• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - dsmol19

#3681


ริมถนนนักลงทุน เสิร์ฟความเคลื่อนไหวแวดวงตลาดหุ้น หนึ่งความเคลื่อนไหวน่าสนใจ ยกให้ '3กระแสร้อนแรง' แวดวง 'ตลาดหุ้นไทย' วัคซีนทิพย์หมอบุญ-หุ้น DELTA ราคาสวิงวันแรก หลังหลุด Cash Balance ก่อนปิดท้าย GULF ปิดดีลซื้อ INTUCH ขึ้นแท่นหุ้นใหญ่ 42.25%

๐ ประเด็นร้อนแรงสุดในรอบสัปดาห์นี้คงต้องยกให้ 'วัคซีนไฟเซอร์' ของ 'หมอบุญ วนาสิน' เจ้าของ บมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ที่หมอบุญออกมายอมรับว่านำเข้าวัคซีน mRNA ไม่สำเร็จ หรือจะบอกว่า 90% นำเข้าไม่ได้แล้ว เพราะติดอุปสรรคจากภาครัฐและยังมีข้อจำกัดในหลายๆ เรื่อง ทั้งที่จ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าไว้แล้วและโดนยึดเงินมัดจำจากนายหน้าไปแล้ว

๐ แต่เรื่องนำเข้าวัคซีนเหมือนไม่สำเร็จของ 'หมอบุญ' ทุกคนจะรับรู้แล้ว ทว่าราคาหุ้น THG ที่วิ่งไปไหนต่อไหนแล้วในช่วงก่อนหน้านี้คงห้ามให้คนสงสัยไม่ได้... ฉะนั้น ทั้ง ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยต้องส่งหนังสือให้หมอบุญ และ THG รีบชี้แจงด่วนๆ ส่งผลให้ราคาหุ้น THG ร่วงหนัก หลังราคาหุ้นทำ 'จุดสูงสุด' ที่ราคา 33.50 บาท (เมื่อ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา) เรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดในตลาดหุ้น แต่มีมานานแล้ว 

๐ เป็น 'หุ้นมหาเทพ' ในแง่ของการเคลื่อนไหวราคาขึ้น-ลง สำหรับ บมจ. เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่ปิดท้ายสัปดาห์ (6 ส.ค.) ราคาหุ้นกลับมาเคลื่อนไหว 'ร้อนแรง' อีกครั้ง สวนทางดัชนีหุ้นไทยร่วง !! ฟาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุ สาเหตุที่ทำให้ราคา 'หุ้น DELTA' ปรับตัวขึ้นมองได้รับปัจจัยหนุน หลังหลุดมาตรการกำกับการซื้อขาย ทั้งการห้ามคำนวณวงเงินซื้อขาย และ Cash Balance ตั้งแต่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้วันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมาเป็นวันแรก ที่สามารถซื้อด้วยบัญชีมาร์จิ้นได้ 

๐ ร้อนถึง !! 'ดร.ภากร ปีตธวัชชัย' เอ็มดี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องออกมาดับความร้อนแรงหุ้น DELTA แต่หัววันด้วยการเตือนผู้ลงทุนระมัดระวังก่อนเข้าซื้อขายในหุ้น DELTA หลัง 6 ส.ค.ที่ผ่านมา สภาพการซื้อขายมีความผันผวนต่อเนื่อง ดังนั้น ก็อาจจะเข้าเงื่อนไขมาตรการกำกับการซื้อขายในระดับ 3 ได้ โดยที่ผู้ลงทุนต้องซื้อด้วยบัญชี cash balance ห้ามนำหลักทรัพย์ DELTA มาวางเป็นหลักประกันในการเพิ่มวงเงิน และห้ามซื้อขายแบบ net settlement

๐ บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ปิดดีลซื้อ หุ้น อินทัช โฮลดิ้งส์ หรือ INTUCH ขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 จำนวน 42.25% แล้ว 'ยุพาพิน วังวิวัฒน์' แย้มคาดในไตรมาส 3 ปี 64 จะเริ่มบันทึกงบของ INTUCH เข้ามาในงบรวมของ GULF ภายหลังได้ทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ โดยได้หุ้นมาจำนวน 23.32% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับหุ้นที่บริษัทถืออยู่เดิม ส่งผลให้บริษัทถือหุ้น INTUCH รวมเป็น 42.25% ในเบื้องต้นบริษัทจะได้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนประมาณ 1,600 ล้านบาท จากกรณีที่ INTUCH ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 1.23 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 2 ก.ย. 64 

๐ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ สำหรับ บมจ. ธนพิริยะ หรือ TNP ล่าสุดโชว์ตัวเลข 'กำไรสุทธิ' ไตรมาส 2 ปี 2564 สวยหรูอยู่ที่ 43.94 ล้านบาท เติบโต 56.10% 'ธวัชชัย พุฒิพิริยะ' นายใหญ่ TNP ยิ้มแก้มปริรับยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น และ การขยายสาขาใหม่เสริม แย้มโควิด-19 หนุนดีมานด์โตหลังประชาชนกักตุนสินค้า บวกมาตรการรัฐกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการต่างๆ ผลงานสวยหรูเฉกเช่นนี้ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.05 บาทต่อหุ้น XD 3 ก.ย.นี้ !!
#3682


การระบาดโควิดระลอกที่ 4 ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ได้พัฒนากลายพันธุ์ มีความรุนแรงและแพร่กระจายรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งการกระจายวัคซีนยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายและรวดเร็วเพียงพอกับการแพร่ระบาด ปัจจุบันยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รอบ 4 ทำสถิตนิวไฮเกือบทุกวัน โดยพุ่งเกินวันละ 2 หมื่นรายต่อวัน และยังไม่มีสัญญาณว่าแนวโน้มของการติดเชื้อจะลดลง ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของไทยเกินจะรับไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้กระจายไปภาคอุตสาหกรรมกระทบต่อการการผลิตของไทย

1,500 โรงงาน คือยอดที่เป็นทางการจากการตรวจสอบที่พนักงานในโรงงานติดเชื้อโควิด-19  และยังมีอีกหลายโรงงานที่มีการติดเชื้อ  ซึ่งการตรวจโควิดด้วยตนเอง หรือชุดตรวจ ตรวจโควิด-19 หรือที่เรียกว่า  Antigen Test Kit หรือ ATK  จึงเป็นทางออกให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในการการตรวจเชิงรุกเพื่อคัดกรองหาผู้ติดเชื้อ COVID-19 อย่างรวดเร็ว และเข้าสู่ขั้นตอนการดูแลรักษาผู้ป่วยตามระบบของสาธารณสุข

"วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ระบุว่า    สถานการณ์การระบาดของโรงงานผลิตอาหาร หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด- 19 จาก 99 โรงงาน  ยังไม่ขยายวงกว้าง โดยโรงงานใช้มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เน้นการตรวจเชิงรุกมากขึ้นโดยใช้ชุดตรวจ ATK เพื่อแยกแรงงานที่ติดเชื้อออกจากแรงงานที่ไม่ติดเชื้อ เพื่อให้ส่วนที่เหลือยังคงทำงานได้ แทนการปิดทั้งโรงงานซึ่งถ้าหากใช้มาตรการปิดทั้งโรงงานจะส่งผลให้อาหารขาดแคลนได้ในอนาคต

"โรงงานต้องการให้รัฐดูแลราคาชุดตรวจให้ราคาไม่แพง เข้าถึงง่าย จะช่วยทำให้โรงงานสามารถสุ่มตรวจพนักงานได้บ่อยครั้งมากขึ้น เป็นการป้องกันเบื้องต้นภายในโรงงาน"

ชุดตรวจ ATK  จึงมีความสำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรมเพื่อแยกผู้ป่วยและคนปกติออกจากกันเพื่อให้โรงงานสามารถเดินเครื่องการผลิตได้บางส่วนแต่ชุดตรวจ ATK  ไม่เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งยังไม่นับรวมความต้องการของประชาชนที่ต้องการซื้อชุดตรวจ ATK   เช่นกัน ที่สำคัญ"ราคา"ของชุดตรวจ ATK  เริ่มมีราคาแพงและหายากมากขึ้น

"สนั่น อังอุบลกุล " ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า   หอการค้ายังได้มีการติดต่อผู้นำเข้า ATK ที่ได้รับการรับรองแล้วมาให้สมาชิกฯ ได้ติดต่อซื้อตรงในราคาพิเศษที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการใช้ในสถานประกอบการ ชุดตรวจนี้ไม่เพียงแต่จำเป็นต่อภาคการผลิตเท่านั้นแต่ยังจำเป็นต่อภาคธุรกิจอื่นๆ ด้วย ซึ่งหลายๆประเทศก็ได้มีการใช้ Rapid ATK ในการควบคู่ไปกับการกลับมาเปิดดำเนินธุรกิจต่างๆ

ทางหอการค้าไทยได้เสนอให้รัฐบาลรัฐบาลในการสนับสนุนและจำหน่าย Rapid Antigen test Kit (ATK) ในราคาที่ถูก มีความหลากหลาย มีคุณภาพ และหาซื้อได้ง่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนสามารถเข้าถึงได้  ซึ่งประเทศไทยควรเร่งดำเนินการจัดหาเพิ่มขึ้น รวมถึงควรสนับสนุนให้สามารถซื้อขายได้ในรูปแบบ B2B ระหว่างผู้นำเข้าและผู้ประกอบการ ภายใต้การควบคุมดูแล คุณภาพและมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข นอกจากนั้นควรมีการให้ความรู้ ความเข้าใจถึงวิธีใช้งานและวิธีกำจัดภายหลังการใช้งานด้วย และในระยะถัดไปควรมีการวางแผนเพื่อมีส่งเสริมการลงทุนให้มีการผลิต ATK ในประเทศ โดยสามารถให้เอกชนร่วมเข้าไปสนับสนุนในส่วนนี้ได้

ล่าสุดจากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้มี 26 บริษัทที่จดทะเบียนนำเข้าชุดตรวจ ATK และอยู่ในระหว่างการนำเข้า ส่วนชุดตรวจ ATK ที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้มีประมาณ 5-7 ยี่ห้อเท่านั้นซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการส่งผลให้มีราคาสูง ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งจัดหาชุดตรวจ ATKให้เพียงพอและมีราคาถูกเพราะส่วนจะเป็นด่านแรกที่ช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถสามารถป้องกันไม่ให้การติดเชื้อขยายเป็นวงกว้างออกไปจนกระทบต่อการผลิต
#3683


นักวิจัยต่างชาติผลิตวัคซีน "ไฟเซอร์" "โมเดอร์น" ประเภท mRNA ให้คนทั้งโลกใช้ และนักวิจัยไทยก็พยายามพัฒนาวัคซีนโควิดเช่นกัน คาดว่ากลางปีหน้า (2565)วัคซีน ChulaCov19 ประเภทmRNA และวัคซีนใบยา (จะสามารถนำมาใช้ในมนุษย์ได้เป็นแห่งแรกในเอเชีย) รวมถึง วัคซีนเชื้อตาย ของมหาวิทยาลัยมหิดล และวัคซีนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)   

ทั้งหมด ถ้าผ่านขั้นทดลอง จนแน่ใจว่า มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสร้างภูมิคุ้มกันโควิดสายพันธุ์ใหม่ได้ ก็จะทยอยออกมา

ล่าสุด ทีมงานนักวิจัยคนไทยผู้พัฒนาวัคซีนโควิดทุกทีมกำลังทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อประชาชนไทย เพราะตั้งแต่โควิดระบาดระลอก 3 ทุกคนต่างเศร้าเสียใจที่คนไทยติดเชื้อไวรัสโควิด แล้วจากไปเหมือนใบไม้ร่วง 

แม้วัคซีนสัญชาติไทยจะออกมาช้า แต่ได้ใช้แน่นอน อาจใช้เป็นวัคซีนป้องกันโควิดเข็ม 3,4,5... เพราะการฉีดวัคซีนหนึ่งเข็มสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้นาน 6-12 เดือน  ยกเว้นมีการคิดค้นใหม่ เพื่อให้วัคซีนสร้างภูมิคุ้มได้ยาวนานกว่านั้น

ถ้าอย่างนั้นมาดูสิ วัคซีนจากนักวิจัยไทยไปถึงไหนแล้ว



(ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับวัคซีนที่ทดลองในอาสาสมัครมนุษย์ -ภาพจากเฟซบุ๊ก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ )

1.วัคซีน ChulaCov19 

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในมนุษย์)


-ประเภท mRNA 

ผลิตจากชิ้นส่วนขนาดจิ๋วสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา (โดยไม่มีการใช้ตัวเชื้อแต่อย่างใด) ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไป จะทำการสร้างเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (spike protein) 

และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันไว้เตรียมต่อสู้กับไวรัสเมื่อไปสัมผัสเชื้อ เมื่อวัคซีนชนิด mRNA ทำหน้าที่ให้ร่างกายสร้างโปรตีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไปโดยไม่มีการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด


-ผู้พัฒนาวัคซีน

ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ของโลกคือ Prof. Drew Weissman


-การทดลองที่ผ่านมา

หลังจากทดลองในลิงและหนู พบว่า สามารถยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดและสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง จึงนำมาสู่การผลิตการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1ให้กับอาสาสมัครเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอายุ จำนวน 72 คน 

กลุ่มแรก เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 18-55 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน

กลุ่มที่สอง เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 65-75 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน

ในจำนวนสองกลุ่มข้างต้นจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม, 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม เพื่อดูว่า วัคซีน ChulaCov19 มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ปริมาณเท่าไร เพราะปัจจุบันโมเดอร์นาใช้วัคซีนปริมาณ 100 ไมโครกรัม ส่วนไฟเซอร์ใช้ 30 ไมโครกรัม 

ถ้าการทดลองได้รู้ขนาดที่ปลอดภัยและกระตุ้นภูมิได้สูง จะเข้าสู่การทดสอบระยะที่ 2 จำนวน 150-300 คน คาดว่าเริ่มต้นฉีดเดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป


-จุดเด่น ChulaCov19

จากการทดสอบ มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ ความทนต่ออุณหภูมิของวัคซีน พบว่าวัคซีน ChulaCov19 อยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นาน 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ ทำให้การจัดเก็บรักษาง่ายกว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น 


-ความคืบหน้าวัคซีน

กำลังจะทดสอบในอาสาสมัครคนไทยเฟส 1 เพิ่มเติมในกลุ่มผู้สูงอายุ  คาดว่าจะรู้ผลว่าสร้างภูมิคุ้มกันปลายเดือนตุลาคม 2564 และคาดอีกว่าจะเป็นวัคซีนที่ผลิตสำหรับการฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นเข็มที่ 3 สำหรับคนไทยโดยมีเป้าหมายว่าจะผลิตออกมา พร้อมขึ้นทะเบียนอย.ได้ในเดือนเมษายน 2565

(ที่มาข้อมูล : เฟซบุ๊คคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ) 

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวไว้ในเฟซบุ๊คดังกล่าวว่า หากองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ได้ว่า "วัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้องกระตุ้นภูมิเท่าไร" ก็จะช่วยลดขั้นตอนได้ สมมติว่าเกณฑ์วัคซีนโควิด-19 ที่ดีต้องสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่า 80 IU (International Unit)

"ถ้าวัคซีน ChulaCov19 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าค่านี้แสดงว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ก็สามารถยกเว้นการทำทดสอบทางคลินิกระยะที่สามได้ วัคซีนนี้อาจได้รับอนุมัติให้ผลิตเพื่อใช้ในคนจำนวนมากได้ภายในก่อนกลางปีหน้า"


(วัคซีน ChulaCov19 ประเภท mRNA อยู่ในขั้นตอนทดลองในมนุษย์ เดือนสิงหาคม 64)




2. วัคซีนจากใบยา

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในอาสาสมัคร)


-ประเภทโปรตีนจากใบยา

เทคโนโลยีการผลิตโมเลกุลโปรตีนจากพืช คือใส่ยีนเข้าไปในพืช แล้วใช้กระบวนการผลิตของพืช ผลิตโปรตีนที่เราต้องการ โปรตีนที่ได้จึงมีความบริสุทธิ์ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เป็นเทคโนโลยีที่มีมากว่า 15 ปี เคยใช้รักษาโรคอีโบล่า


-ผู้พัฒนาวัคซีน

รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ คนต้นคิดวัคซีนจากใบยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี และผศ.ภญ.ดร.สุธีรา เตชคุณวุฒิ ประธานกรรมการบริหาร ทั้งสองทำงานแบบสตาร์ทอัพ ในนามบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ในความดูแลของ CU Enterprise

โดยการวิจัยพัฒนาวัคซีนชนิด Protein Subunit ดำเนินการโดยบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จํากัด ,คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล


(ในห้องทดลองบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด) 

-การทดลอง 

-วัคซีนใบยาได้ผ่านการทดสอบในหนูและลิง ด้วยการฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 สัปดาห์ ผลการทดสอบปรากฏว่าลิงมีความปลอดภัย และไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ

ผลเลือดในลิงที่ใช้ทดลองมีค่าเอนไซม์ตับปกติ อีกทั้งจำนวนเม็ดเดือดแดงและเม็ดเลือดขาวอยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้เมื่อนำเปปไทด์ไปกระตุ้นเซลล์ของลิงพบว่า มีการกระตุ้น T Cell ได้ดี ซึ่งนับว่าการทดลองดังกล่าวประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

-โดยกระบวนการผลิตวัคซีนที่ใช้พืช สามารถผลิตเป็นจำนวนครั้งละมาก ๆ ได้ และสามารถยกระดับจากการผลิตวัคซีนในห้องทดลอง มาเป็นการผลิตวัคซีนระดับอุตสาหกรรมได้ทันที

การผลิตวัคซีนจากใบยาสูบนี้สามารถผลิตได้ประมาณ 10,000 โดสต่อเดือนในห้องทดลองขนาดเล็กเท่านั้น จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคระบาดในอนาคต


-จุดเด่นวัคซีนใบยา

การผลิตจากพืช เมื่อเกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ในอนาคต ทีมวิจัยสามารถนำรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์นั้นๆ มาผลิตเป็นวัคซีนใช้ได้ทันที เหมาะกับการผลิตวัคซีนที่เชื้อไวรัสมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกมาตลอด ไม่ต้องเสียเวลานำเข้าวัคซีนเฉพาะบางสายพันธุ์จากต่างประเทศ

วัคซีนมีส่วนประกอบที่เป็นโปรตีน จึงค่อนมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ในส่วนของประสิทธิภาพจะต้องมีการทดลองในมนุษย์กันต่อไปจึงสามารถวัดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


-ความคืบหน้า

สิงหาคม-กันยายน 2564  ทดลองอาสาสมัครกลุ่มแรกจำนวน 50 คน อายุ 18 - 60 ปี โดยอาสาสมัครต้องมีสุขภาพแข็งแรงและไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน การทดสอบวัคซีน จะเริ่มในเดือนกันยายน

อาสาสมัครจะได้รับการฉีดวัคซีนจำนวนสองเข็ม เว้นระยะเวลาห่างกัน 3 สัปดาห์ เมื่อทดสอบกับอาสาสมัครกลุ่มแรกเสร็จเราก็จะทดสอบวัคซีนกับอาสาสมัครกลุ่มอายุ 60–75 ปี ต่อไป คาดว่าวัคซีนใบยาจะพร้อมฉีดให้คนไทยช่วงกลางปี 2565

รศ.ดร.วรัญญู พูลเจริญ คนต้นคิดวัคซีนจากใบยา ให้ข้อมูลกับ"กรุงเทพธุรกิจ"ไว้ว่า เทคโนโลยีการผลิตโมเลกุลโปรตีนจากพืช คือใส่ยีนเข้าไปในพืช แล้วใช้กระบวนการผลิตของพืช ผลิตโปรตีนที่เราต้องการ โปรตีนที่ได้จึงมีความบริสุทธิ์ ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

"พืชที่เราปลูก ไม่ได้ใส่สารพันธุกรรม เป็นพืชธรรมชาติ จนกว่าจะโตเหมาะสม เราก็ฉีดอะโกรแบททีเรียม(การถ่ายโอนดีเอ็นเอ )เข้าไป หลังจากนั้น 4-5 วัน เราก็ตัดพืชมาสกัดโปรตีนที่ต้องการนำไปทดสอบ ต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกว่า วันไหนพืชจะผลิตโปรตีนได้มากที่สุด"

หากถามว่า ทำไมต้องเป็นวัคซีนจากใบยา อาจารย์วรัญญู ให้ข้อมูลว่า

"มีโรคมากมายในโลกนี้ ที่ยังไม่มีวัคซีนป้องก้น ไม่ว่าเทคโนโลยีแบบไหนจะดีแค่ไหน ก็ต้องศึกษา เทคโนโลยีจากโมเลกุลโปรตีนพืชสามารถทำออกมาได้เร็ว ต่อให้ไม่ได้ผล เราก็รู้เร็ว เปลี่ยนได้เร็วการทำวัคซีนโควิดเราใช้ฐานความรู้ไวรัสซาร์สและเมอร์สมาพัฒนา นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ทำแบบนี้"

3. วัคซีนมหาวิทยาลัยมหิดล 

(เดือนสิงหาคม 64 ทดลองในอาสาสมัคร)

-ชนิดเชื้อตาย HXP-GPOVac 

พัฒนาโดย คณะเวชศาสตร์เขตร้อน  มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับองค์การเภสัชกรรม สถาบัน PATH และ The University of Texas at Austin


นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เคยให้ข้อมูลความคืบหน้าไว้ในกรุงเทพธุรกิจว่า

"รายงานผลการทดสอบอย่างเป็นทางการ จะเลือกวัคซีน 2 สูตรที่ดีที่สุดจากการทดลองไป 5 สูตร เพื่อนำมมาทำการทดลองระยะที่ 2 ในอาสาสมัคร 250 คนในเดือนสิงหาคมนี้ และเลือก 1 สูตรที่ดีที่สุดเพื่อทดลองในระยะที่ 3 "

ส่วนการทดลองระยะที่ 3 ในภาคสนามกับอาสาสมัคร 1,000 - 10,000 คน โดยวัคซีนที่ผ่านการวิจัยในมนุษย์ทั้ง 3 ระยะแล้วจะถูกนำไปขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยา เพื่อเริ่มการผลิตต่อไป


ขอวัคซีนให้คนไทยทุกคน อย่างเท่าเทียม เสมอภาพ 

...................

4.วัคซีนสวทช. 

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)พัฒนาวัคซีนโควิดออกมา 2 ชนิด

1. Adenovirus ที่มีการแสดงออกของโปรตีนสไปค์ ออกแบบโดยการพ่นเข้าจมูกผ่านละอองฝอย รูปแบบนี้น่าจะเป็นวัคซีนที่ใกล้เคียงกับหลายๆ ที่ ที่กำลังทดสอบในเฟส1-2 ของทีม 

นักวิจัย สวทช. ผ่านการทดสอบในหนูทดลองที่ฉีดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว พบว่า หนูทดลอง นอกจากไม่มีอาการป่วย ยังมีน้ำหนักขึ้นสูงกว่ากลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามอย่างเห็นได้ชัด ผลการทดสอบความปลอดภัยไม่มีปัญหา

การผลิตในระดับ GMP ร่วมมือกับ KinGen BioTech เรากำลังจะทดสอบวัคซีนนี้ในอาสาสมัครมนุษย์ในรูปแบบที่สร้างจากไวรัสสายพันธุ์เดลต้าในเร็วๆนี้(เดือนสิงหาคม 64) ผลงานวิจัยกำลังเร่งรวบรวมผลส่งเข้าตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ

2. Influenza virus ที่มีการแสดงออกของโปรตีน RBD ของสไปค์ ตัวนี้กำลังต่อคิวทดสอบประสิทธิภาพการคุ้มโรคโควิด-19

และผลการวิจัยเรื่องระดับภูมิคุ้มกันในหนูทดลองได้ตีพิมพ์ไปแล้ว วัคซีนตัวนี้ร่วมมือกับทีมองค์การเภสัชกรรม และมีแผนจะออกมาทดสอบเป็นตัวต่อมา

