพก็เป็นอีกหนึ่งบทสนทนาที่สำคัญเนื่องจากผู้คนหันมาใช้ทวิตเตอร์ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพผิว ตั้งแต่เรื่องสิว ไปจนถึงเรื่องของการมีผิวกระจ่างใสและขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องผิวพรรณ

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/FKYz_/status/1420332191708454912

5. ผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน (Home Care)

การแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงแรกผู้คนต่างมุ่งความสนใจไปในเรื่องการฆ่าเชื้อโรคในบ้านทำให้บทสนทนาที่เกี่ยวกับการดูแลบ้านเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ติดอยู่ใน 5 อันดับบทสนทนาที่เกี่ยวกับสินค้าอุปโภคบริโภค แม้ว่าบทสนทนาใน
หัวข้อนี้จะลดน้อยลงไปในระดับหนึ่ง แต่การดูแลบ้านยังคงเป็นหัวข้อบทสนทนาที่มีความสำคัญอยู่บนทวิตเตอร์ประเทศไทย

ชาวทวิตภพมักทวีตเกี่ยวกับการดูแลรักษาและการป้องกันบ้านที่อยู่ของพวกเขา และจากการสนทนาเกี่ยวกับการดูแลรักษาที่อยู่อาศัย มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2021 เทรนด์การสนทนาได้เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของความงามและสุนทรียศาสตร์แทนเนื่องจากคนส่วนใหญ่หันมาโชว์บ้านหรือห้องของตัวเองที่ดูสะอาดสะอ้านสบายตาและการตกแต่งที่ดูดีมีสไตล์ทำให้บทสนทนาในหัวข้อนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องบนทวิตเตอร์ประเทศไทย

เครดิตทวีตจาก: https:// twitter.com/JorOrYor/status/1416250284364369920

คลิกที่นี่ครบจบ เช็คสิทธิ 'ประกันสังคม' www.sso.go.th ม.33 ม.39 ม.40
ยึดทรัพย์​กว่า 100 ล้าน ปธ.สโมสรฟุต.ดังเมืองเหนือ น้องใหม่ไทยลีก 2 คดีค้ายาเสพติด
ยอด 'โควิด-19' วันนี้ ยิ่งหนัก! พบติดเชื้อเพิ่ม 23,418 ราย เสียชีวิต 184 ราย ไม่รวม ATK อีก 1,523 ราย
การเปลี่ยนแปลงเทรนด์ของผู้บริโภคสร้างโอกาสใหม่ให้กับแบรนด์

การวิจัยของทวิตเตอร์แสดงให้เห็นว่าเทรนด์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ความ
ชื่นชอบที่เกิดจากความพึงพอใจในทันทีผ่านการซื้อของออนไลน์และการช้อปปิ้งที่ร้านสะดวกซื้อทำให้เทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อยๆ

และหากมองจากมุมมองของแบรนด์ ทวิตเตอร์ ถือเป็นแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งที่แบรนด์สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ โดยผู้ใช้งาน 71% ให้คะแนนในการโต้ตอบกับแบรนด์ว่า "ดี / ดีเยี่ยม" (มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ) นอกจากนี้ทวิตเตอร์ยังเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการเปิดตัวสินค้าอุปโภคบริโภคใหม่ๆ

โดยผู้ใช้งาน 77% ให้คะแนนในเรื่องของการที่ทวิตเตอร์แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกอยู่ในขณะนั้นว่า "ดีมาก / ดีที่สุด" (มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ) ดังนั้นแบรนด์ที่ชาญฉลาดจะใช้ประโยชน์จากทวิตเตอร์ในการทำความเข้าใจเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต ขณะเดียวกันยังเป็นการเชื่อมต่อกับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพผ่านการใช้เครื่องมือโฆษณาสร้างสรรค์ของทวิตเตอร์และใช้พลังของการสนทนาบนทวิตเตอร์ได้อีกด้วย
#3685


เจ้าหน้าที่สาธารณสุขชิคาโก สหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี(12ส.ค.) รายงานพบเคสผู้ติดเชื้อ 203 รายเกี่ยวข้องกับเทศกาลดนตรีประจำปี "ลอลลาพาลูซา" แต่ระบุไม่เกินความคาดหมาย และยังไม่พบความเชื่อมโยงกับผู้ติดเชื้ออาการหนักถึงขั้นเข้ารักษาตัวในโรพยาบาลหรือเสียชีวิต

"ไม่มีอะไรที่เกินความคาดหมาย" แพทย์หญิงแอลลิสัน อาร์วาดี คณะกรรมการกรมสุขภาพชิคาโกกล่าวระหว่างแถลงข่าว "ไม่มีสัญญาณว่ามันเป็นกิจกรรมซูเปอร์สเปรดเดอร์" เธอระบุ "แต่ชัดเจนว่าด้วยที่มีประชาชนหลายแสนคนเข้าร่วมลอลลาพาลูซา เราจึงคาดหมายว่าคงมีเคสติดเชื้อโควิด-19 อยู่บ้าง"

เทศกาลดนตรีประจำปี 4 วัน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อราวๆ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ดึงดูดผู้คนราวๆ 385,000 คนมายังสวนสาธารณะริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง กระตุ้นให้ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ตั้งคำถามว่าทำไมถึงจัดกิจกรรมในช่วงเวลาเกิดโรคระบาดใหญ่เช่นนี้ ทั้งที่ปีที่แล้วได้ยกเลิกไปสืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

ภาพวิดีโอที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์พบเห็นฝูงชนอัดแน่นตามเวทีคอนเสิร์ตและระบบคนขนส่งสาธารณะ ระหว่างนั้นพบเห็นผูุ้คนสวมหน้ากากป้องกันโควิด-19 แค่ประปราย

อย่างไรก็ตามลอรี ไลท์ฟูต นายกเทศมนตรีและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ปกป้องการตัดสินใจอนุญาตให้จัดกิจกรรม ระบุว่ามีการบังคับใช้กฎระเบียบด้านความปลอดภัยต่างๆนานา ในนั้นรวมถึงผู้เข้าร่วมต้องแสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนหรือมรผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ และทางเจ้าหน้าที่เผยว่ามีราวๆ 90% ที่ฉีดวัคซีนแล้ว



อาร์วาดี ระบุว่าในบรรดาเคสผู้ติดเชื้อนั้น มีทั้งบุคคลที่มีผลตรวจเป็นบวกหลังหรือระหว่างร่วมเทศกาลลอลลาพาลูซา ซึ่งอาจสรุปได้ว่าหลายคนที่เดินทางมาร่วมเทศกาลดนตรีติดเชื้อตั้งแต่ก่อนมาถึง

เธอบอกว่าทางเมืองยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวนเคสต่างๆ แต่คาดหมายว่ามันคงไม่ส่งผลกระทบสำคัญๆใดๆต่ออัตราการติดเชื้อโควิด-19

ในบรรดาผู้มีที่ผลตรวจเชื้อเป็นบวกนั้น เจ้าหน้าที่เมืองระบุว่ามี 138 คน มาจากเมืองอื่นๆในรัฐอิลลินอยส์ 58 คนเป็นพลเมืองของเมืองชิคาโก และ 7 คนมาจากรัฐอื่น ทั้งนี้เกือบ 80% ที่มีผลตรวจเป็นบวกมีอายุต่ำกว่า 30 ปี และราว 62% เป็นคนผิวขาว

(ที่มา:เอพี)
#3686


หลายคนอาจมองว่า การทำความดีนั้นเป็นเรื่องยาก การทำไม่ดีนั้นดูเหมือนจะง่ายกว่า แต่ความจริงแล้วการทำความดี เป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนสามารถทำได้ นอกจากจะเกิดผลดีกับตนเองแล้ว อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้อีกมากมาย แล้วจะดีแค่ไหน ถ้ามีช่องทางให้เราได้ส่งต่อความดีแบบง่าย ๆ เพียงแค่ปลายนิ้วคลิก

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง องค์กรสาธารณกุศล ที่มุ่งมั่นบรรเทาทุกข์ และบำรุงสุขให้แก่เพื่อนมนุษย์ ภายใต้ปณิธาน "ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต" อยู่เคียงคู่ชีวิตคนไทยมายาวนาน 110 ปี ได้จัดทำต้นไม้แห่งความดี ในรูปแบบดิจิตอล "110 ปี ล้านความดี ป่อเต็กตึ๊ง" เพื่อให้คนไทยได้ร่วมกันสืบสานความดีให้ครบ 1,100,000 ความดี ในโอกาสครบรอบ 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

ผู้ที่ต้องการเข้าไปร่วมส่งต่อปณิธานความดี สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงคลิกเข้าไปที่ www.ต้นไม้แห่งความดี.com เมื่อเข้ามาแล้วจะเห็นโลโก้ "110ปี ล้านความดี ป่อเต็กตึ๊ง" ถัดลงมาจะมีฟีเจอร์ 3 ปุ่มด้านล่างให้คลิก ได้แก่ เรื่องราวความดี สะสมความดี สร้างบัญชี สำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกใหม่ เริ่มต้นตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

•คลิกที่ปุ่มสร้างบัญชี กรอกรายละเอียดและข้อมูลพร้อมตั้งรหัสผ่าน เพื่อเข้าสู่การสะสมความดี หรือเลื่อนลงมาที่แถบล่างก็สามารถกดลิงก์เพื่อเชื่อมการลงทะเบียนผ่าน Facebook หรือ Gmail ได้อีกทางหนึ่ง

•เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วระบบจะเข้าสู่หน้าหลัก และคลิกไปที่ปุ่มสะสมความดี เพื่อทำการสะสมความดีผ่านช่องทางที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้ว และสามารถเลือกหมวดสะสมความดี "11 รากแก้วแห่งความดี" ที่มีอยู่ทั้งหมด 11 หมวด

•จากนั้นพิมพ์ชื่อและความดีที่ทำลงในใบโพธิ์ไม่เกิน 150 ตัวอักษร โดยขั้นตอนนี้สามารถบันทึกภาพลงในมือถือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ และยังสามารถส่งต่อความดีในหน้า Facebook ของเราได้อีกด้วย

มาร่วมกันส่งต่อปณิธานความดี จะเป็นสิ่งใดก็ได้ที่ทำด้วยความตั้งใจ ความดีจาก 1 ใบโพธิ์เล็ก ๆ จะผลิใบเจริญงอกงาม กลายเป็นต้นโพธิ์ใหญ่แผ่ร่มเงา เปรียบเสมือนหลายล้านความดีรวมกันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ร่วมขับเคลื่อนสังคมไทยต่อไป
#3687


บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด(มหาชน) หรือ EA แจ้งผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 2 ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 มีกำไรสุทธิ 1,190 ล้านบาท หรือ 0.32 บาทต่อหุ้น เพิ้มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,149 ล้านบาท หรือ 0.31 บาทต่อหุ้น 

ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 2,602 ล้านบาท หรือ 0.70 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 2,601 ล้านบาท หรือ 0.70 บาทต่อหุ้น


โดยบริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวมสำหรับไตรมาสที่ 2  จำนวน 4,935.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 759.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,175.30 ล้านบาท และมีรายได้รวมสำหรับงวด 6 เดือนแรกปีนี้จำนวน 9,641.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 704.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.89% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 8,936.71 ล้านบาท

สำหรับฐานะการเงินของบริษัทฯและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวม ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 จำนวน 81,829.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563 จำนวน 3,346.17 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.26 โดยมีรายการที่เปลี่ยนแปลงหลักๆ เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด จำนวน 4,210.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี2563 จำนวน 1,260.02 ล้านบาทหรือร้อยละ 42.70 เนื่องมาจากกำไรที่เกิดจากการดำเนินงานและเงินกู้ยืมเพื่อการดำเนินงานโครงการใหม่ของ

มีหนี้สินรวม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 จำนวน 49,897.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563 จำนวน 1,040.32 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.13 เนื่องจากเงินกู้ยืมเพื่อการดำเนินงานโครงการใหม่ของกลุ่มบริษัท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น   จำนวน 31,932.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก สิ้นปี 2563 จำนวน 2,305.85 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.78 เนื่องจากกำไรสุทธิของครึ่งแรกของปี 2564
#3688


นางจิตเกษม หมู่มิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการเงิน บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564/65 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.2564 สถานการณ์การแพร่ระบาตของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงมีความผันผวน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย.2564 อย่างไรก็ตาม VGI สามารถบริหารจัดการการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยมีรายได้ที่ 596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีผลกำไรสุทธิที่ 10 ล้านบาท จากประสบการณ์ในปีที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทฯ สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเตรียมรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน มีรายได้ 378 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.9% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 266 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการเติบโตในสื่อโฆษณาทุกหน่วยธุรกิจจากการใช้แคมเปญการจองใช้สื่อโฆษณาล่วงหน้าที่บริษัทฯ ได้เสนอแพคเกจพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีการทำสัญญาในระยะยาว รวมถึงการรับรู้รายได้จากการขายสื่อโฆษณาประเภทสตรีทเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งถูกบันทึกภายใต้หน่วยธุรกิจสื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน

- สื่อโฆษณาในระบบชนส่งมวลชน มีรายได้ 349 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 236 ล้านบาท

- สื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานและอื่นๆ มีรายได้ 29 ล้านบาท ลดลง 2.8% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ก 30 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจบริการด้านดิจิทัล มีรายได้ 218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากค่าคอมมิชชั่น และ Lead Generation ภายใต้กลุ่มแรบบิท

ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้มาพร้อมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยบริษัทฯ มีต้นทุนการให้บริการอยู่ที่ 410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 68.9% จาก 74.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31.1% เพิ่มขึ้นจาก 25.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ลดลงมาอยู่ที่ 42.1% จาก 54.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มากกว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

ทั้งนี้ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมจำนวน 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน 22 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) จากการรับรายได้ค่าตอบแทนขั้นต่ำในธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศ และความสำเร็จในการเจรจาต่อรองลดค่าสัมปทานของธุรกิจสื่อโฆษณาในสนามบิน Kuala Lumpur International Airport ของธุรกิจสื่อโฆษณาในต่างประเทศ

จากผลการดำเนินธุรกิจที่กล่าวไปทั้งหมดนั้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่ 10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.7% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิ 1.7%
#3689


เออร์โรล สเปนซ์ จูเนียร์ กำปั้นชาวอเมริกัน ถอนตัวจากไฟต์พบ แมนนี ปาเกียว จาก ฟิลิปปินส์ หลังได้รับบาดเจ็บที่ตา และต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

สเปนซ์ มีโปรแกรมป้องกันเข็มขัด รุ่นเวลเตอร์เวต ของ สภามวยโลก (WBC) และ สหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) ปะทะ "เดอะ แพ็คแมน" วันที่ 21 สิงหาคมนี้

ทว่า เจ้าของสถิติชนะรวด 27 ไฟต์ (21 น็อกเอาท์) แจ้งข่าวร้ายเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่า จำเป็นต้องถอนตัว

