• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Ailie662

#10383



ท่ามกลางมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นแต่ละวันก็ไม่สามารถรอการรักษาได้ ชี้ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท สร้างการเปลี่ยนแปลงกับอุตสาหกรรมการแพทย์ก้าวสู่ "ดิจิทัลเฮลท์" ช่วยทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ รวมถึงการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล ปรึกษาและช่วยเหลือกันระหว่างผู้ป่วยและโรงพยาบาล 

เพิ่มช่องทางการรักษาที่รวดเร็วขึ้น สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ของคนบนโลกดิจิทัลที่มุ่งเข้าถึงบริการต่าง ๆ ผ่านออนไลน์มากขึ้น พบคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านออนไลน์ในชีวิตประจำวันกว่า 69.5% เพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 

เคลื่อนการแพทย์ สู่ ดิจิทัลเฮลท์

นายแพทย์ธนุตม์ ก้วยเจริญพานิชก์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา โรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางโรคมะเร็งแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งก่อตั้งโดยร่วมลงทุนระหว่าง บริษัท โมเดอร์นฟอร์ม เฮลท์แอนด์แคร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงพยาบาลฯ ได้เพิ่มบริการ "CHIWAMITRA Cancer Consult" ซึ่งเป็นการพัฒนาและขับเคลื่อนโรงพยาบาลฯ ให้ผู้ป่วยสามารถเข้าบริการได้สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ด้วยบริการนัดหมายเพื่อปรึกษาทีมแพทย์เฉพาะทางมะเร็งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่(New Normal) ของคนและสถานการณ์ในปัจจุบัน 


เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ให้กับผู้ป่วยและญาติ ท่ามกลางมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ผ่านบริการที่ให้ความสะดวก รวดเร็ว เสมือนมีแพทย์อยู่ใกล้ตัว โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ช่วยลดภาวะความเสี่ยงในขณะที่เข้าถึงระบบนัดหมายแพทย์เพื่อปรึกษาปัญหา โรคมะเร็ง โดยบริการดังกล่าวนับเป็นก้าวหนึ่งของการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดสู่บริการใหม่ ๆ ในอนาคตด้านบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลฯ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการแพทย์สู่ "ดิจิทัลเฮลท์" ช่วยให้ผู้ป่วยและประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ผ่านการติดต่อสื่อสารไร้พรมแดนในประเทศ แลกเปลี่ยนข้อมูล ปรึกษา และช่วยเหลือกัน ระหว่างผู้ป่วย ญาติ และโรงพยาบาล ได้ทุกที่ ทุกเวลา

"โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา เปิดบริการ "CHIWAMITRA Cancer Consult" ด้วยความตั้งใจที่จะนำเสนอประสบการณ์ใหม่ในการให้บริการแก่ผู้ป่วยและญาติผู้เข้ารับบริการ ด้วยการใช้เทคโนโลยีพัฒนาระบบ ยกระดับบริการ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการให้คำปรึกษาด้วยข้อมูลทางการแพทย์ โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยด้านสุขภาพ" 

เพิ่มการสื่อสารสองทางระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยและญาติในเขตพื้นที่ และพื้นที่ห่างไกล ให้มีความคล่องตัวในการเข้าถึงข้อมูลและการนัดหมายแพทย์ หรือบริการอื่น ๆ ของโรงพยาบาลฯ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ให้ผู้ป่วยมะเร็งและญาติสามารถเข้าถึงช่องทางปรึกษาโรคมะเร็ง ผ่านแพลตฟอร์มที่คุ้นเคยทั้ง ไลน์ เฟสบุ๊ก เว็บไซต์ หรือโทรศัพท์ ซึ่งยังเป็นช่องทางหลักที่ผู้ป่วยและญาติคุ้นชินและใช้เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสาร โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในยุคปัจจุบัน


รักษามะเร็ง "นิวนอร์มอล"

"CHIWAMITRA Cancer Consult เป็นบริการที่สอดรับวิถีชีวิตใหม่ "นิวนอร์มอล" ในสังคมยุคดิจิทัล ท่ามกลางภาวะการเปลี่ยนแปลงด้วยผลกระทบช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน กับสถานการณ์วิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสครั้งใหญ่ นับเป็นหนึ่งแรงผลักดันสำคัญให้ประชาชนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกเกิดการปรับวิถีชีวิตใหม่ ก้าวสู่วิถีการกินอยู่ การเรียน การทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิต ที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยจาก We Are Social และ Hootsuite ได้รายงานข้อมูลสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกประจำปี 2563 ที่ผ่านมา พบคนไทยมีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านออนไลน์ในชีวิตประจำวันกว่า 69.5% เพิ่มขึ้น 7.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา "
 