"ในเรื่องของการกลายพันธุ์ที่หลายคนเป็นห่วง ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 อย่าง หนึ่ง.คนที่ได้รับวัคซีนต้องฉีด 2 เข็ม ไม่ใช่ฉีดเข็มแรกแล้วไม่ฉีดต่อ เพราะภูมิคุ้มกันจากเข็มแรก จะเข้าไปจับไวรัสแบบอ่อนๆ หลวมๆ ทำให้ไวรัสเปลี่ยนตัวเองได้และการกลายพันธุ์เกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่มีการฉีดเข็มที่สอง

(ที่มาข้อมูล : เพจ Anan Jongkaewwattana)

ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ(ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เคยให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า  

"เราต้องการวัคซีนที่แข็งแรงจับไวรัสได้ ทำลายให้ตายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ให้เวลามันปรับตัวเปลี่ยนแปลงตัวเอง"
#3684


สถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้หลายคนได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่าคุณแม่ที่มีลูกน้อยที่ต้องการได้รับการช่วยเหลือเช่นกัน งานนี้ก็ทำให้ดาราสาวใจบุญอย่าง "ออม สุชาร์ มานะยิ่ง" ออกมาจัดโปรเจค #milkformom2 ช่วยเหลือเหล่าคุณแม่จำนวน 3,200 คน ด้วยการโอนเงินไว้ซื้อของให้ลูกน้อย

โดยสาว "ออม สุชาร์" ก็ได้โพสต์ภาพยิ้มอิ่มใจกับ พร้อมเขียนข้อความว่า "ในที่สุด!!!!! #milkformom2 ครบแล้วค่า 3,200 คุณแม่ ออมและทีมงานโอนเงินไปให้คุณแม่ที่ได้รับผลกระทบในช่วงสถาณการณ์โควิด-19 เป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ หวังจะเกิดประโยชน์อย่างมากที่สุดเลยนะค้า คุณแม่สามารถตรวจสอบชื่อจากในเพจ Aom Sushar Official ได้ค่ะ

ขอขอบคุณทีมงานจิตอาสาทุกท่านที่มาช่วยกันในโปรเจคนี้นะคะ ทุกคนมีภาระหน้าของตัวเองแต่ก็สลับสับเปลี่ยนกันมาช่วยออม ออมขอบคุณมากจริงๆค่ะ

และออมกับพี่แอมต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่สามารถช่วยเหลือจะคุณแม่ได้ครบทุกท่านที่ส่งเข้ามา แต่จะขอเป็นกำลังใจให้ เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันค่ะ และขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ของออมและพี่แอมที่ได้ร่วมสบทบทุนมาเพิ่มเติมในโครงการนี้ด้วยนะคะ หากเกิดข้อผิดพลาดประการใด ทางออมและทีมงานต้องขอภัยด้วยนะคะ" งานนี้ก็มีแฟนๆ เข้ามาร่วมอนุโมทนาบุญกันเพียบ
#3685


Community Isolation หรือ ศูนย์พักคอย 4 มุมเมือง ภายใต้การสนับสนุนของ "เมืองไทยประกันภัย" และ "มูลนิธิมาดามแป้ง" โดย "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ เปิดรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวแล้ว 2 แห่งแรก ในเขตบึงกุ่มและวังทองหลาง พร้อมส่งทีมอาสากล้าใหม่เข้าอบรมเป็นผู้ช่วยร่วมทำงานกับบุคลากรทางการแพทย์

สำหรับ Community Isolation เขตบึงกุ่ม ได้จัดตั้งขึ้นที่ โรงเรียนสุขุมนวพันธ์อุปถัมภ์ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของโรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ด้วยขนาด 124 เตียง ขณะนี้ทดลองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวแล้ว 10 ราย และอีกเขตที่เปิดบริการเรียบร้อยแล้วคือ วิทยาลัยพาณิชยการอินทราชัย ในเขตวังทองหลาง โดยโรงพยาบาลลาดพร้าว ซึ่งมีขนาด 100 เตียง ขณะนี้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้ว 14 ราย โดยทั้งสองแห่งนี้จะทยอยรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวโดยรอบชุมชน ที่ได้ลงทะเบียนตามระบบไว้แล้ว ซึ่งคาดว่าจะเต็มอัตราภายในสัปดาห์นี้

นางนวลพรรณ ล่ำซำ ซีอีโอ บมจ. เมืองไทยประกันภัย และในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง กล่าวว่า "นอกจากการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในศูนย์ทั้ง 4 ศูนย์ ได้แก่ บึงกุ่ม, วังทองหลาง, ราษฎร์บูรณะ และภาษีเจริญ แล้ว เรายังจัดส่งทีมอาสากล้าใหม่กลุ่มแรก นำร่องจำนวน 12 คน เข้าร่วมการอบรมกับทีมแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ประจำศูนย์ต่าง ๆ ที่เปิดบริการทั้ง 4 ศูนย์ เพื่อแบ่งเบาภาระงานของแพทย์ พยาบาลในโรงพยาบาลแต่ละแห่งที่มีกำลังคนไม่เพียงพอ และยังเป็นการเพิ่มทักษะให้แก่กลุ่มอาสากล้าใหม่ในการดูแลผู้ป่วยในชุมชนของตนเอง เพื่อรับมือกับปรากฏการณ์ New High จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องอีกด้วย"

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้ สามารถบริจาคและสมทบทุนได้ที่บัญชี ธนาคารกสิกรไทย เลขที่บัญชี 092-2-61340-0 ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้ หรือร่วมสมัครเป็นทีมอาสากล้าใหม่กับเราได้ที่ http://bitly.ws/dsfM

#ส่งต่อน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน #มูลนิธิมาดามแป้ง #เมืองไทยประกันภัย
#3686


ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 271.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 35,064.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 26.44 จุด หรือ 0.60% ปิดที่ 4,429.10 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 114.58 จุด หรือ 0.78% ปิดที่ 14,895.12 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 385,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทโมเดอร์นา อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 4% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19

โมเดอร์นาเปิดเผยว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 4,200 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 3 เดือนระหว่างเดือนเม.ย.-มิ.ย. หรือราว 140,000 ล้านบาท

โมเดอร์นา ระบุว่า บริษัทจะผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 800-1,000 ล้านโดสในปีนี้ และขณะนี้บริษัทได้ลงนามในสัญญาส่งมอบวัคซีนวงเงิน 20,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และ 12,000 ล้านดอลลาร์ในปีหน้า

ทั้งนี้ โมเดอร์นามีกำไร 6.46 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.96 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ 4,350 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4,200 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในไตรมาส 2 ของโมเดอร์นายังคงต่ำกว่ายอดขายของไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 7,800 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 หรือราว 260,000 ล้านบาท และบริษัทได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนในปีนี้สู่ระดับ 33,500 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 26,000 ล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นตัวเลขจ้างงานตัวสุดท้าย ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 926,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 850,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย.

หากตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่ง ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี)

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล

นายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ส่งสัญญาณในการกล่าวถ้อยแถลงวานนี้ว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

ทั้งนี้ นายแคลริดากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อของเฟดภายในปลายปีหน้า ซึ่งจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566

"ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะบรรลุเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดภายในปลายปีหน้า และการกลับมาใช้นโยบายการเงินแบบปกติในปี 2566 จะสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบยืดหยุ่นของเฟด" นายแคลริดา กล่าว

"หากการคาดการณ์ของผมเป็นจริง ก็คาดว่าเฟดจะเริ่มประกาศปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้" เขากล่าว

คำกล่าวของนายแคลริดาสอดคล้องกับถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ของนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด โดยนายวอลเลอร์ระบุว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 6.7% สู่ระดับ 7.57 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.41 หมื่นล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ การนำเข้าเพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ 2.391 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 1.459 แสนล้านดอลลาร์ โดยเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
#3687


"เดอะ ด็อกเตอร์" ในวัย 42 ปี สร้างชื่อจากการคว้าแชมป์โลกได้ทุกรุ่นที่ลงทำการแข่งขัน ตั้งแต่ 125 ซีซี, 250 ซีซี อย่างละ 1 สมัย และโมโต จีพี อีกถึง 7 สมัย โดยฤดูกาล 2021 เจ้าตัวย้ายจาก มอนสเตอร์ ยามาฮ่า ไปอยู่กับ เปโตรนาส ยามาฮ่า แต่ทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

"มันยากที่จะพูดออกมา เมื่อรู้ว่าปีหน้าผมจะไม่ได้ลงแข่งขันมอเตอร์ไซค์อีกแล้ว" รอสซี เริ่มกล่าว

"ถือเป็นช่วงเวลาที่ลืมไม่ลง มันเยี่ยมมาก ผมสนุกกับมันมากๆ มันคือการเดินทางที่แสนยาวนาน และสนุกสุดๆ ไปเลย"

"ตลอดระยะเวลา 25-26 ปี ในศึกชิงแชมป์โลก มันยอดเยี่ยมมาก และปีหน้าชีวิตของผมจะเปลี่ยนไป" ยอดนักบิดชาวอิตาเลียน ทิ้งท้าย

ทั้งนี้เจ้าของตำนานหมายเลข 46 คว้าชัยไปทั้งหมด 115 สนาม ขึ้นโพเดียมไป 235 ครั้ง พร้อมกับคว้าตำแหน่งโพล ไป 65 ครั้ง นับตั้งแต่เริ่มลงชิงชัยในรุ่น 125 ซีซี เมื่อปี 1996

อย่างไรก็ตามเจ้าตัวยืนยันว่าหลังจากนี้จะหันไปทุ่มเทกับการบริหารทีมมอเตอร์ไซค์ของเขาเอง อย่าง อารัมโค เรซซิ่ง ทีม วีอาร์ 46 ที่จะมาลงชิงชัยโมโต จีพี ในปี 2022
#3688


ราคาน้ำมันขยับขึ้นราว 1% ในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวก ได้แรงหนุนจากข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯ ความเคลื่อนไหวของตลาดทุนฉุดให้ราคาทองคำปรับลด

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ ปิดที่ 69.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ ปิดที่ 71.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

เครื่องบินรบของอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีในสิ่งที่พวกเขาระบุว่าเป็นฐานยิงจรวดในเลบานอนในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ตอบโต้เหตุยิงจรวด 2 ลูกจากดินแดนเลบานอนเข้าใส่อิสราเอล ในสถานการณ์ความเป็นปรปักษ์ข้ามพรมแดนที่ลุกลามบานปลาย ท่ามกลางความตึงเครียดกับอิหร่าน

ความตึงเครียดดังกล่างก่อความกังวลเกี่ยวกับอุปทานทางพลังงาน ส่งผลให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.)

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) ปิดบวก เอสแอนด์พี500และแนสแดคทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากข้อมูลผู้เข้ารับสวัสดิการคนว่างงานที่ดีขึ้น ก่อนสหรัฐฯเผยแพร่รายงานการจ้างงานรายเดือนในวันศุกร์(6ส.ค.)

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 271.58 จุด (0.78 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 35,064.25 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 26.44 จุด (0.60 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,429.10 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 114.58 จุด (0.78 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 14,895.12 จุด

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 385,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ข้อมูลนี้ถูกเผยแพร่ออกมาก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานรายเดือนในวันศุกร์(6ส.ค.) ซึ่งพวกนักวิเคราะห์คาดหมายว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะมีการจ้างงานเพิ่มเติมถึง 925,000 ตำแหน่ง และอัตราคนว่างงานน่าจะลดลงสู่ระดับ 5.6%

ส่วนราคาทองคำปิดลบในวันพฤหัสบดี(5ส.ค.) หลังผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯดีดตัวขึ้น โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 5.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,808.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์

(ที่มา:รอยเตอร์/มาร์เก็ตวอตช์)
#3689


นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานร่วมในการประชุม APEC High Level Policy Dialogue on Agricultural Biotechnology (HLPDAB) 2021 ผ่านระบบวีดีทัศน์ทางไกล โดยมีประเทศนิวซีแลนด์เป็นเจ้าภาพ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและบทบาทของเทคโนโลยีชีวภาพด้านต่าง ๆ


        โดยการประชุมดังกล่าว นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ได้มุ่งเน้นประเด็นหลัก 5 เรื่อง ได้แก่ 1) ความปลอดภัยด้านอาหารและความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเพียงพอ 2) การบูรณาการระบบอาหารที่ยั่งยืนโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติแบบเป็นมิตรกับธรรมชาติมากที่สุด 3) "การนำนโยบาย 3-S" 'ความปลอดภัย' (Safety), 'ความมั่นคง' (Security) และ 'ความยั่งยืน' (Sustainability) ในการปรับใช้ด้านการเกษตร 4) การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่เป็นหลักการพื้นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศไทย


5) การปรับตัวสู่ระบบอาหารและการเกษตรที่ยั่งยืน นับเป็นวาระแห่งชาติในการกำหนด Food Security Roadmap ถึงปี 2030 ซึ่งเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตรจะเป็นอีกเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเกษตรกรทั้งในด้านการเพิ่มผลผลิต การควบคุมคุณภาพ การควบคุมแมลงศัตรูพืช และช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว

ซึ่งมีความสอดคล้องกับของประเทศไทยที่นำโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Model (Bio-Circular-Green Economy)) เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงการประชุม UN 2021 Food Systems Summit ที่จัดขึ้น ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 26 – 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ว่าระบบการผลิตอาหารได้สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ และทำให้เกิดการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

ดังนั้น "ระบบอาหารและเกษตรที่ยั่งยืน" จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม APEC High Level Policy Dialogue on Agricultural Biotechnology (HLPDAB) ในปีถัดไป (2565)

        "การเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนำนวัตกรรมในด้านเทคโนโลยีชีวภาพใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ จะช่วยยกระดับการพัฒนาระบบอาหารและเกษตรที่ยั่งยืน โดยต้องคำนึงถึงปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Green Kitchen of the World ได้อย่างแท้จริง" นายระพีภัทร์ กล่าว
#3690


นายชัชวัสส์ เกรียงสันติกุล หุ้นส่วน บริษัท มาซาร์ส ประเทศไทย จำกัด กล่าวถึงผลกระทบจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าปีครึ่ง ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2563 เป็นต้นมา ทำให้อุตสหกรรมและธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กหลายแห่งต้องปิดตัวลงไป แถมยังมีอีกหลายกิจการที่ยังคิดไม่ตกว่าจะเลือกทางไหนดี จะสู้ต่อ ปิดตัวชั่วคราว หรือปิดกิจการไปเลย จากประสบการณ์ของมาซาร์ส ในการให้คำปรึกษาแนะนำลูกค้าธุรกิจที่เผชิญปัญหาจากปัจจัยต่าง ๆ โดยนำปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ มาวิเคราะห์และประเมินองค์กรอย่างเป็นกลาง เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการต่อไป

     สำหรับสิ่งที่มาซาร์สให้ความสำคัญที่สุดคือ กระแสเงินสดหมุนเวียนในการดำเนินอุตสาหกรรมและธุรกิจ ในการคงสภาพคล่องของกิจการ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกรรมต่างๆต่อไปได้ ซึ่งธุรกิจหลายๆประเภทได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขาดรายได้ หรือมีรายได้ลดลง จนทำให้กระแสเงินสดรับมีไม่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจต่อไป จากสภาวการณ์ปัจจุบันที่รัฐได้ออกข้อจำกัดต่างๆเพื่อควบคุมการระบาดของโรค และข้อจำกัดเหล่านั้นได้ส่งผลต่อธุรกิจในหลายประเภท ทั้งที่ไม่สามารถดำเนินกิจการได้เลย หรือสามารถดำเนินกิจการได้เพียงบางส่วน และธุรกิจที่ดำเนินกิจการได้ตามปกติแต่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ นั้น ทำให้เกิดสภาวะการขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากการขาดรายได้ การมีรายได้ลดลง และมีภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น หลายๆ ธุรกิจจึงต้องหาเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินกิจการ ทั้งจากการเพิ่มทุน และการกู้ยืมเงินจากแหล่งต่างๆ และต้องพยายามคงสภาพคล่องของกิจการ โดยการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่น การปลดพนักงานบางส่วนออก การเจรจาต่อรองกับคู่ค้า และ เจ้าหนี้ รวมไปถึงการขอลดค่าเช่า ค่าสินค้า หรือค่าบริการต่างๆลงเท่าที่สามารถจะทำได้ การขอพักชำระหนี้ ขอลดดอกเบี้ย ขอชะลอการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้น หรือบางรายอาจจะจำเป็นต้องหยุดชำระหนี้ แล้วเจรจาขอประนอมหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ หรือเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตามกฎหมาย หรือดำเนินการทางกฎหมายเพื่อให้ธุรกิจนั้นล้มละลายไป

    ในความเป็นจริง การเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอพักชำระหนี้โดยไม่ผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการในศาล อาจจะทำได้ยาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่มีอำนาจในการเจรจาต่อรองมากนัก การร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้เกิดสภาวะพักการชำระหนี้ (Automatic Stay) จึงน่าจะเป็นทางเลือกซึ่งผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง SMEs ควรจะพิจารณามากขึ้น เพราะสามารถทำได้ในจำนวนหนี้ตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับบุคคลธรรมดา และตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับนิติบุคคล ทั้งนี้ ศาลผู้พิจารณารับคำขอฟื้นฟูกิจการจะพิจารณาถึงเหตุอันสมควรและมีช่องทางในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้หรือไม่ โดยความเห็นชอบของเจ้าหนี้ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนหนี้ทั้งหมด และเมื่อศาลพิจารณารับคำขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ สภาวะพักการชำระหนี้จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติตามกฎหมาย และทำให้ลูกหนี้สามารถเก็บกระแสเงินสดรับไว้ใช้จ่ายในกิจการชั่วคราวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องก่อนทำแผนและเสนอศาลเพื่อพิจารณาอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ต่อไป

      ทั้งนี้ไม่ว่าผู้ประกอบการจะเลือกนำบริษัทเข้าสู่แผนการฟื้นฟูกิจการในศาล หรือจะเจรจาประนอมหนี้กับเจ้าหนี้และคู่ค้าที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการควรพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานควบคู่กันไปด้วย เช่น การให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน การนำระบบไอทีมาใช้ การสร้างระบบความปลอดภัยทางไอที และอื่น ๆ โดยในการให้คำแนะนำกับลูกค้า มาซาร์ส จะวิเคราะห์ผลกระทบที่ธุรกิจได้รับจากการที่จะต้องดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และกระแสเงินสดเป็นสำคัญ
สำหรับกิจการที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ก็ควรพิจารณาว่า ควรปรับแผนธุรกิจ วางแผนการเงิน การบริหารกระแสเงินสด ค่าใช้จ่ายต่างๆ และหนี้ที่มีอยู่อย่างไร หากต้องกู้เงินมาใช้จ่ายเพิ่มเติมในการดำเนินงาน จะสามารถจ่ายดอกเบี้ยและใช้คืนเงินต้นได้หรือไม่  หรือจะต้องหาแหล่งเงินทุนอื่น เช่น จากผู้ถือหุ้นเดิม หรือแหล่งอื่นๆ ในกรณีที่ไม่สามารถทำธุรกิจได้เลย เพราะข้อห้ามตามกฎหมาย ในการที่จะหยุดกิจการชั่วคราวนั้น จะต้องพิจารณาถึงรายจ่ายที่ไม่สามารถตัดให้ลดลงได้ และจำนวนเงินสดในมือด้วยว่าสามารถหยุดกิจการได้นานแค่ไหน เพียงใด และหากพิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่มี ไปจนกว่าจะกลับสู่สถานการณ์ปกติได้ ก็ควรพิจารณาเลิกกิจการ และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    มาซาร์ส ให้บริการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตรวจเช็คสถานะของธุรกิจ การให้คำปรึกษาแนะนำ และดำเนินการต่างๆ ไม่ว่าผู้ประกอบการจะตัดสินใจหยุดกิจการชั่วคราว เลิก หรือทำธุรกิจต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตรวจทานสัญญาต่างๆ การเข้าร่วมเจรจากับคู่ค้า และเจ้าหนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างแรงงาน หรือเลิกจ้างพนักงาน การดำเนินการทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาตต่างๆที่มี การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ การทำแผนธุรกิจ แผนฟื้นฟูกิจการ ตลอดจนการเลิกและชำระบัญชี ซึ่งความโดดเด่นที่ได้เปรียบของมาซาร์ส คือ การเป็นบริษัทที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (one stop service)   นอกจากนี้ มาซาร์ส ยังมีบริการให้คำปรึกษาด้านทำบัญชี ด้านตรวจสอบบัญชี ด้านการเงิน และ ภาษี มาช่วยลูกค้าอีกด้วย

     นายชัชวัสส์   กล่าวต่อไปว่า มาซาร์ส เป็นบริษัทที่มีการให้บริการเป็นที่ปรึกษาอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในตลาดเมืองไทย เราให้บริการลูกค้าทุกขนาดตั้งแต่บริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลาง ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจระดับโลก ตลอดจนธุรกิจสตาร์ทอัพและองค์กรหน่วยงานสาธารณะ และสามารถบริการให้คำปรึกษาได้ในทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจ บริษัท มาซาร์ส ประเทศไทย มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรวมมากกว่า 280 คน จุดเด่นของการดำเนินธุรกิจของเราอยู่ที่ความหลากหลายของผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพที่มาจากประเทศต่าง ๆหลากหลายสัญชาติ ทำให้มั่นใจได้ว่า เราคือที่ปรึกษาที่ให้คำแนะนำแก่ลูกค้าได้ทั้งธุรกิจในประเทศและธุรกิจข้ามชาติได้เป็นอย่างดี

      นอกจากนี้ กลุ่มมาซาร์ส เป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำระดับนานาชาติที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านงานผู้สอบบัญชี งานจัดทำบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ภาษีและที่ปรึกษาทางกฎหมาย กลุ่มมาซาร์สทำงานร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก มีบุคลากรซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่พร้อมให้บริการลูกค้าทุกธุรกิจ ทุกขนาดและให้บริการได้ทุก ๆขั้นตอนของธุรกิจ อยู่ทั่วทุกมุมโลกมากกว่า 42,000 คน ในจำนวนนี้เป็นบุคลากรภายในกลุ่มมาซาร์ส 26,000 คน และอีก 16,000 คนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจมาซาร์สในทวีปอเมริกาเหนือและแคนาดา สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่ http:// www.mazars.co.th
#3691


เฉลิมชัย เร่งเดินหน้าโครงการ "เกษตรกร Happy" ประสานไปรษณีย์และผู้ประกอบการเอกชน ขนส่งผลไม้ภาคใต้สู่ผู้บริโภคโดยตรง ปลื้มใจนายกรัฐมนตรีอุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรและส่งมอบให้บุคลากรด่านหน้า ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดทำโครงการ "เกษตรกร Happy" โดย ขอความร่วมมือไปยังบริษัท ไปรษณีย์ไทยเปิดให้บริการเป็นกรณีพิเศษเร่งด่วนพร้อมกัน 105 สาขาใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนให้นำส่งผลไม้จากเกษตรกรถึงผู้รับในพื้นที่สีแดงทุกพื้นที่ ซึ่งได้รับการยืนยันว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทยจะเร่งกำชับไปรษณีย์ทุกสาขาดำเนินการตามข้อเสนอ

แต่การจัดส่งอาจช้ากว่าปกติ 1 วันเพราะต้องใช้สาขาปลายทางที่อยู่นอกพื้นที่สีแดงผลัดเวรกันส่งเนื่องจากก่อนหน้านี้พนักงานสบางคนของสาขาในพื้นที่สีแดงติดโควิด-19 โดยไปรษณีย์ไทยจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อช่วยชาวสวน ซึ่งขอขอบคุณบริษัทไปรษณีย์ไทยและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่ร่วมมือ นอกจากนี้ได้ขอความร่วมมือไปยังบริษัทเคอรรี่ ซึ่งตกลงที่จะเปิดบริการอีกครั้งเช่นกัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 เนื่องจากระบบขนส่งเป็นกลไกสำคัญในการค้าขายและระบายผลไม้ออกจากแหล่งผลิตทั้งการค้าแบบออฟไลน์และออนไลน์

          ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยเกษตรกร โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ ประสานกับหน่วยงานต่างๆ ช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเมื่อวานนี้นายกฯ ซื้อผลไม้ทั้งมังคุดภาคใต้และลำไยภาคเหนือ แล้วส่งมอบเป็นกำลังใจไปให้กับเจ้าหน้าที่และจิตอาสาด่านหน้าด้วย

          นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า มอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารมว. เกษตรฯ เดินทางไปภาคใต้เพื่อช่วยแก้ไขขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และปัญหาการขาดแคลนแรงงานรวมทั้งการขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าผลไม้(ล้ง)ทั้งค้าภายในและส่งออกให้ลงมาซื้อมังคุดด้วยมาตรการที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องทำให้สถานการณ์เริ่มกระเตื้องขึ้น เช่นจังหวัดนครศรีธรรมราชมีล้งเข้ามาซื้อขายมังคุดและผลไม้เพิ่มขึ้นจาก 40 ล้งเป็น 146 ล้ง

นอกจากนี้สมาคมผู้ส่งออกทุเรียนมังคุดแจ้งว่า สามารถจองตู้คอนเทนเนอร์ที่จะส่งออกผลไม้ทางเรือได้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมซึ่งจะทำให้ลดการขนส่งทางรถไปประเทศจีนที่แออัดติดขัดที่ด่านโหยวอี้กวนและด่านโมฮ่านมีผล จนทำให้ตู้คอนเทนเนอร์หมุนกลับมาภาคใต้ไม่ทันนั้นดีขึ้น หากตู้คอนเทนเนอร์ทยอยกลับมาขนมังคุดได้มากขึ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า จะทำให้การซื้อขายเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อราคาที่จะขยับตัวสูงขึ้น

          "ขอให้คนไทยช่วยกันอุดหนุนผลไม้ไทย ผ่าน facebook : Thailandpostmart และเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย  ได้แก่ มังคุด จ.นครศรีธรรมราช เงาะ จ.สุราษฎร์ธานี และลำไย จ.พะเยา ด้วยการการตลาดแบบใหม่ใช้ช่องทาง  Line My Shop และ QR Code ให้ผู้ซื้อ/ลูกค้า ทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้และราคาที่นำมาขายและสามารถสแกนซื้อที่ QR Code ของโครงการได้เลย โดยกระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนค่าขนส่งและค่ากล่องให้กับประชาชนที่สั่งซื้อผลไม้ออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทยไปรษณีย์ไทย ซึ่งจัดส่งให้ฟรีทั่วไทยด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร นอกจากนี้อาจส่งมอบแก่บุคลากรด่านหน้าเพื่อเป็นกำลังใจด้วย"นายเฉลิมชัย กล่าว

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงมาตรการป้องกันและควบคุมเชื้อโรคของประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกมังคุดและผลไม้อื่น ๆ ของไทย ที่เกิดจากปัญหาการขนส่งล่าช้า การขาดแคลนตู้คอนเทรนเนอร์และตะกร้าใส่ผลไม้ รวมทั้งปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าพื้นที่ที่ทำได้ยาก การขาดแคลนแรงงาน และตะกร้ามีไม่พอเช่นกัน ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งระดับนโยบายและระดับพื้นที่ เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน กระทรวงพาณิชย์มีแนวทางมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยกระจายมังคุดในประเทศ

เชื่อมโยงและกระจายมังคุดออกนอกแหล่งผลิตโดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการแก่ศูนย์กระจายในจังหวัดแหล่งผลิตกิโลกรัมละ 3 บาทซึ่งกรมการค้าภายในโอนเงินให้จังหวัดดำเนินการจำนวน 50,850,000 บาทตามที่ฟรุ้มบอร์ดอนุมัติเพื่อกระจายมังคุดจำนวน 16,950 ตันออกนอกแหล่งผลิตอย่างเร่งด่วน
สนับสนุนค่าขนส่งสำหรับผลไม้ที่ส่งผ่านไปรษณีย์กรมการค้าภายในร่วมกับบริษัทไปรษณีย์ไทยสนับสนุนกล่องไปรษณีย์และสติกเกอร์ส่งฟรีผลไม้ทั่วประเทศส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์แก่เกษตรกรรายย่อยจำนวน 20,000 กล่องกล่องละ 10 กิโลกรัมเพื่อช่วยกระจายผลเม้ 2000 ตันโดยได้จัดส่งกล่องพร้อมสติกเกอร์ให้จังหวัดต่างๆ แล้ว
เชื่อมโยงผู้รับซื้อของกรมการค้าภายในให้ช่วยเร่งระบายมังคุดเกรดรองหรือตกเกรดออกจากแหล่งผลิตโดยเร่งด่วน กรณีเกิดปัญหาระบายมังคุดไม่ทันในบางพื้นที่.
#3692












โควิดลดกระหน่ำ ที่ดินใกล้  ทล.21 ใกล้ภูทับเบิก ที่สวย ดินดีสมบูรณ์วิวเขา บรรยากาศสดชื่นสุขสบายสดชื่นแจ่มใส รถยนต์ถึงที่ดิน 103-1-81 ไร่ ต.หล่มเก่า อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ขายรวม 14ลบ. โฉนดครุฑแดง แบ่งขาย ห่างทล.21ประมาณ 1 กม. เข้าจากทางหลวงสาย เลย-หล่มสัก(203)ประมาณ 1.3 กม. ห่างเทศบาลเมืองหล่มเก่าประมาณ500ม. ทางขึ้นภูทับเบิกประมาณ 6 กม. ทางสะดวกสบาย ถนนตัดผ่าน เข้า-ออก หลายทาง ทำเลดีทำไร่ทำสวนได้ อากาศสดชื่นบริสุทธิ์ปลอดโปร่ง ทิวเขา วิวสวย  แบ่งโฉนดขาย ไร่ละ 130,000-150,000 บาท โฉนดมี 3 แปลง 
คือ ฉ.29066 เนื้อที่ 28-1-3 ไร่ 
ฉ.29005 เนื้อที่  49-1-6 ไร่ 
ฉ.29006 เนื้อที่ 25-3-72 ไร่ 

โทร 083-7124115
Line id : 0837124115

16°53'04.7"N 101°14'53.4"E
ตำบล หล่มเก่า อำเภอ หล่มเก่า เพชรบูรณ์ 67120
https://goo.gl/maps/21Qer7b9cDeydTNh7
 
#3693


เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 บริษัท S&P Global Ratings (S&P) ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") ที่ BBB โดยมีมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ระดับมีเสถียรภาพ (Stable) และวันที่ 3 สิงหาคม 2564 บริษัท Moody's Investors Service (Moody's) ได้ประกาศคงอันดับ Credit Rating ของบริษัทฯ เช่นกันที่ Baa3 และมีมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) เชิงลบ (Negative)

โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้ง  2 สถาบันมีมุมมองที่คล้ายกันว่า การเข้าลงทุนในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ("CAP") ในครั้งนี้ สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ต้องการมีโครงสร้างธุรกิจที่มีความสมบูรณ์ ครอบคลุมธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมี รวมถึงสร้างโอกาสการเติบโตในประเทศอินโดนีเซีย   

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนการจัดหาเงินทุนสําหรับการปรับโครงสร้างทางการเงินระยะยาว (Recapitalization Plan) ที่ชัดเจน รวมถึงแผนการจัดหาเงินทุนดังกล่าว ยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัทฯ อีกด้วย

ทั้งนี้ ไทยออยล์ คาดจะดำเนินการเข้าลงทุนใน CAP แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2564 และรับรู้ผลการดำเนินการของ CAP ตามสัดส่วนการถือหุ้นได้ในไตรมาส 4 ปี 2564

สำหรับ ไทยออยล์ เป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายนํ้ามันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ ไทยออยล์มีระบบการบริหารจัดการที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (Operational Excellence) โดยบริหารงานเป็นกลุ่มที่มีการเชื่อมโยงธุรกิจ ทั้งธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยร่วมวางแผนการผลิตก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนต่ำ ขณะเดียวกันมีคุณภาพสูงในระดับโรงกลั่นชั้นนำ (Top quartile) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

อีกทั้ง ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลากหลาย เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจสารทำละลาย ธุรกิจบริหารการขนส่งทางท่อ ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด ธุรกิจบริการจัดเก็บนํ้ามันดิบ นํ้ามันปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และธุรกิจให้บริการด้านการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรสำหรับกลุ่มไทยออยล์

ส่วน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ("CAP") เป็นผู้ประกอบธุรกิจด้านปิโตรเคมีชั้นนำรายใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 29 ปี มียอดขายรวมในปี 2563 มากกว่า 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ CAP เป็นผู้ดำเนินกิจการโรงงานแยกแนฟทา (Naphtha Cracker) เพียงแห่งเดียวของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ อาทิ โพลิเอททิลีน (PE) โพลิโพรไพลีน (PP) สไตรีนโมโนเมอร์ (SM) และบิวทาไดอีน (BD) และผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์อีกหลายชนิด

โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่ เมือง Cilegon ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมชายฝั่งที่สำคัญในจังหวัด Banten ทางด้านตะวันตกของเกาะชวา ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 3 ลำดับแรก ประกอบด้วย PT Barito Pacific Tbk ถือหุ้นที่สัดส่วน 41.88% บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ถือหุ้นที่สัดส่วน 30.57% และ Prajogo Pangestu ถือหุ้นที่สัดส่วน 13.33%
#3694


นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.2564 นี้เป็นต้นไป ผู้ฝากเงินในสถาบันการเงินภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก จะได้รับความคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ต่อ 1 รายผู้ฝาก ต่อสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นวงเงินที่กำหนดตามกฎหมาย จากปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ 5 ล้านบาทจนถึงวันที่ 10 ส.ค.

ทั้งนี้ วงเงินคุ้มครองที่ 1 ล้านบาท มีผู้ฝากที่ได้รับความคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน 82.07 ล้านราย คิดเป็น 98.03% ของผู้ฝากทั้งระบบ ซึ่งถือเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

สำหรับข้อมูลเงินฝาก ณ วันที่ 31 พ.ค.2564 ผู้ฝากในระบบสถาบันการเงินภายใต้ความคุ้มครองของสถาบันมีจำนวนทั้งหมด 83.72 ล้านราย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ้นปีก่อน พบว่าจำนวนผู้ฝากเพิ่มขึ้น 1,337,334 ราย หรือเพิ่มขึ้น 1.62% โดยจำนวนผู้ฝากที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผู้ฝากรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดเป็น 97% ของจำนวนผู้ฝากที่เพิ่มขึ้น และเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองมีจำนวนทั้งสิ้น 15.28 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 347,940 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.33% จากสิ้นปีก่อน

สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) หรือ DPA มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองเงินฝากแก่ผู้ฝากทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติที่ฝากเงินเป็นสกุลเงินบาทกับสถาบันการเงินของไทยภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์ไทย 18 แห่ง สาขาธนาคารต่างประเทศ 12 แห่ง บริษัทเงินทุน 2 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 35 แห่ง

ซึ่งจะคุ้มครองทันทีในลักษณะ 1 รายชื่อผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน โดยคุ้มครองบัญชีเงินฝาก 5 ประเภท ได้แก่ 1.เงินฝากกระแสรายวัน 2.เงินฝากออมทรัพย์ 3.เงินฝากประจำ 4.บัตรเงินฝาก และ 5.ใบรับฝากเงิน โดยบัญชีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองต้องเป็นสกุลเงินบาทเท่านั้น ทั้งนี้ หากสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากถูกเพิกถอนใบอนุญาต ผู้ฝากจะได้รับเงินฝากคืนภายใน 30 วัน ตามวงเงินที่กฎหมายกำหนด

ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากได้ที่ www.dpa.or.th, ศูนย์บริการข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก โทร 1158 หรือเฟซบุ๊กแฟนเพจสถาบันคุ้มครองเงินฝาก DPA
#3695


เราเชื่อว่าหลายๆ คนที่ได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้ ต้องเติบโตมาพร้อมๆ กับ ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล อย่างแน่นอน ซึ่งในวันวานเมื่อครั้งที่เขายังจับไมค์ร้องเพลงกับพี่ชาย กอล์ฟ พิชญะ นิธิไพศาลกุล เป็นคู่หูดูโอ้สองพี่น้องที่โด่งดังมากในยุคหนึ่ง ที่มีแฟนคลับติดตามอย่างมากมาย 

ข่าวแนะนำ
วันเวลาผ่านไป ทั้งกอล์ฟและไมค์ต่างก็แยกย้ายไปทำตามความฝันของตัวเอง และ ไมค์ พิรัชต์ น้องชายก็เลือกเส้นทางการเป็นนักแสดง ซึ่งไมค์ได้เป็นพระเอกละครที่ไทยอยู่หลายเรื่อง และได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ ไม่น้อย 