ทำให้ ยอร์เดนิส อูกัส นักชกคิวบาวัย 35 ปี ถูกเรียกมาขึ้นสังเวียนแทน สเปนซ์ เพื่อ.เข็มขัด สมาคมมวยโลก (WBA) เส้นเดียวกับที่ริบคืนจาก ปาเกียว ช่วงต้นปี 2021 เนื่องจากไม่ป้องกันตำแหน่งภายในระยะเวลาที่กำหนด

สเปนซ์ วัย 31 ปี กล่าว "ผมผิดหวังมากที่ผมไม่สามารถชกกับ แมนนี ปาเกียว วันที่ 21 สิงหาคม ผมตื่นเต้นที่จะขึ้นสังเวียนไฟต์นี้"

"โขคร้ายเหลือเกิน แพทย์พบรอยฉีกตรงตาซ้าย แล้วบอกว่าผมจำเป็นต้องผ่าตัดด่วนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่มีทางที่ผมจะขึ้นสังเวียนด้วยการบาดเจ็บตา ผมขอโทษทุกๆ คน ผมจะกลับมาโดยเร็วที่สุด เราจะกลับมาจากจุดที่แย่สุด"

ปาเกียว วัย 42 ปี ไม่มีคิวชกตั้งแต่เอาชนะ คีธ เธอร์แมน วัย 32 ปี คว้าแชมป์ของ WBA เดือนกรกฎาคม 2019 เนื่องจากสถานการณ์ โควิด-19 ระบาด จึงเก็บตัวอยู่บ้าน ที่กรุงมะนิลา
#3690


นายพุน ฉง กิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO) กล่าวว่า ไตรมาสแรกของงวดปี 64/65 บริษัทมีผลการดำเนินงานเชิงบวกเมื่อเทียบปีต่อปี แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจโฆษณา 201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.3% คิดเป็นสัดส่วน 33.3% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งมาจากรายได้ของธุรกิจโฆษณาในประเทศ 170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.5% ผลมาจากการรับรู้ค่าตอบแทนขั้นต่ำรายไตรมาสจาก บมจ.แพลน บี มีเดีย (PLANB) และรายได้ธุรกิจโฆษณาในต่างประเทศ 30 ล้านบาท ลดลง 35.7% จากวิกฤตโควิด-19

ด้านรายได้จากงานด้านระบบครบวงจรเพิ่มขึ้น 9.5% คิดเป็นสัดส่วน 66.7% ของรายได้ทั้งหมด หรือ 402 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของการบริหารโครงการ

รวมถึงในไตรมาสนี้บริษัทมีต้นทุนขายลดลงจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานสื่อโฆษณาของสนามบินในประเทศมาเลเซีย 437 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 27.6% จาก 11.4% และมีรายได้อื่นอยู่ที่ 200 ล้านบาท จากการกลับรายการค่าสัมปทานสนามบินในมาเลเซีย จำนวน 188 ล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ไม่เกิดขึ้นประจำดังกล่าวเป็นผลจากการเจรจากับทางการสนามบินมาเลเซียเพื่อขอลดค่าสัมปทานสำหรับงวดปี 63/64 ได้ประสบความสำเร็จ

สำหรับทิศทางดำเนินงานและพัฒนาการสำคัญของกลุ่มบริษัท VGI MACO (Singapore) Private Limited และ Trans.Ad Solution Co.,Ltd. สามารถเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามเพิ่มเติมได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย จากความสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้ MACO สามารถเดินตามกลยุทธ์ได้อย่างเต็มกำลัง ทั้งในส่วนของธุรกิจโฆษณาและงานด้านระบบครบวงจร ผ่านการดำเนินงานโดย VGI Vietnam Joint Stock Company และ Transad Vietnam Joint Stock Company และนอกจากนี้ ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ ได้เติบโตอย่างมีศักยภาพในอุตสาหกรรมโฆษณาของเวียดนามที่นับเป็นเส้นทางสำคัญของการก้าวไปสู่การเป็นผู้นำสื่อโฆษณานอกบ้าน (OOH) ในประเทศเวียดนามได้ตามทิศทางที่วางไว้อีกด้วย

แม้ทั่วโลกจะเริ่มได้รับวัคซีนโควิด-19 แต่วิกฤตการแพร่ระบาดยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง สร้างความไม่แน่นอนไปทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดหลักของเรา อย่างไรก็ตาม MACO ยังคงยืนหยัดในแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ดังเช่นการเจรจาธุรกิจในต่างประเทศที่ได้บรรลุผลสำเร็จดังที่กล่าวไปในข้างต้น นอกจากนี้ ข้อตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทฯ กับ PLANB สำหรับการชำระค่าตอบแทนขั้นต่ำล่วงหน้าทั้งปีนั้นได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นข้อตกลงที่ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในประเทศของบริษัทฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้

สำหรับความมั่นคงทางการเงิน บริษัทฯ ดำเนินงานภายใต้การบริหารต้นทุนและสร้างสภาพคล่องของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านกระแสเงินสดและเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ให้พร้อมรับมือกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ยังคงมีความยืดเยื้อ สุดท้ายนี้เราได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าจากวิกฤตดังกล่าว ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการท่ามกลางภาวะหยุดชะงักของการดำเนินงานในครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาบริษัทผ่านพ้นสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปได้ และกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งเมื่อตลาดกลับสู่ภาวะปกติ
#3691


กรมการค้าต่างประเทศจับมือสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยหารือ BERNAS กระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและติดตามสถานการณ์ข้าว เผยมาเลเซียยันพร้อมนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เหตุข้าวไทยราคาแข่งขันได้ดีขึ้นจากบาทอ่อน และพร้อมร่วมมือกับไทยจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์กระตุ้นการบริโภคช่วง ต.ค.นี้ เตรียมถกคู่ค้าเพิ่ม คิวต่อไปบังกลาเทศ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และสิงคโปร์

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ จัดการประชุมหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลการนำเข้าข้าวของรัฐบาลมาเลเซีย (Padiberas Nasional Berhad : BERNAS) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวไทยไปยังมาเลเซียในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้เร่งกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า หารือเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าข้าว และผลักดันการส่งออกข้าว

ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ตลาดข้าวของไทยและมาเลเซีย โดยไทยได้แจ้งให้ BERNAS ทราบถึงสถานการณ์การผลิตข้าวของไทยในปี 2564 คาดว่าไทยจะมีผลผลิตข้าวมากขึ้นเนื่องจากมีปริมาณน้ำฝนที่เพียงพอ รวมทั้งแรงงานในภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีแรงงานกลับสู่ภูมิลำเนาในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้ปัจจุบันราคาข้าวไทยปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับข้าวจากประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย และเวียดนาม ไทยจึงขอให้ BERNAS พิจารณานำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น

ทางด้านผู้แทน BERNAS ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดข้าวในมาเลเซียว่า มาเลเซียมีผลผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ จึงต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศประมาณปีละ 9 แสนตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-35% ของปริมาณความต้องการบริโภคทั้งหมด และในปี 2564 คาดว่ามาเลเซียจะนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีปริมาณ 1.08 ล้านตัน เนื่องจากมีปัญหาด้านการเพาะปลูกในประเทศ และไทยถือเป็นแหล่งนำเข้าข้าวหลักของมาเลเซียมาโดยตลอด เนื่องจากข้าวไทยมีคุณภาพดีและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวมาเลเซีย แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา BERNAS จำเป็นต้องนำเข้าข้าวจากแหล่งอื่น เช่น อินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม เพิ่มขึ้น แม้ว่าคุณภาพข้าวจะด้อยกว่าไทย แต่เนื่องจากประเทศเหล่านี้สามารถส่งข้าวในราคาที่ถูกกว่าข้าวไทยมาก

ทั้งนี้ BERNAS เห็นว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 อุปสงค์ของข้าวไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาข้าวไทยลดลงมาอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อได้ โดยนอกจากปัจจัยด้านราคาที่ปรับตัวลดลง ทำให้ข้าวไทยแข่งขันได้มากขึ้นแล้ว ผู้บริโภคในมาเลเซียยังเชื่อมั่นในคุณภาพและนิยมข้าวไทยมากกว่าข้าวจากแหล่งอื่น โดยจะเห็นได้จากปริมาณคำสั่งซื้อข้าวจากไทยที่เริ่มมีมากขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกัน BERNAS มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในมาเลเซียว่าควรเริ่มดำเนินการในช่วงเดือน ต.ค. 2564 เป็นต้นไป เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลาย ประชาชนจะเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติ รวมถึงอุปสงค์จากธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้อุปสงค์ข้าวไทยเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ BERNAS แสดงความขอบคุณไทยสำหรับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอดโดยเฉพาะในฐานะแหล่งนำเข้าข้าวที่มีคุณภาพ และยินดีที่จะร่วมสนับสนุนข้าวไทยในตลาดมาเลเซีย

นายกีรติกล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้กรมฯ ไม่สามารถเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าข้าวหลักในประเทศต่างๆ ได้ แต่กรมฯ ยังคงมีแผนจัดการประชุมหารือและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญของไทยผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยที่ผ่านมาได้มีการหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวของฮ่องกงและผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในระยะต่อไปมีแผนหารือกับบังกลาเทศ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ข้าวไทยมีส่วนแบ่งในตลาดเป้าหมายเพิ่มขึ้น

สำหรับสถานการณ์ส่งออกข้าวไทยตั้งแต่ 1 ม.ค.-29 ก.ค. 2564 ส่งออกแล้วปริมาณ 2.74 ล้านตัน มูลค่า 1,671 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50,925 ล้านบาท ปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลงจากปี 2563 คิดเป็น 17.07% และ 24.84% ตามลำดับ แต่คาดว่าในช่วง 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ สถานการณ์การส่งออกข้าวน่าจะดีกว่า 6 เดือนแรกตามปัจจัยที่ได้กล่าวไปแล้ว
#3692


"จุรินทร์" ติดตามโครงการลดราคาปุ๋ยเคมีช่วยเหลือเกษตรกร หลังจับมือ 3 สมาคมปุ๋ยจัดจำหน่ายปุ๋ยราคาพิเศษ 4.5 ล้านกระสอบ รวม 84 สูตร เผยสั่งซื้อไปแล้ว 1 ล้านกระสอบ คงเหลือ 3.5 ล้านกระสอบ ชี้เป้าเกษตรกรสามารถรวมกลุ่ม แจ้งในนามกลุ่ม แล้วสั่งซื้อได้ ยกตัวอย่างปุ๋ยยูเรีย ที่ใช้มากถึง 40% จะถูกกว่าตลาดกระสอบละ 50 บาท

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามการดําเนินโครงการลดราคาปุ๋ยเคมีให้แก่สถาบันเกษตรกร ณ สหกรณ์การเกษตรไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ผ่านระบบ Zoom conference กับผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด พาณิชย์จังหวัด เกษตรจังหวัด และสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศ ว่า โครงการนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย บริษัท เจียไต๋ จำกัด สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร จัดเตรียมปุ๋ยราคาพิเศษถูกกว่าท้องตลาดในโครงการจำนวน 4.5 ล้านกระสอบ มีทั้งสิ้น 84 สูตร จำหน่ายแก่เกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ยในช่วงที่ราคาปุ๋ยปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ เกษตรกรที่ต้องการซื้อปุ๋ยราคาพิเศษสามารถแจ้งความจำนงได้ในนามของกลุ่ม กลุ่มเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชนการเกษตร หรือการรวมกลุ่มเฉพาะกิจ เพื่อซื้อปุ๋ยตามโครงการนี้ในราคาพิเศษ โดยสั่งจองปุ๋ย 84 สูตรตามราคาที่กำหนด ไม่รวมค่าขนส่ง ขึ้นอยู่กับระยะทาง เพราะเป็นราคาหน้าโรงงาน โดยแจ้งได้ผ่านสหกรณ์จังหวัด สหกรณ์อำเภอ หรือที่เกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ และเกษตรตำบล เพื่อขอซื้อปุ๋ยได้

"ตั้งแต่เริ่มโครงการมามีเกษตรกรสั่งซื้อมาแล้วประมาณ 1 ล้านกระสอบ ทยอยส่งมอบไปแล้ว ขณะนี้เหลือประมาณ 3.5 ล้านกระสอบ ซึ่งจะดำเนินการต่อไปจนกระทั่งสถานการณ์ราคาปุ๋ยจะคลี่คลายลง หรือหมด 3.5 ล้านกระสอบที่เหลือนี้ โดยขอมอบหมายให้เกษตรจังหวัด สหกรณ์จังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ช่วยดำเนินการในเรื่องนี้ให้บรรลุผลตามนโยบาย และประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเกษตรกรรับทราบด้วย" นายจุรินทร์กล่าว

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ราคาปุ๋ยปรับตัวสูงขึ้นมาก เพราะแม่ปุ๋ยทั้งหมดเกือบ 100% ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงขึ้นอยู่กับภาวะราคาตลาดในต่างประเทศ และขณะนี้ราคาปุ๋ยสูงขึ้นเพราะต้นทุนราคาน้ำมันดิบเป็นต้นทุนสำคัญในการขนส่งสูงขึ้นประมาณ 30% และจีนเป็นประเทศที่ไทยนำเข้ามาเป็นหลัก ได้มีการประมูลปุ๋ยให้อินเดียเป็นล็อตใหญ่มาก และจีนต้องเก็บปุ๋ยไว้ใช้ในฤดูหว่านไถของประเทศ ทำให้ซัปพลายในตลาดโลกลดน้อยลง และค่าระวางเรือ ค่าขนส่ง ค่าน้ำมันสูงขึ้น ทำให้ราคาปุ๋ยในช่วงที่ผ่านมาสูงขึ้น

ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ระยะเวลาดำเนินโครงการได้เริ่มมาตั้งแต่เดือน ก.ค. และจะสิ้นสุดในเดือน ส.ค.นี้ เป็นระยะเวลา 2 เดือน หรือจนกว่าสินค้าจะหมด โดยปุ๋ยยูเรียที่ใช้มากถึง 40% ของปุ๋ยทั้งหมด ขายในโครงการราคาจะถูกกว่าปกติเฉลี่ยตันละ 1,000 บาท และปุ๋ยยูเรียมีการตรึงราคาในล็อตแรกที่ 650 บาทต่อกระสอบ ในขณะที่ราคาตลาด 825 บาทต่อกระสอบ และล็อตถัดไปราคา 775 บาทต่อกระสอบ ถูกกว่าราคาตลาดประมาณ 50 บาทต่อกระสอบ

นายทวีสุข เมฆธวัชชัยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจียไต๋ จำกัด กล่าวว่า ปุ๋ยมีการนำเข้าโดยเรือขนาดใหญ่ และปุ๋ยที่นำเข้าจากต่างประเทศมีค่าขนส่งที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทำให้ราคาสูงขึ้น และยังมีความต้องการใช้ปุ๋ยทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไทยพึ่งพาการนำเข้าเกือบ 100% ปุ๋ยที่ผลิตต้องนำวัตถุดิบมาเพื่อผลิตในประเทศ เฉพาะค่าขนส่งเพิ่มขึ้นเกินกว่าเท่าตัว ค่าปุ๋ยเกินกว่า 60% ขณะที่ราคาปุ๋ยในปัจจุบันค่อยๆ ปรับขึ้นตามสถานการณ์ตามต้นทุนที่เปลี่ยนไป โดยการนำเข้า เป็นการนำเข้าล่วงหน้า 30-45 วัน และอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนจาก 30 เป็น 33 บาท ซึ่งคาดว่าไตรมาสที่ 4 ปุ๋ยบางสูตรราคาจะต่ำลง

รายงานข่าวจากกรมการค้าภายในแจ้งว่า สถาบันเกษตรกรที่สนใจซื้อปุ๋ยราคาต่ำกว่าท้องตลาดสามารถแจ้งความต้องการซื้อได้ผ่านตามช่องทางดังนี้ 1. กรณีเป็นสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร แจ้งต่อสํานักงานสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสหกรณ์จังหวัดตามเบอร์โทร.ในเว็บไซต์ https://www.cpd.go.th/cpdth2560/contact-office/email-cpd 2. กรณีเป็นสถาบันเกษตรกรอื่นๆ (ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน วิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่) แจ้งต่อสํานักงานเกษตรอําเภอ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตร โทร. 0-2955-1515

สำหรับการประชุมครั้งนี้ มีนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เข้าร่วม
#3693


รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.รับทราบรายงานผลการดำเนินงานมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 พร้อมอนุมัติจ่ายเงินชดเชยให้ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก 103 ราย รายละ20,000 บาท

วันนี้ (10 ส.ค.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานผลการดำเนินงานมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ประกอบด้วย

1. มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) และลูกหนี้รายย่อยด้วยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย, ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมทั้งสถาบันการเงิน ได้ดำเนินมาตรการแบ่งเบาภาระหนี้สินโดยพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย หรือค่าธรรมเนียมเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 เดือน ให้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยตรง เริ่มตั้งแต่งวดชำระหนี้เดือนกรกฎาคม หรือสิงหาคม 2564 แล้วแต่กรณี และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการพักชำระหนี้แล้วจะไม่เรียกเก็บเงินต้นและดอกเบี้ย หรือค่าธรรมเนียมที่ค้างอยู่ในทันที เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักกับลูกหนี้

นอกจากนี้ จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ที่ยังเปิดกิจการได้ แต่มีรายได้ลดลงจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของภาครัฐตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งสอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกหนี้เป็นกรณีไป

อย่างไรก็ตาม การดำเนินมาตรการพักชำระหนี้ดังกล่าวอาจจะกระทบต่อฐานะ และผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมทั้งตัวชี้วัดทางการเงินที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ผูกพันไว้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ จึงได้มอบหมายให้สคร.พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจแล้ว

2. มาตรการควบคุมการทวงถามหนี้ที่ดำเนินการไม่เป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ ร่างประกาศคณะกรรมการกำกับติดตามทวงถามหนี้ เรื่อง การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายใดๆ ในการทวงถามหนี้ และมอบหมายฝ่ายเลขานุการดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ กรณีประชาชนพบผู้ทวงถามหนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม สามารถร้องเรียนไปยังคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประจำจังหวัด และประจำกรุงเทพมหานครได้

น.ส.ไตรศุลี ยังกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมชลประทาน จ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานโครงการของรัฐ กรณีโครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดลำปาง จากการเข้าทำประโยชน์ในแปลงจัดสรรที่ดินไม่ได้จำนวน 103 ราย ในอัตรารายละ 20,000 บาท ในส่วนของอัตรดอกเบี้ยให้เริ่มนับตั้งแต่วั นถัดจากที่ราษฎรร้องเรียนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินค่าชดเชยเสร็จ

ทั้งนี้ เพื่อให้การจ่ายเงินเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และป้องกันไม่ให้บุคคล หรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากราษฎร ครม. จึงเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินจำนวน14 ราย โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เป็นประธานกรรมการ

ให้มีหน้าที่และอำนาจตรวจสอบบุคคลผู้มีสิทธิจำนวน 103 ราย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ รวมทั้งกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าชดเชยให้เป็นไปอย่างถูกต้องเรียบร้อย

สำหรับการจ่ายเงินจะใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลที่ผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการฯ หรือทายาทของบุคคลดังกล่าว และให้ระบุในหลักฐานการรับเงินด้วยว่า "ข้าพเจ้ายินยอมรับเงินค่าชดเชยในครั้งนี้ และจะไม่มาเรียกร้องหรือขอรับความช่วยเหลือใดๆในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก อันเนื่องมากจากพระราชดำริ จังหวัดลำปาง จากทางราชการอีก"

สำหรับโครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ที่ตำบลเวียงมอก อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ดำเนินการก่อสร้างระหว่างปี 2534-2543
#3694


เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน ) กล่าวว่า ผลกระทบจากเศรษฐกิจมหาภาคจากโควิด-19 จะกระทบแต่ละธุรกิจไม่เท่ากัน อาหารอาจกระทบไม่มาก แต่โรงแรมแย่มาก ในส่วนอสังหาฯ ได้รับผลกระทบคือ

1. เกิด "ซอมบี้เฟิร์ม" คือบริษัทที่มีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยได้น้อยกว่ารายได้หรือกำไรที่หาได้ คือบริษัทที่จ่ายดอกเบี้ยไม่ไหวมากขึ้น ทุกเซกเตอร์จะมีซอมบี้เฟิร์มเพิ่มขึ้น ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในอันดับที่ 5 ของการมีซอมบี้เฟิร์มและมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น จนถึงปี 2565 แสดงว่าธุรกิจยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นใน 1-2 ปีนี้

2. เกิดภาวะการกระจุกตัวของตลาด (Market concentration) ในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น 50-60% จากเดิม 30% คาดว่า หลังโควิดรอบนี้จะอยู่ในมือบริษัทใหญ่ 70-80% เป็นทิศทางเดียวที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับธุรกิจโชห่วย รวมถึงอสังหาฯด้วย เพราะการฝ่าวิกฤติครั้งนี้ได้ต้องอาศัยกระแสเงินสดที่ดี ผู้ประกอบการรายใหญ่ได้เปรียบ

3. ดีมานด์ลดลง เพราะเมื่อไรที่คนตกงานเยอะบ้านจะขายได้น้อย หรือแม่แต่คนที่ยังทำงานอยู่แต่แนวโน้มเศรษฐกิจไม่ดี ไม่กล้าเป็นหนี้ระยะยาว ทำให้ระยะสั้นดีมานด์ลดลง

4. หนี้ครัวเรือนที่เป็นปัญหาล่าสุดพุ่ง 90% ส่งผลกระทบกับการซื้อบ้านยาก เพราะธนาคารไม่ปล่อยกู้ การปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นถึง 70% แม้ว่าทิศทางดอกเบี้ยจะอยู่ในภาวะขาลง

"โดยภาพรวมไม่มีข่าวดีสำหรับอสังหาฯ ที่สำคัญอสังหาฯ เข้าสู่ภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ จากวิกฤติโควิดที่รุนแรง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น เนื่องจาก 1 . แรงงานหายไปจากมาตรการปิดแคมป์ ซึ่งเป็นซัพพลายเชนที่สำคัญ ทำให้ต้นทุนค่าแรงงานเพิ่มขึ้น 2. ราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อโครงการคอนโดที่ใช้เหล็กจำนวนมาก จากปัจจัยลบดังกล่าว คาดว่าอสังหาฯ ปีนี้ติดลบ 10% ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ติดลบ 35%"

เกษรา ประเมินว่า การฟื้นตัวจะทยอยกลับมาฟื้นตัวในช่วงปี 65 เป็นต้นไป หากสถานการณ์ โควิด-19 สามารถคลี่คลายลงได้ชัดเจนภายในสิ้นปี 64 และการที่มีวัคซีนโควิด-19 เข้ามามากขึ้น จะทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจกลับมาฟื้นได้ มีการกลับมาเปิดเมืองทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า และคนเริ่มกลับมาทำงานมีรายได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่ออสังหาฯ

ในส่วนของเสนาฯ การเปิดโครงการใหม่ยังคงเน้นโครงการคอนโดระดับราคาที่จับต้องได้ภายใต้แบรนด์ "SENA KITH" ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยในช่วงเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา บริษัทเปิดโครงการ SENA KITH ฉลองกรุง-ลาดกระบัง สามารถขายได้แล้ว 500 ยูนิต ซึ่งบริษัทจะยังมีการเปิดแบรนด์ SENA KITH เพิ่มเติมอีกในช่วงไตรมาสสุดท้าย ขณะเดียวกันยังจะเปิดโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ลูกค้าส่วนใหญ่ยังมีความต้องการซื้อและสามารถสร้างยอดขายได้ดี

สำหรับยอดขายในปีนี้ยังคงเป้าหมาย 1.1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาจะทำยอดขายได้เพียงกว่า 3,000 ล้านบาท แต่บริษัทยังเชื่อมั่นว่าหากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มเห็นแนวโน้มคลี่คลายมากขึ้นก่อนเข้าสู่ไตรมาส 4คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของยอดขายกลับมาอย่างก้าวกระโดดมาในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ เพราะจะมีการเร่งการเปิดตัวโครงการใหม่ออกมามากในไตรมาส 4 และในปกติช่วงดังกล่าว จะเริ่มมีลูกค้าเริ่มมาซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่งผลยอดขายเห็นการฟื้นตัวกลับมา หากโควิด-19 คลี่คลายลงชัดเจนในช่วงปลายเดือนส.ค.-ก.ย.

" ขณะนี้สถานการณ์โควิดยังไม่แน่ไม่นอน จึงมีโอกาสที่ปรับเปลี่ยนแผนปีนี้ได้ตลอด เพราะสถานการณ์แตกต่างจากปีก่อนมาก เริ่มรู้สึกว่าโควิดน่ากลัวมากขึ้นและเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น และยังมองว่าใช้ระยะเวลาควบคุมค่อนข้างนานกว่าปีก่อน ตอนนี้แทบปรับแผนทุกสัปดาห์ เพราะสถานการณ์ไม่นิ่ง ถ้าโควิดลากยาวไปถึงไตรมาส 4 ก็คงกระทบกับเป้าหมายยอดขาย-ยอดโอน ซึ่งเราก็ติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด" เกษรา กล่าว
#3695


นายพูน พานิชพิบูลย์  นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันี้(10ส.ค.) ที่ระดับ  33.46 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบ3ปีครั้งใหม่และอ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.41 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.40-33.55 บาทต่อดอลลาร

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่จากปัญหาการระบาดของโควิด-19 รวมถึงโมเมนตัมขาขึ้นของเงินดอลลาร์ที่ยังมีอยู่จากท่าทีสนับสนุนการทยอยลดคิวอีในปีนี้ของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันจากแรงซื้อดอลลาร์ของฝั่งผู้นำเข้าที่อาจเข้ามาเร่งปิดความเสี่ยงเนื่องจากกังวลว่า เงินบาทอาจจะอ่อนค่าเร็วและแรง

เรามองว่า ในระยะสั้น อาจเห็นเงินบาทอ่อนค่าไปได้ถึง 34 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หากสถานการณ์การระบาดยังคงเลวร้ายต่อเนื่อง และ เงินดอลลาร์ยังคงมีโมเมนตัมขาขึ้นอยู่ ซึ่งอาจจะหนุนด้วยถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ต่างออกมาสนับสนุนการทยอยลดคิวอีในปีนี้ หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ พลิกกลับมาดีกว่าคาด ในขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะ ยุโรป อาจชะลอตัวลง จากปัญหาการระบาดของ โควิด-19

นอกจากนี้ เรายังมองไม่เห็นโอกาสที่เงินบาทจะพลิกกลับเทรนด์มาแข็งค่าได้ในเร็วนี้ ทำให้ ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้อย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์การระบาดจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะต้องรอในช่วงต้นเดือนกันยายน


อนึ่งความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาด โควิด-19 อาจทำให้ทิศทางของเงินบาทยังคงผันผวนอยู่ในระยะสั้น ผู้ประกอบการจึงควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงให้หลากหลายมากขึ้น อาทิ ใช้ Options เพื่อช่วยปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


ขณะที่ผู้เล่นในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลปัญหาการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ที่เริ่มกดดันความคาดหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยได้สะท้อนผ่านการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งล่าสุดราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้ดิ่งลงกว่า 2.5% สู่ระดับ 69.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังถูกกดดันโดยความกังวลว่าเฟดอาจลดการทำคิวอีได้เร็วกว่าคาด หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างทยอยออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนการลดคิวอีภายในปีนี้

อย่างไรก็ดี ในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ต่างออกมาดีกว่าคาด ได้ช่วยพยุงตลาดหุ้นไม่ให้ปรับตัวลดลงหนัก โดย ดัชนี Dowjones ปิดลบ -0.30% เช่นเดียวกันกับ ดัชนี S&P500 ที่ปรับตัวลงราว -0.09%

โดยทั้งสองดัชนีต่างเผชิญแรงกดดันของหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวลดลงหนัก ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินได้ปรับตัวสูงขึ้นช่วยพยุงตลาดไว้ ทั้งนี้ หุ้นเทคฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ หลังบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังทรงตัวใกล้ระดับ 1.30% อีกทั้งผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯก็ยังคงสดใส หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.16%

ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.06% โดยความกังวลปัญหาการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ก็เริ่มกลับมากดดันหุ้นในกลุ่ม Cyclical มากขึ้น อาทิ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง อย่าง Safran -2.22%, Airbus -1.83% ขณะเดียวกัน หุ้นในกลุ่มเทคฯ ยังช่วยพยุงตลาดไว้ได้บ้าง หลังรายงานผลปะกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯ ออกมาดีต่อเนื่อง Infineon +0.89%, ASML +0.75%

ทางด้านตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดบอนด์เริ่มทยอยขายทำกำไรการถือบอนด์ระยะยาวมากขึ้น หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดคิวอีได้ในปีนี้ หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้นตามคาด ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10ปีสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น 4bps สู่ระดับ 1.32% ซึ่งก็ยังคงเป็นระดับที่ต่ำนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าเฟดที่ออกมาสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวด อย่าง การทยอยลดคิวอีภายในปีนี้ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 93 จุด อีกครั้ง กดดันให้ ค่าเงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลง สู่ระดับ 1.174 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนค่าเงินเยน (JPY) ก็อ่อนค่าลงแตะระดับ 110.3 จุด

สำหรับวันนี้ ตลาดจะติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป โดยตลาดประเมินว่า การระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 อาจส่งผลให้ บรรดานักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์มีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจากปัญหาการระบาดรอบล่าสุดในยุโรปและทั่วโลก ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจเยอรมนี (ZEW Sentiment) เดือนสิงหาคม อาจลดลงสู่ระดับ 55 จุด จาก 63.3 จุด ในเดือนก่อน

ส่วนในฝั่งไทย ตลาดจะติดตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 หลังยอดผู้ติดเชื้อยังคงอยู่ในระดับสูง แต่อาจสถานการณ์การระบาดอาจเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ หลังยอดการแจกจ่ายวัคซีนสามารถเร่งตัวขึ้นมาก ซึ่งหากรัฐบาลสามารถเร่งการแจกจ่ายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงได้ดีขึ้นต่อเนื่อง จนใกล้ระดับ 5 แสนโดสต่อวัน ก็อาจทำให้สถานการณ์การระบาดเริ่มคลี่คลายลงได้
#3696


ความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (9 ส.ค.2564) ปิดที่ 1,540.19 จุด เพิ่มขึ้น 18.47 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.21% และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 69,892.57 ล้านบาท โดยเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ระหว่างวันมีจุดสูงสุดที่ 1,543.71 จุด และต่ำสุดที่ 1,525.29 จุดทั้งนี้ กองทุนซื้อสุทธิ 2,381.82 ล้านบาท ส่วนรายย่อยในประเทศขายสุทธิ 1,848.46 ล้านบาท ต่างชาติ 436.05 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 97.31 ล้านบาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์กิม​เอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่มธนาคาร รวมถึงกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) ที่ราคายังปรับขึ้นช้ากว่าตลาด (แลกการ์ด) อีกทั้งยังได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเศรษฐกิจ (Reopening Play) ตอบรับจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ปรับตัวลงเล็กน้อย ทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่เคลื่อนไหวในแดนบวก และกระแสข่าวการเปิดประเทศตามเป้าหมาย 120 วัน


อย่างไรก็ดี คาดว่าเป็นการฟื้นตัวระยะสั้นเท่านั้น หลังจากที่ดัชนีปรับลงทดสอบแนวรับ 1,515 จุด และคาดว่าระยะกลาง-ยาวดัชนียังมีโอกาสหลุดแนวรับดังกล่าวได้ โดยประเมินกรอบดัชนีครึ่งหลังของปี 2564 ระหว่าง 1,460-1,580 จุดเพราะยังต้องติดตามการรายงานกำไรของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2 ปี 2564 และมาตรการของภาครัฐ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในปัจจุบันอาจไม่สะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริง จากการตรวจหาเชื้อที่อยู่ในระดับต่ำและอัตราการติดเชื้อต่อการตรวจที่เร่งตัวขึ้น

"ดังนั้น การลงทุนจึงแนะนำตั้งรับมากกว่าซื้อไล่ราคา โดยแนะนำกลุ่มส่งออกที่ราคาหุ้นมีโอกาสไปต่อและได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ TU GFPT และ EPG"

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้กรณีฐานคาดว่าสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศจะคลี่คลายลงได้ในเดือน ส.ค. อย่างไรก็ดี การลงทุนยังต้องเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) เช่นเดิม โดยแนะนำซื้อกลุ่มหุ้นปลอดภัย (Defensive Play) ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มโรงพยาบาล ADVANC BCPG BGRIM และ BDMS กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า STA NER NYT GFPT และ FORTH รวมถึงกลุ่มแลกการ์ด KBANK CPALL และ SCC ทั้งนี้ เพราะมองกลุ่ม Reopening Play ที่ฟื้นตัวขึ้นวานนี้ยังมีความเสี่ยงผันผวนจากกำไรที่ถูกผลกระทบโควิด-19

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่รออยู่ในระยะข้างหน้า แต่มองเป็นโอกาสของการลงทุน โดยแนะนำแบ่งเงินซื้อหุ้นในช่วงที่ดัชนีเคลื่อนไหวหลุดแนวรับ 1,500 จุด และเข้าซื้ออีกครั้งบริเวณแนวรับ 1,490-1,460 จุด ตามลำดับ โดยแนะนำหุ้นบิ๊กแคปที่พื้นฐานดี และมีแนวโน้มกำไรเติบโต ได้แก่ ADVANC KCE SAT BDMS GULF GPSC CRC TIDLOR และ AMATA
#3697


นายรุ่งโรจน์รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ว่า เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2564 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ครั้งที่2/2564 (SCC25OA) จำนวน 25,000 ล้านบาท


ทั้งนี้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่1 ตุลาคม 2564 จำนวน 25,000 ล้านบาท โดยเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นกู้ SCC21OA ที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป ผู้ถือหุ้นกู้บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ชุดอื่น ๆที่เป็นผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป

ทั้งนี้หุ้นกู้ดังกล่าวมีอายุ 4 ปี มีอัตราดอกเบี้ย 2.65% จ่ายทุกๆ3 เดือน (1ม.ค.,1เม.ย.,1ก.ค.และ1 ต.ค.) วันออกหุ้นกู้ คือวันที่ 1 ต.ค.2564 วันครบกำหนดไถ่ถอน1 ต.ค.2568

โดยมีผู้จัดการหน่ายประกอบด้วย BAY, BBL, KBANK, KTB และ SCB


สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัทฟิ ทช์ เรทติ้งส์(ประเทศไทย) จำกัด ที่ระดับ A+ (tha)
#3698
ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจรสกัด ยาแผนโบราณ/ยาสามัญประจำบ้าน
ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 แคปซูล ประกอบด้วย :
สารสกัดฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์ไม่ต่ำกว่า 24 มก.
วิธีใช้ :
รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร คำเตือน : อ่านฉลากก่อนใช้ยา การเก็บรักษา : เก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงความชื้นและแสงแดดเก็บให้พ้นมือเด็ก
รหัสสินค้า 48009
ปริมาณสุทธิ : 30.00 แคปซูล
น้ำหนักรวม : 40.90 กรัม
จำนวน : 1 กล่อง   

add line  https://line.me/ti/p/tSPtWbRL8c
ดูรายละเอียด https://bit.ly/3CvHCq2

#3699


นายวิศิษฐ์  ศรีสุวรรณ์  อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยภายการเข้าพบของ นายวิฑูรย์ เเนวพานิช ที่ปรึกษาชุมนุมสหกรณ์บริการเดินรถแห่งประเทศไทย จำกัด ว่าได้หารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหารถแท็กซี่ของสหกรณ์                 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19  เบื้องต้นต้องการให้ช่วยประสานหาพื้นที่จอดรถแท็กซี่ที่ต้องหยุดวิ่งบริการเนื่องจากประชาชนงดเดินทางทำให้จำนวนผู้ใช้บริการแท็กซี่ลดลง  ซึ่งสหกรณ์ได้นำรถแท็กซี่บางส่วนไปจอดไว้ที่หน้ากระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

ทางกรมส่งเสริมสหกรณ์จึงขอความร่วมมือสหกรณ์แท็กซี่นำรถออกจากบริเวณด้านหน้าของหน่วยงานดังกล่าว และประสานกับกรมธนารักษ์ และหน่วยงานต่าง  ๆ               จัดหาพื้นที่ว่างเพื่อรองรับรถแท็กซี่ไปจอดไว้ในช่วงสถานการณ์โควิด  ขณะนี้ ได้พื้นที่จอดภายในโรงงานยาสูบ จอดได้ 150 คัน บริษัท แคทเทเลคอม จังหวัดนนทบุรี จอดได้ 120 คัน


ที่ซอยเสรีไทย 66 พื้นที่ 10 ไร่และที่ในเขตหนองจอก                     สามารถจอดได้ประมาณที่ละ 1,000 คัน และพื้นที่ของหน่วยงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กรมชลประทาน ปากเกร็ด 300 คัน  พื้นที่ของสำนักพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ เขตดุสิต ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ที่ 1 และ 2                            และสำนักงานสหกรณ์จังหวัดปทุมธานี รวม 500 คัน และอยู่ระหว่างการขอความอนุเคราะห์ใช้พื้นที่กับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพิ่มเติม เพื่อให้สหกรณ์แท็กซี่ใช้พื้นที่ในการจอดรถแท็กซี่ที่ไม่สามารถประกอบการได้  เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของสหกรณ์ในการเช่าพื้นที่จอดรถ

            "นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ห่วงใยในความเดือดร้อนของพี่น้องสมาชิกสหกรณ์แท็กซี่  จึงสั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ทำโครงการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพสหกรณ์นอกภาคการเกษตร                 โดยจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาสหกรณ์ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ให้กู้ยืมไปประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ช่วงสถานการณ์โควิด"


 รวมทั้งประสานกับกระทรวงแรงงาน เพื่อให้คนขับรถบริการที่อยู่ในระบบสหกรณ์ ทั้งรถแท็กซี่ สามล้อเล็ก รถสองแถวหรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เข้าสู่มาตรา 40 ของกฎหมายแรงงาน ให้มีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 5,000 บาท                           อย่างไรก็ตาม กรมฯอยากขอความร่วมมือจากหน่วยงานและประชาชนทั่วไปที่มีความประสงค์จะจัดจ้างรถโดยสารขนของในช่วงนี้ ขอให้ใช้บริการผ่านทางสหกรณ์บริการเดินรถ เพื่อช่วยเหลือผู้ขับรถแท็กซี่ให้มีรายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว และสามารถผ่านวิกฤติโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน"

ปัจจุบันสหกรณ์แท็กซี่มีจำนวน 59 แห่ง มีสมาชิก 50,974 คน มีจำนวนรถแท็กซี่ 19,555 คัน ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้มีหนังสือหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเยียวยาช่วยเหลือสหกรณ์และสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งผลกระทบด้านภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบการ ค่าใช้จ่าย              ในการตรวจสภาพรถ ค่าเชื้อเพลิง และค่าเบี้ยประกันภัยภาคสมัครใจ ผลกระทบด้านการชำระหนี้สถาบันการเงิน

 

  รวมทั้งขอเข้าร่วมโครงการเยียวยาจากภาครัฐตามมาตรการต่าง ๆ แล้ว ซึ่งขณะนี้คาดว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ความช่วยเหลือของ             แต่ละหน่วยงาน  
#3700


จากกรณีที่ประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีน "ไฟเซอร์" จากประเทศสหรัฐอเมริกา 1.5 ล้านโดส โดยได้จัดส่งถึงประเทศไทย พร้อมกับให้ดำเนินการจัดสรรให้กับบุคคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าอย่างเร่งด่วน เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศนั้น  

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา ระบุว่า เวลา 14.00 น. ณ สำนักงานควบคุมป้องกันโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น นายแพทย์สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่นรับมอบ "วัคซีนไฟเซอร์" ล็อตแรก 9,840 โดส โดยกองโรคติดต่อทั่วไปจัดส่งวัคซีนโควิด 19 ไฟเซอร์ รอบต้นเดือนสิงหาคม 2564 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อลดการป่วยรุนแรงและอัตราการเสียชีวิต และปกป้องระบบสาธารณสุขของประเทศ



โดยมอบหมายให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาเร่งรัดการให้วัคซีนกับกลุ่มเป้าหมาย ภายในอาทิตย์ นี้ เบื้องต้นมีบุคลากรด่านหน้าแจ้งความประสงค์ ฉีด 17,000 คน แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

ประเภทที่ 1


บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทุกคนที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 จากการปฏิบัติงานทั่วประเทศ รวมทั้งนักศึกษาและเจ้าหน้าที่ที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโควิดจากการปฏิบัติงาน เช่น แผนกผู้ป่วยนอก แผนกผู้ป่วยใน คลินิกทางเดินหายใจ ห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยวิกฤต โรงพยาบาลสนาม เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่กักกัน หรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 อื่นๆ ตามการพิจารณาของสถานพยาบาล/หน่วยงานต้นสังกัด 


โดยมีหลักการให้วัคซีน ดังนี้

1.1 บุคลากรที่ได้รับวัคซีน Sinovac หรือ Sinopharm ครบ 2 เข็ม อย่างน้อย 1 เดือนพิจารณาให้วัคซีน Pfizer กระตุ้น 1 เข็ม 
1.2 บุคลากรที่ได้รับวัคซีนใดๆ มาแล้วเพียง 1 เข็ม พิจารณาให้วัคซีน Pfizer เป็นเข็มที่ 2 โดยกำหนดระยะห่างระหว่างโดส ตามชนิดของวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นหลัก
1.3 บุคลากรที่เคยติดเชื้อโควิด 19 และไม่เคยได้รับวัคซีน พิจารณาให้วัคซีน Pfizer 1 เข็ม โดยมีระยะห่างจากวันที่พบการติดเชื้ออย่างน้อย 1 เดือน
ประเภทที่ 2

บุคลากรที่ไม่เคยได้วัคซีนใดๆ มาก่อน พิจารณาให้วัคซีน Pfizer 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ทั้งนี้เนื่องจากวัคซีนจะเก็บอยู่ในอุณหภูมิ  2 -  8 องศาเซลเซียส ได้เพียง 1 เดือน ดังนั้น กองโรคติดต่อทั่วไป  จะส่งวัคซีน Pfizer สำหรับผู้รับวัคซีนเข็ม 2 ในกลุ่มเป้าหมายประเภท 2 ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2564  และหากจังหวัดได้ตรวจสอบว่ามีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีคุณสมบัติตามกลุ่มเป้าหมายประเภทที่ 1  และ 2 เพิ่มเติมสามารถแจ้งขอรับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมได้ที่กรมควบคุมโรค


ต่อมา วานนี้ (7 ส.ค.) องค์กรแพทย์ รพ.ขอนแก่น ได้ออกแถลงการณ์เรื่องการขอวัคซีน "ไฟเซอร์" ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโรงพยาบาลขอนแก่น ความว่า ตามที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา 1.5 ล้านโดส และจะมีการจัดสรรให้กับบุคลากรสาธารณสุขด่านหน้าอย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด -19 ที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ

โรงพยาบาลขอนแก่นนับเป็นโรงพยาบาลหลักในการดูแลผู้ป่วยโควิดทุกความรุนแรงของจังหวัดขอนแก่นตั้งแต่ผู้ป่วยคลัสเตอร์ฟันน้ำนม คลัสเตอร์แรงงาน คลัสเตอร์เรือนจำและทัณฑสถาน ไปจนถึงผู้ป่วยหนักอาการวิกฤตสำหรับโควต้าการฉีดวัคซีนไฟเซอร์มีบุคลากรทางการแพทย์ลงชื่อรับวัคซีนไฟเซอร์เป็นจํานวน 1,400 คน แต่โรงพยาบาลขอนแก่นกลับได้รับการจัดสรรวัคซีนเป็นจำนวนเพียง 700 โดสเท่านั้น ทั้งที่เป็นการขอตรงตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดทุกประการองค์กรแพทย์โรงพยาบาลขอนแก่นจึงขอเรียกร้องให้มีการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้เพียงพอต่อจำนวนบุคลากรด้านหน้าของโรงพยาบาลขอนแก่นเพื่อเป็นการปกป้องชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ทุ่มเทรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถมาโดยตลอด