• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - fairya

#3721


นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ WHA เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว ทั้งธุรกิจคลังสินค้าและพื้นที่ให้เช่าของบริษัท มีแนวโน้มผลประกอบการเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะสัญญาระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นมาก ด้านธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ธุรกิจน้ำยังคงมีทิศทางการเติบโตจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งในไทยและเวียดนามยังดีกว่าปีก่อน

โดยบริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 1,030 ไร่  แบ่งเป็นในประเทศไทย 725 ไร่ และในประเทศเวียดนาม 305 ไร่  สำหรับพื้นที่ในประเทศไทย  725 ไร่ แบ่งเป็นยอดขายในนิคมฯ 600 ไร่ นอกนิคมฯ 125 ไร่ มั่นใจว่ามีโอกาสทำได้ดีกว่าเป้า เนื่องจากยังคงเห็นความต้องการจากยุโรป, ไต้หวัน, จีน ,ญี่ปุ่น และอินเดีย จากกระแสการย้ายฐานการผลิตอย่างต่อเนื่องจนมาถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติมองหาฐานการลงทุนแห่งใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง จากเดิมที่กระจุกตัวอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างเดียว ซึ่งทั้งไทยและเวียดนามได้ประโยชน์ 

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

จากครึ่งปีแรก 2564 มียอดรอเซ็นสัญญาซื้อขายLOI อยู่ที่ 83 ไร่ และมียอดขายที่ดินรอโอน( Backlog ) อยู่ที่ 400 ไร่ ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าหลายราย มองว่า ในครึ่งปีหลังยอดขายที่ดินจะเริ่มกลับมา จากโรคระบาดโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย แม้โควิดจะกระทบข้อจำกัดการเดินทาง แต่การลงทุนจริงยังดีต่อเนื่องและมีการพัฒนาระบบออนไลน์มาช่วยสนับสนุนยอดขายที่ดินด้วย 

สำหรับยอดขายที่ดินในเวียดนาม 305 ไร่ คาดว่าอาจต่ำกว่าเป้า เพราะ  มีล็อกดาวน์ แต่ดีมานด์ยังดีอยู่ ไม่กระทบยอดขายแต่จะกระทบยอดโอนที่อาจจะต้องเลื่อนไปปี 2565

 "ยอดขายที่ดินครึ่งปีหลังนี้ยังดีกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ จากเจรจาขายที่ดินต่อเนื่อง  ในส่วนของยอดโอนอาจกระทบบ้างปีนี้  แต่จะทำให้แบ็คล็อคไปโอนในต้นปีหน้า" 

นางสาวจริพร กล่าวว่า  ทางด้านธุรกิจให้เช่าพื้นที่ยังเติบโตดีต่อเนื่อง ซึ่งยังคงเป้าหมายให้เช่าพื้นที่ในปีนี้ที่ 175,000 ตารางเมตร ในครึ่งปีแรก 2564 ให้เช่าพื้นที่แล้ว 40-50% ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาลูกค้ารายใหญ่ เช่าคลังสินค้าเพิ่มอีก 55,000-60,000 ตารางเมตร คาดหวังว่าจะปิดดีลให้สำเร็จในปีนี้ รวมทั้งการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการขนส่ง ก็มีส่วนทำให้ความต้องการเช่าระยะสั้นสูงขึ้นอย่างมาก

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพอีก 2 บริษัท คาดใช้เงินลงทุนราว 200 ล้านบาท เบื้องต้นจะสรุปได้ปีนี้หรือปีหน้า
#3722
Zoom Software กลายเป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญสำหรับการจัดEventออนไลน์ผ่าน Video Conferencing หรือ Virtual Event & Webinar ในปัจจุบันนี้ โดยมีการชักจูงเครื่องมือต่างๆที่อยู่ใน Zoom แอป มาช่วยสร้างความปราศจากข้อเสียในการให้บริการ เป็นอีกหนึ่ง โซลูชั่น ที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ Zoom กับทางเราที่ Zoom Thailand | 1-TO-ALL ขณะนี้มีลูกค้าเข้ามาถามและขอคำปรึกษาในการใช้ Zoom เพื่อจัดสัมมนาออนไลน์และงานกิจกรรมต่างๆ ผ่าน App ดังกล่าว ช่วงโควิดมีการจัดงาน จัดเวิร์คช็อปเกิดขึ้นมากมาย จริงๆก่อนหน้านี้ก็มีอยู่แล้วครับ ที่เราอาจเคยเห็นผ่านๆตามาบ้าง แต่ผมกำลังพูดถึง รูปแบบการจัดงานที่ไม่เคยจัดในรูปแบบออนไลน์มาก่อน แล้วย้ายแพลตฟอร์มมาจัดทางออนไลน์และเสียงตอบรับค่อนข้างดี อันนี้น่าสนใจครับ ล่าสุดผมได้คุยกับ Vin Buddy นักถ่ายภาพมืออาชีพที่กำลังจะมีเวิร์คช็อปครั้งแรกผ่าน Zoom แค่เข้าประชุมและวางคอนเซ็ปต์กันก็ว้าวแล้วครับ กลางๆเดือนนี้ รอติดตามอัพเดตกันครับ ผมจะหยิบมาเล่าหลังจบ workshop

ติดตามอัพเดตข่าวสารจากพวกเรา Zoom ThailandTag : แหล่งที่มา | Zoom webinar | Zoom download | Zoom cloud meeting






 
#3723


นายสุวัฒน์ เทพปรีชาสกุล ผู้อำนวยการ-ธุรกิจบัตรเครดิต บริษัทบัตรกรุงไทย (เคทีซี)เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของหมวดประกันในครึ่งปีหลังว่า เคทีซียังคงมีมุ่งเน้นร่วมกับพันธมิตรในหมวดประกันที่มีอยู่ถึง 150 รายในการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าทั้งในส่วนของประกันชีวิต และประกันอื่นๆ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ และขยายช่องทางในการซื้อ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันมากขึ้น โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังโดยเฉพาะในไตรมาส 4 จะยังเป็นช่วงไฮซีซั่นเหมือนทุกปีที่ผ่านมา และยังคงเป้าหมายการเติบโตของยอดใช้จ่ายในหมวดประกันที่ 10%

"หมวดประกันมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ 3-4 ปีก่อน และในปีนี้ก็ยังโตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีมูลค่าธุรกรรมไม่สูงนัก อย่าง ประกันโควิด ประกันสุขภาพ ประกันรถยนต์ ซึ่งก็จะมีไซส์ประมาณ 10,000-20,000 บาท ส่วนที่ไซส์ใหญ่ๆส่วนใหญ่จะต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่หรือบริษัทโดยตรง ขณะเดียวกันสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นก็ทำให้เกิดความตื่นตัวในการทำประกันมากขึ้นเพราะมีความไม่แน่นอนในชีวิตเกิดขึ้น จึงต้องซื้อประกันมาปิดความเสี่ยงที่เกิดขึ้น แล้วคนที่ซื้อประกันที่เข้ามาก็มีอายุน้อยลง ซึ่งการตื่นตัวนั้นไม่ใช่แต่เฉพาะประกันโควิด แต่รวมไปถึงประกันสุขภาพอื่นๆด้วย ซึ่งก็หวังว่าเทรนด์นี้จะยังคงอยู่ตลอดไป รวมถึงช่องทางออนไลน์และดิจิทัลก็มีความสำคัญเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ด้วย"

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังยังคงมีความเสี่ยงสูง จากการระบาดของโควิด 19 ที่หากยังไม่สามารถควบคุมได้ก็จะส่งผลกระทบหนักขึ้น และอาจจะทำให้คนบางกลุ่มที่รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องยาวนานไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป ซึ่งแนวโน้มการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในหมวดประกันภัยในไตรมาสที่ 3 เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว ทั้งในส่วนยอดรวมการใช้จ่ายและอัตราเฉลี่ยการซื้อประกันต่อครั้งต่อบัตรฯ สืบเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มถดถอย ทำให้ประกันภัยปีแรกขายค่อนข้างยาก และการชำระเบี้ยประกันปีต่ออายุของผู้บริโภคเริ่มมีปัญหา ส่งผลให้กรมธรรม์ถูกยกเลิก หรือขาดอายุสูงขึ้น กลยุทธ์การตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2564 เคทีซีจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัทประกันภัยทั้ง Life Insurance Non-Life Insurance และ Insurance Broker มากกว่า 50 บริษัท มอบสิทธิประโยชน์ให้กับสมาชิก อาทิ การผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน การให้เครดิตเงินคืนสูงสุด 15% หรือการมอบคะแนนพิเศษ เพื่อให้สมาชิกสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น

สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของหมวดประกันมุอัตราเติบโตที่ 10% โดยหลักๆยังมาจากประกันโควิดฯที่เติบโตดีมาตั้งแต่ปีก่อน รวมถึงประกันสุขภาพไซส์เล็กๆ และกลุ่มของยูนิตลิงค์ที่เริ่มเข้ามามากขึ้น ขณะที่กลุ่ม non life อาจจะแผ่วลงบ้าง อาทิ ประกันรถยนต์ชั้นหนึ่ง เนื่องจากมีการใช้รถยนต์ลดลง เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบันยอดใช้จ่ายหมวดประกันยังสูงเป็นอันดับ 1 ของยอดใช้จ่ายรวม หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16%ของยอดใช้จ่ายรวม

นายสุวัฒน์กล่าวอีกว่า ตอนนี้สถานการณ์ต่างๆยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่เราก็พยายามที่จะรักษาการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อช่วยพยุงยอดใช้จ่ายรวม และชดเชยการใช้จ่ายในบางกลุ่มที่หายไป อาทิ หมวดร้านอาหาร ท่องเที่ยว เป็นต้น ส่วนในปีหน้า หากสถานการณ์โควิดฯยังอยู่เราก็คงยังเน้นประกันในกลุ่มนี้อยู่ แต่หากสถานการณ์คลี่คลายก็จะพยายามหาผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าต่อเนื่องไปหลังจากที่ลูกค้าหันมาให้ความสำคัญในการทำประกันอื่นๆเพิ่มขึ้นหลังจากเหตุการณ์โควิดฯ
#3724


เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ แสดงความห่วงใยลูกค้าเจนเนอราลี่ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เดินหน้าจัดทำคู่มืออินโฟกราฟฟิคการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) แนะแนวทางการดูแลตัวเองฉบับเข้าใจง่ายสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ขั้นสีเขียว พร้อมตอกย้ำความมั่นใจ ยืนหยัดอยู่ดูแลลูกค้าทุกช่วงเวลาของชีวิตลูกค้า ด้วยการขยายความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยรายวันสำหรับลูกค้าทุกกรมธรรม์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation (การดูแลตนเองที่บ้าน) และ Community Isolation (การดูแลตนเองในระบบชุมชน)*

นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ ประเทศไทย กล่าวว่า "จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ที่ทวีความรุ่นแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีผู้ป่วยติดเชื้อใหม่เกินกว่า 20,000 คนต่อวัน ส่งผลให้ในปัจจุบันมียอดผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวสะสมสูงถึงกว่า 200,000 คน ทั้งผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากไปจนถึงผู้ป่วยอาการหนัก ทำให้จำนวนเตียงไม่เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยวิกฤต ทางภาครัฐจึงได้นำเสนอนโยบายการแยกกักตัวที่บ้าน หรือ Home Isolation มาปรับใช้สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียว เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงรักษาสำหรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มผู้ป่วยสีเขียวหลายคนยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลตัวเองเมื่อต้องทำการกักตัวที่บ้าน อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ ทั้ง ขาดการรับรู้ข้อมูล หรือได้รับข้อมูลมากจนเกินไปจนสับสน รวมไปถึงการได้รับข้อมูลที่ผิด จึงทำให้เกิดความวิตกกังวลในการรับมือกับการดูแลตัวเอง



ด้วยความห่วงใยและเข้าใจถึงปัญหาดังกล่าว ทางเจนเนอราลี่ จึงได้จัดทำคู่มือฉบับเข้าใจง่าย "คู่มือ Home Isolation สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 (ผู้ป่วยสีเขียว)" เพื่อใช้เป็นแนวทางการดูแลรักษาตนเองที่บ้านอย่างถูกวิธี โดยเนื้อหาได้ผ่านการคัดกรองความถูกต้อง พร้อมนำมาจัดทำในรูปแบบ Infographic ที่เข้าใจง่าย เริ่มตั้งแต่ ข้อดีของการแยกกักตัวที่บ้าน ขั้นตอนการเข้าสู่ระบบขอกักตัวที่บ้าน รวมถึงสิ่งที่ควรปฏิบัติ และเช็คลิสต์ของใช้ที่จำเป็นเมื่อต้องกักตัวที่บ้าน นอกจากนี้ยังแนะนำถึงอาการที่ควรรีบพบแพทย์หากพบเจอในระหว่างกักตัว ตลอดจนข้อควรปฏิบัติหลังหายป่วย โดยปัจจุบันทางเจนเนอราลี่ได้จัดทำเรียบร้อยพร้อมเผยแพร่ผ่านช่องทาง Facebook page : Generali Thailand สามารถเข้าไปดาวน์โหลดมาเก็บไว้ในสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ที่สามารถเปิดอ่านได้สะดวก

นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า "นอกจากนี้เจนเนอราลี่ยังได้ขยายความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายวันสำหรับลูกค้าทุกกรมธรรม์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ภายใต้เงื่อนไขกรมธรรม์แต่ละประเภท* ที่ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลแบบ Home Isolation (การดูแลตนเองที่บ้าน) และ Community Isolation (การดูแลตนเองในระบบชุมชน) เพื่อตอกย้ำความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าเจนเนอราลี่พร้อมยืนหยัดอยู่เคียงข้างลูกค้าทุกช่วงเวลาของชีวิตและพร้อมดูแลลูกค้าให้ผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตได้อย่างปลอดภัยและไร้ความกังวล โดยสามารถดูรายละเอียดผลประโยชน์และความคุ้มครองโควิด-19 ของเจนเนอราลี่เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://generali.co.th/services/covid-19-faq/ หรือ ติดต่อทางศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร 1394
#3725


นายอิศเรศ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายขายบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา, เซ็นทรัลเฟสติวัล, เซ็นทรัล ภูเก็ต และ เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชัวรีเอาต์เลต กล่าวว่า ได้ผนึกกำลังและจับคู่ธุรกิจ (BusinessMatching) กับพันธมิตรทุกระดับในรูปแบบต่างๆ เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่  เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย และคู่ค้าผู้เช่ากว่า 15,000 รายทั่วประเทศ เข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น

ล่าสุด จับมือกับสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ บริษัท อินเวสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ให้บริการ Crowdfunding Platform ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.ช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องให้กลุ่มเอสเอ็มอีที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน สามารถใช้ใบแจ้งหนี้การค้าหรือสัญญากับเซ็นทรัลพัฒนา

"เรานำ pain-point ของผู้เช่ามาปรับให้เป็น gain-point ด้วยการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมธุรกิจให้เติบโตไปได้ด้วยกันอย่างอย่างยั่งยืน"


ทั้งนี้ ได้เปิดตัว CentralPattana'Serve' Application ช่วยเหลือคู่ค้าแบบครบวงจรนับเป็นรายแรกของวงการศูนย์การค้าไทยของ "Application&Solution" ในการบริหารจัดการร้านค้าในพื้นที่ด้วยตัวเองทั้งติดต่อศูนย์การค้า ทำธุรกรรม รับข้อมูลข่าวสาร เข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงเตรียมเปิดตัวโปรแกรม The1Biz : Effective CRM เพิ่มยอดขายให้คู่ค้าและแผนสนับสนุนต่อเนื่องทั้งปีเพิ่มการเข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้เพื่อดูแลผู้ประกอบการรายย่อยที่ดำเนินธุรกิจร่วมกับศูนย์การค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 4,500 ราย เช่น ร้านค้าในโซนฟู้ดพาร์ค แฟชั่นพลัส และอี-เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลพัฒนาช่วยเหลือแบบ 360 องศา ทั้งการปรับลดค่าเช่าตามความเหมาะสมต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน 

ก่อนหน้านี้ เซ็นทรัลพัฒนา จัด "Multi-BankLoans"  ช่วยเหลือผู้เช่าหลักผ่าน 7 สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต และธนาคารออมสิน ให้เข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และวงเงินO/D เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ ด้วยระบบ Grading ฐานข้อมูล Credit Score หรือความน่าเชื่อถือของคู่ค้าเซ็นทรัลพัฒนาที่ช่วยออกแบบ (Tailor-Made) แผนสินเชื่อให้คู่ค้าแต่ละรายได้

สำหรับ "อินเวสทรี" ก่อตั้งมาเพื่อช่วยธุรกิจขนาดเล็กเข้าถึงเงินทุนในรูปแบบใหม่ที่สะดวกและเร็ว ผ่านการระดมทุนจากนักลงทุนโดยตรง ด้วยอัตราที่สมเหตุสมผลและกระบวนการระดมทุนที่โปร่งใส ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เพียงใช้ "ใบแจ้งหนี้การค้า" หรือ สัญญาที่มีกับเซ็นทรัลพัฒนามาประกอบคำขอ ขณะเดียวกันฝั่งนักลงทุนเองก็ได้โอกาสลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่ กระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่หลากหลายมากกว่าเดิม

โดยปัญหาสำคัญที่เอสเอ็มอีไทยพบ คือ เมื่อคู่ค้าหรือลูกค้ายืดเวลาการชำระเงินค่าสินค้าออกไปเอสเอ็มอีจะประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในระยะสั้น หากเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หลายรายไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องหันหน้าหาเงินกู้นอกระบบ

ซึ่งบริการ Investment-based Crowdfunding ในรูปแบบของการออกหุ้นกู้ จะเป็นทางเลือกให้เอสเอ็มอี ซึ่งเส้นเลือดฝอยของระบบเศรษฐกิจไทย แต่โอกาสเข้าถึงสินเชื่อมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของจีดีพี ขณะที่สินเชื่อภาคธุรกิจมีถึง 85% ของจีดีพี เป็น Credit Gap ที่ใหญ่มากในระบบการเงินไทย
#3726


วันนี้ (22 ส.ค.) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เทศกาลสารทจีนของทุกปี ชาวไทยเชื้อสายจีนจะมีพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งจะใช้ทั้งอาหารคาว หวาน ผลไม้ เช่น ไก่ หมู เป็ด ไข่ หมึก ปลา ขนมเทียน ขนมถ้วยฟู ขนมสาลี่ ขนมปุยฝ้าย ขนมเปี๊ยะ ส้ม หรือผลไม้ตามใจชอบ รวมถึงกระดาษเงิน กระดาษทอง เป็นต้น แต่เนื่องจากอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การเลือกซื้อของเซ่นไหว้ทางออนไลน์ จึงเป็นทางเลือกช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดโรค แต่สิ่งที่ต้องระวังในการเลือกซื้อของเซ่นไหว้ทางออนไลน์นั้น ควรพิจารณาดังนี้ 1) เลือกชื้อจากผู้ประกอบการที่เชื่อถือได้ โดยดูจากการประกอบการที่ทำมาอย่างต่อเนื่องระยะเวลานาน ชื่อเสียง และเสียงสะท้อนจากลูกค้าหรือรีวิว และควรเน้นช่องทางการติดต่อกับผู้ขายที่ชัดเจนและสะดวก เวลามีปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า จะสามารถสอบถามหรือเปลี่ยนแปลงหรือคืนสินค้าได้ 2) เลือกซื้อจากผู้ประกอบการที่มีการรับรองคุณภาพสินค้าหรือสามารถแลกเปลี่ยนหรือคืนสินค้าได้ ของเซ่นไหว้ที่เป็นอาหารต้องเน้นที่คุณภาพเป็นหลัก ซึ่งถ้าผู้ประกอบการส่งสินค้ามาแล้วไม่ได้คุณภาพ เช่น มีกลิ่น สีผิดปกติ มีลักษณะเหมือนจะบูดเน่า เช่น มีฟองก๊าซในอาหาร หรือมีร่องรอยเชื้อรา ก็สามารถคืนหรือเปลี่ยนได้

นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า ข้อถัดมา คือ 3) เลือกซื้อจากผู้ประกอบการที่มีช่องทางในการเก็บเงินปลายทาง หรือมีระบบการโอนเงินให้ผู้ขายหรือตัดยอดเงินให้ผู้ขายเมื่อได้รับสินค้าแล้ว เพื่อจะได้มีเวลาในการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าที่ส่งมาให้ จะได้ไม่เกิดปัญหาเสียเงินไปแล้วได้ของที่ไม่มีคุณภาพ และควรตรวจสอบสินค้าทันทีที่ได้รับ เมื่อผู้นำส่งมาส่งสินค้าควรตรวจสอบสินค้าทันที ซึ่งของเซ่นไหว้ที่เป็นอาหาร ควรอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มิดชิด เรียบร้อย หรือบรรจุแบบสูญญากาศ ควรระบุวันผลิตและวันหมดอายุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ หากบรรจุภัณฑ์ชำรุด ฉีกขาด ไม่ควรรับของ และควรสังเกตของเซ่นไหว้ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ว่า สี กลิ่นผิดปกติหรือไม่ ที่สำคัญควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ก่อนและหลังแกะบรรจุภัณฑ์ด้วย

"ทั้งนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่ทำพิธีเซ่นไหว้ภายในครอบครัว ขอความร่วมมือให้คนในบ้านสวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างระหว่างกัน หรือใช้วิธีวิดีโอคอลหากันในกลุ่มเครือญาติระหว่างทำพิธีเซ่นไหว้ และเลี่ยงการกินอาหารร่วมกัน สำหรับผู้สูงอายุ ให้แยกสำรับกับข้าวของผู้สูงอายุแยกกับคนอื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 ภายในครอบครัว เน้นการปรุงประกอบอาหารให้สุกร้อนอย่างทั่วถึง แต่หากกินไม่หมด ก่อนนำมากินควรอุ่นให้ร้อนอีกครั้ง นอกจากนี้ ควรลดหวาน มัน เค็ม ส่วนขนมหวานให้บริโภคแต่พอดี เพราะมีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก หากกินน้ำตาลหรืออาหารหวานมากเกินไป จะส่งผลให้มีน้ำหนักเกิน และทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ สำหรับขนมเทียน ขนมเข่ง ควรกินอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็ก เพราะมีความเหนียว เคี้ยวยาก อาจทำให้ติดคอได้ง่าย" อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
#3727


สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพสหประชาชาติ กับวันมนุษยธรรมโลก (World Humanitarian Day)
United Nations Peace Keepers Federal Council (UNPKFC) สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพสหประชาชาติ แจกอาหารช่วยเหลือโควิด-19 เนื่องในวันมนุษยธรรมโลก ประจำปี 2564 (Humanitarian Day 2021) เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. วันมนุษยธรรมโลก (World Humanitarian Day) ตามที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 19 สิงหาคมเป็นวันมนุษยธรรมทั่วโลกในปี 2551 (2008) เพื่อเป็นการระลึกถึงโศกนาฎกรรมการระเบิดที่โรงแรม คาแนล ในกรุงแบกแดดซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ 22 คนเสียชีวิต รวมถึงผู้แทนเลขาธิการพิเศษขององค์การสหประชาชาติในอิรัก คุณ เซอร์จิโอ วีอีรา เดอมอลโล และมีผู้คนได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 150 คน
สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพสหประชาชาติ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ต้องสูญเสียชีวิตของพวกเขาในการทำงานเพื่อมนุษยธรรม และผู้ที่ยังคงนำความช่วยเหลือ และการบรรเทาทุกข์ให้กับคนนับล้าน นอกจากนี้เพื่อสร้างการตระหนักถึงความต้องการการสนับสนุนการทำงานด้านมนุษยธรรมทั่วโลก และความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการให้ความช่วยเหลือเหล่านั้นเพียงพอ และวันนี้ องค์กร UNPKFC โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่ายระหว่างประเทศ อาทิเช่น
- Wat Benchamabophit, Dusitwanaram Ratchaworawihan
-Dusit District
-Hands that help humanity from Dubai
-Thai - Nepali associations
-World inter-Religions Council
-Asia Nepal Holiday from Nepal
-Frontera Hotel Group
- The Mental Health Association under Royal Patronage
- San Skies Digital Technologies
-karuna Buddhist volunteer
- Pimpawee

นี่เป็นเพียงบางส่วนของความช่วยเหลือความเดือดร้อนที่มีการลงพื้นที่สำรวจชุมชนรอบ ๆ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากเสียงสะท้อนของคนไทยทั่วประเทศในช่วงที่ผ่านมาหลังเศรษฐกิจหยุดชะงักจากการล็อกดาวน์ เนื่องจากอยากให้ทุกคน "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" และ "การเว้นระยะห่างทางสังคม" เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด 19 อย่างจำเป็นเร่งด่วน

สภาสหพันธ์รักษาสันติภาพสหประชาชาติ (UNPKFC) ได้ส่งความช่วยเหลือด้านอาหารเพื่อบรรเทาทุกข์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อรำลึกถึงวันมนุษยธรรมโลก (Humanitarian Day) ขององค์การสหประชาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564

โดยมีการแจกจ่ายอาหารเพื่อบรรเทาทุกข์นี้จำนวน 500 กล่อง ซึ่งประกอบด้วยรายการอาหารที่จำเป็น เครื่องดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้ง และชุดอุปกรณ์ตรวจโควิด ตลอดจนข้าวกล่องและน้ำ ให้กับผู้ประสบภัยจากการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัส Covid-19 ในชุมชนที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวและยากจน รวมถึงผู้ว่างงานซึ่งมีผลตรวจเป็นบวกและอยู่ภายใต้การกักกัน
ประธานในพิธีฝ่ายสงฆ์ คือ พระเทพกิตติเวที เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระอารามหลวง พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรกว่า 79 รูป และก่อนที่ท่านจะให้พรแก่ผู้เข้าร่วมให้การช่วยเหลือในครั้งนี้ ท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาถึงความสำคัญของการบำเพ็ญกุศล โดยเฉพาะความเอื้ออาทร "การให้ทาน" ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสด้วยความเมตตากรุณา ขอบคุณคณะ UNPKFCและคณะทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ได้จัดกิจกรรมบรรเทาทุกข์ต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบในสถาณการณ์ที่ยากลำบากในครั้งนี้

ดร.อภินิตา ไชยชนะ ประธานฝ่ายฆราวาส และประธานองค์กร UNPKFC ได้กล่าวว่า ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชน ได้ร่วมกับพันธมิตรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และภาคีเครือข่ายจิตอาสา ซึ่งถือว่าเป็นความรับผิดชอบของเราในการสนับสนุนและช่วยเหลือชุมชนที่อ่อนแอในการต่อสู้กับผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ Corona Virus ทั่วโลก อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการด้านมนุษยธรรมของเรา ที่ผ่านมาองค์กร UNPKFC ได้แจกจ่ายเสบียงอาหารและได้ให้ความช่วยเหลือชุมชนได้แจกจ่ายสิ่งของที่จำเป็นให้แก่ครอบครัวมากกว่า 25,000 ครอบครัว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำมาอย่างตลอดและกิจกรรมในวันนี้เป็นความต่อเนื่องขององค์กรของเราในการพยายามให้ความช่วยเหลือสังคมที่ยากจนและกำลังอ่อนแอ ทุกฝ่ายควรให้ความสำคัญและร่วมมือกัน โดยไม่แบ่งฝักผ่าย เปรียบเสมือนทุกคนเผชิญสงครามไวรัสที่มองไม่เห็นเช่นเดียวกันทั่วโลก สิ่งเล็กน้อยที่ทำให้เกิดประโยชน์ในครั้งนี้ เพื่อให้คนที่กำลังประสบปัญหา ได้มีกำลังใจ มีชีวิต และความหวังในการต่อสู้สถาณการณ์ที่ยากลำบากอย่างเข้มแข็งต่อไป และองค์กร UNPKFC จะยังคงติดตามสถาณการณ์อย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณผู้ร่วมให้การช่วยเหลือ ผู้สนับสนุน และอาสาสมัคร ที่ช่วยให้งานด้านมนุษยธรรมครั้งนี้ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งขออนุโมทนาบุญกุศลสำหรับองค์กรต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนและให้ร่วมมือ กิจกรรมทุกอย่างจึงผ่านพ้นไปด้วยดี

การร่วมพิธีในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ ได้แก่ นายศรพงศ์ศักดิ์ สุวรรณปรุง ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและบอร์ดบริหารที่ปรึกษา UNPKFC, นายดิชา คงศรี ผู้อำนวยการเขตดุสิต, ดร.สถิตย์ กุมาร ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คณะกรรมการธิการ คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรองประธาน UNPKFC, ศาสตราจารย์ ดร.ชรินทร์ คานิเยาว์ ประธานมูลนิธิ รมน กองทัพภาคที่ 1รุ่น 57 และรองประธาน UNPKFC,ดร.สุทัศน์ เพ็งทลุง ผู้อำนวยการอวุโส UNPKFC ,นายสัตว์แพทย์อนันต์ ฤกษ์ดี ปศุสัตว์พื้นที่ในส่วนราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรร์, ดร. ลัคนา สถานตรีภพ นายกสมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, นายจูเลียน โก๊ะ ,นายรวีภัทร์ จิรศักดิ์วัฒนา เลขานุการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นางสาวมารีญา ฤกษ์ดี คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย,นายรัฐ ริมธีรกุล, นางดวงนภา ฤกษ์ดี คณะทำงานที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย และตัวแทนจากสมาคมไทย-เนปาลแห่งประเทศไทยและมี ดารานักแสดง เยาวชน ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

ต่อจากนั้น ผู้แทนฯ UNPKFC นำโดย Dr. Lye Ket Yong รองประธาน UNPKFC และประธานองค์กร "Hands That Help Humanity, UAE"ได้นำอีกหนึ่งทีมงานเดินทางไปยังเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งมอบอาหารเพื่อช่วยเหลืออีก 50 กล่อง ที่มัสยิดมัสยิดอิควานุ้ลมุตตะกีน เขตมีนบุรี ให้กับชุมชนประมาณ 50 ครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการกักกันตัว โดยอิหม่าม นายลอ สะพานเวท ตัวแทนชุมชนมีนบุรี เป็นตัวแทนรับมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในครั้งนี้
ในวันเดียวกัน Mr.Waleed K.Issa ผู้แทน UNPKFC ได้นำอาหารอีกจำนวน 200กล่อง มอบให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบและยากจนในพื้นที่สุขุมวิท ดังกล่าว
#3728


ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย (Microsoft) เคยระบุว่าปี 63 เป็นปีที่บริษัทเริ่มต้นโมเดลธุรกิจใหม่โดยไม่รอการขายไลเซนส์ซอฟต์แวร์ผ่านเวนเดอร์-ดิสทริบิวเตอร์แบบเดิม ทำให้สามารถเปิดตลาดสตาร์ทอัปรวมถึงบริษัทรายย่อยได้แบบไม่ต้องใช้แบรนด์ไมโครซอฟท์ออกหน้า วิธีนี้ออกผลงอกงามจนทำให้ไมโครซอฟท์พร้อมเดินหน้าต่อ ร่วมกับอีกหลายกลยุทธ์ที่เตรียมไว้สำหรับปีการเงิน 2565 ซึ่งเป็นปีที่รายได้การขายไลเซนส์ซอฟต์แวร์ยังคงลดลงอีก 

ในขณะที่ไม่สามารถเปิดเผยสัดส่วนรายได้ในประเทศไทย ไมโครซอฟท์รายงานผลประกอบการทั่วโลกสำหรับไตรมาสล่าสุด (สิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายน 64) ซึ่งเป็นไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 64 ว่ามีรายรับโดยรวมอยู่ที่ 46,150 ล้านเหรียญสหรัฐ เบ็ดเสร็จแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงปีที่แล้ว แหล่งรายได้หลักมาจากธุรกิจลูกค้าองค์กร 'Productivity and Business Processes' (14,690 ล้านเหรียญ) ธุรกิจที่ใหญ่รองลงมาคือกลุ่ม 'More Personal Computing' (14,090 ล้านเหรียญ) ซึ่งรวมรายได้จากระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ฮาร์ดแวร์ เกม และโฆษณาบนเครือข่ายเสิร์ชเอนจิ้น ในขณะเดียวกัน รายได้จากการขายลิขสิทธิ์วินโดวส์ให้กับผู้ผลิตโออีเอ็ม (OEM) สำหรับติดตั้งล่วงหน้าบนคอมพิวเตอร์นั้นลดลง 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว

การลดลงนี้ไม่มีผลอะไรกับไมโครซอฟท์ ที่ยังสามารถดันรายได้ซอฟต์แวร์สร้างงานเอกสาร 'ออฟฟิศ' (Microsoft Office) ให้เพิ่มขึ้นอีก 19% ในขณะที่ชุดโปรแกรมสำหรับองค์กรหรือ Business Suite ทำรายได้เพิ่มขึ้นอีก 20% จุดนี้พบว่าสมาชิกบริการ Microsoft 365 มีจำนวนรวม 51.9 ล้านรายในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 22%

ดาวเด่นของไมโครซอฟท์อยู่ที่รายได้จากธุรกิจคลาวด์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 34% โดยเฉพาะบริการ Azure ทำเงินเพิ่มขึ้น 51% และรายรับจากบริการคลาวด์เซอร์วิสเซสอื่นของไมโครซอฟท์เพิ่มขึ้น 53% เบ็ดเสร็จแล้ว บริการคลาวด์เชิงพาณิชย์ของไมโครซอฟท์มีรายได้ต่อปีมากกว่า 69,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 34% ซึ่งยอดขายมากกว่า 50% มาจากนอกสหรัฐอเมริกา

สำหรับประเทศไทย 'ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์' เปิดเผยกลยุทธ์ที่เตรียมไว้สำหรับปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่ 4 ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ของไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ว่าไมโครซอฟท์จะเดินหน้าไปเป็นเบื้องหลังเพื่อให้ธุรกิจรายย่อยของไทยทำดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่นหรือเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SMB ที่มีพนักงาน 300 คนขึ้นไปซึ่งธนวัฒน์พบว่าเป็นกลุ่มที่กระตือรือร้นมาก ตรงกันข้ามกับกลุ่มที่มีพนักงานต่ำกว่า 200 คนซึ่งยังเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วง

***บุกหนักช่วงโควิด

ธนวัฒน์ระบุว่าปี 65 ไมโครซอฟท์มีกลยุทธ์เต็มร้อยเพื่อร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนให้สามารถทรานสฟอร์มธุรกิจ โดยยอมรับว่าช่วงที่โควิด-19 ระบาด เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการบุกตลาด

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ เผยว่าในช่วง 4 ปีที่รับตำแหน่ง MD ปีนี้คือปีที่ไมโครซอฟท์ประเทศไทยเปิดรับพนักงานใหม่มากที่สุด
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ เผยว่าในช่วง 4 ปีที่รับตำแหน่ง MD ปีนี้คือปีที่ไมโครซอฟท์ประเทศไทยเปิดรับพนักงานใหม่มากที่สุด

ในส่วนตลาดไทย ธนวัฒน์เผยว่ารายได้จากค่าไลเซนส์ใช้งานซอฟต์แวร์นั้นลดลงมหาศาล สวนทางกับธุรกิจที่ไมโครซอฟท์ทำได้ดีขึ้นมากในปีที่ผ่านมา นั่นคือ 'ทีมส์' (Microsoft Teams) ที่มีอัตราเติบโตเป็นเลข 4 หลัก เกิน 10 เท่าตัว ขณะที่ Azure เติบโตดีเป็นเลข 3 หลักมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นหลายร้อยรายในไทย ทั้งกลุ่มธุรกิจใหญ่ กลาง และเล็ก

'ยืนยันว่าวันนี้ทุกองค์กรมาคลาวด์กันหมดแล้ว และการที่รายได้จากไลเซนซ์น้อยลงนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ ไมโครซอฟท์จึงต้องการสร้างความมั่นใจมากขึ้น'

ไมโครซอฟท์สามารถสร้างความมั่นใจได้ล้นหลามในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา นอกจากจะมีส่วนร่วมช่วยเหลือด้วยการเปิดให้ใช้งานบริการ 365 ฟรี 6 เดือนไม่คิดเงิน หรือการเปิดให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนของกระทรวงศึกษาธิการกว่า 6 ล้านคนใช้ Teams เรียนออนไลน์ได้ รวมถึงการมอบ Surface ไปให้ภาคเอกชนไทยรวมถึงโรงพยาบาลจุฬาที่ต้องใช้ลงทะเบียนจัดการงานโควิด-19 และการนำแชทบอทไปใช้ในระบบ call center สายด่วนเพื่อแก้ปัญหารับสายไม่ทัน ไมโครซอฟท์ยังเปิดความร่วมมือกับสตาร์ทอัปเอกชนและหน่วยงานไทยมากมายหลายโครงการในช่วงที่ผ่านมา

หนึ่งในโครงการที่สะท้อนว่าไมโครซอฟท์เข้าถึงสตาร์ทอัปไทยได้ดี คือการมีส่วนร่วมในโครงการ HackVac Korat ซึ่งสตาร์ทอัปดาวรุ่งอย่าง 'คลาสคาเฟ่' (Class Cafe') และเหล่าพันธมิตรได้นำเอาระบบวิเคราะห์โลจิสติกส์มาใช้กับระบบฉีดวัคซีนจนทำให้ประชาชนไม่ต้องรอนาน จุดนี้มีการนำ AI ของไมโครซอฟท์ไปวิเคราะห์พื้นที่ผู้คนหนาแน่น ทำให้สามารถกระจายทราฟิกไปสู่พื้นที่ที่เบาบางกว่า เพิ่มความปลอดภัยและความรวดเร็วโดยมีไมโครซอฟท์เข้าไปสนับสนุน

'ในปีที่ผ่านมาธุรกิจที่เติบโตที่สุดของไมโครซอฟท์ คือ Teams และ Office 365 อัตราเติบโตเกิน 100% ทั้งกลุ่มเด็กนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรการศึกษา และยิ่งเมื่อ Windows 11 พร้อมลงตลาดช่วงปลายปี จะทำให้ผู้ใช้สามารถกดเข้า Teams เพื่อประชุมทางไกลได้สะดวกขึ้น ก็เชื่อว่าจะทำให้จำนวนการใช้งาน Teams ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก'

เซกเมนต์ไทยที่ใช้งาน Teams มากที่สุดคือกลุ่มภาคการศึกษา ธนวัฒน์ระบุว่าตลาดการศึกษาของประเทศไทยมีขนาดใหญ่มาก ที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ทำโครงการสอนครูไทย 420,000 คนในเวลา 10 วัน โดยวันแรกมีครูเข้ามาลงทะเบียนเกิน 70,000 คน ถือเป็นสัญญาณแสดงความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ของครูไทย

การอบรมนี้ครอบคลุมการสอนใช้ไวท์บอร์ดบน Teams รวมถึงการสอบบน Teams ด้วย หากครูคนใดไม่สามารถเข้าเรียนในช่วง 10 วันนี้ หรืออยากเรียนซ้ำก็สามารถเรียนออนดีมานด์ จุดนี้ไมโครซอฟท์ลงมือทำสื่อการสอนแบบออนดีมานด์เต็มรูปแบบ ทั้งหมดเป็นโครงการ CSR ซึ่งฟรี และมีการนำองค์ความรู้บนระบบ Linkedin Learning มาเผยแพร่ด้วย
การพาครูและเด็กไทยมาใช้ Teams มีผลผลักดันต่อสถิติผู้ใช้ในระดับโลก สถิติล่าสุดพบว่าจากที่ Teams มีผู้ใช้งาน 145 ล้านคนต่อวันในเดือนเมษายน 64 ล่าสุด Microsoft Teams มีฐานผู้ใช้งานมากถึง 250 ล้านคนต่อเดือน

หนึ่งในธุรกิจที่เติบโตที่สุดของไมโครซอฟท์ คือ Teams
หนึ่งในธุรกิจที่เติบโตที่สุดของไมโครซอฟท์ คือ Teams

นอกจาก Teams ธุรกิจกลุ่มข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ (Data & AI) เป็นอีกกลุ่มที่เติบโตมาก ผลจากพฤติกรรมขององค์กรที่ต้องการสร้างโครงข่ายที่สามารถเปิดใช้งานได้เร็วที่สุด ขณะเดียวกัน อีกพื้นที่ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกันคือระบบซีเคียวริตี้ (Security) ซึ่งองค์กรต้องใส่ใจมากขึ้น

***เศรษฐกิจโตได้

ไมโครซอฟท์ย้ำว่าเป้าหมายของบริษัทในช่วง 1 ปีถัดจากนี้คือการสร้างความสามารถใหม่เพื่อให้ไทยแข่งขันได้ทางเศรษฐกิจ โดยบริษัทต้องการพัฒนาทักษะคนไทยให้ได้ 10 ล้านคน บนความเชื่อว่าสตาร์ทอัปจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างอิมแพคทางบริการด้านสุขภาพ รวมถึงช่วยดันเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น

แม้จะมีพิษเศรษฐกิจและลูกค้าบางรายได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่เทรนด์ที่ไมโครซอฟท์พบขณะนี้คือทั้งองค์กรใหญ่ กลาง และเล็กยังไม่คิดจะลดการลงทุนเทคโนโลยี แต่ส่วนใหญ่ต้องการเพิ่มศักยภาพระบบวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ บริษัทจึงมั่นใจว่าการเติบโตของไมโครซอฟท์จะดีกว่าที่การ์ทเนอร์ประเมินไว้มาก

การ์ทเนอร์นั้นประเมินว่ามูลค่าการใช้จ่ายไอทีไทยปี 64 จะเพิ่มขึ้น 4.9% ซึ่งถือว่าดีกว่าปี 63 ที่ติดลบ 4.5% ภาพรวมเม็ดเงินวงการไอทีดีขึ้นเพราะคลาวด์สาธารณะมีการใช้งานในไทยเพิ่มขึ้น 31.7% เป็นตัวเลขที่ยืนยันว่าการใช้คลาวด์ในไทยเติบโตเร็วมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น 23.1%

อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์มองว่ายังต้องการกฎหมายไทยที่ระบุขอบเขตความเป็นส่วนตัวของข้อมูลให้ชัดเจน โดยย้ำว่าไทยควรมีกฎหมายกำหนดให้ 'ข้อมูลลูกค้าเป็นของลูกค้า' กฎหมายนี้จะทำให้ผู้ที่ต้องการข้อมูล ต้องไปดำเนินการขอข้อมูลที่ลูกค้า ไม่ใช่มาขอที่ไมโครซอฟท์ ซึ่งจะช่วยให้บริการคลาวด์มีความโปร่งใสมากขึ้นในตลาดไทย

ในฐานะผู้นำ ธนวัฒน์ยกความดีของการเติบโตทั้งหมดให้ทีมงาน ซึ่งต้องประชุมงานทุกสัปดาห์ บนโฟกัสหลักคือการเน้นให้พนักงานและครอบครัวปลอดภัยจากโรคโควิด-19 รวมถึงมีเครื่องจ่ายออกซิเจนให้ใช้งานในกรณีฉุกเฉิน

'ในช่วง 4 ปีที่รับตำแหน่งมา ปีนี้คือปีที่เราเปิดรับพนักงานใหม่มากที่สุด ปีนี้เป็นปีที่ผมจะเปลี่ยนคนในองค์กร ให้ผ่านขีดที่เคยรับผิดชอบอยู่ ให้หันมาทำในด้านใหม่'

เป็นการมอบหมายบทบาทใหม่ ซึ่งจะทำให้ไมโครซอฟท์ฉลุยยิ่งขึ้นในปี 65.
#3729


นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่กรมการขนส่งทางบกได้มีประกาศงดให้บริการประชาชนด้านใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น โดยในช่วงระยะเวลาการงดให้บริการ กรมการขนส่งทางบก ได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อผ่อนปรนการใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง กับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้ว สามารถใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันยังคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น กรมการขนส่งทางบกจึงได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้พิจารณาผ่อนปรนการบังคับใช้กฎหมายต่อเนื่อง ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้พิจารณาขยายระยะเวลาผ่อนปรนการบังคับใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งใด กับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ที่สิ้นอายุแล้ว ยังสามารถใช้ขับรถต่อไปได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564



นอกจากนี้ ได้เพิ่มการผ่อนปรนให้ผู้ที่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว หรือใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล สามารถขับรถที่ใช้ในการรับจ้างขนส่งสินค้าได้ ได้แก่ รถบรรทุกที่มีน้ำหนักรถไม่เกิน 2,200 กิโลกรัม ที่จดทะเบียนตามกฎหมายด้วยการขนส่งทางบก (รถปิคอัพป้ายเหลือง) จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและให้สามารถประกอบการกิจการขนส่งสินค้าซึ่งมีความจำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนอีกด้วย

นายจิรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการขอความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ในส่วนของประชาชนที่มีเอกสารประกอบคำขอรับหรือขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ เช่น ใบรับรองแพทย์ หนังสือรับรองการผ่านการอบรมและทดสอบ คำขอที่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายใน 90 วัน
ผลผ่านการอบรมผ่านระบบ e-Learning ที่สิ้นอายุตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มงดให้บริการ กรมการขนส่งทางบกจึงได้อนุโลมให้ใช้เป็นเอกสารประกอบการดำเนินการได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อลดภาระให้ประชาชนยังคงใช้เอกสารได้ต่อเนื่อง


อย่างไรก็ตาม สำหรับใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถใกล้จะถึงวันสิ้นอายุ ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตสามารถดำเนินการอบรมผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com ได้ล่วงหน้า เพื่อนำผลการผ่านการอบรมดังกล่าวมาดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ

ทั้งนี้ เมื่อสำนักงานขนส่งเปิดดำเนินการ โดยมีการให้บริการอบรมผ่านระบบ e-Learning ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล อบรม 1 ชั่วโมง, การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล ขาดต่ออายุเกิน 1 ปี อบรม 2 ชั่วโมง, การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถขนส่ง อบรม 2 ชั่วโมง และการอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถสาธารณะ อบรม 3 ชั่วโมง ซึ่งผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถจะได้รับสิทธิการยกเว้นการทดสอบข้อเขียนหรือทดสอบขับรถ แล้วแต่กรณี
#3730


นายนพพล โพธิ์ขี ผู้จัดการส่วนพัฒนาธุรกิจและกลยุทธ์ ผู้บริหารโครงการยานยนต์ไฟฟ้า บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาการให้บริการช่วยเหลือ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) เพื่อรองรับปริมาณรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้จากประสบการณ์ที่เป็นผู้ให้บริการทางยกระดับดอนเมือง ซึ่งเป็นทางหลวงสัมปทาน ที่ต้องคอยช่วยเหลือและให้บริการผู้ใช้ทางยกระดับมามากกว่า 30 ปี มีผู้ใช้บริการมากกว่า 1 แสนคันเป็นประจำทุกวัน โดยมีรถยนต์มาใช้บริการทางยกระดับหลายลักษณะ อาทิ รถยนต์ส่วนบุคคล รถบัสโดยสารสาธารณะ รถตู้ รถบรรทุกขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เป็นต้น

ดังนั้นหน่วยงานปฏิบัติการที่ให้บริการใกล้ชิดกับผู้ใช้ทางตลอดเวลา จึงมีความจำเป็นต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีของรถยนต์จากการใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากการที่ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมและกระตุ้นการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต


ตามนโยบายการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ เรามีนโยบาย 5 พ. ซึ่ง พ.ที่สำคัญนั้นก็มี พ. พัฒนาคน และ พ. พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองการให้บริการผู้ใช้ทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อเทคโนโลยีมีความเปลี่ยนแปลง คนก็จะต้องมีการพัฒนาไปด้วย ซึ่งการเก็บข้อมูลมาระยะหนึ่ง

บริษัทพบว่ามีรายงานการเพิ่มขึ้นของปริมาณรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มาใช้บริการทางยกระดับดอนเมืองโทล์ลเวย์ และมีเหตุการณ์รถยนต์ไฟฟ้าเกิดขัดข้องบนทางยกระดับของเรา ทำให้บริษัทฯ เริ่มวางแผนการให้บริการแก้ไขปัญหากับยานยนต์เหล่านั้นอย่างทันท่วงที เช่น แบตเตอรี่หมด เราจะช่วยเหลือผู้ใช้ทางอย่างไร การเคลื่อนย้ายยานพาหนะ ก็มีความแตกต่างกับรถยนต์สันดาปทั่วไป เนื่องจากตำแหน่งจัดวางเครื่องยนต์ก็แตกต่างกัน การตรวจสอบสภาพก่อนการช่วยเหลือ รวมถึงการให้บริการชาร์จไฟฟ้า รถแต่ละรุ่นก็มีความแตกต่างกัน

ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง ศึกษาและวางแผนเพื่อรองรับ โดยภาครัฐเองมีนโยบายสนับสนุนและกระตุ้นการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ตามห้างสรรพสินค้า โรงแรม คอนโดมิเนียม หรือแม้แต่สถานีให้บริการน้ำมันก็มีสถานีชาร์จไฟฟ้า ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ก็เป็นที่แน่นอนว่า บนทางด่วนนั้นจะมีรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งในปี 2562 ที่ผ่านมา

บริษัทฯ ก็ได้มีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายดังกล่าว โดยการมอบรางวัลสำหรับผู้ใช้ทางที่โชคดีในโครงการ Tollway Lucky Way "ใบเสร็จให้โชค" รางวัลที่ 1 เป็นการมอบรถยนต์ไฟฟ้า (รถยนต์ EV) ซึ่งก็เป็นการส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศอีกด้วย" 

 นายนพพล กล่าวว่า  ในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการศึกษาเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ได้ส่งเสริมให้พนักงานมีส่วนร่วมในการออกไอเดียสำหรับการพัฒนาการทำงานของตนเอง ผ่านโครงการ "พนักงานนักพัฒนา" ภายใต้โครงการ "I Love DMT" ที่ให้พนักงานเสนอโครงการพัฒนางานที่เกิดจากการปฏิบัติงานของตนเองซึ่งเรื่องการให้บริการช่วยเหลือรถยนต์ไฟฟ้า โดยใช้ประสบการณ์การทำงานจริง ควบคู่กับการศึกษาดูงานและเรียนรู้จากบริษัทฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้า นำมาผนวกเข้ากับประสบการณ์การทำงาน มาออกแบบโครงการ

จากผลการนำเสนอผลงานของพนักงาน ก็ได้ คู่มือการช่วยเหลือยานยนต์ไฟฟ้า การตรวจสภาพ การเคลื่อนย้ายยานยนต์ไฟฟ้า และอีกส่วนหนึ่งที่กำลังอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเพื่อร่วมกันให้บริการแก่รถยนต์ไฟฟ้า นั่นก็คือ การหาอุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้า ทั้งในรูปแบบเคลื่อนที่ (Mobile Charging)

สำหรับชาร์จไฟฟ้าชั่วคราวแบบ Quick Charge และการเคลื่อนย้ายรถยนต์ไฟฟ้าไปยังสถานีชาร์จไฟฟ้า ที่ให้บริการโดยพันธมิตร อีกทั้งการลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าของบริษัท สำหรับช่วยเหลือยานยนต์ไฟฟ้าต่อไป และองค์ความรู้เหล่านี้บริษัทฯ ก็จะใช้ในการวางแผนปฏิบัติการ และพัฒนาการให้บริการให้ดีขึ้นไป อีกทั้งสามารถต่อยอดไปเป็นผู้ให้บริการสำหรับทางด่วนสายอื่นๆ ในอนาคตที่ต้อง ดำเนินการในลักษณะนี้ต่อไปอย่างแน่นอน 
#3731


นายอาคม เติมไพสิฐพิทยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวถึงข้อเสนอของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาทเพื่อเยียวยาโควิด-19และดูแลเศรษฐกิจหลังจบโควิด-19ว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการกู้เงินเพิ่มดังกล่าวตามที่ธปท.เสนอมา เนื่องจาก ขณะนี้ยังมีเม็ดเงินที่ยังสามารถใช้บริหารจัดการในช่วงสถานการณ์โควิด-19ได้จากพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ซึ่งยังเพียงพอต่อการเยียวยาสถานการณ์โควิด-19 ในขณะนี้

ส่วนวงเงินจากพ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท จะใช้ดูแลเยียวยาและเศรษฐกิจช่วงโควิด-19 ได้จนถึงปีหน้าหรือไม่นั้น จะต้องดูแผนการใช้เงินของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่กำหนดไว้ก่อนรวมถึง แผนดูแลประชาชนกรณีที่สถานการณ์โควิด-19 ลากยาวด้วย


สำหรับข้อเสนอเรื่องกองทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการท่องเที่ยว จำนวน 1 หมื่นล้านบาทนั้น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังไม่ได้เข้ามาหารือกับตนแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันวงเงินกู้เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท มีการอนุมัติไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การช่วยเหลือเรื่องการศึกษา 3.2 หมื่นล้านบาท และเยียวยาแรงงานในพื้นที่ล็อกดาวน์ 10 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา จำนวน 3 หมื่นล้านบาท
#3732


หนึ่งในโครงการสำคัญในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) คือโครงการพัฒนา "สนามบินอู่ตะเภา" และ"เมืองการบินภาคตะวันออก" ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองการบินรวมทั้งเริ่มต้นลงทุนระบบเติมน้ำมันอากาศยาน

การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มีการวางแผนแม่บทฉบับสมบูรณ์แล้ว และหลังจากนี้จะเป็นการพัฒนาในแต่ละส่วน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานรองรับ โดยความคืบหน้า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่มีการรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เมื่อวันที่ 4 ส.ค.2564 พบว่า

บริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ซึ่งรับหน้าที่พัฒนาสนามบิน ได้จัดทำแผนแม่บทสนามบินฉบับสมบูรณ์เสร็จแล้ว และมีการจ้างผู้ออกแบบระดับโลก

กองทัพเรือ (ทร.) ที่รับหน้าที่พัฒนาสนามบินได้ออกแบบทางวิ่ง 2 เสร็จแล้ว และมีการปรับถมดินทางขับระยะที่ 1 คืบหน้า 80.53%

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ "อีสท์วอเตอร์" รับผิดชอบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้เตรียมก่อสร้างระบบประปาและบำบัดน้ำเสีย

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) รับผิดชอบวางแผนแม่บทการพัฒนาภายในสนามบินได้จัดทำแผนแม่บทศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) แผนแม่บทศูนย์บริการอุปกรณ์ภาคพื้น และแผนแม่บทศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทักษะชั้นสูงด้านอุตสาหกรรมการบิน

บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่เคยมีแผนพัฒนา MRO ได้กันพื้นที่ให้การบินไทย 103 ไร่ หากต้องการลงทุนในอนาคต

ในขณะที่การวางระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ซึ่งผู้ได้รับคัดเลือก คือ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) ซึ่งร่วมทุนระหว่าง บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ "BAFS" ถือหุ้น 55% และ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ "OR" ถือหุ้น 45% ภายใต้ทุนจะทะเบียน 600 ล้านบาท

สกพอ.ได้ลงนามการเช่าพื้นที่ราชพัสดุเพื่อพัฒนาโครงการพัฒนาระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศยานกับบริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2564 โดยเป็นการเช่าพื้นที่บริเวณสนามบินอู่ตะเภา 17 ไร่ สัญญาเช่า 14 ปี

สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานพิธีลงนามครั้งนี้ โดยระบุว่า โครงการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) คืบหน้าเป็นลำดับแต่จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้โครงการที่เกี่ยวข้องกับการบิน 3 โครงการ สะดุดบ้าง แต่มั่นใจว่าเมื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้ และมีการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นจะทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการบินในสนามบินอู่ตะเภาคืบหน้า โดยการลงทุนระบบการเติมเชื้อเพลิงอากาศยานที่เป็นการเตรียมความพร้อมสำคัญที่จะเดินหน้าโครงการต่างๆ ในอีอีซี โดยเฉพาะการขนส่งทางอากาศทั้งการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในสนามบินเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญของสนามบิน

คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ สกพอ.กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดย สกพอ.ร่วมกับกองทัพเรือคัดเลือกเอกชนพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ซึ่ง GAA มีประสบการณ์มานานและเชี่ยวชาญ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่จากภาคเอกชน อีกทั้งลดภาระงบประมาณและบุคลากรภาครัฐ และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้ทำธุรกิจมากขึ้น


หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล ประธานกรรมการ GAA กล่าวว่า การเช่าที่ดินราชพัสดุดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุน โดยโครงการมีมูลค่าการลงทุนเริ่มแรก 2,237 ล้านบาท ซึ่ง GAA จะเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ส่งเสริมศักยภาพสนามบินอู่ตะเภาที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานรองรับการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของสนามบินอู่ตะเภา ในปี 2568 และการเติบโตของอีอีซีตามนโยบายการพัฒนาประเทศ

รวมทั้ง พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคม ด้วยความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการและการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานและธุรกิจด้านพลังงาน มามากกว่า 30 ปี โดย BAFS และ OR จะสนับสนุนให้ GAA มีศักยภาพ ด้วยความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้การบริหารจัดการและการให้บริการณสนามบินอู่ตะเภามีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการค้าน้ำมันเสรีแบบ Open Access ดูแลระบบท่อส่งน้ำมันใต้ลานจอด

ประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BAFS กล่าวว่า "BAFS" เป็นผู้นำในด้านการให้บริการระบบเติมน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจรของประเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทน้ำมันและสายการบินจากทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานและส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมการบินของประเทศ โดยการจัดตั้ง GAA จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และเป็นก้าวสำคัญในการรองรับการเติบโตของโครงการในอีอีซีและประเทศไทยต่อไปในอนาคต

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR กล่าวว่า OR ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน Flagship ของกลุ่ม ปตท. และเป็นผู้นำด้านพลังงาน OR ให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมการบิน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานภายในสนามบินอู่ตะเภา สอดคล้องเป้าหมายยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานานชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3
#3733


ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 66.57 จุด หรือ 0.19% ปิดที่34,894.12 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 5.53 จุดหรือ 0.13% ปิดที่ 4,405.8 จุด และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 15.87 จุดหรือ 0.11% ปิดที่ 14,541.79 จุด


หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มธุรกิจเรือสำราญและกลุ่มสายการบิน ต่างร่วงลงในการซื้อขายวันนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงเช่นกัน ตามราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงเกือบ 4%

ทั้งนี้ รายงานการประชุมประจำเดือนก.ค.ของเฟดระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีในปีนี้

ปัจจุบัน เฟดซื้อพันธบัตรตามมาตรการคิวอีอย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์

ประกันโควิด เจอ จ่าย จบ! รับเลย 100,000 บาท

นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวก่อนหน้านี้ว่า เฟดควรทำการประกาศในเดือนหน้าเกี่ยวกับไทม์ไลน์ในการปรับลดวงเงินคิวอี และเริ่มทำการปรับลดคิวอีในเดือนต.ค.

คำกล่าวของนายแคปแลนสอดคล้องกับถ้อยแถลงของนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ที่ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะปรับลดวงเงินคิวอี ภายในปีนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ขณะที่นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ว่าการของเฟด กล่าวเช่นกันว่า เฟดควรจะเริ่มปรับลดวงเงินคิวอีภายในเดือนต.ค.

นักลงทุนจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. โดยคาดว่าเฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินคิวอีในการประชุมดังกล่าว


นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่โกลด์แมน แซคส์ ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 3 เหลือ 5.5% จากเดิมที่ระดับ 9% โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะพุ่งขึ้นสูงกว่าคาดในช่วงที่เหลือของปีนี้

สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไร้ทิศทางในวันนี้ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกต่ำสุดในรอบ 17 เดือน ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน อย่างไรก็ดี เฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจมิด-แอตแลนติกต่ำสุดรอบ 8 เดือน ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐ
#3734



Apcalis ราคา ถูก ปลอดภัย ผลข้างเคียงน้อยมากแทบไม่เจอ ออกฤทธิ์ 72 ชั่วโมง ส่งฟรี เก็บเงินปลายทาง ยาสุดสัปดาห์ แอพคาลิส ชนิดเม็ด กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากชายที่มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ต่างต้องการตัวช่วยที่ออกฤทธิ์ยาวนานมากกว่าเดิม โดยยาตัวอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นยาที่ออกฤทธิ์สั้น ไม่ว่าจะเป็น ซิเดกร้า,  Kamagra

Apcalis ราคา
Apcalis-sx 20 mg / 1 แผง 4 เม็ด

ส่งฟรี เก็บเงินปลายทาง

วิธีรับประทาน แอพคาลิส
ทาน 1 เม็ด ขณะท้องว่าง ดีที่สุด.
ยาจะออกฤทธิ์ ประมาณ 72 ชม หรือประมาณ 1 วันครึ่ง.
ดื่มน้ำตามเยอะๆเป็นน้ำอุ่นจะดี ยาออกฤทธิ์ไว.
ใน 1 วัน ห้ามทานยาเกิน 1 เม็ด (เพราะเป็นปริมาณยาที่ร่างกายสามารถขจัดได้เอง โดยไม่สะสมในร่างกาย).
ห้ามดื่มแอลกอฮอลล์ประสิทธิภาพของยาจะลดลง

Apcalis ให้ผลอย่างไร
ช่วยทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ดีขึ้น
ยืดเวลาการมีเพชสัมพันธุ์ ชะลอหลั่งไว
จะมีกิจกรรมตอนไหนก็ได้แค่มีการกระตุ้น
อาการข้างเคียง

สำหรับคนที่ร่างกายปกติ ที่เกิดจากทานยาไวอากร้า ก็มี ปวดหัว หน้าแดง ตาพร่า ใจเต้นแรง แล้วก็ตาแพ้แสงผลข้างเคียงนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายแต่ละบุคคล บางคนก็ไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ

คำเตือนยาแอพคาลิส
ห้ามใช้ยากับเด็ก สตรีที่ให้นมบูตร
ห้ามใช้ยาปลุกเซ็กส์กับบุคคลที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคความดัน และมีโรคประจำตัวอื่นๆ
ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็ก และไม่มีข้อบ่งใช้ในเพศหญิง

วิธีสั่งซื้อสินค้า แอพคาลิส
1. ทัก ไลน์ หรือ ข้อความ แจ้งแอดมิน เลือกของที่ท่านอยากได้ บอกจำนวนสินค้า
2. รอรับสินค้า 1-2 วันทำการ ท่านสามารถรับสินค้าก่อน แล้วจ่ายเงินกับพนักงานขนส่งที่หน้าบ้านได้เลยครับ

Tags :: Apcalis ราคา,แอพคาลิส ราคา,Apcalis เก็บเงินปลายทาง
#3735


วันนี้ (19 สิงหาคม 2564) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ เพื่อประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่าง กระทรวงการคลังโดย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) กิจการร่วมค้าของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR)

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานในพิธีฯกล่าวแสดงความยินดีต่อคู่สัญญาที่มาร่วมลงนามสัญญาในวันนี้ และกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งสำคัญของมนุษยชาติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและวิถีการดำรงชีวิตและการทำงาน รัฐบาลจำเป็นต้องรักษาสมดุลของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับระบบบริหารจัดการทางด้านสาธารณสุข และการผลักดันให้ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม ยังคงดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกนั้น เป็นโครงการร่วมลงทุนที่สำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ EEC เพื่อรองรับการขนส่งทางอากาศทั้งการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในสนามบินก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินงานของสนามบิน จำเป็นต้องมีการคัดเลือกเอกชนให้เข้ามาเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งรวมถึงระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน และในวันนี้ สกพอ. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานจนประสบความสำเร็จ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการพัฒนา EEC เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการค้าและการลงทุนให้แก่นักลงทุน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC มากขึ้น อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง

นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดย สกพอ. ร่วมกับกองทัพเรือ ได้คัดเลือกเอกชนเพื่อเข้าร่วมพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ซึ่งในส่วนของงานบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ประกอบการด้วยความเป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง

โดยได้คัดเลือก "กิจการร่วมค้าบาฟส์และโออาร์" เป็นผู้เช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อประกอบการระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน มีความเชี่ยวชาญ และมีมาตรฐานการดำเนินงานในระดับสากล นับเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งในด้านการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่จากภาคเอกชน อีกทั้ง เป็นการลดภาระในด้านงบประมาณและบุคลากรในส่วนของภาครัฐ และเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีโอกาสในการดำเนินธุรกิจได้มากขึ้น ทำให้ภาคประชาชนได้รับประโยชน์และความสะดวกสบายจากการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น


นายประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบาฟส์ (BAFS) เปิดเผยว่า BAFS เป็นผู้นำในด้านการให้บริการระบบเติมน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจรของประเทศ ที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทน้ำมันและสายการบินจากทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานและส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมการบินของประเทศ การจัดตั้งบริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จำกัด หรือ GAA ร่วมกับ OR ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และเป็นก้าวสำคัญในการรองรับการเติบโตของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ ECC และประเทศไทยต่อไปในอนาคต


นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (OR) เปิดเผยว่า OR ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน Flagship ของกลุ่ม ปตท. และเป็นผู้นำด้านพลังงาน OR ให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานที่มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมการบิน การร่วมมือกับ BAFS ในการจัดตั้งกิจการร่วมค้า คือ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จำกัด หรือ GAA ถือเป็นการเสริมศักยภาพในการแข่งขัน และเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานภายในสนามบินอู่ตะเภา สอดคล้องกับเป้าหมายในการยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานานชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

หม่อมหลวงณัฐสิทธิ์ ดิศกุล ประธานกรรมการ บริษัท โกลเบิลแอโร่แอสโซซิเอทส์ จํากัด (GAA) กล่าวว่า GAA พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคม ด้วยความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านการบริหารจัดการและการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานและธุรกิจด้านพลังงาน มามากกว่า 30 ปี โดย BAFS และ OR จะสนับสนุนให้ GAA มีศักยภาพ ด้วยความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้การบริหารจัดการและการให้บริการณสนามบินอู่ตะเภามีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการค้าน้ำมันเสรีแบบ Open Access ดูแลระบบท่อส่งน้ำมันใต้ลานจอด และในทุกกระบวนการตามขั้นตอนและมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก

GAA จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ด้วยมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท โดย BAFS ถือหุ้น 55% และ OR ถือหุ้น 45% สำหรับโครงการเช่าที่ดินราชพัสดุดังกล่าวมีมูลค่าการลงทุนเริ่มแรกประมาณ 2,300 ล้านบาท ซึ่ง GAA จะจัดเตรียมความพร้อมในด้านระบบบริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ส่งเสริมศักยภาพสนามบินอู่ตะเภาที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานรองรับการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของสนามบินอู่ตะเภา ในปี 2568 และการเติบโตของ EEC ตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
#3736


กระแสการพัฒนาเมืองในวิถีใหม่ กำลังเป็นอีกโจทย์ท้าทายที่ถูกพูดถึงในเวลานี้ แต่ในขณะที่ทุกคนต่างมุ่งเป้าไปที่ "สมาร์ทซิตี้" หรือเมืองอัจฉริยะ ว่าจะเป็นคำตอบของการพัฒนาเมืองที่ตอบโจทย์โลกในศตวรรษใหม่

อีกฟากมุมมองจากนักพัฒนา กลับเริ่มที่จะหันมาให้ความสำคัญถึงกระแสการพัฒนา "เมืองแห่งการเรียนรู้" หรือ "Learning City"มากขึ้นเช่นกัน นั่นเพราะทุกคนต่างหมายมั่นว่า Learning City อาจเป็นภาพฝันของเมืองคุณภาพในอนาคตที่แท้จริง

จาก Lifelong Learning สู่ Learning City

ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) เล่าถึงเหตุผลว่า ทำไมเราจึงต้องขับเคลื่อน "เมืองแห่งการเรียนรู้" ผ่านการนำเสนอสาธารณะ ภายใต้ประเด็น "ฟื้นเมืองบนฐานความรู้" (Knowledge-based City Development) ซึ่งจัดโดย UddC ภายใต้ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) บริษัทป่าสาละ The Urbanis และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (Thai PBS) โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การนำเสนอผลการศึกษาโครงการเมืองกับบทบาทและศักยภาพของประเทศไทย ตลอดจนการร่วมมองหาทิศทาง "เมืองแห่งการเรียนรู้" ในไทย ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงใด

ผศ.ดร.นิรมลเอ่ยว่า เพราะปัจจุบันเรากำลังอยู่ในมรสุมของความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่ ที่กำลังสร้างความท้าทายใหม่ๆ และเริ่มทำให้ทุกคนตระหนักมากขึ้นว่า การเรียนรู้เฉพาะการศึกษาในระบบอาจไม่เพียงพออีกต่อไป


ดังนั้น แต่ละชุมชนจำเป็นต้องมี "พื้นที่" สำหรับการเรียนรู้นอกระบบโรงเรียนที่สามารถทำให้ "ทุกคน" ในสังคมได้มีโอกาสเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพ และสมรรถนะของความเป็นพลเมืองเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

"คำว่าสมาร์ทซิตี้อาจไม่ได้จำกัดแค่เรื่องเทคโนโลยีที่มาทำให้เราสะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองแบบไหนที่จะสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ของคนในเมืองด้วย"

ดังนั้น เพื่อสร้างบรรยากาศให้คนเรียนรู้ได้เอง เราต้องสร้างนิเวศน์ จัดการให้เมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

 

สำหรับกระแส Learning City เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น หลังจากองค์การยูเนสโกเล็งเห็นว่า หากโลกจะเดินไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goal:SDGs) จำเป็นต้องสร้างสังคม "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" ให้เกิดขึ้น

"เมือง" หรือชุมชน จึงเป็นผู้รับบทบาทโดยตรงในการทำหน้าที่นิเวศน์ของการเรียนรู้ ในทุกที่ทุกเวลา 

ซึ่ง ผศ.ดร.นิรมล ยังยกตัวอย่างของเมืองแห่งการเรียนรู้หลายแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรปและเอเชียโดยเฉพาะ "ญี่ปุ่น" สามารถยกระดับสังคมเรียนรู้ กลายเป็นฐานขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบยั่งยืนให้แก่ชุมชนจริงมาแล้ว

"เมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ และยังมีการส่งต่อข้อมูลหรือความรู้ในท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่น เช่น ในญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มแข็งมาตั้งแต่สมัยเอโดะ คนญี่ปุ่นอ่านตลอดเวลาเพราะหนังสือมีราคาถูก ทุกคนเข้าถึงได้ และยังมีวัฒนธรรมการจดบันทึกที่ยาวนาน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังใช้สถานศึกษาเป็นพื้นที่แกนกลางในการจัดทำเมืองการเรียนรู้ แบ่งปันความรู้ กลั่นความรู้มาสร้างอาชีพสร้างเศรษฐกิจ สร้างภูมิปัญญาในชุมชน"

ตัวอย่างความสำเร็จหนึ่งที่เกิดจากการพัฒนาดังกล่าว คือการต่อยอดแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือสินค้าเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น ที่เรียกว่าหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล ซึ่งประเทศไทยเราได้นำเอาแบบอย่างมาใช้นั่นเอง

สำหรับลักษณะของเมืองแห่งการเรียนรู้ ผศ.ดร.นิรมล ได้สรุปว่าควรมีคุณสมบัติ 5 ประการ ได้แก่

1. การมีวัฒนธรรมการเรียนรู้และการอ่านที่เข้มแข็ง

2. การเป็นเมืองมีอำนาจในการตัดสินใจและจัดการตนเอง

3. การมีโครงสร้างการปกครองที่มีการกระจายอำนาจให้เมือง

4. การมีชุมชนและภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง

5.การมีลักษณะความเป็นเมืองสอดคล้องกับความเป็นมนุษย์หรือ Human scale/walkable

Learning City แค่ผังเมืองไม่พอ?

เมืองแห่งการเรียนรู้แบบไหนที่เราควรสนับสนุนให้เกิดในประเทศไทยบ้าง?

จากการศึกษาการจัดการผังเมืองของ UddC พบว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมุ่งเน้นการจัดการเมืองในเชิงพื้นที่ เป็นหลัก เช่นการจัดวางผังโรงเรียนให้สามารถเดินเข้าถึงได้ การพัฒนาสถานศึกษาให้เกิดความสมดุล เป็นต้น โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการศึกษา ซึ่งฟังดูก็น่าจะเป็นการจัดการที่เหมาะสม ทว่าปัจจุบันเพียงแค่มี "การศึกษา" ทั่วถึงอาจไม่เพียงพอ

"โลกกำลังต้องการคนที่มีทักษะความสามารถมากกว่าที่ระบบการศึกษาผลิตออกมา นั่นคือคนที่สามารถวิเคราะห์ แก้ปัญหา และมีความยืดหยุ่นเป็นต้น เหล่านี้คือทักษะอันพึงประสงค์ที่โลกศตวรรษใหม่ต้องการ ความรู้ที่ใช้ในปัจจุบันแตกต่างกับความรู้ในอดีตที่ผ่านมา พลเมืองยุคใหม่ต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เราจึงต้องสร้างสังคมที่ส่งเสริมเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาและสามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลงโลกแบบDigitalization" ผศ.ดร.นิรมล กล่าว

"หากถามว่าเมืองแบบไหนที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ ถ้าเรานำกรอบ Learning City ของยูเนสโกมาเป็นแนวทางการพัฒนาเมือง จะพบว่าทิศทางการพัฒนาเมืองวิถีใหม่นี้จะขยับห่างออกจากการพัฒนาเชิงกายภาพทันที"

เพราะการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ไม่ใช่การพัฒนาเฉพาะทางกายภาพ  ดังนั้นนอกจากศาสตร์การวางผังเมือง จำเป็นต้องใช้ศาสตร์หลากหลายในการจัดการชุมชน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพ "คน" ที่อยู่ในเมืองนั้น ให้เป็นพลเมืองตื่นการเรียนรู้ไปด้วย

"การลงทุนเมืองแห่งการเรียนรู้ ไม่ใช่การลงทุนการศึกษาในระบบหรือสถานศึกษาเท่านั้น เราสามารถจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ หรือปรับปรุง Learning Facility ให้เชื่อมโยงกับในระบบการศึกษาเดิมได้ ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่เสมอไป" ผศ.ดร.นิรมลให้ข้อมูล

ฟื้นกรุงเทพฯ-ปากน้ำโพ บนฐานการเรียนรู้

แต่ก่อนที่ประเทศไทยจะตั้งเป้าหมายเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ การบ้านข้อแรกที่เราอาจต้องทำความเข้าใจคือ การเสาะหาโอกาสและข้อจำกัดของตนเอง ว่ามีอะไรบ้างที่ทำให้เกิดช่องว่าง และการพัฒนาสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ตลอดจนโอกาส อุปสรรค

ที่สำคัญการเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้จะช่วยพัฒนาปิดช่องโหว่ได้จริงหรือไม่

ซึ่งทาง UddC เองได้มีการลงพื้นที่ศึกษาเมืองต้นแบบ 2 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ตัวแทนเมืองศูนย์กลางที่พร้อมที่สุดในประเทศ แต่แม้จะดูมีความพร้อมในฐานะเมืองหลวง กลับพบว่า กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีระดับความหลากหลายของของ "ย่าน" หรือชุมชนที่ซับซ้อนและยังมีโครงสร้างทางกายภาพที่ไม่เอื้อต่อการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ ทั้งยังขาดความเชื่อมโยงในหลายมิติ

คณะทำงานได้ทำการเลือกพื้นที่ย่านปทุมวัน บางรัก และธนบุรี เนื่องจากมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมที่สุดด้วยมีแหล่งชุมชนและสถานศึกษา เพราะมีทั้งระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัย

ส่วนเมืองต้นแบบแห่งที่สอง คือเมืองปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ถือเป็นเมืองรองที่ผลิตคน มีฐานการศึกษาระดับมัธยมที่เข้มแข็ง สามารถป้อนคนเข้าสู่ตลาดงานระดับประเทศ แต่ขณะเดียวกัน ในการพัฒนาท้องถิ่น กลับเป็นเมืองที่มีการเติบโตแบบถดถอย

บทสรุปที่ได้จากการวิจัยนี้ คือย้ำให้เห็นว่า "การเรียนรู้" กับ "การศึกษา" นั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ก็มีการส่งเสริม เชื่อมโยงกันและกันไปในตัว

"เราพบว่าอุปสรรคสำคัญคือ ประเทศไทยมีลักษณะของเมืองที่เป็นแบบแยกส่วน แต่รวมศูนย์ ที่สำคัญข้อมูลก็ถูกรวมศูนย์ไปอยู่กับส่วนกลาง อาจทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่นำไปสู่องค์ความรู้เกิดขึ้นได้ยากจึงควรมีการถ่ายเทอำนาจการจัดการจากภาคนโยบายมาสู่ท้องถิ่น รวมถึงคืนข้อมูลสู่ชุมชน"

นอกจากนี้ การบริหารภายใต้ระบบราชการไทย ยังมีลักษณะการทำงานเป็นแบบ Project Based คือ การทำงานแยกส่วน หรือแยกกันทำตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน แต่ขาดการเชื่อมโยงกัน ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองแนวทางเมืองบนฐานแห่งความรู้ได้

ปัญหาดังกล่าวยังเกิดขึ้นแม้กระทั่งโครงการพัฒนา ผศ.ดร.นิรมล ยอมรับว่า แม้แต่โครงการอาร์ตอินซอยที่ทาง UddC ดำเนินการเอง ถึงจะประสบความสำเร็จในแง่เป้าหมายโครงการ แต่ไม่ได้ประสบความสำเร็จในด้านการช่วยส่งเสริมพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ได้

ดังนั้น ในข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองบนฐานความรู้ ผศ.ดร.นิรมล เอ่ยว่า ควรประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์

"หนึ่งคือการสร้างเครือข่ายของเครือข่ายและกรอบการพัฒนาสู่เมืองฐานความรู้ สอง ควรมีแพลตฟอร์มที่รวบรวมความรู้ย่านในทุกมิติ และสาม คือการผลักดันให้เกิดการสร้างพลเมือง/อาสาสมัครย่านด้านความรู้และข้อมูลในเมือง"

ผศ. คมกริช ธนะเพทย์ ประธานหลักสูตรสถาปัตยกรรมผังเมือง ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงกรณีศึกษาของเมืองปากน้ำโพ นครสวรรค์ว่า จากการลงพื้นที่พบปัญหาเชิงโครงสร้าง 5 ประเด็น ได้แก่การยึดติดอยู่กับเมืองการศึกษา การต้องการการนำเข้าความรู้เพื่อการพัฒนาอีกมาก การมีต้นทุนความรู้ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ การเชื่อมโยงความรู้ที่จนมีกับการพัฒนาที่ควรจะเป็น ยังไม่ลงตัว และการกระจายความรู้ที่เป็นประโยชน์สีด้านยังไม่ถึงคนทุกกลุ่ม

ซึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ปากน้ำโพเผชิญ อาจคือภาพสะท้อนความเป็นเมืองทั่วประเทศไทย ที่ถูกพัฒนาภายใต้ความเคยชิน ในการเดินตามสิ่งที่รัฐ หรือภาคนโยบายเป็นผู้เลือกหรือนำเสนอให้มาโดยตลอดไมนด์เซ็ตใหม่จึงควรพัฒนาระบบนิเวศการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม

"อาจเพราะที่ผ่านมาการศึกษาในระบบมุ่งเน้นให้คนเป็นลูกจ้างในตลาดแรงงานใหญ่ทั้งระบบ แต่เมืองท้องถิ่นแบบปากน้ำโพเองกลับขาดการจ้างงานที่ใช้ทักษะสูง ทำให้ไม่มีแรงขับเคลื่อนในการที่จะพัฒนาความรู้เพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ และเริ่มละทิ้งงานที่ใช้ทักษะเฉพาะทางหรือทักษะเฉพาะพื้นที่ ปากน้ำโพจึงขาดบรรยากาศสาธารณะที่การเรียนรู้ที่กระจายตัวอย่างทั่วถึง"ผศ. คมกริช เอ่ย

อีกสิ่งที่ ผศ.คมกริชมองว่า อันตรายที่สุดของการพัฒนาเมืองปากน้ำโพ คือภาวะ "ความเป็นพลเมืองหดลง"

"การที่คนอยู่ไม่รู้สึกถึงความเป็นพลเมืองและมีชีวิตอยู่เพียงแค่รักษาตึกแถวแล้วหน้าบ้านเอาไว้เพื่อตนเองก็พอ เป็นสิ่งที่น่ากังวล ดังนั้น หากนครสวรรค์จะเปลี่ยนเมืองฐานการศึกษาให้เป็นเมืองฐานความรู้ควรเริ่มด้วยกันรับฟังและต่อยอดความรู้ภายในและภายนอกอย่างเป็นระบบและเข้าถึงได้" ซึ่งผศ.คมกริชเสนอแนะว่า ควรใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง 3 ยุทธศาสตร์ ตามที่ผศ.ดร.นิรมล เอ่ยบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเมืองด้วย

เป็นเมืองเรียนรู้ ต้องมีข้อมูลให้รู้

"เรามักมีมายาคติว่าเมืองเราไม่มีข้อมูล แต่ผมเชื่อว่าทุกเมืองมีข้อมูล แต่อาจจะเป็นในรูปแบบของเศษกระดาษ เอกสาร องค์ความรู้ ภูมิปัญญาต่างๆ หรือแม้แต่ความทรงจำ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ มันไม่เกิดกระบวนการถ่ายโอน หรือถ่ายทอดข้อมูลในสังคมเมือง" อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) ฝ่าย Urban Intelligence เอ่ย

โดยกล่าวว่าปัญหาส่วนหนึ่ง เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า "ระบบผูกขาดข้อมูล" กับ "การโจรกรรมข้อมูลเมือง" คือการที่ข้อมูลถูกไม่นำมาคืนกลับสู่ท้องถิ่นหรือชุมชน

อดิศักดิ์ กล่าวว่าข้อมูลประกอบด้วยข้อมูลพื้นที่โครงสร้างเมือง ข้อมูลคน/พลเมือง และข้อมูลพฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ ซึ่งอาจเป็นข้อมูลอะไรก็ได้ แม้แต่ข้อมูลสุขภาพ

 "อาจเริ่มมีการพูดถึงดาต้าเซ็นเตอร์ในภาครัฐมากขึ้น แต่หากไม่มีนำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดการแลกเปลี่ยน จึงอาจไม่ใช่คำตอบในการสร้างฐานข้อมูลเมือง ข้อมูลท้องถิ่น เมืองควรเป็นผู้จัดเก็บและนำมาใช้งานได้เองในท้องถิ่น เพื่อที่จะสามารถเอาข้อมูลนั้นมาสร้างให้เกิดประโยชน์หรือเกิดนวัตกรรม ต่อยอดการพัฒนาต่าง ๆ เพราะหากเราปราศจากข้อมูลก็ยากที่จะมีความรู้ และหากปราศจากความรู้และข้อมูลก็ยากที่จะขับเคลื่อนเมืองการเรียนรู้ได้ จึงจำเป็นต้องมีการจัดสรรและจัดวางกลไกต่างๆ ภายในชุมชนเมือง ไม่ใช่แค่ระบบท็อปดาวอย่างเดียว"

รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ กลุ่ม .ter Bangkok ให้อีกมุมมองว่าในการสร้างสังคมของการเรียนรู้ หรือเมืองบนฐานความรู้ต้องมีแรงจูงใจ (incentive) ของการเรียนรู้

"ผมว่าหัวใจแห่งการเรียนรู้ คือการสร้าง Incentive ให้เขาเห็นว่า หากเขาได้เรียนรู้แล้วจะได้อะไร มันส่งผลดีกับชีวิต หรือทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นอย่างไร"

ซึ่งปัจจัยที่จะสร้างแรงจูงใจของการเรียนรู้ รศ. ดร.ชัชชาติ มองว่าต้องเริ่มด้วย Passion, Self interest และ Public interest

"ที่ผ่านมาการเรียนรู้ไม่เกิดเนื่องจากระบบอุปถัมภ์ การผูกขาดผลประโยชน์ให้กับรายใหญ่ ทำให้คนตัวเล็กเข้าไม่ถึงทรัพยากร จนมองว่าไม่มีประโยชน์ในการจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งเห็นด้วยว่าภาพประชาสังคมและภาคเอกชนจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อให้ประชาชน" รศ.ดร.ชัชชาติ กล่าว


อีกโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการพัฒนาเมืองด้วยฐานความรู้ นั่นคือ การที่พลเมืองสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลและความรู้ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการส่งเสริมการตระหนักรู้ ตลอดจนมีความตื่นตัวในการดูแลสุขภาวะของตนเองได้ ในเรื่องนี้ ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวถึงเหตุผลที่ สสส. สนับสนุนกระบวนการศึกษาและกระบวนการมีส่วนร่วมที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองสุขภาวะ ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเพื่อรองรับความเป็นเมือง (Urbanization) ว่า เป็นการสร้างต้นแบบพื้นที่สุขภาวะที่เอื้อต่อการมีกิจกรรมทางกาย ซึ่งผลจากการสนับสนุนดังกล่าว ยังนำไปสู่การเกิดนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ สำหรับการผลักดันนโยบายเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) และแนวคิดการพัฒนาบนฐานความรู้ (knowledge based development) ผ่านการออกแบบกิจกรรมสร้างเมืองผ่านการร่วมเรียนรู้ ฟื้นกรุงเทพฯ บนฐานความรู้" และ ฟื้นนครสวรรค์บนฐานความรู้" มองว่าจะช่วยตอบโจทย์ในการเพิ่มปัจจัยแวดล้อม/พื้นที่สุขภาวะ (Built Environment/Healthy Space) ทั้งยังเป็นการใช้ประโยชน์พื้นที่ทั้งในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่เอกชน รวมไปถึงสถานที่ทางธรรมชาติ ภายใต้การออกแบบ หรือการจัดการเพื่อพัฒนาให้เป็นปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อกิจกรรมทางกายและสุขภาวะอย่างเท่าเทียม
#3737


นายเกียรติศักดิ์ สิริรัตนกิจ รักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอชี้แจงผลการดำเนินงาน สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2564 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 432.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 329.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 321.17 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีกำไรสุทธิ 102.71 ล้านบาท


และเนื่องจากผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนดังกล่าวแสดงผลกำไรสุทธิซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าร้อยละ 20 บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่มีสาระสำคัญดังนี้

1. รายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 260.43 ล้านบาท จาก 627.66 ล้านบาท เป็น 888.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.49 เนื่องจาก

- รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 272.69 ล้านบาท จาก 511.69 ล้านบาท เป็น 784.38 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.29 ซึ่งเป็นไปตามมูลค่าการซื้อขายของลูกค้าของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือน ปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.39 จากงวดเดียวกันของปี 2563

- รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 12.27 ล้านบาท จาก 115.98 ล้านบาท เป็น 103.71 ล้านบาท หรือลดลงร้อยล: 10.58 ซึ่งเป็นไปตามปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าของบริษัทฯ ในงวด 6 เดือน ปี 2564 ที่ลดลงร้อยละ 25. 76 จากงวดเดียวกันของปี 2563

2. รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 59.82 ล้านบาท จาก 88.64 ล้านบาท เป็น 148.46 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.49 เนื่องมาจากการรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มขึ้น 14.63 ล้านบาท รายได้จากการเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 20.67 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 27.52 อย่างไรก็ตามรายได้จากการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ลดลง 2.99 ล้านบาท

3. รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 64.15 ล้านบาท จาก 198.97 ล้านบาท เป็น 263.13 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.24

4. กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 319.65 ล้านบาท จาก 147.58 ล้านบาท เป็น 467.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 216.59 เนื่องมาจากกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 872.13 ล้านบาท ในขณะที่กำไรจากอนุพันธ์ลดลง 544.28 ล้านบาท และรายได้เงินปันผลลดลง 8.19 ล้านบาท

5. ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 278.88 ล้านบาท จาก 951.95 ล้านบาท เป็น 1,230.84 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.30 ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 195.97 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 62.36 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น 30.76 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 9.86 ล้านบาท

6. ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 96.60 ล้านบาท จาก 13.69 ล้านบาท เป็น 110.29 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 705.75 เนื่องมาจากกำไรก่อนภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น 426.48 ล้านบาท จาก 116.40 ล้านบาท เป็น 542.88 ล้านบาท

ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานของงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 321.17
#3738


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า ก.ล.ต.ได้รับรายงานการได้มา หุ้นของ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG โดย นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2564

จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มา คิดเป็น 2.2821% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มา คิดเป็น 6.1024% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ส่วนจำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาของกลุ่มคิดเป็น 2.2821% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาของกลุ่มคิดเป็น 6.1024% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ


ทั้งนี้ เป็นการทำธุรกรรมผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ก่อนจะยื่นแบบรายงานต่อ ก.ล.ต.วันที่ 17 ส.ค. โดยจำนวนหุ้นที่ได้มาอยู่ที่ 65,400,000 หุ้น คิดเป็น 2.2821% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ที่ราคาเฉลี่ย 9.95 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่า 650.73 ล้านบาท

ภายหลังการได้มาจะส่งผลให้ นายชูชาติ ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5 ของ XPG จากข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 ก.ค.2564 รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก ได้แก่

1. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 403,379,000 หุ้น หรือ 14.08%

2. นายมงคล ประกิตชัยวัฒนา 363,041,000 หุ้น หรือ 12.67%

3. ELEVATED RETURNS LLC 346,000,000 หุ้น หรือ 12.07%

4. บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) 268,918,000 หุ้น หรือ 9.38%

5. UBS AG SINGAPORE BRANCH 83,425,856 หุ้น หรือ 2.91%
#3739


การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ส.ค.2564 มีการพิจารณาจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อฉีดให้กับประชาชนหลังจากที่กรมควบคุมโรคได้ลงนามกับไฟเซอร์และไบออนเทค เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2564 เพื่อซื้อวัคซีนไฟเซอร์ให้ประชากรกลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านโดส ในขณะที่ ครม.ล่าสุดให้กระทรวงสาธารณสุขซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มอีก 10 ล้านโดส รวมเป็น 30 ล้านโดส

แหล่งจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่ามีแผนที่จะฉีดวัคซีนให้ประชากรที่อยู่ในประเทศไทย 70% ภายในปี 2564 ซึ่งมีการเสนอแผนการจัดหาวัคซีน 168 ล้านโดส โดยมีระยะเวลาการส่งมอบตั้งแต่เดือน ก.พ.2564-มี.ค.2565 แบ่งการจัดหาเป็น 5 กลุ่ม คือ

1.วัคซีนซิโนแวค 19.5 ล้านโดส มีระเวลาการส่งมอบตั้งแต่ ก.พ.-ส.ค.2564 ใช้งบกลางจัดหา 7.6 ล้านโดส ใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา 10.9 ล้านโดส และรับบริจาคจากจีน 1 ล้านโดส

2.วัคซีนแอสตร้า เซเนก้า 62.46 ล้านโดส มีระยะเวลาการส่งมอบตั้งแต่ ก.พ.-ธ.ค.2564 เป็นการใช้งบกลางจัดหา 26 ล้านโดส ใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา 35 ล้านโดส รับบริจาคจากญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส รับบริจาคจากสหราชอาณาจักร 415,000 โดส

3.วัคซีนไฟเซอร์ 31.5 ล้านโดส มีระยะเวลาการส่งมอบตั้งแต่ ส.ค.-ธ.ค.2564 เป็นการใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา 30 ล้านโดส และรับบริจาคจากสหรัฐ 1.5 ล้านโดส


4.วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 5 ล้านโดส ระยะเวลาการส่งมอบ ธ.ค.2564 โดยทั้งหมดเป็นการใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา

5.วัคซีนซิโนแวค วัคซีนแอสตร้า เซเนก้า และวัคซีนอื่นๆ 50 ล้านโดส ระยะเวลาการส่งมอบ ม.ค.-มี.ค.2565 โดยทั้งหมดเป็นการใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงินจัดหา



อนุมัติซื้อไฟเซอร์30ล้านโดส

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.วันที่ 17 ส.ค.2564 มีมติเห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในไทยโดยให้มีการอนุมัติงบประมาณจากเงินกู้ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 9.37 พันล้านบาทเพื่อซื้อวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส 

โดยกรอบวงเงินดังกล่าวแบ่งเป็นค่าวัคซีน 8.44 พันล้านบาท และการบริหารจัดการ 933.6 ล้านบาท มีช่วงระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ ส.ค.-ธ.ค. โดยกลุ่มเป้าหมายสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรค โดยโครงการนี้อยู่ภายใต้โครงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มเติม ของกรมควบคุมโรค ตามนโยบายรัฐบาลที่จะจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค

"ขณะนี้มีผู้ผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่หลากหลาย รัฐบาลจึงเห็นควรให้มีจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันให้สามารถครอบคลุมการกลายพันธุ์ของไวรัส โควิด-19 ที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว"นายอนุชา กล่าว 

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบให้มีการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส  พร้อมมอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามกับผู้แทนบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดและไบออนเทค ทำให้การจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด mRNA เพิ่มอีก 10 ล้านโดสจำนวนเป็น 30 ล้านโดส ซึ่งจะเริ่มทยอยจัดส่งในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 นี้ 

เร่งไฟเซอร์ส่งมอบเร็วขึ้น

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ให้ ครม.รับทราบว่า การพิจารณาเมื่อวันที่ 10 ก.ค.2564 ได้ให้กรมควบคุมโรคเร่งปรับแผนการจัดหาวัคซีนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันทั้งประเภทและปริมาณของวัคซีน และระยะเวลาที่คาดว่าจะได้รับมอบวัคซีนในช่วงที่เหลือของปี 2564 และในช่วงปี 2565 เพื่อให้การบริหารจัดการวัคซีนได้ประสิทธิภาพสูงสุด และไม่มีปัญหาการเข้าถึงวัคซีนเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ประชาชนได้อย่างน้อย 70% ภายในปี 2564 ตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ กรมควบคุมโรครายงานว่าจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ได้ในเดือน ต.ค.2564 ตามสัญญาที่ลงนามไว้กับบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด แต่กรมควบคุมโรคได้ประสานเพื่อเร่งรัดการส่งมอบวัคซีนให้เร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องการให้กรมควบคุมโรคจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีหลากหลาย เพื่อให้ครอบคลุมการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง

รวมทั้งต้องการให้กรมควบคุมโรควางแผนความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จัดหาเงินกู้เพื่อใช้จ่ายตามแผนที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐ
#3740


กัมพล นิสิตสุขเจริญ ผู้ก่อตั้ง เวอร์ชวล โซลูชั่น กล่าวว่า ข้อจำกัดจากผลกระทบโควิดเป็นที่มาของการจัดงาน "เวอร์ชวล พร็อพเพอร์ตี้ เอ็กซ์โป 2021" เป็นช่องทางทำตลาดที่ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบปะเจรจาธุรกิจ สร้างโอกาส ดึงกระแสเงินสดเข้าบริษัท ประคองธุรกิจให้รอดพ้นวิกฤติ

"การจัดงานแสดงสินค้า หรือ เทรดแฟร์ เป็นเครื่องมือการตลาดที่ทรงพลัง!! คุ้มค่ากับการลงทุนหากเปรียบเทียบกับการทำตลาดในรูปแบบอื่น ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมามีการจัดงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับอสังหาฯ ทั้งในศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า ในศูนย์การค้า สามารถดึงวอลุ่มการขายของโครงการต่างๆ ได้เป็นอย่างดี จากการเป็นแหล่งผู้ซื้อผู้ขายจำนวนมากมาเจอกัน"

ทว่าหลังวิกฤติโควิดธุรกิจงานแสดงสินค้า ถูกยกเลิกงาน หรือ เปิดบ้าง-ปิดบ้าง สลับกัน กระทบต่อตลาดและการวางแผนธุรกิจ ฉะนั้น "เวอร์ชวล เทรด แฟร์" ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์จะเข้ามาตอบโจทย์และแก้อุปสรรคในการทำตลาด

"เวอร์ชวล พร็อพเพอร์ตี้ เอ็กซ์โป 2021" ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายมีโอกาสมาพบปะเจรจาซื้อขายกันบนออนไลน์ โดยมีฟังก์ชั่นการแสดงสินค้าเสมือนได้เดินชมบูธโครงการอสังหาฯ แต่ละแบรนด์ และใช้วีดีโอคอลในการเจรจาธุรกิจ ต่อรองราคา และโปรโมชั่น

"เวอร์ชวล พร็อพเพอร์ตี้เอ็กซ์โป จัดช่วงปลายปีจะสามารถรวบรวมดีมานด์ที่มีอยู่ทั้งเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือซื้อเพื่อลงทุนกว่า 580,000 ราย จากทั่วประเทศ จะช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ ให้เกิดมูลค่าการขายที่เป็นวอลุ่มใหญ่ขึ้นได้"

ดีเวลลอปเปอร์ที่เข้าร่วมงานจะได้รับผลตอบแทนการลงทุน ( ROI) ที่มีประสิทธิภาพ และสูงกว่าการไปทำตลาดเอง อย่าง โซเชียลมีเดีย หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้งบประมาณสูงกว่าและเป็นการทำตลาดที่กระจัดกระจาย ซึ่งบริษัทมีแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่เก็บรวบรวมข้อมูล (บิ๊กดาต้า) เป็นประโยชน์ต่อดีเวลลอปเปอร์ใช้ทำการตลาดต่อไปในอนาคต

ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวเสริมว่า ช่วงวิกฤติโควิดระลอกนี้มีการเสิร์ชค้นหา บ้าน และ คอนโดมิเนียม ผ่าน กูเกิล น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการทำการตลาดในช่วงนี้จึงต้องระมัดระวัง มุ่งการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Precision Marketing) เน้นกลุ่มคนที่ยังมีกำลังซื้อ กลุ่มนักลงทุน และกลุ่มคนที่มีความต้องการจะซื้อบ้านและ คอนโดมิเนียม จริงๆ เท่านั้น

"มีเดีย แชนแนล ที่ทำตลาดแบบเฉพาะเจาะจงได้ดี หนีไม่พ้น กูเกิล เฟซบุ๊ก ทำให้ทุกแบรนด์กระโดดเข้ามาแข่งขัน ค่าโฆษณาถีบตัวสูงขึ้น สวนทางดีมานด์ของตลาดที่ลดลง นอกจากนี้การเดินทางไปดูโครงการอสังหาฯ มีความยากลำบาก ผู้ซื้อกังวลเรื่องโควิด เจ้าของโครงการจำเป็นต้องทำออนไลน์แพลตฟอร์มให้เยี่ยมชมโครงการได้ง่ายขึ้น ในรูปแบบ เวอร์ชวล หรือ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ให้ทีมขายคุยกับลูกค้าได้"

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) มองว่า การจัดงานในรูปแบบเวอร์ชวล เอ็กซ์โป ไม่แตกต่างจากงานจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดปกติจัดปีละ 2 ครั้ง ซึ่งดีเวลลอปเปอร์จะนำเสนอสินค้าราคา "ดี" ออกมาให้ลูกค้าได้เปรียบเทียบ แม้ว่าช่วงนี้ "ดีมานด์" อาจไม่มากเท่าช่วงเวลาปกติ แต่รูปแบบเวอร์ชวลทำให้คนเข้าไปเยี่ยมชมโครงการได้

"ปกติการทำออนไลน์ของอสังหาฯ ไม่เกิดการซื้อจริง เป็นแค่การตัดรอบในการดูจากปกติอาจจะใช้เวลา 3 รอบ โดยรอบแรกไปดูเอง รอบ 2 พาแม่ไป รอบ 3 ค่อยตัดสินใจซื้อ การมีเวอร์ชวล ทำให้รอบแรกไม่จำเป็นต้องไปดูผ่านออนไลน์แทนเหลือแค่ 2 รอบ จาก 10 ที่ในออนไลน์เหลือ 3 ที่ จากนั้นค่อยพาแม่ไปดูก่อนซื้อแต่สุดท้ายแล้วอสังหาฯ เป็นสินค้าที่ต้องการสร้างประสบการณ์ สัมผัสจริงมากกว่าในเวอร์ชวล"