แต่สุดท้าย ไมค์เลือกที่จะไปทำงานที่ต่างประเทศ หรือที่ใครหลายๆ คนเรียกว่าการโกอินเตอร์นั่นเอง แต่การที่ไมค์ตัดสินใจในครั้งนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้โลกกว้าง มีความตั้งใจและมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในวันนี้ เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์ ไมค์ พิรัชต์ จากเด็กวัยรุ่นกับทรงผมที่ฮิตสุดในตอนเป็นกอล์ฟ-ไมค์ สู่การเป็นวัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว 

กอล์ฟ-ไมค์ นักร้องวัยรุ่นสุดโด่งดัง
หลายๆ คนโตมาพร้อมๆ กับ 2 หนุ่ม กอล์ฟ-ไมค์ เราเลยถามตรงๆ ว่าเส้นทางในวงการบันเทิงของไมค์นั้นทำมาประมาณกี่ปีแล้ว และเป็นยังไงบ้าง งานนี้เจ้าตัวตอบเราว่า 

"เรียกว่าโตมากับวงการบันเทิงได้เลยครับ ผมเริ่มเข้ามาทำงานเกี่ยวข้องวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงตอนนี้ก็ 20 ปีแล้วครับ

ทำมาจนวันนี้เหมือนเป็นงานเดียวที่ผมทำจนชำนาญ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว และผมก็รักและยังอยากเรียนรู้แล้วก็เติบโตไปกับมัน

ถ้าเราทำงานที่เรารัก เราจะรู้สึกสนุกกับมัน รู้สึกอยากตื่นมาทำงาน มันเป็นความรู้สึกที่ดีสำหรับการทำงาน แต่ก็ยอมรับว่ายังมีพัฒนาตัวเองอีกเยอะที่ผมยังทำได้ไม่ดีพอ และยังต้องฝึกฝนมันต่อไป"


จากนั้น เราให้หนุ่มไมค์ช่วยเล่าสมัยตอนที่เป็นนักร้องดังกับพี่ชาย กอล์ฟ พิชญะ ว่าตอนที่เป็น กอล์ฟ-ไมค์ ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง งานนี้ไมค์เล่าอดีตในวันวานด้วยรอยยิ้มให้เราฟังว่า 

"ย้อนกลับไปคิดก็ตลกดีครับ ตอนนั้นยังเด็กๆ กันทั้งคู่ แล้วก็เข้าวงการมาด้วยกันตั้งแต่อายุยังน้อย ทุกวันหลังเลิกเรียนก็ตรงไปเข้าห้องซ้อมเลย ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆ เหมือนเรามีภารกิจที่ต้องทำ

ก็กดดันบ้าง แต่รวมๆ ก็คือสนุกนะครับ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ผมมีความสุขที่ได้ร้องเพลงและได้เจอกับแฟนๆ ทุกคน แล้วผมก็ติดการทำงานมาตั้งแต่เด็กโดยไม่รู้ตัว (ยิ้ม)"

สมัยเป็น กอล์ฟ-ไมค์ พี่กับน้องชอบทะเลาะกันเรื่องอะไร แล้วใครง้อใคร มีวิธีการง้ออย่างไร ก่อนหน้านี้กอล์ฟแอบเล่า ไมค์ติดเกม เลยชอบโดนกอล์ฟดุอยู่บ่อยๆ เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทำเอาหนุ่มไมค์หัวเราะ และเล่าให้ฟังว่า

"ก็ประมาณนั้นครับ (หัวเราะ) ด้วยความที่เราเป็นน้อง ก็จะโดนดุบ้าง ทะเลาะกันเรื่องเล่นเกมจริง เพราะเมื่อก่อนผมเป็นโรคเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ยอมออกจากบ้านด้วย

แล้ววันนั้นผมเล่นเกมอยู่ ไม่ยอมซ้อม แล้วพอพี่ดุเราก็ต่อต้านนิดหน่อย แต่ว่าพอทำงานไปเรื่อยๆ จนปรับตัวได้ เราก็เข้าใจว่าเราต้องมีความรับผิดชอบ"

จากนั้นเราถาม ไมค์ พิรัชต์ ต่อว่า แล้วเพราะอะไรไมค์จึงเบนสายตัวเองจากนักร้องมาเป็นนักแสดง เพราะเอาจริงๆ ถึงจะเป็นงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่มันก็ไม่เหมือนกันแต่อย่างใด 

"ผมรักงานทั้งสองอย่างครับ การที่ผมได้ทดลองงานแสดงก็ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก จนวันนี้งานวงการไม่ว่าจะเป็นร้องหรือแสดง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว"


ทุกวันเหมือนการสอบเอ็นทรานซ์
อย่างที่เราทราบกันว่า ไมค์ พิรัชต์ เลือกที่จะไปทำงานที่ต่างประเทศ และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในประเทศจีนเป็นอย่างมาก แต่หลายๆ คนคงอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วการทำงานที่ต่างประเทศนั้นมันยากง่ายแค่ไหน ซึ่งหนุ่มไมค์ก็เล่าประสบการณ์ของตัวเองในการทำงานที่ต่างประเทศให้เราฟังว่า 

"ยากมากครับ ยากทุกด้านเลย ทั้งดินฟ้าอากาศ อาหาร วัฒนธรรม ภาษา ทุกอย่างมีความต่างหมดครับ แต่ทุกอย่างมันมีเสน่ห์และสวยงามมากในตัวของมันเอง

เราแค่ต้องรู้ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ด้วยการเปิดใจ ยกตัวอย่างเช่นภาษาก่อนละกันนะครับ ละครหรือผลงานต่างๆ ของผมที่เกิดขึ้นที่จีน ผมตั้งธงให้ตัวเองเอาไว้ว่าผมจะใช้ภาษาจีนให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้เป็นการตอบแทน

ผมมองว่ามันเป็นการให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติผู้ว่าจ้าง และที่สำคัญให้เกียรติแฟนๆ ที่ติดตามผลงานและสนับสนุนผม ดังนั้นเมื่อผมเลือกแบบนี้ แน่นอนว่าความยากต้องเกิดขึ้น

ทุกวันของผมเหมือนการสอบเอ็นทรานซ์ เพราะผมต้องท่องบทของตัวเองเป็นภาษาจีนทุกวัน ทั้งวัน และที่จีนการถ่ายละครเรื่องหนึ่งก็เหมือนการเข้าแคมป์ เข้าไป 100-120 วัน ถ่ายรวดเดียวจบ ต่างจากการถ่ายที่ไทยอย่างสิ้นเชิงครับ

แต่ผมรู้สึกว่ามันดีนะครับ ทำให้ในแต่ปีสามารถบริหารเวลาได้มากขึ้น ผ่านมาหลายปีมากๆ แล้วครับ วันนี้ผมก็ชินไปแล้ว ส่วนตัวผมชอบมากการที่ตื่นมาทำงานทุกๆ วัน รู้สึกแต่ละวันมัน productive มากๆ

ถัดมาน่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น อากาศ ซึ่งเป็นการปรับตัวที่ผมชอบมาก คือส่วนตัวผมชอบฤดูหนาวอยู่แล้วครับ

เรื่องอาหาร ผมเป็นคนเปิดกว้างมากเรื่องอาหาร อาหารโปรดที่สุดในชีวิตผมก็ไปค้นพบที่จีนเหมือนกัน แฟนคลับผมรู้เลยว่าไมค์ชอบกิน สุกี้หมาล่า ลิ้นเป็ด สุดท้ายน่าจะเป็นเรื่องความโดดเดี่ยวมั้งครับ จนวันนี้ก็คือผมชินสุดๆ แล้วครับ (ยิ้ม)"


ฝันไกลไปให้ถึงฮอลลีวูด
จากนั้น เราถาม ไมค์ พิรัชต์ ต่อว่า นอกจากการไปทำงานที่ประเทศจีนแล้ว ไมค์ยังมีเป้าหมายในชีวิตที่ตั้งเอาไว้อีกหรือไม่ งานนี้เราได้รับคำตอบจากปากของหนุ่มไมค์ว่า 

"เป้าหมายสำหรับตัวเอง คือเป็นคนที่ดีขึ้นครับ คนที่เวลาผมมองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองได้ แล้วก็ทำสิ่งที่ตัวเองตั้งใจตั้งเป้าไว้ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้

เป้าหมายในเรื่องของหน้าที่การงาน ผมอยากลองทำเบื้องหลังครับ อยากเอาประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาทั้งชีวิต ปรับเป็นชิ้นงานของตัวเอง เขียนบท กำกับ หรือโปรดิวซ์

เริ่มต้นอาจจะทำร่วมไปก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหมแต่จะไม่หยุดพัฒนาครับ เพราะนี่เป็นเป้าหมายใหม่ของผมไปแล้ว เป็นความฝันที่ตั้งใจพอๆ กับความฝันที่จะไปทำงานฮอลลีวูดเลยครับ ผมตั้งใจไว้แล้ว และหวังว่าจะพาตัวเองไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ครับ"


การทิ้งความฝันก็เหมือนทอดทิ้งตัวเอง
จากนั้น ไมค์ พิรัชต์ ได้เล่าเรื่องราวที่เพิ่งจะค้นหาคำตอบให้กับตัวเองได้เมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวกับแรงผลักดันที่ทำให้เขาเดินมาได้ไกลจนถึงวันนี้ว่า 

"ผมเจอคำตอบที่แท้จริงเมื่อไม่นานมานี้เลยครับ ผมตอบจากใจได้เลยว่า แรงผลักดันที่ดีที่สุดของผมก็คือ อุปสรรคและเป้าหมายครับ

เพราะผมอาจจะเป็นคนที่มีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอเป้าหมายนี้เราเดินไปแตะถึงแล้ว ผมก็จะตั้งเป้าหมายใหม่ที่ยากกว่าเดิม และก็วนอยู่แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ

แต่กว่าจะเดินไปแตะแต่ละเป้าหมายที่ตั้งไว้ แน่นอนว่าระหว่างทางมันมีแต่อุปสรรค เพราะอะไรที่เราอยากได้ มันไม่เคยมาหาเราเองง่ายๆ อยู่แล้ว

ยิ่งต้องการมาก ยิ่งยากมาก ยิ่งต้องเดินไปชนอุปสรรคมากขึ้นไปตามลำดับของมัน แต่ทุกความต้องการมันมีต้นทุนของมันที่เราต้องยอมรับให้ได้นะ

ที่ผมตอบได้ชัดเจน ผมสารภาพเลยว่า เพราะผมเคยทอดทิ้งความฝัน ทอดทิ้งเป้าหมาย ทอดทิ้งตัวเองไปช่วงหนึ่ง ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนเราคงต้องมีบ้างที่มีช่วงที่ดิ่งมากๆ


เอาตรงๆ ผมคิดเลยว่า ผมในตอนนั้นมันว่างเปล่า ไม่มีความสุข ไม่มีอะไรอีกเลย และมันเป็นพิษกับชีวิต แล้วก็ดึงพลังงานชีวิตไปมากจนน่าใจหาย

และมันคงทุกข์มากจนเราพยายามหาทางออก หาคำตอบให้ตัวเอง ว่าทำยังไงถึงจะเอาตัวเองออกจากความรู้สึกลบๆ แบบนี้

ผมก็รู้เลยในทันทีว่า ชีวิตผมที่ผ่านมามีความหมายได้ เพราะผมมีเป้าหมาย มีแพชชั่น สิ่งนี้แหละที่คอยต่อลมหายใจผมเลย

ดังนั้นเวลาที่ผมดาวน์ หรืออะไรก็ตาม ผมเตือนใจตัวเองเสมอเลยว่า ผมต้องไม่ลืมเป้าหมาย ต้องไม่ทิ้งแพชชั่น ไม่งั้นก็เหมือนทอดทิ้งตัวเอง"

แม้การจะทำตามความฝันของตัวเอง แต่มันก็ต้องมีวันที่เหนื่อยล้า และว้าเหว่ไม่น้อย ในวันที่ท้อแท้ ไมค์ เอากำลังใจจากไหนมาเติมให้กับตัวเอง ซึ่งไมค์ตอบคำถามนี้ด้วยรอยยิ้มว่า

"ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ผ่านได้ด้วยตัวเองบางเรื่อง ผ่านได้ด้วยกำลังใจจากคนอื่นๆ ในบางครั้ง ผ่านได้ด้วยการซัพพอร์ตจากทั้งครอบครัว คนรอบข้าง แฟนคลับในหลายๆ หน

ผมว่าในความโชคร้ายก็แฝงไปด้วยความโชคดี เป็นเรื่องจริงนะครับ สำคัญตรงที่ว่าผ่านเหตุการณ์ที่ท้อแท้นี้ไปแล้ว เราได้เรียนรู้อะไรจากมัน มันเป็นบทเรียนที่เราจะไม่ไปทำซ้ำได้ยังไง แล้วทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้มากน้อยแค่ไหน

เพราะแค่เราผ่านมันมา แต่ไม่ยอมเรียนรู้ เรื่องราวนั้นๆ จะกลับมาทำให้เราท้อแท้อยู่เรื่อยๆ ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วกำลังท้อแท้อยู่ในตอนนี้

ผมอยากให้ลุกขึ้นสู้ ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน เรื่องนี้ก็ต้องผ่านไปอยู่ ต้องให้เวลากับเวลาด้วยครับ"


ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
จากนี้นั้นเราถาม ไมค์ พิรัชต์ ตรงๆ ว่า ถ้ามองย้อนไปจากจุดเริ่มต้น คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ไหม วันที่ประสบความสำเร็จในการแสดง และได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ระดับฮอลลีวูด ซึ่งไมค์ตอบคำถามนี้ของเราว่า 

"เอาความคิดวันนี้เลยนะครับ ผมยังคงเชื่อว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่แค่นั้นไม่พอ ต้องไม่หยุดเรียนรู้ และไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วอยู่เสมอ

สุดท้ายก็คือ ต้องไม่ท้อก่อนไปถึงเป้าหมายด้วยครับ ก็คือห้ามยอมแพ้กลางทาง ถ้าเราเริ่มอะไรแล้วก็ควรสานต่อให้จบ (ยิ้ม)"

ไมค์ พิรัชต์ อยากทำหุ่นยนต์ 
ในวันนี้ดูเหมือนชีวิตของผู้ชายคนนี้ ไมค์ พิรัชต์ จะดูประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานไม่น้อย ทำตามความฝันของตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ยังมีอะไรที่อยากทำอีกบ้างหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวบอกกับเราว่า 

"อีกเยอะมากเหลือเกินครับ อย่างที่ผมบอกไว้ ผมหยุดเป้าหมายในชีวิตไม่ได้ เพราะมันคือแรงผลักดันของชีวิตผม และผมรักตัวเองที่ทำงานที่สร้างรอยยิ้มให้คนอื่นผ่านผลงานของผม

ผมยังอยากพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ทั้งสำหรับตัวเองและสำหรับคนที่ผมรักและคนที่รักผมด้วย ผมอยากใช้ความตั้งใจและความพยายามของผมให้มากกว่านี้

ยิ่งผมในตอนนี้ ผมอยากทำผลงานละครทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ผมอยากทำหุ่นยนต์ ผมชอบงานอินทีเรียดีไซน์ ผมจะหยุดตัวเองไว้แค่ที่วันนี้ไม่ได้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ชีวิตนี้ผมต้องทำให้บรรลุไปให้ได้อีกเยอะเลยครับ"


กำลังใจของ ไมค์ พิรัชต์
คำถามสุดท้ายก่อนจากกัน ถ้าไมค์อยากจะพูดอะไรถึงแฟนคลับของตัวเองที่คอยติดตาม ซัพพอร์ตให้ตลอดเวลา ซึ่ง ไมค์ พิรัชต์ ก็ได้พรั่งพรูความรู้สึกในใจที่มีต่อแฟนๆ ทุกคนของเขาว่า 

"ผมรู้สึกขอบคุณเสมอ เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายให้โดยไม่ได้หวังผลอะไรตอบแทน ผมทำงานในวงการนี้มา 20 ปี บางคนอยู่กับผม ซัพพอร์ตผม เรียกว่าเติบโตมาพร้อมกับผมยังได้เลย ทั้งที่ไทยและที่จีน

อยู่ตั้งแต่ผมยังเรียนรู้ถูกผิด อยู่เคียงข้างวันที่ผมผิดพลาด วันที่ล้ม แล้วก็ยังยืนหยัดอยู่กับผมในทุกช่วงเวลา และยังอยู่จนวันนี้ที่ผมผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมาก็ยังอยู่ซัพพอร์ตกัน บางคนรักเราเหมือนพี่เหมือนน้องไปแล้วก็มี

ตอนผมไปทำงานที่จีน ผมทำงานไม่ได้สนใจตัวเองเท่าไร ก็มีแฟนคลับที่จีนที่ให้กำลังใจให้ผมไม่รู้สึกแปลกแยก สนับสนุนงานผมที่จีนด้วย พวกเขามีพื้นที่ในใจผมเสมอ ผมขอบคุณเสมอ

ขอโทษที่ผมเคยดีไม่พอ และพวกเขาคือส่วนหนึ่งที่ผมตั้งใจจะเป็นคนที่ดีขึ้น ขอบคุณทุกคน ทีละคนไม่ทั่วถึง ผมหวังว่าผมในวันนี้จะไม่เป็นผมที่ทำให้พวกเขาเสียเวลา หรือผิดหวัง อย่างที่ผมเคยพูดไว้

อนาคตผมคงต้องผิดพลาดอีกไม่ว่าเรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง แต่ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อขอบคุณทุกคน และเพื่อตัวเองด้วยครับ".

ผู้เขียน : จันทร์เจ้าขา

กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun
#3696


น.ส.นันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า ภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่อวันรอบ 6 เดือนของปี 64 (ม.ค.-มิ.ย.) ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.7% สาเหตุหลักมาจากการใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) ที่ลดลง 53.9% สำหรับการใช้กลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้น 0.2% แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ กลุ่มดีเซลลดลง 1.1% น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น 19.7% น้ำมันก๊าดเพิ่มขึ้น 0.7% LPG เพิ่มขึ้น 10.2% และ NGV ลดลง 18.6%

โดยการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเดือน ม.ค.-มิ.ย.64 เฉลี่ยอยู่ที่ 29.7 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย 0.2% โดยปริมาณดังกล่าวเป็นระดับที่ต่ำกว่าปกติ ทั้งนี้พบว่าปริมาณการใช้กลุ่มแก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 29.0 ล้านลิตร/วัน หรือเพิ่มขึ้น 0.5% โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ 95 เพิ่มขึ้นจาก 13.9 ล้านลิตร/วัน มาอยู่ที่ 15.2 ล้านลิตร/วัน ในขณะที่การใช้น้ำมันเบนซินลดลงมาอยู่ที่ 0.7 ล้านลิตร/วัน หรือลดลง 11.4%

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาการใช้กลุ่มเบนซินเฉพาะเดือน มิ.ย.64 พบว่าการใช้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 29.2 ล้านลิตร/วัน เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (เดือน พ.ค.64 อยู่ที่ 26.1 ล้านลิตร/วัน) หรือเพิ่มขึ้น 12.2% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของทุกชนิดน้ำมัน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ประกอบกับประชาชนบางส่วนได้รับวัคซีน โดยตัวเลขการฉีดวัคซีนสะสมเข็มที่ 1 มีจำนวน 7.1 ล้านราย และเข็มที่ 2 มีจำนวน 2.8 ล้านราย (สะสม 8 ก.พ.ถึง 30 มิ.ย.64) นอกจากนี้ในช่วงก่อนวันที่ 28 มิ.ย.64 ยังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ

การใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลเดือน ม.ค.-มิ.ย.64 เฉลี่ยอยู่ที่ 64.9 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย 1.1% สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี7 ปริมาณการใช้ลดลงมาอยู่ที่ 38.1 ล้านลิตร/วัน หรือลดลง 18.4% น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ซึ่งเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค.62 มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23.5 ล้านลิตร/วัน และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 มีปริมาณการใช้อยู่ที่ 1.1 ล้านลิตร/วัน

ทั้งนี้หากพิจารณาปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉพาะเดือน มิ.ย.64 เทียบกับ มิ.ย.63 พบว่า ปริมาณการใช้ลดลงค่อนข้างมากจาก 62.7 ล้านลิตร/วัน มาอยู่ที่ 59.3 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในปีนี้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 4.6 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 53.9% เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวและการเดินทางโดยเครื่องบิน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ

การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 16.5 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.2% เนื่องจากการใช้ในภาคปิโตรเคมีที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ 7.3 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้น 21.8% และการใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.9 ล้านกก./วัน หรือเพิ่มขึ้น 14.0% สำหรับภาคครัวเรือนมีการใช้อยู่ที่ 5.6 ล้านกก./วัน เพิ่มขึ้น 4.7% อย่างไรก็ตามการใช้ในภาคขนส่งลดลงมาอยู่ที่ 1.8 ล้านกก./วัน หรือลดลง 12.6%

การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 3.3 ล้านกก./วัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.6% โดยเป็นผลต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับจำนวนสถานีบริการและรถ NGV ที่ลดลง

การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเดือน ม.ค.-มิ.ย.64 เฉลี่ยอยู่ที่ 917,634 บาร์เรล/วัน ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.7% โดยการนำเข้าน้ำมันดิบลดลงมาอยู่ที่ 880,203 บาร์เรล/วัน หรือลดลง 1.5% อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 52,733 ล้านบาท/เดือน หรือเพิ่มขึ้น 31.0% เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 37,431 บาร์เรล/วัน หรือเพิ่มขึ้น 21.8% คิดเป็นมูลค่าการนำเข้า 2,239 ล้านบาท/เดือน เพิ่มขึ้น 57.0%

การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเดือนม.ค.-มิ.ย.64 เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล ไบโอดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน น้ำมันก๊าด และ LPG โดยปริมาณส่งออกลดลงมาอยู่ที่ 182,487 บาร์เรล/วัน หรือลดลง 10.4% คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 11,641 ล้านบาท/เดือน เพิ่มขึ้น 30.9%
#3697


แอนน์–มารี (Anne–Marie) ศิลปินสาวเสียงดีจากเกาะอังกฤษ แม้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีอัลบั้มใหม่ให้ได้ฟัง แต่ก็ปล่อยซิงเกิลมาเรื่อยๆ ทั้งที่เป็นงานของเธอเอง และการไปร่วมงานกับศิลปินอื่น จนมาปีนี้ แอนน์-มารี ไม่ได้มีแค่เพลงใหม่ให้ได้ฟังหายคิดถึง แต่ยังมาเป็นอัลบั้ม กับ "Therapy" งานชุดที่สองที่มีศิลปินมากมายมาร่วมแจม ไม่ว่าจะเป็น เคเอสไอ, ดิจิทัล ฟาร์ม แอนิมัลส์, ไนออลล์ ฮอแรน จากวัน ไดเร็กชัน และสามสาวลิตเติลมิกซ์ ซึ่งหลายๆเพลงจาก "Therapy" ถูกตัดเป็นซิงเกิลฮิตติดลมไปแล้วก่อนหน้า

คราวนี้ก็เป็นเวลาของ "Kiss My (Uh Oh)" ที่แอนน์-มารี ทำงานร่วมกับลิตเติล มิกซ์ ซึ่งจะผสมผสานสไตล์เฉพาะตัวของทั้งสองศิลปิน แล้วก็แซมพลิงเพลง "Never Leave You (Uh Oh)" งานอาร์แอนด์บีคลาสสิกจากต้นยุค 00's มาทำให้มีลูกเล่นชวนฟังมากยิ่งขึ้น ส่วนเนื้อหาก็ว่าด้วยการเดินไปจากความสัมพันธ์ที่ทำให้ชีวิตและจิตใจย่ำแย่ น่าจะเป็นเพลงฮิตอีกเพลงของศิลปินทั้งสองราย---สามารถชมมิวสิกวิดีโอและคลิปต่างๆของศิลปินสาวรายนี้ได้ที่ YouTube Channel : Anne-Marie โดย วอร์นเนอร์ มิวสิค.
#3698


Viu (วิว) เปิดตัวแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" มุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศ ด้วยการผลิตถุงใส่อาหารมอบแก่ผู้ประกอบการ พร้อมแจกโค้ดดูซีรีส์ฟรีกว่า 1,000,000 โค้ด ให้ผู้บริโภคที่สั่งอาหารได้เต็มอิ่มกับซีรีส์เรื่องโปรดในทุกมื้อ ฟรี 5 วันเต็ม

ในช่วงสถานการณ์อันยากลำบากที่กำลังเกิดขึ้นแก่สังคมไทยในขณะนี้ ส่งผลให้หลายภาคส่วนต้องประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางสมรภูมิอันดุเดือดของภาวะเศรษฐกิจที่มีแต่ทรุดตัวลง ในขณะที่เหล่าผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็กต่างต้องต่อสู้เพื่อนำพาธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ โดยมีความช่วยเหลือจากภาครัฐ และภาคเอกชนมากมาย

ล่าสุด Viu (วิว) ผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านวิดีโอสตรีมมิ่งแบบ OTT (Over-the-top) ยักษ์ใหญ่ระดับภูมิภาค ซึ่งดำเนินการโดย PCCW Limited (พีซีซีดับเบิลยู ลิมิเต็ด) ได้จัดตั้งโครงการสนับสนุนเหล่าผู้ประกอบการร้านอาหาร ในแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" ที่มุ่งช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหารจากทั่วประเทศ โดยไม่จำกัดรูปแบบของร้านอาหารที่เข้าร่วม ซึ่งหลังประกาศเริ่มแคมเปญก็ได้การตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากเหล่าผู้ประกอบการ

โดยในเฟสแรกที่ผ่านมามีเหล่าผู้ประกอบการกว่า 500 ร้านค้าจากทั่วกรุงเทพฯ เข้าร่วมแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" เป็นที่เรียบร้อย และในขณะนี้ Viu (วิว) ยังเดินหน้ากระจายความช่วยเหลือด้วยการเปิดรับสมัครร้านอาหารจากทั่วประเทศเพิ่มเติม เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกร้านอาหารได้เข้าถึงแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" โดยมุ่งหวังที่จะแบ่งเบาความยากลำบากได้อย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่ของประเทศไทย

สำหรับแคมเปญ "Viu พร้อมบวก" Viu (วิว) ได้เดินหน้าผลิตถุงสำหรับใส่อาหารเพื่อมอบแก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุน พร้อมแจกโค้ดดูซีรีส์ฟรีกว่า 1,000,000 โค้ดให้ผู้บริโภคที่สั่งอาหารจากร้านดังกล่าวได้เต็มอิ่มกับการรับชมซีรีส์เรื่องโปรดฟรีตลอด 5 วันเต็ม เพื่อเป็นการบวกความสุขให้ทุกมื้ออาหารเต็มไปด้วรอยยิ้ม และก้าวข้ามผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

ด้านผู้ประกอบการร้านอาหาร มัณฑนา วารนิช เจ้าของร้านครัวภูเก็ต กล่าวถึงสถานการณ์ของธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ และความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมโครงการ Viu พร้อมบวก ว่า "แน่นอนว่าในสถานการณ์อันยากลำบากนี้เราต้องปรับตัวเยอะมาก ต้องเปลี่ยนจากการขายแบบนั่งรับประทานในร้าน มาเน้นขายแบบดีลิเวอรีเป็นหลัก เพราะพยายามที่จะหารายได้ให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งการที่ Viu (วิว) มีโครงการนี้ขึ้นมา เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้าร่วม เพราะทางแบรนด์ได้สนับสนุนถุงใส่อาหารที่ช่วยลดต้นทุนของเราได้เยอะ ประกอบกับการแจกโค้ดดูซีรีส์ฟรี ที่เราสามารถนำมาสร้างเป็นจุดขายให้แก่ลูกค้าได้ เรียกได้ว่าเป็นโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่สามารถกระจายความสุข และความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง"


สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://bit.ly/2V7hq4y
สามารถดาวน์โหลด Viu (วิว) ฟรีทาง https://bit.ly/3dyyR49 ได้ทั้ง App Store, Google Play และสมาร์ททีวี หรือคลิกเว็บไซต์ www.viu.com ก็พร้อมฟินเต็มอิ่มความบันเทิงเอเชีย ดูไวก่อนใคร ซับไทยเป๊ะ เพลย์ต่อเนื่องกันได้เลย

ทั้งนี้ Viu (วิว) คือผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านวิดีโอสตรีมมิ่งแบบ OTT (Over-the-top) ยักษ์ใหญ่ระดับภูมิภาคที่ดำเนินการโดย PCCW Limited (พีซีซีดับเบิลยู ลิมิเต็ด) ที่ให้บริการใน 16 ประเทศ ทั้งเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ โดยมีจำนวนผู้ใช้งาน 45 ล้านรายต่อเดือน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2563)
#3699


ฌอน สตริคแลนด์ นักสู้ชาวอเมริกัน ยังคงรักษาฟอร์มเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม หลังอาศัยทักษะชั้นเชิงการต่อสู้ โดยเฉพาะพลังหมัดเอาชนะคะแนน ยูเรียห์ ฮอลล์ คู่ต่อกรชาวจาเมกาไปได้ ในการต่อสู้คู่เอกของศึก UFC FIGHT NIGHT: Hall VS Strickland เมือช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา

ไฮไลท์ของรายการเป็นการต่อสู้ในพิกัดรุ่นมิดเดิลเวต ระหว่าง "TARZAN" วัย 30 ปี ที่ยังไม่เคยแพ้แบบซับมิทชันให้กับผู้ใดและชนะมาแล้ว 4 ไฟต์ติดต่อกัน พบกับ "PRIMETIME" จอมโหดจากจาเมกาวัย 36 ปี เริ่มยกแรก สตริคแลนด์ ดูดีกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะจังหวะเดินออกหมัด ในขณะที่ ฮอลล์ รอกะระยะบวกหวังปิดบัญชีเร็วเช่นกัน ยก 2 TARZAN ยังคงมีอาวุธหมัดชุดไว้ทิ้งระยะไม่ให้ ฮอลล์ ที่เริ่มมีลูกเตะ ได้เข้าประชิด

ยกที่ 3 สตริคแลนด์ สบโอกาสเทคดาวน์ใส่ ฮอลล์ และเป็นฝ่ายคอนโทรลเกมได้จนจบยก ยกที่ 4 สตริคแลนด์ ได้ใจเดินรุกไล่ทันทีหวังน็อคให้ได้แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เข้าสู่ยกสุดท้าย ฮอลล์ รู้ตัวว่าเป็นรองเป็นฝ่ายเดินเข้าใส่ แต่เหมือนยิ่งเดินยิ่งเจ็บ เมื่อ สตริคแลนด์ มีแย็ปสกัดจังหวะการเข้าทำของ PRIMETIME สวยๆหลายครั้ง ครบ 5 ยก ฌอน สตริคแลนด์ ชนะคะแนน ยูเรียห์ ฮอลล์ ไปได้อย่างเป็นเอกฉันท์

หลังเก็บชัยชนะ 5 ไฟต์ติดต่อกัน และยังเพิ่มสถิติเป็นชนะ 24 แพ้ 3 เจ้าของฉายา TARZAN ให้สัมภาษณ์กับ UFC ถึงฟอร์มของตัวเองว่า "ผมยังคงทำงานอย่างหนัก ทุกคนรู้ว่าไม่ใช่ไฟต์ง่าย มันก็สนุกดีนะ มันโคตรจะเหนื่อยเลยกับการต่อสู้แบบ 5 ยกและถึงตอนนี้ผมต้องมองไปที่คู่แข่งคนต่อไปแล้ว"

ในขณะที่รองคู่เอกเป็นการต่อสู้ในรุ่นสตรอว์เวตหญิงระหว่าง เชยานเน บายส์ สาวน้อยอเมริกันวัย 26 ปี เจ้าของสถิติชนะ 5 แพ้ 2 ขึ้นสังเวียนพบกับ กลอเรีย เด เปาลา คู่แข่งวัย 26 ปี จากบราซิล ที่มีสถิติชนะ 5 แพ้ 3 และไม่เคยถูกน็อคหรือแพ้ซับมิทชัน โดยการต่อสู้คู่นี้จบลงด้วยเวลาเพียงแค่นาทีแรกของยกที่ 1 เท่านั้น เมื่อ ชายาเน บายส์ ได้จังหวะวางแข้งซ้ายใส่ปลายคาง เด เปาลา ในจังหวะลุกขึ้นยืน ก่อนตามถล่มจนกรรมการสั่งยุติการต่อสู้

ผลการแข่งขันอย่างเป็นทางการศึก UFC FIGHT NIGHT: Hall VS Strickland

คู่หลักในรายการ

คู่เอก - รุ่นมิดเดิลเวต
ฌอน สตริคแลนด์ ชนะคะแนน ยูเรียห์ ฮอลล์

รองคู่เอก - รุ่นสตรอว์เวตหญิง
เชยานเน บายส์ ชนะ TKO กลอเรีย เด เปาลา ยกที่ 1

รุ่นเวลเตอร์เวต
เจสัน วิตต์ ชนะคะแนน ไบรอัน บาร์เบเรนา

รุ่นเวลเตอร์เวต
จาเร็ด กูเดน ชนะ TKO นิคลาส สโตลเซ ยกที่ 1

รุ่นฟลายเวต
ซารุคห์ อดาเชฟ ชนะคะแนน ไรอัน เบอนัวต์

รุ่นเฟเธอร์เวต
เมลซิค บัคห์ดาซาร์ยาน ชนะ TKO คอลลิน แอนกลิน ยกที่ 2

รุ่นไลต์เวต
คริส กรูสซ์ตเซมัคเชอร์ ชนะคะแนน ราฟา การ์เซีย

รุ่นเฟเธอร์เวต
แดนนี ชาเวซ เสมอ ไค คามากา

รุ่นสตรอว์เวตหญิง
ยินห์ ยู เฟรย์ ชนะคะแนน แอชลีย์ โยเดอร์

รุ่นเวลเตอร์เวต
ฟิลิป โรว์ ชนะ TKO โอเรียน กอสซี ยกที่ 2
#3700


รายงานข่าวจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า โครงการ "ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวภายใน จ.ภูเก็ต แบบไม่กักตัวช่วง 1 เดือนแรก ตั้งแต่วันที่ 1-31 ก.ค.ที่ผ่านมา จำนวนสะสมรวม 14,055 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อ 14,022 คน คัดกรองพบผู้ติดเชื้อ 32 คน แบ่งเป็นการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ครั้งที่ 1 จำนวน 15 คน ครั้งที่ 2 จำนวน 7 คน และครั้งที่ 3 จำนวน 3 คน ผู้สัมผัสและเสี่ยงสูงตรวจพบอีก 7 คน ส่วนรอผลตรวจมีจำนวน 1 คน

และเมื่อดูเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยววานนี้ (31 ก.ค.) เดินทางเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จำนวน 773 คน จาก 7 เที่ยวบิน ได้แก่ การบินไทย 3 เที่ยวบิน, กาตาร์แอร์เวย์ส 1 เที่ยวบิน, เอมิเรตส์ 1 เที่ยวบิน และสิงคโปร์แอร์ไลน์ 2 เที่ยวบิน โดยไม่พบผู้ติดเชื้อ 772 คน รอผลตรวจ 1 คน ขณะที่สถิติผู้ติดเชื้อใหม่รายวันของ จ.ภูเก็ต วานนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 41 คน แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 39 คน และต่างประเทศอีก 2 คน

สำหรับยอดการจองโรงแรมในภูเก็ตที่ได้มาตรฐาน SHA+ ล่าสุดพบว่าในช่วงไตรมาส 3 ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย.นี้ มีจำนวน 309,719 คืน แบ่งเป็นเดือน ก.ค. 190,843 คืน เดือน ส.ค. 109,694 คืน และเดือน ก.ย. 9,182 คืน ส่วนช่วงไฮซีซั่นเดือน ต.ค.2564-ก.พ.2565 มีจำนวน 6,857 คืน ทำให้ยอดจองโรงแรมตั้งแต่เดือน ก.ค.2564-ก.พ.2565 มีจำนวนรวม 318,901 คืน

https:// www.bangkokbiznews.com/news/detail/952243