ทั้งนี้ โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรามุ่งมั่นในการเอาใจใส่ผู้ป่วยมะเร็งอย่างเป็นมิตรกับทุกชีวิตผ่านบริการทางการแพทย์ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางมะเร็ง โดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง บริการใหม่ดังกล่าวนับเป็นหนึ่งในความตั้งใจที่จะพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์เพื่อผู้ป่วยมะเร็ง และญาติสามารถใช้บริการ "CHIWAMITRA Cancer Consult" ได้ผ่านไลน์ @chiwamitra เฟสบุ๊ก  โรงพยาบาลมะเร็งชีวามิตรา  


และเว็บไซต์ www.chiwamitra.com หรือโทร 045-958-888 ได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่มีความจำเป็นต้องเข้ารับรักษาเร่งด่วน หรือมีความจำเป็นต้องย้ายมารับการรักษาโรคมะเร็งต่อเนื่อง  สามารถติดต่อโรงพยาบาลฯ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเอกสารส่งตัว โดยโรงพยาบาลฯ พร้อมดูแลผู้ป่วยทันที ไม่ต้องรอคิวเข้ารับการรักษาภายใต้ความปลอดภัยมาตรฐานกรมควบคุมโรค
#10384


เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเป็นนักการทูตประเทศไหนก็มักต้องเรียนภาษาประเทศนั้นเพื่อการสื่อสารที่ลึกซึ้งกับประชาชนเจ้าของพื้นที่ จึงไม่แปลกใจหากเอกอัครราชทูตต่างชาติหลายคนพูดภาษาไทยได้ แต่ไม่ใช่กับ "อัลลัน แมคคินนอน" เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย

เขาผู้นี้เรียนภาษาไทยตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาโดยยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งจะได้มาเป็นทูตในเมืองไทย 

เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ (29 ก.ค.) กรุงเทพธุรกิจ คุยกับทูตออสเตรเลียถึงเบื้องลึกเบื้องหลังและประสบการณ์สนุกๆ ในการเรียนภาษาไทย เริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ ทำไมถึงเลือกเรียนภาษานี้ ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า การเลือกเรียนภาษาไทยเรียกได้ว่า "แทบจะเป็นเรื่องบังเอิญ" 

"ปริญญาใบแรกที่ผมได้จากมหาวิทยาแห่งชาติออสเตรเลียคือเศรษฐศาสตร์ แต่ผมสนใจเอเชียตลอดมา ทุกอย่างของเอเชียเลยครับ!  และผมก็อยากเรียนภาษาเอเชียสักภาษา ซึี่งตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าภาษาไหน พอดีอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์จีนท่านแนะนำว่า ภาษาไทยก็ดีนะ น่าเรียน มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียเป็นศูนย์การเรียนไทยศึกษาที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ผมก็เลยเรียนภาษาไทย แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ใช้ในหน้าที่การงานเลย จนกระทั่ง 30 ปีต่อมาตอนผมมารับตำแหน่งในไทยนี่ล่ะครับ" 

แน่นอนว่าทักษะการสื่อสารทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ฟัง พูด อ่าน เขียน สำหรับคนที่เรียนภาษาต่างประเทศย่อมเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส แต่ละทักษะมีความยากแตกต่างกันไป สำหรับทูตแมคคินนอน เขายอมรับ

 "การฟังยากที่สุดครับ ถ้าคุณเข้าใจสิ่งที่ได้ยินส่วนใหญ่ คุณก็คุยได้ แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจอะไรเลย คุณสนทนากับเขาไม่ได้ ทักษะการอ่านผมใช้ได้ แต่ก็ยังเปิดพจนานุกรมอยู่มาก" 


ได้ฟังความยากของท่านทูตแบบนี้ทำให้นึกถึงปัญหาของคนไทยหลายคนที่ฝึกภาษาอังกฤษแล้วพบว่า ฟังไม่ออก แล้วท่านทูตพัฒนาการฟังอย่างไร 

"ผมฝึกฝนการฟังด้วยการคุยกับครูคนไทย บางครั้งผมก็ดูภาพยนตร์ไทย ซึ่งก็ช่วยได้  ผมได้ยินคนพูดถึงซีรีส์ใหม่เรื่อง เด็กใหม่  (Girl from Nowhere) กันมาก  ก็เลยดูด้วย" 

ได้ยินเคล็ดลับอย่างนี้แล้ว ยิ่งตอกย้ำว่า การดูภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศช่วยฝึกทักษะการฟังได้จริงๆ และเมื่อฟังแล้วก็ต้องพูดด้วย โดยเฉพาะการพูดกับเจ้าของภาษา ด้วยนิสัยเป็นกันเองของทูตแมคคินนอน เขามักพูดภาษาไทยกับคนไทยเสมอเมื่อมีโอกาส และเจอเรื่องสนุกพร้อมปฏิกริยาน่ารักๆ จากคนไทย แต่ประสบการณ์หนึ่งที่เขาไม่ลืมเลยคือ การพูดภาษาไทยกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 

"แม้จะมีหลายครั้งที่ผมพยายามสื่อสารภาษาไทยกับนายกฯ ประยุทธ์ แต่ท่านก็ไม่เข้าใจภาษาไทยของผม เราต่างคนต่างพูดเร็วแถมยังสวมหน้ากากเสมอ ก็เลยทำให้เข้าใจยาก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมมีประสบการณ์หน้าแตกกับท่านนายกฯ ในงานใหญ่งานหนึ่งซึ่งนายกฯ ต้องขึ้นไปพูดบนเวที เมื่อท่านลงมาก็เดินตรงมาหาผมแล้วทักทาย

ผมทราบล่ะครับว่าท่านทักทายแต่ไม่ได้ยินอะไรเลย เพราะลืมไปว่ายังใส่หูฟังอยู่ เพลงและเสียงประกาศจากบนเวทีจึงดังก้องในหูผม  จนกระทั่งท่านนายกฯ เลิกพูดแล้วเดินจากไป ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ยังสวมหูฟังช่องที่มีเสียงเพลงดังมาก พอถอดออกปุ๊บ...เงียบเลย นี่เป็นเรื่องหน้าแตกของผมครับ" 


"ประชาชนทั่วไปจริงๆ แล้วเขาชอบมากเลยถ้าคุณพูดภาษาไทยได้ โดยเฉพาะนอกกรุงเทพฯ บางครั้งพวกเขาปรบมือให้ด้วย ครั้งหนึ่งผมเคยไปเยี่ยมชมโครงการติดตั้งระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อใช้พัฒนาศักยภาพการเกษตรกรรมระดับชุมชนในเขตพื้นที่ชนบท ซึ่งเป็นทุนช่วยเหลือโดยตรงของรัฐบาลออสเตรเลีย (Direct Aid Program: DAP) ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านตื่นเต้นมากที่เห็นฝรั่งแต่งชุดชาวเขาแถมยังพูดไทยได้ ชอบใจกันใหญ่" ทูตแมคคินนอนเล่าพลางยิ้มพลาง เมื่อรำลึกถึงประสบการณ์สุดประทับใจ 

ในเมื่อเรียนภาษาไทยมาขนาดนี้ กรุงเทพธุรกิจอดถามไม่ได้ว่า คำหรือประโยคไหนในภาษาไทยที่ยากมากสำหรับท่านทูต คำตอบคือ 

"คำที่ออกเสียงคล้ายๆ กันชวนสับสนครับ อย่างคำว่า  คอย เคย/จาน ชาม/ส้อม ซ่อม/ข่าว ข้าว/ร้าน ล้าน/เต่า เต้า/ขัน คัน/ รวมทั้งโทนเสียง โดยเฉพาะเสียงสูง เป็นความท้าทายมากด้วยครับ และพวกคำพูดและเสียงที่คนไทยใช้กันอย่างไม่เป็นทางการเพื่อแสดงความเคารพ ความโกรธ เศร้า และอื่นๆ อันนี้ก็ยาก ภาษาอังกฤษไม่มีคำเล็กคำน้อยแบบนี้ จึงยากมากที่คนต่างชาติจะเข้าใจว่า คำๆ เดียวท้ายประโยคสำคัญและมีความหมายมากแค่ไหน"  

ไม่เพียงเท่านั้นทูตแมคคินนอนยังพบสีสันกับคำแสลงของไทย อย่างคำว่า "แกง" หรือ "สุดปัง"

 "ตอนผมได้ยินคำว่าแกงครั้งแรกผมสับสนมากเลยครับ แกงหรือซุปเนี่ยมาแปลว่าแกล้งกันได้ไง ไม่ได้การล่ะ ผมต้องรีบแชร์ข้อมูลสำคัญนี้ให้คนออสเตรเลียและชาวต่างชาติคนอื่นๆ ได้ทราบ ก็เลยทวีตเปรียบเทียบกับการแกล้งของชาวออสเตรเลีย ตัวอย่างเช่นป้าย 'ยินดีต้อนรับสู่นครเพิร์ธ' บนหลังคาตึกใกล้รันเวย์ท่าอากาศยานนครซิดนีย์แกงคนไปหลายคน

 ทูตออสเตรเลียกล่าวด้วยว่า เมื่อสังคมเปลี่ยนภาษาก็เปลี่ยน 

"อย่างเมื่อก่อนผมรู้จักสแลง  'เปิ๊ดสะก๊าด' ที่เพี้ยนมาจากภาษาอังกฤษว่า 'เฟิร์สคลาส' ตอนนี้ไม่มีใครใช้แล้ว มีแต่โอเคนัมเบอร์วัน

หลังจากอยู่ที่นี่มาหลายปีผมพบว่า คนไทยโดยเฉพาะชาวเน็ตมีความคิดสร้างสรรค์และอารมณ์ขันสุดๆ เหมือนกันเลยกับคนออสเตรเลีย ผมรู้ว่าสแลงไม่ใช่วิธีการพูดที่ถูกต้องเหมาะสมเสมอไป ต้องใช้ให้ถูกบริบท แต่ในฐานะคนที่รักและศึกษาภาษาและวัฒนธรรมไทย การเข้าใจสแลงเปิดให้ผมเข้าสู่โลกแห่งวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยที่สนุกสนาน"

นั่นคือมุมมองของทูตออสเตรเลียต่อภาษาไทย ในทางกลับกันคนไทยหลายคนรู้สึกว่าภาษาอังกฤษยากมาก บางคนถอดใจไปก่อน สำหรับทูตแมคคินนอนในฐานะคนพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่แล้วมาเรียนภาษาไทย น่าจะมีคำแนะนำดีๆในการเรียนภาษาอังกฤษให้กับคนไทยได้บ้าง

"ภาษาอังกฤษยากครับ ถ้าจะให้ดีก็ควรหาเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานต่างชาติที่อยากเรียนภาษาไทย และควรเป็นคนที่ใช้ภาษาได้ระดับเดียวกัน แล้วผลัดกันสอนก็สนุกดีครับ การดูภาพยนตร์และข่าวเป็นภาษาอังกฤษก็ช่วยได้"

 ปัจจุบันทูตแมคคินนอนยังเรียนภาษาไทยสัปดาห์ละ 3-4 ชั่วโมง รวมทั้งฝึกฝนด้วยตนเองจากการอ่านหนังสือและชมซีรีส์ กรุงเทพธุรกิจจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ถ้าคะแนนเต็ม 10 ท่านทูตจะให้คะแนนภาษาไทยของตนเองสักเท่าใด 

"ผมให้คะแนนตัวเอง 6 เต็ม 10 ครับ เพราะว่าผมพูดกับครูได้ค่อนข้างคล่องแม้แต่เรื่องยากๆ แต่เป็นเพราะว่าครูคุ้นเคยกับภาษาของลูกศิษย์และทักษะการพูดของผมอยู่แล้ว แต่นอกจากครูผมยังสื่อสารกับคนไทยทั่วไปได้ไม่ราบรื่น ซึ่งผมกำลังพยายามทำอยู่ตอนนี้ครับ" 

ก่อนจากกันกรุงเทพธุรกิจสอบถามถึงแผนการส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศหลังยุคโควิด ทูตแมคคินนอนย้ำว่าความร่วมมือระหว่างสองประเทศอันหลากหลายสาขาได้รับการส่งเสริมมาต่อเนื่องไม่เว้นแม้แต่ช่วงโควิดระบาด ตั้งแต่ด้านความมั่นคงไปจนถึงการศึกษาและเกษตรกรรม

 "เดือน พ.ย.2563 พล.อ.ประยุทธ์ และนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสันของออสเตรเลียยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ส่งสัญญาณว่าเรามีความประสงค์กระชับความสัมพันธ์ในทุกสาขาร่วมกัน และความร่วมมือด้านการศึกษานั้นก็สำคัญมากสำหรับเรา ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาไทยที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยออสเตรเลีย หรือนักศึกษาออสเตรเลียที่กำลังศึกษาในไทยตามแผนการโคลอมโบใหม่ ไปจนถึงการศึกษาสายอาชีพและอื่นๆ อีกมากมาย ในการนี้สถานทูตของเราจับมือกับเอเชียฟาวเดชัน พัฒนาเว็บไซต์Thailandlearning.org เชื่อมต่อนักศึกษาไทยกับอาจารย์แบบที่เดียวจบ ด้วยทรัพยากรการศึกษาออนไลน์คุณภาพสูงที่สามารถเรียนได้จากที่บ้าน

แม้โควิด-19 ระบาด เรายังเดินหน้าทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษาฯ จัดกิจกรรม เช่น ฝึกอบรมออนไลน์ จัดเวิร์กชอป จัดเวทีให้ครูอาจารย์ไทยได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากออสเตรเลีย เมื่อโรคระบาดผ่านพ้นไป เรารอต้อนรับเพื่อนคนไทยไปเรียน ทำงาน และใช้ชีวิตในออสเตรเลียอีกครั้ง และนักศึกษาออสเตรเลียกลับมาเรียนในไทยเช่นกันครับ" นั่นคือคำมั่นจากอัลลัน แมคคินนอน ทูตออสเตรเลียผู้รักภาษาไทย 
#10386
ราคาดีมากกก!!!!!!!!
#10389
ราคาดีมากกก!!!!!!!!
#10390



เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล จ.ภูเก็ต จัดเลี้ยงแสดงความยินดี มอบดอกไม้และของขวัญให้กับ "น้องเทนนิส" พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโด เจ้าของเหรียญทองกีฬาโอลิมปิก 2020 พร้อมด้วย "โค้ชเช" เช ยอง ซอก และสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย โดยมี ผศ.ดร.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย นำคณะมารับประทานอาหารริมหาดกมลา ภายใต้มาตรการการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

โดยมี มิสเตอร์บียอร์น เคอร์ราจ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลภูเก็ต "วิว" เยาวภา บุรพลชัย นักกีฬาเทควันโดหญิงทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองแดง การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2004 ให้การต้อนรับในนามของ ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลภูเก็ต


ในโอกาสนี้ นายสุวัจน์ ได้วิดิโอคอลจากกรุงเทพฯ กล่าวขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของสมาคมกีฬาเทควันโด แห่งประเทศไทย และขอแสดงความยินดี น้องเทนนิส ที่ประสบความสำเร็จได้เหรียญทองโอลิมปิก ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในครั้งนี้

"ผมดูตลอดเวลา ลุ้นอยู่จน 5 วินาที สุดท้าย และรู้สึกว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เป็นชัยชนะที่ทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้พวกเราเจอกับปัญหาโรคโควิด พวกเราก็เครียดกัน พวกเรามีความทุกข์กัน แต่ความสุขที่เกิดขึ้นจากความสำเร็จของกีฬาเทควันโดที่ น้องเทนนิส สร้างขึ้นในครั้งนี้ ถือว่าได้สร้างขวัญกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชน นอกจากที่จะมีความสุขกับกีฬาแล้วยังทำให้เกิดกำลังใจ ที่จะต่อสู้กับโควิด"

นายสุวัจน์ กล่าวขอแสดงยินดีกับความสำเร็จของ น้องเทนนิส ถือว่าเป็นนักกีฬาเทควันโด คนแรกที่ได้เหรียญทอง ในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ "วิว" ได้เหรียญทองแดง ปี 2004 อันนี้ถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ก็ขอให้น้องเทนนิส ได้ประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไป และเป็นแบบอย่างของนักกีฬาที่ดี เป็นแบบอย่างให้กับเยาวชนคนไทย ที่จะได้เห็นแบบอย่างของพี่ๆ

และสำคัญที่สุด ถือว่าเป็นแบบอย่างของลูกที่กตัญญู ซึ่งผมประทับใจมากกับภาพที่น้องเทนนิสมาถึงภูเก็ต แล้วก้มลงกราบ คุณพ่อ และที่ให้สัมภาษณ์ ว่า ทุกครั้งที่ได้ชัยชนะกลับมาก็จะเอาเหรียญไปคล้องที่ภาพของคุณแม่ ซึ่งผมมีความประทับใจ


"ขอให้น้องเทนนิส มีความเจริญก้าวหน้าในวงการกีฬา อยากจะเห็นอีก 4 ปีข้างหน้า ไปคว้าเหรียญทอง เหรียญที่สองของโอลิมปิก จะได้เป็นประวัติศาสตร์ เป็นนักกีฬาคนแรกที่ได้ 2 เหรียญทอง

และถือโอกาสนี้ ขอบคุณโค้ชเช ด้วยถึงแม้จะไม่เป็นคนไทย แต่ได้ทุ่มเทให้กับวงการกีฬาของประเทศไทย ซึ่งหลายๆ ประเทศ อยากได้โค้ชเช ไปเป็นโค้ช แต่โค้ชเช ก็ไม่ไป บอกว่ารักเมืองไทย อยากอยู่เมืองไทย และก็สอนนักกีฬาเทควันโด มากว่า 20 ปี การที่โค้ชเช ได้อุทิศตนพัฒนากีฬาเทควันโด ทำให้ประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าคนไทย ขอบคุณโค้ชเชทุกคน


ส่วนตัวผมทราบว่า โค้ชเช มีความประสงค์อยากขอสัญชาติไทยก็ขอให้ได้สัญชาติไทยตามที่ต้องการ เห็นว่านายกสมาคมได้เตรียมหลักฐานไว้ ครบเรียบร้อย ตามที่โค้ชเช บอกว่ารักเมืองไทย อยากอยู่เมืองไทย ทำให้คนทั้งโลกจะรู้สึกว่าเมืองไทยน่ารัก เมืองไทยน่าอยู่ อันนี้ต้องขอบคุณโค้ชเช"

นายสุวัจน์ กล่าวว่าสุดท้ายต้องขอขอบคุณ ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่ได้ทุ่มเททุกอย่าง ซึ่งเทควันโดตั้งแต่ปี 2004 ที่ "วิว" ได้เหรียญ และทุกครั้งโอลิมปิก ก็ได้เหรียญมาตลอด จนกระทั่งปีนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้เหรียญทอง


"ต้องขอบคุณ ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ที่ได้สละทุนทรัพย์ กำลังกาย กำลังใจ ถือว่าเป็นนักธุรกิจตัวอย่าง ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศทางเศรษฐกิจ และได้มาช่วยกันพัฒนาวงการกีฬาชองชาติ ต้องขอขอบคุณทุกท่าน ขอให้พวกเราได้ ร่วมพลังกันในการพัฒนาวงการกีฬา ให้ประสบความสำเร็จ และให้การกีฬาได้มีส่วนสำคัญ ในการพัฒนาประเทศ และก็สร้างความสุข สร้างกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนของเรา ในการฝ่าฟันวิกฤตโควิดไปด้วยกัน"

ทั้งนี้ ในงานเลี้ยงอาหารริมหาดกมลา จัดภายใต้มาตรการการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด แต่ผ่อนคลายด้วยบรรยากาศริมชายหาดกับอาหารอร่อย โดยเฉพาะเมนูพิเศษสำหรับน้องเทนิส คือ ANDAMAN SEAFOOD PLATTER (อันดามันซีฟู้ด) ตามที่น้องบอกว่า "อยากทานซีฟู้ด" และปิดท้ายด้วยของขวัญ คือ "คุกกี้ช็อกโกแลต" ของโปรด"น้องเทนนิส"
#10391


ถูกวิจารณ์เดือดเลยทีเดียว กรณีที่ "นารา เครปกะเทย" อนิวัต ประทุมถิ่น ไปออกรายการแฉ ที่มี "น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์" เป็นหนึ่งในผู้ดำเนินรายการ ซึ่งที่ผ่านมา น็อตถูกวิจารณ์แรงจนทัวร์ลงเหตุเห็นต่างจาก "เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ" ซึ่งน็อตและเพชรได้เคลียร์ใจกันไปแล้วว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ถึงความคิดเห็นต่างกัน แต่ก็ยังเป็นเพื่อนเสมอมา ขณะที่นาราก่อนหน้านี้ไปขอเงินสปอนเซอร์เพื่อนำมาทำคอนเทนต์ช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าในตลาด โดยถามว่า "รักลุง...หรือไม่" ถ้าตอบว่ารักจะเดินหนี แต่ถ้าตอบว่าไม่รักจะช่วยเหมาทั้งหมด โดยก่อนหน้านาราไปร่วมรายการ นารา ได้โพสต์ว่าตนจะไปออกรายการแฉ และอยากเจอ น็อต วรฤทธิ์

ภายหลังนาราออกรายการแฉ ก็ถูกใจชาวทวิตเตอร์ ถึงขั้นแชร์นาทีที่นาราแสดงพฤติกรรมไม่รับของจากน็อต วรฤทธิ์ รวมทั้งกรณีที่เจ้าตัวพูดถึงสาเหตุที่ Call out และดาราเน็ตไอดอลหลายคนออกมา Call out โดยเชื่อว่าเขามีความสำเหนียกและสำนึกว่า ตัวเองอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไร ก็เพราะว่า FC FC คือประชาชน วันนี้ประชาชนเดือดร้อนเราจะมองข้ามได้หรือ เมื่อก่อนเรานอนหลับ กินอิ่มได้เพราะสปอนเซอร์จ้างเรา แต่ถ้าเราไม่มี FC เราไม่มีประชาชนคอยซัปพอร์ต สปอนเซอร์ไม่จ้าง ถ้าสปอนเซอร์ไม่จ้างเราก็ไม่มีเงิน ไม่อยู่ได้จนทุกวันนี้ และเชื่อว่า เน็ตไอดอล ดาราที่ออกมา Call out ก็ต้องคิดแบบนี้เช่นกัน ก่อนเจ้าตัวจะหันไปหาน็อตแล้วถามว่า "ใช่ไหมคะพี่น็อต" ซึ่งน็อตก็ตอบรับนิ่งๆ ว่า "ครับ"

โดยพฤติกรรมดังกล่าว แม้จะถูกอกถูกใจชาวทวิตเตี้ยนผู้เห็นต่างกับน็อต วรฤทธิ์ แต่บางส่วนก็บ่นผิดหวังกับพฤติกรรมนารา เพราะมองว่าที่ผ่านมาน็อตก็ไม่ได้ออกตัวแรงขนาดนั้น เหมาะสมหรือไม่ที่จงใจไปหักหน้าน็อตกลางรายการ มองว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาทไปนิดนึง 
#10392




นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน ดังนี้

1. มาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ) กรอบวงเงิน 23,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 ดังนี้


-สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาท/นักเรียน 1 คน


-จัดสรรค่าใช้จ่ายให้แก่สถานศึกษาเพื่อช่วยจัดการเรียนรู้


-ลดหรือตรึงค่าใช้จ่ายในโรงเรียนเอกชนให้เท่ากับปีการศึกษา 63



2. มาตรการการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวตกรรม (อว) กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท


กลุ่มเป้าหมาย คือ นิสิต/นักศึกษาชาวไทย ระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
แนวทางการดำเนินการ


-สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จะได้รับส่วนลดเป็นลักษณะร่วมจ่ายระหว่างรัฐและสถาบันอุดมศึกษาในอัตรา 6:4 โดยค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลดร้อยละ 50 / 50,001 - 100,000 บาท ลดร้อยละ 30 และเกิน 100,000 บาท ลดร้อยละ 10 โดยส่วนลดสูงสุดรวมกันไม่เกินร้อยละ 50


-สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา รัฐสนับสนุนในอัตรา 5,000 บาท/คน


นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังขอให้พิจารณาเพิ่มเติม ทั้งขยายเวลาผ่อนชำระ จัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมสำหรับยืมเรียนออนไลน์ รวมทั้งลดค่าหอพักด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ศธ. และ อว. จะได้เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับสนับสนุนแหล่งเงิน ตามขั้นตอนของ พ.ร.ก. กู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 รวมทั้ง จะมีการกำหนดกลไกการตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือและการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือผ่านระบบบัญชีธนาคาร พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงหลักการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนต่อไป
#10394



ตลาดหุ้นมาเลเซีย ซึ่งปีที่แล้วถือเป็น"ผู้ชนะ"เพราะราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมาก จากแรงหนุนของบริษัทต่างๆที่มีผลประกอบการสดใสเพราะยอดขายปรับตัวขึ้น ผลกำไรพุ่งมหาศาลจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ตอนนี้ ตลาดหุ้นมาเลเซียกลายเป็น"ผู้แพ้"ในฐานะเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีผลประกอบการย่ำแย่ที่สุดของภูมิภาคเอเชีย

ปีที่แล้ว ราคาหุ้นของบรรดาผู้ผลิตถุงมือยางของมาเลเซียปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก ขณะที่นักลงทุนก็พากันลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทเหล่านี้ท่ามกลางความต้องการเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถุงมือยาง หน้ากากอนามัยตลอดจนผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆทะยานขึ้นทั่วโลกเพื่อรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19

ราคาหุ้นท็อปโกรฟ,ซูเปอร์แม็กซ์ และฮาร์ตาเลกา ซึ่งผลิตถุงมือยางรวมกันคิดเป็นสัดส่วนกว่า50% ของถุงมือยางทั่วโลก ทะยานขึ้นประมาณ 170% ,1,233% และ 147% ตามลำดับ ในช่วงเดือนพ.ค.และธ.ค.ปีที่แล้ว โดยราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ช่วยหนุนให้ดัชนีคอมโพสิตกัวลาลัมเปอร์ (เคแอลซีไอ)ทะยานขึ้น 22% ในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่ภาวะขาขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มผู้ผลิตถุงมือยางมาเลเซียมีอันต้องสะดุดหยุดลงเพราะข้อกล่าวหาว่าบังคับใช้แรงงาน โดยท็อปโกรฟ ถูกห้ามส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐ ขณะที่ซูเปอร์แม็กซ์ และฮาร์ตาเลกา กำลังถูกตรวจสอบจากหน่วยงานศุลกากรสหรัฐ (ซีบีพี) (United States Customs and Border Protection) ที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการนำเข้า การส่งออก และการเก็บภาษีอากร

การที่ราคาหุ้นบริษัทผลิตถุงมือยางร่วงลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ดัชนีหุ้นเคแอลซีไอ ในปีนี้ร่วงลงเกือบ 7% สวนทางกับดัชนีหุ้นในประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่ขยายตัวขึ้น 0.4% ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นและไทย ขยายตัวขึ้น 9.6%


"ดูเหมือนว่าดัชนีตลาดหุ้นมาเลเซียเป็นตลาดหุ้นเพียงแห่งเดียวของภูมิภาคที่ผลประกอบการไม่ดีในปีนี้"เอ็มไอดีเอฟ อามานาห์ อินเวสต์เมนต์แบงก์ ระบุในรายงานวิจัย

รายงานวิจัยชิ้นนี้ ยังระบุถึงตัวแปรต่างๆที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง ซึ่งรวมถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกที่สี่ ที่นำไปสู่การล็อกดาวน์ และการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ขณะที่มูดี้ส์ อนาไลติคส์ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจมาเลเซียในปี 2564 ลงสู่ระดับ 4.7% จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 5.6% หลังมาตรการจำกัดการเดินทางได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งเป็นผลพวงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

"สตีเวน โคชแรน" นักเศรษฐศาสตร์จากมูดี้ส์ อนาไลติคส์ ระบุว่า "ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน จึงมีความเสี่ยงที่คำสั่งจำกัดการเดินทางในปัจจุบันอาจต้องขยายไปถึงเดือนส.ค. ซึ่งเราจะติดตามอย่างใกล้ชิด และอาจมีการปรับลดเพิ่มเติมอีกในปี 2564 นี้"


นอกจากนี้ โคชแรนยังปรับลดคาดการณ์จีดีพีของมาเลเซียในปี 2565 ลงเหลือ 3.4% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 4%

"การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาขัดขวางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไตรมาสที่ 3 โดยได้รับแรงกดดันจากทั้งความรุนแรงของการระบาดระลอกใหม่ และนโยบายที่ใช้ควบคุมโรค" เขากล่าว

นอกจากปัญหาด้านเศรษฐกิจแล้ว ปัญหาความแตกแยกทางการเมืองในมาเลเซียก็มีส่วนทำให้การรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า โดยล่าสุด พรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่สุดในมาเลเซียและเป็นแกนนำสำคัญของรัฐบาลผสม ตัดสินใจถอนตัวสนับสนุนนายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน ของมาเลเซีย พร้อมทั้งเรียกร้องขอให้นายมูห์ยิดดินลาออกเพราะล้มเหลวในการบริหารจัดการแก้ปัญหาโควิด-19

การตัดสินใจของพรรคอัมโนเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนายมูห์ยิดดินแต่งตั้งสมาชิกอาวุโสคนหนึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่ม ส.ส.ของพรรคอัมโนบางคน

"อาห์หมัด ซาฮิด ฮามิดี" ประธานพรรคอัมโน แถลงชี้แจงเกี่ยวกับการถอนตัวสนับสนุนนายมูห์ยิดดินว่า เพื่อทำให้เกิดเสถียรภาพทั้งทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งทันทีที่รัฐบาลดำเนินการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว